Don't Tell...(i told u!) 2005


ไม่ได้อยากบอก(ความลับ)นะ แต่มันจำเป็นต้องบอก
ว่า " เปิดเผยเนื้อเรื่องสำคัญของหนัง(บ้าง)" จ้า



ที่อิตาลี

ซาบีน่า (Giovanna Mezzogiorno) นักแสดงสาวที่หันมาเอาดีทางด้านการพากย์หนัง หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จในด้านการแสดง เธออยู่กินกันอย่างมีความสุขกับ ฟรังโก้ (Alessio Boni) สามีของเธอที่มีอาชีพเป็นนักแสดง ทั้งสองต่างก็ใช้ชีวิตในการทำงานและในชีวิตคู่ไปตามปกติธรรมดาแต่อยู่มาวันหนึ่ง ในค่ำคืนหนึ่ง ซาบีน่านอนหลับฝันร้ายถึงช่วงวัยเด็กของเธอ เธอฝันถึงสิ่งที่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร รู้แค่เพียงว่ามันกำลังรบกวนจิตใจอย่างมาก เธอเริ่มหวาดหวั่นและกังวล จนส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามี

เอมิเลีย
(Stefania Rocca) หญิงสาวที่โลกส่วนตัวของเธอถูกสร้างขึ้นแค่ในห้องสี่เหลี่ยมอันเนื่องมาจากการสูญเสียการมองเห็น เอมิเลียเป็นเพื่อนกับซาบีน่าตั้งแต่สมัยเด็กๆ ซาบีน่าจึงเล่าเรื่องฝันให้เอมิเลียเพื่อนรักของเธอฟัง และจากการปรึกษากับเอมิเลียนี่เอง ที่ทำให้ซาบีน่าเริ่มจะได้เค้าลางอะไรบางอย่างและจึงตัดสินใจเดินทางไปหา แดเนียล (Luigi Lo Cascio)พี่ชายแท้ๆของเธอที่ไปตั้งรกรากลงหลักปักฐาน มีครอบครัวที่อบอุ่นกับภรรยาและลูกอีก 2 คน อยู่ที่อเมริกา แดเนียลทำงานเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คงเป็นคนเดียวคนนี้เท่านั้นที่จะสามารถช่วยไขความกระจ่างให้กับเธอได้ ซาบีน่าหวังไว้เช่นนั้น...

ซาบีน่าเอ๋ย ถ้าเธอรู้ว่าผลสุดท้ายมันจะลงเอยอย่างไร...เธอคงเลือกที่จะไม่ไปอเมริกาเพื่อค้นหาความจริงแน่ๆ

แต่ในเมื่อซาบีน่าที่เป็นหญิงสาวธรรมดา ไม่ได้มีญานพิเศษจากไหนพอที่จะรู้อะไรล่วงหน้า ได้พาตัวเองเข้าไปรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ทุกอย่างมันก็กลับตาลปัด มันไม่ใช่ยกภูเขาออกจากอกอย่างที่มันควรจะเป็นเสียแล้ว มันไม่ใช่ว่าเมื่อเรื่องมันกระจ่างแล้วจะได้หมดกังวลสบายใจ แต่ความจริงอันนี้ มันกลับทำให้ใจเธอต้องทุกข์ทรมานราวกับมีกรงเหล็กใบใหญ่หล่นลงมาครอบขังเธอให้ติดไว้กับความจริงนี้อย่างหนีไม่พ้น ส่งผลให้พฤติกรรมซาบีน่าเริ่มเปลี่ยนไปในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน จากที่เคยเป็นคนยิ้มแย้ม ก็กลายเป็นเงียบขึ้น พูดจาน้อยลง และใช้เวลาในการครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมากเกินปกติ จนข้างฝ่ายฟรังโก้ เริ่มร้อนๆหนาวๆเพราะเข้าใจไปว่า ตั้งแต่ภรรยากลับจากอเมริกาแล้วซึมเซาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนนั้น อาจจะเพราะเริ่มระแคะระคายเรื่องที่เขาไปแอบมีอะไรกับเพื่อนนักแสดงด้วยกัน ขณะที่เธออยู่อเมริกาก็เป็นได้...

(มิน่าล่ะ ถึงมีภาษิต “ กินปูนร้อนท้อง” เกิดขึ้น....(ฮา...)

