"Running Boy" ... รักยิ่งใหญ่จากหญิงคนหนึ่ง
ความรักไหนเล่าจะมีค่ามากเท่า ความรักของแม่ที่มีต่อลูก ก็เห็นจะไม่มีอีกแล้ว ...แม้ลูกของตัวเองจะออกมาไม่ปกติเหมือนใครคนอื่นเขา แม้ต่อจะให้ลูกต้องเกิดมาแต่ไม่ครบ 32 ประการก็ตามที แม้ลูกตัวเองจะกลายเป็นคนที่คนอื่นรอบข้างมองว่าเป็น "เด็กปัญญาอ่อน" แม้ว่าโรคที่ลูกเป็นมันจะไม่มีวันได้หายขาด แต่ใจของแม่ที่แอบเจ็บปวดก็ยังคงรักในสิ่งที่เขาเป็น สิ่งที่เขามี แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่คนอีก 999 คนเขาจะไม่เป็นกัน ...แต่ลูกน้อยที่เป็นเด็กออทิสติกส์ก็เป็นอีกหนึ่งคนพิเศษของแม่ของเธอและเขา ไม่ได้เห็นแตกต่างไปกับคนธรรมดาอย่างเราๆเลย ในวัยเยาว์ของ "จุงวอน" เขาเป็นเด็กออทิสติกส์ที่นิ่งเงียบ เฉยชา ดื้อรั้น ทำตัวให้เป็นใบ้ ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา แม้กับแม่ของเขาเอง ซึ่งพยายามเสี้ยมสอนให้เขาพูดตามใจเธอไม่เคยได้ เขายังไม่เคยได้แสดงตัวเองให้คนเป็นแม่ได้เห็นว่าเด็กออทิสติกส์มีความพิเศษกว่าคนอื่นเช่นไร ...แต่เมื่อจุงวอน โตขึ้น แม่ก็ได้พบว่า เวลาที่จุงวอนได้วิ่ง เขาสามารถทำสิ่งนี้ได้เป็นอย่างดี ...เลยเป็นโอกาสที่แม่ต้องการจะสนับสนุน ด้วยการพยายามผลักดันให้เขาได้เข้าวิ่งในการแข่งขันมาราธอน การที่จุงวอนสามารถคว้ารางวัลที่ 3 เท่ากับเป็นการพิสูจน์ให้แม่รู้ว่า นี่คือความพิเศษของจุงวอนนั่นเอง ...แม่ไม่เคยรู้ตัวเลยว่า ตอนนี้เธอกำลังประเมินค่าของจุงวอนสูงเกินไป ในความพยายามต่อมาที่อยากจะให้เขาได้เป็นนักวิ่งมืออาชีพ ก็ด้วยการขอแรงจากโค้ชผู้เคยเป็นนักวิ่งชื่อดังที่สำมะเลเทเมาไม่เอาไหนจนต้องเข้ามาบำเพ็ญประโยชน์เป็นครูพละในโรงเรียนสอนเด็กออทิสติกส์ ... ตอนแรกโค้ชคนนี้ ไม่เคยคิดอยากจะยุ่งไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเด็กออทิสติกส์ซะเท่าไหร่เลย (ใช้คำว่ารังเกียจก็คงไม่ผิด) แต่ไม่นานเท่าไร ด้วยความใสซื่อจริงใจอย่างบริสุทธิ์ของจุงวอน ก็สามารถเอาชนะความแข็งกระด้างของโค้ชโหดคนนี้เอาจนได้ ...แต่เมื่อยิ่งโค้ชคนนี้รู้จักกับจุงวอนมากขึ้นแค่ไหน มันก็ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างแม่กับลูกคู่นี้ มีมากขึ้นเรื่อยๆ ...แล้วกับตัวโค้ชเองก็ไม่พอใจ ในการเลี้ยงดูปูเสื่อแบบผิดๆของแม่ และตัวแม่ก็ไม่ชอบใจ ที่โค้ชเข้ามาจุ้นจ้านกับชีวิตลูกชายจนเกินพอดี ...