...ทำสวนชีวิตหล่อเลี้ยงชีวิต...
ทำสวนหนังสือหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ.
|
|||
หนูน้อยผู้มีแม่อยู่สองคน ผมหยิบเอาเรื่องเล่าจากในคุก ของ 'ใหญ่' ธีรเชนทร์ เดชา หลานชายของผมที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ของเรือนจำจังหวัดแห่งหนึ่ง ออกมาอ่านอีกครั้ง,ในวันแห่งความรักนี้ ผมอ่านแล้วรับรู้สัมผัสได้ถึงอารมณ์ บรรยากาศ ของความรักเลยครับ... และทำให้เรารู้ว่า 'ความรัก' นั้นยิ่งใหญ่ กว้างใหญ่ไพศาลนัก สามารถบินฝ่าข้ามกำแพง ผ่านรั้วลวดหนาม ไปไกลและไกล ความรักไม่ใช่มีเพียงแค่คนสองคนเท่านั้น ความรักมีทั่วทุกแห่งหนในจักรวาล ทว่าบางทีเราอาจหลงลืมไป หรือมองไม่เห็น ในนามของชีวิต ในนามของความรัก... ผมอยากให้คุณอ่านเรื่องนี้...หนูน้อยผู้มีแม่อยู่สองคน 1. หนูมีแม่อยู่สองคนค่ะ เสียงของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งบอกเล่าให้ฟัง วันนี้หนูมาหาแม่อีกคนหนึ่งของหนู แล้วหนูจำได้ไหมว่าแม่หนูรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง ผมลองเอ่ยถามเธอดู ภายหลังคำถาม เด็กหญิงทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง.... เธอนิ่งนานในความเงียบงัน.....แต่ในแววตาที่ไร้เดียงสานั้น เหมือนจะบอกกับผมอยู่อย่างนั้นว่าเธอจำแม่ของเธอได้ดี...เธอจำได้นะ...ผมไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงให้คำตอบในสิ่งที่ผมถามเธอก่อนหน้านี้ไม่ได้ แม่...ที่เธอกำลังมาหาในวันนี้นั้น คือแม่แท้ๆ ที่อุ้มท้องเธอมา เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด แต่ด้วยเหตุผลและความจำเป็นบางอย่าง แม่คนนี้จึงไม่ค่อยมีเวลาได้เลี้ยงดูแลเธออย่างเต็มที่เท่าที่ควร... จนกระทั่งสุดท้าย...แม่ได้จากเธอมาต้องโทษในเรือนจำแห่งหนึ่ง ... ตอนนั้นเธออายุเพียง 4 ขวบ โดยที่หนูน้อยไม่รู้เลยว่าแม่หายไปไหน เธอรู้แต่ว่า ทุกวันนี้เธออาศัยอยู่กับแม่ของหนูอีกคน ซึ่งแท้จริงแล้วแม่ที่เธออยู่ด้วยนั้นคือ ยายที่รับภาระเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย และทุกครั้งยายจะบอกย้ำกับหนูน้อยว่า นี่แหละแม่.... ปัญหาระหว่างแม่กับยาย...นั้นทวีความรุนแรง จนถึงขั้นยายตัดแม่ตัดลูกกับแม่ของหนูน้อย แต่คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างเธอคนนี้ กลับพลอยต้องรับผลจากสิ่งที่เกิดขึ้น.... ผมรู้สึกว่า บางครั้งผู้ใหญ่ก็ชอบจัดวางชีวิตให้กับเด็กโดยเห็นว่าถูกแล้ว..ดีแล้ว แต่ก็ไม่เคยเอ่ยถามความรู้สึกความต้องการของเด็กเลยสักคำ... จนกระทั่งวันนี้ หนูน้อยอายุได้ 7 ขวบ เธอก็ยังไม่เคยพบเจอแม่แท้ๆ คนรอบข้างบอกเธอว่าเธอมีแม่อยู่อีกคน แต่ยายที่เธออยู่ด้วยกลับไม่เคยแพร่งพรายบอกเล่าให้ฟังและก็ไม่เคยพามาพบเจอแม่สักครั้ง สถานการณ์บางอย่างมันก็ยากที่จะเข้าใจ หรือไปตัดสินว่าใครถูกใครผิด ถ้าหากว่าเราไม่เจอกับตัวเอง ...