"Die Hard 4.0" ... เมื่อป๋า 'อึด' กลับมา 'อัด' ผมก็เลยพลอย 'อึดอัด'
ก่อนอื่นใด ที่คุณจะอ่านรีวิวนี้ ...ผมขอ(อนุญาตแกมบังคับ)ให้คุณๆ ได้เสียเวลาทำแบบทดสอบนี้กันก่อนสักเล็กน้อย ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อการตรวจสอบอะไรบางอย่างสำหรับคุณๆ ครับ
(1) แอ๊คชั่นฮีโร่คนใด ที่มีคอนเซปต์เป็นฮีโร่ แบบ "ผิดที่ผิดเวลา" ก. อินเดียน่า โจนส์ ข. จอห์น แมคเคลน ค. นีโอ ง. จอห์น แรมโบ้
(2) แอ๊คชั่นฮีโร่คนใด ที่รักเมียรักครอบครัวยิ่งชีพ ก. จอห์น แมคเคลน ข. ลุค สกายวอล์กเกอร์ ค. ลาร่า ครอฟท์ ง. เจมส์ บอนด์
(3) แอ๊คชั่นฮีโร่คนใด ที่มีความเป็นมนุษย์ปุถุชนมากที่สุด ก. สไปเดอร์แมน ข. T-1000 ค. ลีโอไนดัส ง. จอห์น แมคเคลน
ถ้าในทุกข้อบททดสอบของคุณ มีคำตอบเป็น "จอห์น แมคเคลน" แล้ว นั่นแสดงว่า คุณคือ คนหนึ่งที่รู้จัก "Die Hard" ...หนึ่งในหนังภาคบังคับที่คอแอ๊คชั่นตัวจริงเสียงแท้จะต้องเคยดู ส่วนสำหรับใครที่ตอบข้ออื่นๆ ที่นอกเหนือจาก "จอห์น แมคเคลน" (ทั้งด้วยการตีความคิดวิเคราะห์ หรือ สุ่มเดาหนึ่งในสี่ เอาเองแล้ว) ไม่ว่าจะผิดเป็นข้อ-สองข้อ-ผิดหมด แล้ว ...ผมว่าคุณน่าจะเลี่ยงจากบทความรีวิวนี้นะครับ เพราะนอกจากจะอ่านอย่างไม่อินแล้ว คุณอาจจะรู้สึกรำคาญปนเลี่ยนในการสรรเสริญเยินยอของผมที่มีต่อ "จอห์น แมคเคลน" อีกต่างหาก ...นี่ถือว่า เตือนกันแล้วนะ!!!
ในหมู่มวลฮีโร่แอ๊คชั่นทั้งหมดที่มีอยู่บนโลกภาพยนตร์ คงจะไม่มีใครที่เราจะสามารถสัมผัสความเป็นคนได้อย่างเข้าถึงถ่องแท้ ได้เทียบเท่า กับที่เราได้รู้จักตัวตนจากฮีโร่แอ๊คชั่นที่ชื่อ "จอห์น แมคเคลน"
จากภาคแรกเริ่มต้น ที่เกิดเหตุบนตึกระฟ้า "นากาโตมิ" ...สิ่งที่เราจะได้รู้จักจากฮีโร่แอ๊คชั่นคนนี้ก็คือ การที่เขาต้องมาอยู่ในสถานการณ์ "ผิดที่ผิดเวลา" ในแบบว่า ถ้าลองเป็นเราเองแล้ว ไม่มีทางรอดมีชีวิตเหลือไปจากการต้องทำภาร(บังเอิญ)กิจครั้งนี้ไปได้แน่
ภาร(บังเอิญ)กิจ ที่ แมคเคลน จะต้องเจอในต้นฉบับ "Die Hard" ...มันเริ่มขึ้นเพียงแค่ความต้องการที่เขาจะมาเซอร์ไพรส์ ศรีภรรยาอันเป็นที่รัก ในวันคริสต์มาส เท่านั้น ...ไม่มีสิ่งอื่นใดที่เขาต้องการมากไปกว่า การได้มาพบเจอหน้าเมีย ที่หนึ่งปีมีครั้งจะได้เวียนมาสักหน