อีกหนำซ้ำในการแข่งวิ่งครั้งต่อมา ความพยายามมากเกินไปจนเป็นลมของจุงวอน ยังทำให้เขาโดนตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน ไม่ได้คว้าเหรียญใดๆ กลับบ้านอย่างที่เขาอยากจะให้ตัวเองทำสำเร็จ ผลแห่งความไม่ลงรอยของเธอและโค้ช และความพ่ายแพ้ของจุงวอน จึงทำให้แม่ ได้มีเวลามาตัดสินใจว่า สิ่งที่เธอได้ทำลงไปนั้น มันผิดจริงๆ อีกทั้งมันก็ทำให้เธอรู้ว่า สิ่งที่เธอคะยั้นคะยอให้จุงวอนทำ อาจไม่ใช่สิ่งที่จุงวอนต้องการ ...เธอเลยต้องพยายามกลับตัวกลับใจ และบงการชีวิตลูกชาย ด้วยการตัดขาดเขาออกจากโลกของกีฬามาราธอนเสียเลย ...แต่ทว่ากับความผูกพันที่มันฝังลงไปในสายเลือดของจุงวอนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น ได้ทำให้เขาพร้อมจะคิดเองทำเองและ พร้อมจะขัดใจแม่เป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยการลงแข่งขันมาราธอน 40 กม. "เชี่ยนชุน" อันถือเป็นรายการใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ Running Boy (aka Marathon) ...หนังสู้ชีวิตแนวดรามาเนื้อหาซึ้งกินใจ เป็นอีกหนึ่งหนังที่เคยได้รับความนิยมในเกาหลีใต้เมื่อปีที่แล้ว นี่เป็นเรื่องราวที่นำเอามาอ้างอิงจากชีวิตจริงของนักวิ่งออทิสติกส์ชื่อดังของเกาหลีใต้ ...เป็นโปรแกรมหนังเล็กๆลูกเมียน้อยที่ได้โอกาสลงฉายในช่วงเวลาที่มันพอเหมาะพอเจาะเหมาะแก่กาล วันแม่ ในตอนนี้ หวังให้คนดูคุณลูกได้อินในอารมณ์ไปพร้อมกับคุณแม่ (และเพื่อไม่ให้น่าน้อยใจยังต้องรวมไปถึง คุณพ่อ คุณพี่น้อง และคุณญาติๆรวมไปด้วย) ความรู้สึกแรกของผมกับหนังเรื่องนี้ เป็นความเฉย เฉยที่ไม่เคยรู้จักหนังเรื่องนี้ เฉยที่ไม่มีรู้สึกอยากกระหายจะต้องดูเลย และเฉยที่ไม่มีอะไรให้เกิดอาการเอะใจกับภาพโปสเตอร์ของชายหนุ่มและม้าลายที่ไม่เข้าใจในเจตนาของการสื่อสารนี้ แถมยังไปพาลพ้องกับชื่อหนัง "ปาฏิหาริย์รักจากแม่" ที่ทำให้ผมคิดไปเองว่าคงจะเป็นแนวแฟนตาซีแหง ที่มีคุณม้าลายบนโปสเตอร์นั้น เป็นแม่ของพระเอกซึ่งเข้าไปสิงร่างสัตว์ตัวนี้แทนหลังจากตายไปแล้ว (คิดไปได้นะนั่น) แต่ท้ายที่สุดแล้วกับหนังที่ผมไม่เคยเจตนาจะอยากดู ก็มีคอมเมนต์ของคนแถวนี้ชวนให้ผมได้ตีตั๋วจนได้ ...ถ้าคุณ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ไม่ยอมออกตัวสวมหัวม้าตั้งกระทู้ช่วยเชียร์หนังเรื่องนี้แล้วล่ะก็ ผมอาจจะต้องพลาดสิ่งๆดีในวันแม่ปีนี้ไปอย่างไม่น่าให้อภัยเลยทีเดียว ... Running Boy ...จงใจเกิดมาเพื่อขายความประทับใจกันโดยเฉพาะ เอาแค่ฉากหนึ่งในช่วงแรกๆของหนังก็พาอารมณ์เศร้าไปกระจุกตัวอยู่ที่ต่อมน้ำตาได้แล้ว แอบซึมๆเล็กน้อยแต่พองาม ...นี่ยังแค่แซมเปิลเบสิกที่หนังพยายามเล่นงานคนดูเท่านั้น ถ้าคุณได้ดูหนังเรื่องนี้ๆไปเรื่อยจนใกล้จะจบ คุณจะพบกับภาพที่ชวนให้ประทับใจได้อีกหลายชอต ...