ใช่ ในชีวิตของคนเรานั้นบางครั้งก็ต้องรอเวลาในการรักษาเยียวยาจิตใจพอสมควร บางครั้งคนเราก็ต้องยอมรับความจริงและปล่อยให้ใจเจ็บปวดเพื่อที่จะสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ เรื่องราวระหว่างยายกับแม่ของหนูน้อยนั้น ผมคิดว่าพอจะมีทางออก และทางเลือกที่ดีกว่านี้..เพราะผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่าสายสัมพันธ์ความรักระหว่างแม่กับลูกนั้น เป็นสายสัมพันธ์ที่ไม่อาจตัดให้ขาดได้ อย่างเช่นตอนนี้ หนูน้อยเธอได้แสดงให้ผมเห็นและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเช่นนั้น... หนูมีแม่อยู่สองคนค่ะ หนูน้อยเชื่อในความรู้สึกข้างในของเธอและเธอก็บอกตัวเองหรือใครๆ อยู่อย่างนี้ตลอดมา จนกระทั่งมาถึงวันนี้...วันที่เธอมีความหวังว่าจะได้พบแม่อีกคน..... 2 เหตุเกิดภายในเรือนจำจังหวัดๆ หนึ่ง ณ สถานที่เยี่ยมญาติใกล้ชิด เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไว้ผมเปียยาวสองข้าง แต่งชุดนักเรียน กำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับอาจารย์ผู้หญิงที่พามาอย่างสนุกสนาน แกมความไร้เดียงสา เธอไม่ได้คิดว่าช่วงเวลาต่อจากนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หรือจะต้องเตรียมตัวอย่างไร รู้แต่ว่าครูบอกจะพามาพบแม่ .แม่มาทำงานฝึกอาชีพอยู่ที่นี่ แม่ ที่จากเธอไปตั้งแต่เธออายุเพียง 4 ขวบ...และแม่คนที่เธออาจจะเคยผวาเรียกตามจิตใต้สำนึกในคืนวันอันฝันร้าย...... ประตูแดนควบคุมหญิงถูกเปิดออก...หนูน้อยกำลังพูดคุยจ้อเหมือนเดิมอยู่บนม้านั่งหินอ่อน หันหลังให้กับประตู ผู้หญิงร่างท้วมคนหนึ่งสวมชุดนักโทษหญิงสีฟ้า...โผล่พ้นออกจากบานประตู ในมือถือถุงใบใหญ่สีเขียว พร้อมกับผู้คุมหญิงซึ่งเดินตามหลังมา สายตาเธอพยามมองหาใครซักคน จนกระทั่งเจอสิ่งที่ตามหา .. นักโทษหญิงไม่รอช้าเธอวิ่งไปยังจุดหมายโดยไม่สนใจผู้คุมหญิงที่เดินตาม ราวกับนักเดินทางผู้อิดโรย มาค้นพบธารน้ำใสกลางทะเลทราย ระยะทางจากประตูถึงที่หมายนั้น ราวๆ 10 เมตร ได้ แต่ผมเข้าใจว่าเธอ คงรู้สึกเหมือนกับว่าระยะทางนั้นมันช่างไกลเหลือเกิน... สิ้นเสียงที่คุณครูบอกหนูน้อยว่า แม่มาหาหนูแล้วนู้นไง หนูน้อยรีบหันหลังไปดูตามที่ครูชี้ เธอลุกขึ้นยืนนิ่งอึ้งไม่ขยับเขยื้อน...ร่างท้วมในชุดฟ้าเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นๆ แล้วจู่ๆ หนูน้อยก็ค่อยๆ วิ่งเข้าไปหาเธอ หญิงในชุดฟ้าคุกเข่าลงสวมกอดหนูน้อย ทั้งสองต่างกอดกันร่ำไห้ แม่ค่อยๆ ดึงหน้าหนูน้อยออกมา ใช้มือลูบไล้ตามใบหน้าอย่างทะนุถนอม ทั้งสองสบตาซึ่งกันและกันไม่มีแม้แต่คำพูดซักคำ... แม่บรรจงหอมตรงกลางหน้าผากหนูน้อย ก่อนจะสวมกอดกันแน่นอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาผู้คนที่ต่างกำลังมองภาพนี้ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ . ภาพที่ปรากฏพบเจออยู่เบื้องหน้านั้น สะกดให้ผมนิ่งอึ้ง . ราวกับว่าโลกทั้งใบไร้ผู้คน สรรพสิ่งรอบข้างหยุดเคลื่อนไหว มีเพียงสองแม่ลูกและตัวผมเท่านั้น สำหรับผมแล้วมันคือช่วงเวลาแห่งความสวยงาม วินาทีที่สุดแสนประทับใจ แม้จะถูกฉาบไว้ซึ่งความเศร้าก็ตาม ภายหลังการพูดคุยกันสักพัก ทุกคนต่างพากันเดินออกมาอยู่อีกที่หนึ่ง ปล่อยให้แม่ลูกได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง เพราะสังเกตได้ว่าสีหน้าท่าทางของหนูน้อยเริ่มเปลี่ยนไป เธอได้แต่เงียบ ไม่ช่างพูดช่างคุยเหมือนเคย หนูน้อยคงอาจกำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือยังปรับภาวะทางอารมณ์ไม่ทัน เหมือนเธอกำลังคิดหรือบอกกับกับตัวเองซ้ำๆ..ว่านี่คือความจริง ความจริงที่ไม่ใช่ฝัน....ความจริงที่เธอได้เจอแม่คนที่สองของเธอแล้ว.... เรื่องราวของหนูน้อยในวันนี้ถ้าหากเป็นละครเรื่องหนึ่ง และผมเป็นผู้กำกับผมคงอยากให้ฉากที่แม่ลูกได้พบเจอกันนี้เป็นฉากตอนจบ ทุกอย่างจะได้จบอย่างแฮปปี้เอนด์ดิ้ง.... แต่..ชีวิตจริงที่ไม่ได้อิงนิยาย ชั่วโมงนี้คงเป็นได้แค่วูบหนึ่งของความสุข... วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น.....ยังยากที่จะคาดเดาได้ ก็คงได้แต่เอาใจช่วยและภาวนาให้เกิดแต่สิ่งที่ดี และงดงามอย่างนี้ ตลอดไป.... เพียงครู่เดียว หนูน้อยกลับมายิ้มพร้อมกับแววตาแห่งความสุขอีกครั้ง อีกทั้งเริ่มที่จะพูดคุยอย่างสนุกสนานเหมือนเคย เธอไม่ได้นั่งม้าหินอ่อนแล้ว แต่เธอนั่งตักแม่แทน...พร้อมกับทานขนมจากถุงที่แม่เธอถือออกมาด้วยก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความสุขของเธอภายใต้อ้อมกอดแม่นี้ แต่ก็คงจะไม่เทียบเท่ากับหนูน้อยคนนี้ ก่อนที่จะถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องลาจากกันอีกครั้ง..ผมบอกกับตัวเองว่าจะต้องพาเธอมาพบแม่อีกให้ได้ และหวังว่าถ้ามาครั้งหน้า แม่อีกคนหนึ่งของเธอจะยอมมาด้วย.... ทุกวันนี้ยายยังใจแข็ง ปฏิเสธการมาพบเจอแม่ของหนูน้อย นักโทษหญิงเสียใจที่แม่ไม่มาเยี่ยมพร้อมกับหนูน้อย แต่ลึกๆ แล้วแม่ของเธอคงปวดร้าวไม่ต่างจากเธอเช่นกัน... เสียงคุณครูบอกหนูน้อย เราต้องกลับแล้วนะคะ... เธอทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เมื่อรู้ว่าจะต้องจากอ้อมกอดแม่ พร้อมกับแหงนขึ้นไปมองหน้า.... แม่... แม่ได้แต่ยิ้มแล้วเอามือลูบหัว น้ำตาเริ่มคลอพร้อมกับเสียงสั่นเครือเบาๆ หนูจะต้องเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนหนังสือนะ ...แม่รักหนูเสมอ... แม่พูดพร้อมบรรจงจูบหน้าผากหนูน้อยและกอดกันอีกครั้ง หนูน้อยค่อยๆ ลุกจากตักแม่ เดินไปหาครู ระหว่างที่ครูพาเดินกลับ เธอหันมามองแม่จนเดินลับผ่านประตูเรือนจำออกไป ผมหันกลับมามองนักโทษหญิง เธอยังคงยืนนิ่งมองจนหนูน้อยพ้นประตูออกไป ก่อนที่ผมจะเดินตามหนูน้อยออกไป ผมเห็นว่าน้ำตาเธอได้ไหลเอ่อล้นออกมาอีกครั้งหนึ่ง... 3. เรื่องราวของเด็กน้อยกับแม่ที่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำครั้งนี้....