ห่อวอเนอมู เมล็ดพันธุ์ที่เขาไม่ต้องการ
1.

สายลมป่าพัดพาหนาวฤดูโหมซัดเข้ามาทางกิ่วดอย

ห่อวอเนอมู ถูกกะเทาะเปลือกแตกปลิวว่อนไปทั่วทุ่งไร่บนเนินเขา

ละล่องลอยผ่านขุนห้วย ท้องฟ้า ผ่านหลังคาบ้านไปตั้งแต่เมื่อเช้ามืด



เหมือนกับชีวิตเขา

กับถนนที่ทอดยาวลดเลี้ยวไปสู่หุบเขาเปล่าเปลี่ยว

ไปสู่เมืองที่แปลกแยกแปลกเปลี่ยน

บทเพลงแห่งชีวิตขับขานไปตามท่วงทำนอง เหงาเศร้า

ใช่ ชีวิตจำเป็นเดินทางไป เดินทางไกล

ไปตามหาความฝัน ความหวังที่ลอยไปเบื้องหน้า



เคยใช่ไหม กับวิถีที่พยายามไขว่คว้าหาความหวัง ทว่ากลับไร้หวัง

เคยใช่ไหม กับชีวิตที่พยายามกอบเก็บความฝัน ทว่ากลับพ่ายฝัน

มันยังคงเป็นอยู่เช่นนี้ อยู่อย่างนี้ อีกนานเท่าใดกันเล่า



ทุกครั้งที่ข้าหันหลังมองไปยังดงดอยทางทิศตะวันตก

หัวใจข้ารู้สึกแปลบปวดรวดร้าว

คิดถึงรวงข้าวเหลืองที่รอการเก็บเกี่ยว

คิดถึงกลิ่นดิน กลิ่นป่า กลิ่นสนบนภูเขา

คิดถึงลูกเมียที่ข้าทอดทิ้งให้อยู่กับความเงียบงันสะท้านหนาว

แต่ข้าจำต้องจากไกล ข้าจำต้องเดินทางไกล



โอ.ห่อวอเนอมู เมล็ดพันธุ์ที่ใครๆ เขาไม่อยากต้องการ

คนเมืองเขามองเป็นเพียงหญ้าป่า เป็นวัชพืชที่ดูด้อยค่า

ต้องตัดมันให้ขาด ต้องถางมันให้สิ้น

แต่เขาไม่เคยรับรู้เลยว่า เธอเป็นพืชพันธุ์ที่มีคุณค่าสำหรับคนบนภูเขา

ห่อวอเนอมู เธอคือเครื่องปรุงที่ชุบชูใจ ชูชีวิตเผ่าชนมานานแสนนาน

ได้รับรู้รสชาติของการดำรงอยู่ รับรู้รสชาติของความเป็นคน

เธอคือส่วนหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมๆ กับวิถีปวาเกอะญอ



จดจ้องมองดูให้ลึกลงไปถึงหัวใจข้างในดูสิ,

สายลมป่าพัดพาหนาวฤดูโหมซัดเข้ามาทางกิ่วดอย

ห่อวอเนอมู ถูกกะเทาะเปลือกแตกปลิวว่อนไปทั่วทุ่งไร่บนเนินเขา

ละล่องลอยผ่านขุนห้วย ท้องฟ้า ผ่านหลังคาบ้านไปตั้งแต่เช้ามืด



เหมือนกับชีวิตเขา พฤ โอ่โดเชา

ไต่ตามขอบถนนที่ทอดยาวลดเลี้ยวไปสู่หุบเขาเปล่าเปลี่ยว

ไปสู่เมืองที่แปลกแยกแปลกเปลี่ยน

บทเพลงแห่งชีวิตยังคงขับขานไปตามท่วงทำนอง เหงาเศร้า

เป็นเหมือนบทเพลงเศร้าที่บรรเลงอยู่ไม่รู้จบ

ใช่ ชีวิตเขาจำต้องเดินทางไป เดินทางไกล แม้จะยาวไกล

ไปตามหาความฝัน ความหวังที่ลอยไปเบื้องหน้า

โอ.ห่อวอเนอมู เมล็ดพันธุ์ที่เขาไม่ต้องการ.



2.