แต่ในเมื่อมันบังเอิญที่ แมคเคลน กลับต้องเจอเรื่องที่เซอร์ไพรส์กว่าอย่างนี้เข้าไปอย่าง "ผิดที่ผิดเวลา" ...ในฐานะที่เขาเองก็คือ ตำรวจผู้รักความสงบ คนหนึ่งที่(จำเป็นจะ)ต้องป้องปราบความเลวร้ายทุกรูปแบบอยู่แล้ว ...เขาจึงหนีสถานการณ์หน้าสิวหน้าขวานนี้ไปไม่ได้ และที่ยิ่งไปกว่าความจำเป็น ชีวิตของเมียอันเป็นที่รักก็ดันอยู่ข้างบนตึกนั้นอีกต่างหากเล่า ...จะมีเหตุมีผลอื่นใดบ้างล่ะที่มีความจำเป็นมากพอจะชวนให้เขาต้องหนีในท้ายที่สุด
อีกสิ่งที่เราจะได้รู้จักจากฮีโร่แอ๊คชั่นคนนี้ก็คือ การที่เขา "รักเมียรักครอบครัวยิ่งชีพ" ...ถึงต่อให้ชีวิตของแมคเคลนจะต้องเจอความลำบากมากที่สุดแล้ว คนที่เรียกว่า เมีย และ ลูก ก็จะต้องรู้สึกตรงกันข้าม เป็นฝ่ายที่สุขสบาย(ใจ)ได้มากที่สุด ในเวลาเดียวกัน
เรื่องราวของภาคแรก จบลงด้วยความแฮปปี้ เฉกเช่นที่หนังแอ๊คชั่นทั่วไปจะพึงกระทำ ...แมคเคลน ทำภาร(บังเอิญ)กิจ สู้เพื่อเมีย ได้สำเร็จ อีกทั้ง การควบคุมสถานการณ์วิกฤตที่น่าตายถวายชีวิตครั้งนี้ ก็สร้างชื่อเสียง ให้ "จอห์น แมคเคลน" เป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชี (อีกทั้งคอหนังบู๊ ก็พากันยกให้ความเจ๋งของเขา มีคุณค่าพอจะได้ยกย่องเป็น อีกหนึ่งคลาสสิคแอ๊คชั่นฮีโร่ที่โลกต้องจดจำ)
มาใน ภาคสอง ...กับภาร(บังเอิญ)กิจต่อมา ที่แมคเคลนต้องผจญ ก็ดูจะยุ่งยากหนักหนายิ่งกว่าเก่าเสียอีก เมื่อตัวเขาและภารกิจที่ต้องกระทำกลับอยู่ต่างวาระต่างสถานที่ ...แมคเคลน อยู่บนดิน - ภารกิจ อยู่บนฟ้า
แมคเคลน ต้องทำทุกวิถีทางที่จะเป็นไปได้บนพื้นดิน เพียงเพื่อจะหยุดเครื่องบินที่กำลังลอยละล่องบนท้องฟ้า พร้อมกับฝูงคนร้าย เหล่าตัวประกัน และที่สำคัญ เมียอันเป็นที่รัก ซึ่งดันต้องไปอยู่บนนั้น(อีกแล้วสิพับผ่า)
งานท้าตายถวายชีวิตในหนนี้ของ แมคเคลน ก็ยังคงจบลงในอีหรอบดีดังเช่นเคย ...เขารักษาตัวรอด และคว้ายอดยาหยีกลับมากอดกันกลม ได้สำเร็จงดงาม