มันทำให้ผมหวนนึกถึงคำพูดของนักโทษวัยรุ่นชายคนหนึ่ง ในระหว่างการสัมภาษณ์ผู้ต้องขังเป็นรายบุคคล นักโทษชายวัยรุ่นคนหนึ่ง เขาบอกกับผมว่า ข้อดีของการติดคุกสำหรับเขานั้น มันทำให้เขาได้ครอบครัวคืนมา... จากที่แต่ก่อนผมไม่เคยกอดพ่อกอดแม่ ก็ได้มากอดกันที่คุก และรู้ว่าพ่อรักผมแค่ไหนเมื่อได้เห็นน้ำตาของพ่อ ทั้งที่เราสองคนต่างกันคนละขั้ว ไม่เคยลงรอยกันเลยก็ว่าได้ จนทำไห้ผมคิดอยู่เสมอว่าพ่อไม่รักผม แต่การติดคุกครั้งนี้ ได้ทำลายความคิดนี้ของผมไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งดีๆ ที่คาดไม่ถึงอาจผ่านมาสะกิดหัวใจ...ในชีวิต สำหรับบางคน....บางครั้งมันสามารถเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตได้ในพริบตา โดยที่ไม่ต้องมีใครมาพร่ำบ่น หรือดุ ด่า ว่ากล่าวตักเตือนให้คอยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง แท้จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจากข้างในตัวตนของตัวเอง เหมือนกับที่ "เดวิด วิสคอตต์" เคยบอกเอาไว้ ไม่มีใครบังคับให้คุณเปลี่ยนได้ ไม่มีใครหยุดยั้งคุณจากการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีใครรู้ดีว่าคุณต้องเปลี่ยนแค่ไหน ไม่แม้แต่ตัวคุณ ไม่ จนกว่าคุณจะเริ่ม ตัวผมเองนั้น...เชื่อในคุณค่าของและศักดิ์ศรีของความเป็นคน คนทุกคนมีศักยภาพและสามารถพัฒนาตนเองได้....เพียงแต่ถ้าเขามีโอกาส...โอกาสที่บางทีมันเข้ามาอย่างแว่วๆ และแผ่วเบา..เราจะทำยังไงให้เขาไขว่คว้าโอกาสเหล่านั้นไว้ได้.....คงไม่มีใครที่เกิดมาแล้วอยากเป็นคนเลวในสายตาของผู้อื่น...เหมือนกับท้องทะเลที่บ้าคลั่ง โหดร้าย...และน่าสะพรึงกล้ว แต่เมื่อคลื่นลมสงบ กลับราบเรียบ สวยงามดังเช่นที่เคยเป็นอีกครั้ง ท่ามกลางความเลวร้าย ทุกสิ่งย่อมมีสิ่งดีงามแอบแฝงอยู่เสมอ...สำหรับผม.....ความเลวร้ายไม่ใช่สิ่งที่ถาวร เรื่องราวของนักโทษชายกับเรื่องหนูน้อยอาจจะเป็นคนละเรื่องกัน แต่สำหรับผมแล้วมันคือ ความเหมือนที่แตกต่าง.... (#นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริงผ่านความคิด ภายหลังจากที่เรือนจำได้ดำเนินการประสานความร่วมมือสร้างเครือข่ายงานสังคมสงเคราะห์ในเรือนจำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น - -ขอขอบคุณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ที่มีส่วนช่วยให้เกิดสิ่งที่สวยงามเหลือเกินสิ่งนี้ขึ้น) หยิบมาจาก : //blogazine.prachatai.com/user/spaceandtime/post/475 อ่านแล้วตื้อๆ น้ำตาไหลลงไปข้างใน
ขอบคุณนะคะ สำหรับเรื่องราวดีๆ โดย: lemonsmile IP: 203.185.68.7 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:05:30 น.