การดำเนินเรื่องของหนังค่อนข้างจะเรียบนิ่ง ค่อยเป็นค่อยไป แนะนำตัวละครอื่นๆที่อยู่รายรอบตัวของซาบีน่าทีละคนละคนได้ซักระยะหนึ่ง ไม่นานเกินรอเท่าใด หนังก็ตอบสนองคนดูอย่างไม่ปราณีปราศัย ถึงสิ่งที่เราสงสัยเคลือบแคลงอยู่ในใจตั้งแต่ก่อนเข้ามานั่งดูหนังว่า อะไรน้อ ที่เขาไม่ให้บอกหรืออย่าได้บอกเนี่ย ….หนังชี้โพรงให้เห็นให้รู้ไปเลย ในความฝันคืนนั้นของซาบีน่าว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับเธอเมื่อครั้งยังเยาว์ ไม่ต้องเดากันอีกแล้ว

เอาน่า...ถึงเค๊าจะจงใจอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้เป็นการบอกความลับหรือเฉลยอะไรมากมายหรอก แค่เปิดทางให้คลำไปไม่หลงเท่านั้นแหละ

คำว่า Don’t Tell ถ้าจะมองว่า สิ่งที่เก็บไว้นั้นคือ ความลับ :ไม่บอก :อย่าบอก และแปรได้เป็นจุดสีดำ หนังเรื่องนี้ทั้งเรื่อง มันก็จะคงเต็มไปด้วยรอยเปรอะกระดำกระด่าง เพราะตัวละครสำคัญทุกตัว ต่างมีอะไรอยู่ในใจกันทั้งนั้น เริ่มกันตั้งแต่สถาบันครอบครัวกันเลย ไม่ว่าจะเป็น

ความลับของครอบครัวของซาบีน่า : ที่พ่อมีต่อเด็ก ๆ, พ่อกำชับให้ลูกชายที่เชื่อฟังเขาเป็นอย่างดีนั้น ว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร
ความลับของแม่ : ที่มีอยู่ในใจตลอดเวลา รู้เรื่องที่พ่อป่วย (ทางจิต) แต่ไม่คิดจะแก้ไขอะไรในสิ่งที่สามีตนทำ
ความลับของซาบีน่า : เมื่อเธอรู้ความจริงของพ่อ และยิ่งยวดไปกว่านั้นคือการไปเจอเอาความจริงแท้ของตัวเธอเอง เธอก็เลือกที่จะเก็บมันไว้โดยไม่บอกฟรังโก้ สามีของเธอ
ความลับของฟรังโก้ : เมื่อซาบีน่าไปหาพี่ชายที่อเมริกา เขาแอบไปมีอะไรกับเพื่อนร่วมงาน แต่สุดท้ายฟรังโก้ก็ตัดสินใจบอกซาบีน่าไปเพราะหวังว่าเธอจะได้พูดถึงเรื่องที่เธอไม่สบายใจออกมาบ้าง
ความลับของแดเนียล : ที่เก็บเรื่องของตัวเองที่เกี่ยวกับพ่อไว้ และยังเก็บความลับเรื่องของซาบีน่า น้องสาวไว้อีกด้วยทอดหนึ่ง และพยายามจะเก็บไว้ให้ลึกที่สุดเพื่อครอบครัวอบอุ่นของตัวเอง
ความลับของเอมิเลีย : ที่เธอเคยแอบพึงพอใจในตัวของซาบีน่าเพื่อนรักของเธอ
และความลับของสามีของเพื่อนซาบีน่าอีกคน (จำชื่อไม่ได้อ่ะ...ขออภัย) ที่แอบไปมีกิ๊ก และสุดท้ายก็ต้องเลิกทางกับภรรยา

ก็เรื่อง( แย่ๆ) อย่างนี้ มันจะเอาไปบอกใครที่ไหนได้กันเล๊า

และหนังยังแสดงถึงความล้มเหลวของสถาบันครอบครัวอีกว่า หากใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวมีเชื้อร้ายเกาะกุมหัวใจอยู่นั้น มันสามารถแพร่กระจายไปสู่คนอื่นๆในครอบครัวได้ หากไม่ได้รับการเยียวยาหรือแก้ไขที่ดีพอ มันก็จะกัดกร่อนและทำลายสลายทุกอย่างให้พินาศลง ดูได้จากซาบีน่าเอง ที่กำลังตั้งท้องอ่อนๆ อันจะกลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ในไม่ช้านั้น เมื่อเธอรู้ความจริงและเจอเอากับปีศาจร้ายตัวจริง มันก็ทำให้เธอตัดสินใจเดินออกจากชีวิตของฟรังโก้ หรือการกระทำของพ่อที่มีต่อแดเนียล ส่งผลให้แดเนียลกริ่งเกรงที่จะแสดงความรักต่อลูกชาย ไม่กล้ากอดลูกชาย ได้แต่เฝ้ามองดูคนอื่น(ซาบีน่า)หยอกล้อและโอบกอดลูกตัวเอง และตัวลูกชายเองก็เลยรู้สึกว่าพ่อไม่รัก ซึ่งมันก็คงจะส่งผลต่อไปอีกเมื่อเขาโตขึ้น