ผมเขียนบทกวีชิ้นนี้ขึ้นมา หลังจากนั่งดูหนังสั้นอินดี้ เรื่อง “ห่อวอเนอมู” ที่ฉายให้ผู้คนดูบนจอหนังกลางแปลง บริเวณลานหญ้าหลัง “ร้านเล่า” ร้านหนังสือเล็กๆ ริมคลองชลประทาน ใกล้กาดเชิงดอย เชียงใหม่ ในงานมหกรรมหนังสือทำมือและสื่อทางเลือกฯ ในค่ำคืนนั้น



ก่อนอื่น จำเป็นต้องรู้จักเขา ผู้ชายที่ชื่อ “อ้น” หรือ “ศุภโมกข์ ศิลารักษ์” เจ้าของผลงาน ห่อวอเนอมู

เขาเกิดและเติบโตที่จังหวัดสงขลา ทว่ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเชียงใหม่

จากเด็กสถาปัตย์ มาสู่คนทำหนังสั้น หรือหนังอินดี้ สื่อทางเลือกอีกแขนงหนึ่ง

ใช่, เขาส่งผลงานเรื่อง “ห่อวอเนอมู” เข้าประกวด จนได้รับรางวัล “วิจิตรมาตรา” จากมูลนิธิหนังไทย ในเทศกาล Thai Short Film and VDO ครั้งที่ 9



เมื่อหันมาถามถึงแรงบันดาลใจ ก่อนจะมาเป็น ห่อวอเนอมู เขาบอกว่า ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวชีวิตจริงของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ชื่อ “พฤ โอ่โดเชา” หนุ่มปวาเกอะญอแห่งแม่ลานคำ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ที่ชีวิตต้องเจอกับความสับสนในชีวิต เมื่อต้องเลือกระหว่างภาระหน้าที่กับครอบครัว



โดยใช้ “ห่อวอเนอมู” พันธุ์พืชพันธุ์หนึ่งซึ่งอยู่ในตระกูลเครื่องเทศ

เครื่องปรุงของชาวปวาเกอะญอ

เป็นสัญลักษณ์ เป็นตัวแทนของคนปวาเกอะญอ

เป็นความจริงที่นำมาสู่จอ เคลื่อนไหวไหลเลื่อนไปให้คนในสังคมเมืองได้ล่วงรู้



ว่ายังผู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องประสบพบเจอกับความจริงที่เจ็บปวด กับสังคมที่เต็มไปด้วยบาดแผล เพียงเพราะความไม่เข้าใจ ความไม่ไว้วางใจ ความไม่เชื่อใจในความเป็นคน ของกลุ่มคนที่เรียกกันว่า “รัฐ” ”รัฐบาล” “สมาชิกวุฒิสภาบางกลุ่ม” “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางกลุ่ม”



ที่ไม่เชื่อว่า แท้จริงแล้ว มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

ได้อย่างสอดคล้องสัมพันธ์และเกื้อกูลกันได้



3

ค่ำคืนนั้น, ตรงลานหญ้าหลังร้านเล่า มิใกล้ไม่ไกลนัก จากตีนดอยสุเทพเชียงใหม่

อากาศแปรปรวนอวลอบอ้าว ฤดูหนาวแต่ไม่หนาว ทว่ากลับดูอึดอัดร่ำร้อน

ใช่แล้ว ลมหนาวยังเดินทางมาไม่ถึง เหมือนกับความหวังของเขา


เขา - - พฤ โอโด่เชา รูปร่างผอมบาง ตาหยี ผมเผ้ายาวรุงรัง

สวมใส่ชุดเสื้อปวาเกอะญอสีน้ำตาลซีดจาง กางเกงสีดำเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นและดินโคลน

สะพายย่ามสีขี้ไคล แบกก๋วยติดแนบแน่นแผ่นหลัง ในมือเขาถือหมวกสานไม้ไผ่ใบเก่าๆ

ยัง.. .ผมบรรยายสิ่งที่อยู่ติดเนื้อตัวเขายังไม่หมด ยังมีสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนดูแปลกตาแปลกใจชวนให้คิดฉงนสงสัยอย่างยิ่ง



...เป็นร่มผ้าสีน้ำตาลไหม้คล้ายกรดของพระที่ใช้เดินธุดงค์คลี่กางปกคลุมศีรษะเขา

ผมจ้องมองดูพร้อมครุ่นคิดไปมาอยู่อย่างนั้น,

ช่างคล้ายดั่งนักรบซามูไร ผู้เผชิญโลกแห่งการต่อสู้ประลองยุทธ์มานานหลายนาน

ทำไมเขาต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขาต้องการสื่อแสดงอะไรให้ผู้ชมรับรู้?