หนังเลือกจะเล่นงานคนดูด้วยวิธีการที่ไม่ต้องเจตนากันตรงๆ ใช้การเปิดช่องให้คนดูได้รับรู้ซึมซับด้วยตัวเองไปมากกว่า ปล่อยให้ทอดอารมณ์ไปกับภาพของหนัง และเรื่องราวของตัวละคร โดยใส่ฉากที่เอื้อเฟื้อประโยชน์กระตุ้นต่อมผลิตน้ำตาได้แบบไม่โจ๋งครึ้มจนเกินไป เล่นกันอย่างพอดีๆ มีจังหวะจะโคน ถึงแม้จะมีบ้างบางฉากที่ผมยังได้แค่รู้สึกตื่อๆ ที่น้ำตายังโดนกั้กเอาไว้ในถุงใต้ตา และหนังเองก็ไม่สามารถเร่งรัดตัวเองให้ไปถึงจุดที่ควักมันออกมาได้ แต่ด้วยความตื่อๆของผมนั้นมัน ก็ยังทำให้รู้สึกอินตามสถานการณ์ที่ตัวละครต้องพบเจอได้อยู่ บทหนังทำออกมาได้ดีเยี่ยม ... แสดงได้ถึงความตั้งใจของผู้เขียนบทที่คงจะได้ศึกษาข้อมูลบ่งชี้ของเด็กออทิสติกส์มาดีไม่น้อย เขาสามารถตีความตัวละครจุงวอนที่เขาอยากจะให้เป็นได้อย่างสมบูรณ์ ใส่รายละเอียดของคนที่เป็นโรคนี้เข้าไปได้อย่างถูกต้อง คนดูสามารถรับรู้และเข้าใจในตัวละครจุงวอนโดยง่ายๆ ไม่ต้องคิดค้นหาให้ซับซ้อน ว่าทำไมจุงวอนถึงต้องทำอย่างนี้ เขาถึงเป็นอย่างนั้น ยิ่งรวมไปกับส่วนของเรื่องของแม่ ก็ทำให้คนดูรู้สึกว่าหนังมีความใกล้ตัวกับชีวิตเรามากขึ้นไปอีก มันเกิดความซึมซับได้โดยง่าย เหมือนเราดูหนังไปด้วยพร้อมกับกำลังมองจุงวอนเป็นตัวเราเองที่อยู่ในหนังเรื่องนั้น ...แล้วกับตัวละครอื่นๆที่เป็นส่วนเสริม ทั้ง โค้ช พ่อ น้องชาย ทุกคนถูกใส่เข้ามาเพิ่มความหนักแน่นและช่วยตอกย้ำความแข็งแรงของบทได้เป็นอย่างดี ผู้เขียนบทสามารถเฉลี่ยความสำคัญของตัวละครเหล่านี้ได้อย่างไม่น้อยใจ ...ขณะที่ จุงวอน และ แม่ เป็นตัวเดินเรื่อง อีกสาม ตัวละครที่เข้ามาข้องเกี่ยวชีวิตของตัวเดินเรื่อง ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้หนังมีความลึกของตัวเรื่อง มีประเด็นความขัดแย้งที่น่าติดตามควบคู่ไปกับการได้เห็นพระเอกและแม่ที่ต่างก็พยายามจะสู้ชีวิตไปด้วยกัน ... การแสดงของคู่แม่ลูกทำได้เข้าเกณฑ์เยี่ยม ...และถือเป็นบทบาทที่น่าประทับใจยิ่งไปกว่า การเคยรับบทเป็นชายหนุ่มรักไม่สมหวัง ใน The Classic ของ "โชชองวู" เขาให้ความน่าเชื่อถือกับการเป็นคนออทิสติกส์ที่ดูจริง ด้วยแววตาอันใสซื่อ ท่าทางอันแอ๊บแบ๊ว และเสียงพูดกึ่งเด็กกึ่งโต ทำหน้าที่ของการบอกเล่าลักษณะของคนที่เป็นโรคนี้ได้โดยสนิทใจ ดาราที่สวมวิญญาณของความเป็นแม่ ตีบทได้แตกกระจาย ทำให้คนดูรู้สึกทั้งเห็นใจ ทั้งชิงชัง ในความพยายามที่ดี และไม่ดีต่อลูกชายของเธอ (ฉากที่ลูกชายจำเหตุการณ์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กได้ ความรู้สึกผิดของคุณแม่เรียกน้ำตาผมได้เป็นเผาเต่า มากที่สุดของหนังแล้ว) ส่วนตัวประกอบอีกสามคน ต่างก็ทำหน้าที่ส่งเสริมหนังได้เป็นอย่างดี เหมือนที่บทหนังปรารถนาใส่เข้ามาเพื่อเติมเต็มความจริงจัง งานกำกับควบคุมอารมณ์หนังได้ดีเยี่ยมอีกเช่นกัน ...