แต่ยังดี ที่ความลับที่แดเนียลเคยเป็นผู้กุมไว้ตลอดเวลาผ่านมานั้น ในที่สุดเขาก็ได้มีโอกาสพูดมันออกมาแบบเต็มปากเสียที ก็เหมือนกับเขาได้ปลดปล่อย ได้ระบายมันออกมา และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เขายังเอาเรื่องราวและบาดแผลในอดีตนั้นมาไตร่ตรองและแก้ไขมันเสียใหม่ โดยมองทุกอย่างไปข้างหน้า มองถึงความรักที่แท้จริงของพ่อที่มีต่อลูก มองถึงครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์….เขาทำมันได้ค่ะท่านผู้ชม

แล้วถ้าจะมองในอีกมุมนึง ความจริงอันโหดร้ายที่ซาบีน่าและแดเนียลเจอนั้น ดูกลายๆก็คล้ายกับว่า เรื่องความลับนั้นได้สลายไปแล้ว ได้กระจ่างไม่มีอะไรติดค้างไปแล้วนะ แต่ไม่หรอก มันไม่ได้ไปไหนไกลหรอก มันยังคงอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ มันก็แค่....เปลี่ยนมือจากคนหนึ่งไปเป็นอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง

Giovanna Mezzogiorno นางเอกของเรื่องนั้น เราเคยเห็นผลงานก่อนหน้าของเธอแล้วจาก Facing Window (2003) และกับเรื่องนี้ในบทซาบีน่า เธอก็ย้ำให้เราได้เห็นอีกครั้งในความสามารถการแสดงของเธอว่า ในการเป็นศูนย์กลางของเรื่องขณะที่คนอื่นที่รายล้อมเธอก็มีบทบาทต่อการเล่าเรื่องราวไม่แพ้กันนั้น เธอเอาอยู่ค่ะ ด้วยการแสดงที่น้อยแต่ได้มาก จะว่ายังงั้นก็ได้ พิสูจน์ได้จากภาพใบปิด…ดูสิ…ภายใต้ใบหน้าที่เรียบ เงียบ นิ่ง เฉย อย่างนั้น แต่แววตา ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ

ส่วนทางด้านพระเอก Alessio Boni อันนี้ส่วนตัวเล็กน้อย ที่เราปลื้มแกมาจาก The Best Of Youth หนังจากอิตาลี ปี 2004 ที่มีโอกาสมาฉายในงาน The European Union Film Fes’ 2004 ที่กรุงเทพฯเนี่ยแหละ หนังเป็นเจ้าของความยาว 6 ชั่วโมง 38 นาทีค่ะคุณขา และเป็น 6 ชั่วโมงกว่าที่ประทับใจในตัวหนังจริงๆ ไม่เบื่อเลยให้ตายสิ! ……ก็นั่นแหละ พี่ Alessio Boni ในเรื่องนี้ ก็ยังมาหว่านเสน่ห์ได้เท่ห์เหมือนเดิม แม้จะอวบขึ้นก็เหอะ



Don’t Tell เป็นผลงานการกำกับของ ผู้กำกับหญิงชาวอิตาลี Cristina Comencini ที่ตัวหนังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลและชนะในรางวัลใหญ่ๆจากหลายเวทีมามากมาย รวมไปถึงเป็น 1 ใน 5 ที่เข้าชิง Best Foreign Language Film of the Year 2006 จาก เวทีออสการ์ด้วย





Create Date : 14 กรกฎาคม 2549
Last Update : 14 กรกฎาคม 2549 22:26:08 น. 2 comments
Counter : 856 Pageviews.

 
ไม่ได้อ่านหรอกนะคะ เพราะเรายังไม่ได้ดู ไปดูม่ทันที่โรง กะว่าจะรอเช่าแผ่นจากร้าน เฟรม หาแผ่นจากร้านเช่าหนังทั่วๆไปไม่ได้อะ ไว้จะมาแลกเปลี่ยนเรื่องหนังอีกนะคะ (อ้อ! แบลคกราวน์ช่องคอมเมนท์นี่เรื่องลินลี่ชูๆใช่เปล่าคะ หนังอะไรเหงา เย็นชาดดีจริงๆเลย ดูแล้วหนาวๆ เหงาๆนะ )


โดย: หญิงสาวทะเลทราย วันที่: 1 สิงหาคม 2549 เวลา:8:51:26 น.  