เขายืนอยู่ตรงนั้น, อยู่ตรงหน้าจอหนังกลางแปลง อยู่กับ “อ้น ศุภโมกข์” เจ้าของเรื่อง อยู่กับ “แอน ละครชุมชน” ผู้ดำเนินรายการ เพื่อบอกกับผู้ที่กำลังชมหนังสั้น เรื่อง ห่อวอเนอมู

หนังสารคดีชีวิตที่เขา เป็นตัวเอก เป็นตัวเดินเรื่อง เป็นตัวละคร

แต่สิ่งที่ผมกำลังมองเห็น เขากำลังยืนอยู่กับความจริงใช่หรือไม่



ลองมาฟังความจริง กับสิ่งที่เขาต้องการพูด ผมยังจดจำได้แม่นยำ ไม่เคยลืม...

“ผมไม่รู้...ว่าทำไมผมต้องลงจากดอย ลงมาในเมือง” เขาพูดไม่ชัดและน้ำเสียงสั่นพร่า

“แต่ผมรู้ว่า...จำเป็นต้องออกมาพูดให้ผู้คนทั่วไปได้รู้ ว่าทำไมพี่น้องชาวบ้านต้องออกมาเดินเท้าจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ “ เสียงเขาจริงใจและจริงจัง




ผมนั่งนิ่งฟังเขา เบื้องหน้าเขามีกลุ่มน้อง ๆ นักศึกษา คนหนุ่มสาวนั่งบนเสื่อที่ปูบนลานหญ้า นั่งจ้องมอง-ฟังเขาพูด บางห้วงเสียงของเขาคล้ายๆ พึมพำๆ



“เราต้องการสร้างความเข้าใจให้กับสังคมว่า เวลานี้ นโยบายกำลังจะมาทับดอกไม้ ทับก้อนหินที่พวกเราอาศัยอยู่ พวกเขากำลังนำความชั่วร้ายมากดทับชีวิตพวกเรา” น้ำเสียงเขาดูปวดร้าว


“พี่น้องชาวบ้านกำลังเดินธรรมชาติยาตรา เพื่อป่าชุมชน เพื่อคนทั้งประเทศ เป็นการเดินแบบแผ่เมตตา และสื่อสารให้คนข้างล่างได้รู้ว่า ธรรมมะ ธรรมชาติ คน นั้นอยู่ด้วยกันได้”



ในสภากำลังพิจารณา พ.ร.บ.ป่าชุมชน ให้มีการตั้งเขตป่าอนุรักษ์พิเศษขึ้นมา เพื่อบีบไม่ให้พวกเราคนอยู่กับป่าออกไป แล้วพวกเราจะอยู่กันอย่างไร”

“จริงๆ แล้ว ถ้าผมไม่รักษาป่า เราก็อยู่ไม่ได้ เรารักษามาโดยตลอด แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นชาวเขา เป็นตัวทำลาย ทำไมไม่คิดกันว่า เราต่างมีชีวิต มีลมหายใจเหมือนกัน หายใจเท่าๆ กัน สูดอากาศเหมือนๆ กัน แล้วทำไมเราต้องมาแก่งแย่งเบียดเบียนกันด้วย” เขาพูดออกมาด้วยความรู้สึกซื่อ ๆ ง่าย ๆ คล้าย ๆ กับปรัชญาเซน

“รัฐอ้างว่าเพื่อต้องการอนุรักษ์ป่า แล้วทีรัฐเข้าไปสร้างเขื่อน ต้องน้ำท่วมป่า ท่วมเขตอุทยานฯ ทำไมไม่มีความผิด และที่รัฐเข้าไปส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว ไม่มีใครพูดถึงว่ารัฐได้นำสารเคมีเข้าไปในหมู่บ้าน ไปทำลายชาวบ้าน“

“ผมคิดถึงข้าวไร่ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว คิดถึงลูกเมียที่ผมปล่อยทิ้งไว้ในหมู่บ้าน แต่ผมต้องเดินต่อไปให้ถึงกรุงเทพฯ แม้มันจากนาน และอีกไกล”

ใช่, สิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมดนั้น คือเรื่องจริงที่เขากำลังประสบพบเจอในห้วงขณะนี้ และเป็นเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสั้น ที่ชื่อ “ห่อวอเนอมู”




Create Date : 30 มีนาคม 2549
Last Update : 30 มีนาคม 2549 8:55:15 น.
Counter : 837 Pageviews.