โอววว นั่งอ่านไป น้ำตาไหล พราก ๆ เลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ ที่นำมาให้อ่านกัน โดย: แม่น้องแคท วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:10:42 น.
คงมีสักวันที่แม่ผู้รักมากเกินจะอภัยในความผิดได้สัมผัสกับการอภัยแล้วรักเปี่ยมเอ่อภายในกว่ามากมายนัก
คงมีสักวันสำหรับแม่สองคนที่โหยหาความรักของตน จนลืมว่า...รักเหลือล้นหลากไหลอยู่ในหัวใจหางเปียน้อย ลืมรักเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ของผู้จะเป็นแม่อีกคนในวันข้างหน้า คงมีสักวันที่แม่ทั้งสองคนจะได้โอบกอดกัน โดย: ปลายแปรง วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:52:04 น.
ถ้ามันเป็นเพียงนิยายคงดีนะคะพี่
อย่างน้อยเราคงเขียนตอนจบให้หนูน้อยคนนั้นมีความสุขได้ การมีชีวิตคือเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่ง ((ในความคิดเพลงนะคะ)) เราไม่อาจห้ามความเศร้าให้เข้ามาหาได้ แต่ในทุกความเศร้าเราสามารถมองหาความงามนั้นให้เจอได้ เหมือนในความเศร้าของหนูน้อย ที่เราเห็นความสุขในรอยหายใจของนักโทษชายคนนั้น โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:57:02 น.
........... จิตใจของมนุษย์ รีไซเคิลได้จริงหรือ ??? ....
....... ด้วยอะไร ...... อย่างไร....... โดย: ช่อชบา (HHG ) วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:02:23 น.
มารับรู้และสัมผัสความรักด้วยคน
........................ คำถามของคุณช่อชบาน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง นั่นสินะ จิตใจของมนุษย์รีไซเคิลได้จริงหรือ?? เอ๊ะ...หรือมันถูกโปรแกรมให้เป็นอย่างนั้นนะ บางทีสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา ที่เราไม่เห็นความรีไซเคิลของมัน ก็ใช่ว่าจะเป็นจริง เรารอธรรมชาติของมันเผยตัวต่อเราต่างหาก.....มั้ง เผยเมือไหร่ล่ะ ก็คงจะเป็นเมื่อเรามีความละเอียดอ่อนทางจิตและใจเพิ่มมากขึ้น เข้าใจว่า การมองและการเห็น การรับรู้ขึ้นอยู่กับ สภาพความละเอียดอ่อน ละเมียด ทางจิตใจเราอยู่เหมือนกันนะ ว่าไหมคะ โดย: หมี่เกี๊ยว IP: 192.43.227.18 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:7:55:08 น.
แอบบ เศร้าค่ะ หนี่ฯ แวะทักทายค่ะ ไม่ค่อยได้ทักทายกันเลย คิดถึงเสมอนะคะ จุ๊บ จุ๊บ โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:22:13 น.