ในช่วงเวลานั้นหนังต้องการสื่อสารอะไรกับคนดู ผู้กำกับก็รู้กลวิธีที่จะเรียกให้คนดูมารุมสนใจสิ่งที่หนังอยากจะบอกได้ ช่วงเวลาที่อยากจะให้ขำ ก็ทำมุขตลกให้ดูน่ารักกรุ่มกริ่มชวนยิ้ม ช่วงเวลาที่อยากจะชวนซาบซึ้ง ก็ทึ้งอารมณ์เศร้าจากคนดูพร้อมน้ำตาได้โดยไม่มีจุดจงใจให้ฟูมฟายให้เราสัมผัสความเกินพอดีได้เลย ความดีเยี่ยมของทั้งสามส่วนอาจช่วยให้ผมได้เกิดความประทับใจในความสวยงามของหนังเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ความสุดยอดที่หนังเรื่องนี้จะมีให้ผมได้ ...เพราะยังมีบางช่วงเวลาในตอนกลางเรื่องที่ผมแอบเกิดอาการเบื่อ ซึ่งเกิดมาจากความเนิบช้าราบเรื่อยที่ไร้แรงกระตุ้นความสนใจของผม ช่วงแรกผมติดตามการปูเรื่อง ช่วงหลังผมติดตามบทสรุป แต่ช่วงกลางๆผมเกิดอาการโหวงๆ หลุดจากการมองดูหนังไปเป็นระยะๆ หาวหน่อยๆ หนังช่วงนี้มีประเด็นมากมายก็จริงแต่มันไม่สามารถจับผมให้เกิดความอยากติดตามไปได้ต่อเนื่อง (เน้นความตลก ใส่ความน่ารัก และเริ่มพยายามจะปูพื้นเมคความเศร้า) <Running Boy ...เป็นหนังดีๆที่มาฉายได้ถูกจังหวะ โดนใจคนดู และเมื่อดูจบ ความดีความประทับใจที่คนดูได้รับไม่ใช่แค่หนังสามารถทำให้เรารู้จักความพิเศษอันยิ่งใหญ่ของคนออทิสติกส์ที่ชวนให้เห็นใจ เท่านั้น ...แต่หนังยังทำให้เราได้รู้จักกับความรักอันยิ่งใหญ่ของคนที่เป็นแม่ แม้ลูกจะเป็นอย่างไร ผู้หญิงคนนี้ที่ยังไงก็เต็มใจจะรักลูกได้เสมอ ...หนังเรื่องนี้ อาจทำให้ผมรู้สึกรักแม่เท่าเดิม แต่ที่มีมากขึ้น ก็คือ ความห่วงใยและเห็นอกเห็นใจ ที่ผมเคยมีกับเขาเพียงน้อยนิด ขอแนะนำ ...ครับดู{ดี} วิธ มายเซลฟ์ : 1. งานบทที่ตีความแง่มุมออทิสติกส์ หลอมรวมกับความรักของคนเป็นแม่ ได้อย่างซาบซึ้ง 2. งานกำกับที่สอดแทรก ดรามา คอมเมดี้ และความประทับใจได้ลงตัว 3. คู่แม่ลูกเล่นได้จริงบาดใจ ดู{ด้อย} วิธ มายเซลฟ์ : อารมณ์เบื่อ ในช่วงกลางๆเรื่อง เป็นระยะๆ เกรด A- ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 19 สิงหาคม 2549
4 comments
Last Update : 19 สิงหาคม 2549 0:37:16 น.
Counter : 5708 Pageviews.
โดย: ^ ^ IP: 124.120.24.12 19 สิงหาคม 2549 0:40:16 น.
โดย: LEE (lyfah ) 19 สิงหาคม 2549 21:58:31 น.
โดย: september IP: 202.28.88.253 23 สิงหาคม 2549 12:40:30 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31