4 comments
  
.......ห่อวอเนอมู.......


หน้าตาเหมือนต้นอะไรหรือคะ


พอจะมีรูปไหม..อยากเห็นค่ะ


รัฐ..เป็นแค่ตัวแทนของคนส่วนหนึ่งที่สามารถเข้าถึงอำนาจรัฐ และถือครองเครื่องมือของรัฐ...ดังนั้นสิ่งที่รัฐทำจึงเป็นแค่เพียงภาพสะท้อนผลประโยชน์ของคนบางพวกเท่านั้น

และแน่นอนที่มันจะละเลยต่อผลประโยชน์และวิถีชีวิตของ"คนเล็กๆ" หลายกลุ่ม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "รัฐ" หลายอย่างที่รัฐทำมักโหดเหี้ยมต่อ "คนชายขอบ" เสมอ







โดย: ปิ่นเดือน ครูดอย วันที่: 3 เมษายน 2549 เวลา:11:22:53 น.
  
ต้นเหมือนกับต้นกะเพรา อยู่ในตระกูลเครื่องเทศ ชาวบ้านชอบหว่านเมล็ดในไร่ข้าว ถึงเวลาทำกับข้าวก็เข้าไปเก็บมาปรุงอาหารได้เลยครับ

โดย: ภู เชียงดาว IP: 210.86.185.134 วันที่: 5 เมษายน 2549 เวลา:18:03:21 น.
  
ด้วยความเคารพ เท่าที่ทราบ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังสั้นนะครับ เพราะความยาวตั้งเก้าสิบกว่านาทีไม่ถือว่าเป็นหนังสั้นแล้วครับ (หนังสั้นจะไม่เกินสามสิบนาที) แล้วหนังเรื่องนี้ไม่ได้เข้าประกวดนะครับ เพียงแค่ส่งไปร่วมฉาย แล้วทางเทศกาลก็พิจารณาให้รางวัลพิเศษ (ที่ให้กับหนังเรื่องอื่นด้วย) ลองดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.thaifilm.com
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
โดย: Kradook IP: 124.157.163.106 วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:14:07:56 น.
  
อยากรู้จักต้นฮอวอเนอมูค่ะ
ไม่ทราบว่าพอจะหาข้อมูลจากไหนได้บ้างค่ะ
ไงช่วยส่งข่าวมาให้ด้วยนะคะ
Law_aee@hotmail.com
โดย: ครูหน่อย IP: 203.172.199.254 วันที่: 23 กรกฎาคม 2551 เวลา:14:26:31 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pu_chiangdao
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]



ภาพและงานเขียนทุกชิ้นที่ปรากฏในเวบไซต์นี้
เป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบทประพันธ์นั้นๆ แต่เพียงผู้เดียว
ห้ามกระทำการดัดแปลง แก้ไข
หรือแอบอ้างไปเป็นผลงานของตน
โดยไม่มีการอ้างถึงเจ้าของลิขสิทธิ์
หากผู้ใดมีความประสงค์
จะนำข้อมูลดังกล่าวออกเผยแพร่ ตีพิมพ์
หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์อื่นใด
โปรดติดต่อเจ้าของบทประพันธ์โดยตรง


***************************

งานที่มีการเขียนลงบน WEB SITE แล้วส่งผ่านอินเตอร์เนตนั้นถือว่าเป็น สิ่งเขียนซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของงานวรรณกรรม ดังนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (มาตรา 15) หากผู้ใดต้องการทำซ้ำหรือดัดแปลงงานดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (มาตรา 27) การดัดแปลงงานจากอินเตอร์เนตเป็นภาษาไทย จึงต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นการคุ้มครองอัตโนมัติ เจ้าของลิขสิทธิ์หรือผู้สร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ที่มา : เว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญา









มีนาคม 2549

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add pu_chiangdao's blog to your weblog]