อ่านแล้วได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งของชีวิตผู้ต้องขัง
ถ้าชีวิตเลือกได้ใครจะอยากติดคุก ความรักโอบล้อมผู้คนทั้งโลก ไม่ได้แวะมาตั้งนาน พี่ภูคงสบายดีนะคะ โดย: รุ้งสีที่แปด IP: 125.24.140.187 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:51:19 น.
พี่อ่านบ่จบหรอกคุณภู สะเทือนใจ๋ล้ำไป
อย่างน้อยๆแม่น้องน้อยนั่นก่บ่ต๋ายนะ เพียงแต่บ่ได้อยู่ตวยกั๋นเท่านั้นละ วันหนึ่งเขาคงได้กลับมาอยู่ตวยกั๋น สามีพี่หายแล้วเจ้า นิ่วหลุดคนเดียวมัน ต๋อนนี้เลยสบายใจ๋ จากที่เกยแง๊ดๆ งุกง๊อกกับเปิ้น เลยเพลาๆลง เอาใจ๋เปิ้นนักขึ้น ยะหื้อเปิ้นกิ๋นติกๆ ชีวิตเป๋นอย่างอี้ละคุณภู บ่ใช่บ่หันคุณค่าในกั๋นและกั๋นนะ เพียงแต่..ตอนเฮายังดีอยู่ เฮามองข้ามความรู้สึกของกั๋นไปน้อย ว่าในยามทุกข์ใจ๋เนี่ย เฮาตึงบ่มีไผเหลียวแลนอกจากความรู้สึกของพี่สองคน สรุปว่า คุณภูหายแล้วเนาะ แป๋งบ้านต่อได้แล้วน่อ โดย: แม่น้องนิก IP: 216.175.83.66 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:36:53 น.
ขอบคุณ..นะคะที่ไปเยี่ยมสวนลำไยที่บ้านหลังเล็ก....
คงได้มีโอกาสได้มาเที่ยวสวนลำไยของคุณภูเชียงดาวที่บ้านหลังเล็กนะคะ... เรื่องราวของสองแม่...หนึ่งลูกน้อย... อ่านแล้วทำให้นึกถึงหนังสือที่เคยอ่าน... เรื่อง....คุก...ชีวิตในพันธนาการ เป็นหนังสือสารคดีตีแผ่..ความทุกข์และความหวัง..ของคนคุกหลังกำแพงเหล็ก สิ่งที่เราอาจลืมไปในภาวะของคนสังคมนิกส์ ก็คือความเป็นอนิจจังของชีวิต และความเท่าเทียมของมนุษย์ ไม่ใช่เฉพาะความตายเท่านั้น...แต่ใน...คุก...ด้วยเช่นกัน ...... ด้วยมิตรภาพค่ะ..... โดย: ใบเลี้ยงเดี่ยว วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:13:43 น.
อ่านแล้วสะเทือนใจจัง สงสารแม่หนูน้อย ...
เด็ก 7 ขวบที่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกแบบนี้ ... หนักเกินไป จะเรียกว่า ... เพียงความสุขวูบนึงที่ขมขื่นได้รึเปล่า ต่อไปวันหน้าชีวิตแม่-ลูกคู่นี้จะเป็นอย่างไรนะ //ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆได้แง่คิดค่ะ ไม่ได้มาทักทายนานเลย คุณภูสบายดีนะคะ ^^" โดย: ตะกร้าหวายสีขาว วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:07:00 น.
สวัสดีครับ ภู เชียงดาว
ขออนุญาติ นำเรื่องราว บทกวี บทเพลงและมิตรภาพ ที่บอกเล่าในครั้งหนึ่งที่ แม่คองซ้าย น่ะครับ โดย: ดอกเสี้ยวขาว วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:03:21 น.