 
มาตอบช้า.......จิงๆเลยเรา

ช่ายแล้วค่ะ จากเรื่องลิลี่ชูชูค่ะ เหงาได้ใจเลยอ่ะค่ะ



โดย: renton_renton วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:19:59:38 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

renton-renton
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Photobucket.Just wait until night then switch the light off
DeUsynlige (2008) Erik Poppe : : หนึ่งเป็นผู้ทำลาย หนึ่งเป็นฝ่ายสูญเสีย เวลาผ่านต่างฝ่ายต่างเริ่มชีวิตใหม่แต่ที่สุดแล้วโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งสองต้องมาเผชิญหน้ากัน ~ ถึงพล็อตจะสามัญแบบนี้แต่หนังวางสถานการณ์ที่แสดงและเหตุการณ์ที่ซ่อนอยู่ได้หมาะกันดีมาก การถ่ายโอนตัวละครจุดศูนย์กลางของเรื่องจากคนหนึ่งไปคนหนึ่งก็ไหลลื่น เรื่องราวที่บรรจุความกดดันต่อสู้กับตัวเองของตัวละครก็เข้มข้น และ "โอกาส" เป็นสิ่งที่หนังขอให้เราเห็นเป็นสำคัญเพราะที่สุดแล้วเราจะเห็นว่าฝ่ายที่เคยสูญเสียกลับด้านมาเป็นผู้ทำลายบ้าง ทั้งหมดเป็นความละเอียดในอารมณ์ของผกก.ที่ทำออกมาได้น่าชื่นชมจริงๆ
Adventureland (2009) Greg Mottola : : เด็กหนุ่มพรหมจรรย์และเด็กสาวเมียเก็บนายช่างของสวนสนุกเกิดลังเลในความรู้สึกที่มีให้แก่กัน ครั้นจะจูนกันติดกลับมีเรื่องให้เข้าใจผิดกันซะงั้น ~ ปั๊ปปี้เลิฟสนุกๆ ประสาวัยรุ่นวัยเรียน ฉากหลังเป็นยุค 80 ที่มีกัญชาเป็นสื่อกลางสร้างความสัมพันธ์ เพลงดิสโก้ ฟังก์ พั้งค์ จากยุคนั้นก็อัดกันขนกันมาเพียบ เพลิน และมองว่า คริสเตน สจ๊วต นั้นดูทื่อมะลื่อไงไม่รู้
Mutum (2007) Sandra Kogut : : เด็กชายคนหนึ่งแถบบ้านนาของบราซิล ต้องเผชิญกับความดุดันของพ่อ สนิทกับอาแต่เหมือนเขาจะมาจีบแม่ ถูกเพื่อนวัยเดียวกันเหน็บแนมและที่สำคัญคือสูญเสียเพื่อนรักที่สุดในชีวิต ~ อะไรจะแกร่งเกินนี้ไม่มีอีกแล้ว เจ้าหนูไม่ได้อยู่ในร่างของคนมองโลกในแง่ดี หากแต่ให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยความเข้าใจและมองถึงสิ่งที่ตนต้องทำ ... ชอบเรื่องที่แทรกอยู่เล็กๆ อย่างความผิดปกติทางสายตา (สายตาสั้น) เมื่อมันเกิดขึ้นกับคนในชนบทซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร จะเห็นความแตกต่างก็ต่อเมื่อได้ลองสวมแว่นตาเท่านั้น
Dalkomhan insaeng (2005) Ji-woon Kim : : มือขวาของเจ้าพ่อฝีมือสุดเนี้ยบทำการใดไม่เคยล้มเหลว ตีรันฟันแทงเตะต่อยขอให้บอก แต่จะมาตายเอาก็เพราะริอาจมีใจให้ “เด็ก” ของเจ้าพ่อ ~ หนังแก็งส์เตอร์ของพี่ๆ เกาหลีเขาต้องบอกว่าออกแบบท่าทางกันมาดี ดูแล้วเพลิน นึกถึง Transpotter ที่ เจสัน สเตแธม ในชุดสูทหรูระยับแต่ยกแข้งขาถีบยันได้ดีเอาเรื่อง ทรยศหักหลังยังเป็นชนวนหลักที่สร้างสีสันให้กับหนังแนวนี้ สนุกดีแม้จะชวนสับสนนิดหน่อยว่าใครอยู่ฝ่ายไหนลูกน้องใคร (ก็หน้าตาเขาคล้ายกันน่ะ)
Noise (2007) Matthew Saville : : หนังมีส่วนผสมของความเป็นหนังเขย่าขวัญอยู่เพียงส่วนหนึ่งทั้งๆ ที่มีเหตุสะเทือนขวัญรุนแรง แต่... อ่านต่อ ที่นี่
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
14 กรกฏาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add renton-renton's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.