คุณภู... อ่านแล้ว นั่งน้ำตาซึมไปพักใหญ่ นี่คือชีวิตของคนนะคะ สิ่งที่หนู้น้อยเผชิญเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งแม่และลูกก็ต้องยอมรับกับมัน และ หวังว่ายายก็คงยอมรับได้ในไม่ช้า สายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก ไม่มีวันขาดไปได้ค่ะ โดย: หทัยชนก IP: 202.29.129.10 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:11:00 น.
สวัสดีค่ะวันมาฆบูชา
------------------------------------------------------------- ทุก ๆ เหตุการณ์ของชีวิต "ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ" ทุก ๆ เรื่องเป็นบทเรียนให้ทุก ๆ ชีวิตเสมอ เราจึงเข้าใจชีวิตและจิตใจ เชื่อมั่นและศรัทธาใน "พลังความรัก" เสมอค่ะ โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:09:16 น.
น้ำตาซึมเลยค่ะ
จนถึงนาทีนี้ ดิฉันก็เชื่อว่า ความรัก สร้างโลกให้งดงาม โดย: สเลเต วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:7:24:44 น.
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านงาน บางความรัก ความงาม ความเศร้า...กันนะครับ...
ต้องขอโทษด้วยที่ช่วงนี้ผมไม่ได้ติดต่อผ่านกันทางโลกไร้สายนี้ เพราะอยู่ในช่วงเดินทางไกลครับ... โดย: pu_chiangdao วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:07:13 น.
เก่งนะตัวแค่เนี่ย
โดย: พี่ดอล IP: 203.156.136.66 วันที่: 13 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:39:42 น.
อ่านแล้วน้ำตาไหลสงสารน้องจัง แต่ยังไงชีวิตคนเรายังต้องดำเนินต่อไป
ขอให้เรื่องร้ายๆผ่านไปโดยเร็ว ขอให้แม่ทั้งสองของน้องเข้าใจกัน และกลับมาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา แม่แม่ลูกอย่างมีความสุข ขอเป็นกำลังใจให้น้องนะคะ ขอบคุณเรื่องราวดีๆที่ทำให้มองเห็นอีกแง่มุมของชีวิตค่ะ โดย: wataru IP: 117.47.230.170 วันที่: 22 ตุลาคม 2551 เวลา:10:06:51 น.
|
pu_chiangdao
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?] ภาพและงานเขียนทุกชิ้นที่ปรากฏในเวบไซต์นี้ เป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบทประพันธ์นั้นๆ แต่เพียงผู้เดียว ห้ามกระทำการดัดแปลง แก้ไข หรือแอบอ้างไปเป็นผลงานของตน โดยไม่มีการอ้างถึงเจ้าของลิขสิทธิ์ หากผู้ใดมีความประสงค์ จะนำข้อมูลดังกล่าวออกเผยแพร่ ตีพิมพ์ หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์อื่นใด โปรดติดต่อเจ้าของบทประพันธ์โดยตรง *************************** งานที่มีการเขียนลงบน WEB SITE แล้วส่งผ่านอินเตอร์เนตนั้นถือว่าเป็น สิ่งเขียนซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของงานวรรณกรรม ดังนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (มาตรา 15) หากผู้ใดต้องการทำซ้ำหรือดัดแปลงงานดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (มาตรา 27) การดัดแปลงงานจากอินเตอร์เนตเป็นภาษาไทย จึงต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นการคุ้มครองอัตโนมัติ เจ้าของลิขสิทธิ์หรือผู้สร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ที่มา : เว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญา Group Blog All Blog
Friends Blog
Link
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
จำไม่ได้แล้วว่าเดี๋ยวนี้สภาพในเรือนจำเป็นอย่างไร คลับคล้ายว่าสมัยเด็กๆ เคยไปเยี่ยมใครสักคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่ แต่ตอนนั้นเขาไม่ให้ออกมาเจอขนาดนี้น่ะค่ะ ต้องคุยกันผ่านห้องสีเทาๆ หม่นๆ มีกลิ่นเยือกเย็นของลูกกรง (นั่นก็น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยที่ได้ยินคำว่า "คดีอุกฉกรรจ์" จากผู้คุม)