หากแต่ทว่าชีวิตของเขาหลังจากเหตุการณ์ ก็ต้องมาสิ้นความงดงามลงใน ภาคสาม ...เมื่อเขากลายเป็น อดีตนายตำรวจผู้เกรียงไกร และปัจจุบันไอ้ขี้เหล้าเมาแฮงค์คนหนึ่งที่กรมตำรวจอยากปลดระวาง ทั้งภรรยายังมาทำห่างเหินเหมือนไม่ใช่สามีอีกต่อไป
และด้วยชีวิตที่รันทดหดหู่อยู่แล้วนั้น ...ยิ่งยากลำบากเหลือเกินกับการปฏิบัติภาร(ที่ไม่บังเอิญ แต่ตัวร้ายจงใจ)กิจครั้งใหม่ ที่ใหญ่ยักษ์กว่าเก่า เล่นเอานิวยอร์คต้องระส่ำ ระสายใจจะวายรอนๆไปกับ ระเบิดก้อนมหึมา ที่ติดตั้งเอาไว้ทั่วทั้งเมือง
เกมท้าระทึกที่ แมคเคลน ต้องเล่นด้วยในครั้งนี้ คือ การสวมบทเป็นฮีโร่นักกู้ระเบิด ไปพร้อมกับการไขปริศนาที่ผู้ร้ายไม่ยอมบอกกล่าวว่า "ที่ไหนในนิวยอร์ค ที่ไหนมีระเบิด?"
แม้ทว่า สุดท้าย ท้ายสุด เราก็รู้ๆกันอยู่ว่า แมคเคลน จะผ่านพ้นภารกิจในตอนไตรภาคไปได้ด้วยดี(ที่มีชีวิตรอดอีกแล้ว) ก็ตามที ...แต่ใครจะไปรู้ว่า การหายตัวไปในรอบ 12 ปีของเขา กลับมาแล้วก็ยิ่งมีอะไรที่น่าเศร้าโศกยิ่งไปกว่านั้น
แมคเคลนกลับมาใน "Die Hard 4.0" ในฐานะของ พ่อหม้าย เมียทิ้ง คุณลูกชิ่งไม่ใยดี
ความรักเมียรักครอบครัวยิ่งชีพ ในภาคก่อนๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย สำหรับความสัมพันธ์ที่ง่องแง่ง ระหองระแหง ของคนในครอบครัว ...การทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจเพื่อต่อสู้กับทุกความเลวร้ายที่มาย่างกรายชีวิตคนที่เขารัก ไม่ได้มีความหมายอีกต่อไป ในเมื่อ ความหมดใจของเมีย และ ความไว้ใจของลูกๆมันได้หมดลง ...ความห่วงใยที่แมคเคลนเคยมี ได้แปรเปลี่ยนเป็นบาดแผลที่มีรอยช้ำจ้ำลึก มากไปกว่าที่เขาได้รับจากการอยู่ "ผิดที่ผิดเวลา" ในหนังสามภาคที่ผ่านมารวมๆถมกันเสียอีก
ด้วยความที่ จอห์น แมคเคลน เจ็บเป็น ปวดเป็น (ทั้งกายและใจ) นั่นย่อมคือ สิ่งสำคัญอีกสิ่งที่เราจะได้เห็น และได้สัมผัสในตัวตน "ความเป็นมนุษย์ปุถุชน" ที่มีมากที่สุดกว่าใครๆในหมู่ฮีโร่แอ๊คชั่นด้วยกัน
เขาเหงา เขาซึม เขาเศร้าเป็น ...เขามีความรู้สึก รู้คิด และนึกออกว่า เขาไม่ได้เคยตั้งใจจะเป็นฮีโร่เลยสักครั้ง หากแต่ไม่ได้โดนสถานการณ์บีบบังคับยัดเยียดให้ต้องเป็นในทุกๆครั้ง
"จอห์น แมคเคลน" กลับมาสู่ภาร(บังเอิญ)กิจของเขาในหนที่ 4 พร้อมกับหน้าที่การงานใหม่ที่ขั้นใหญ่กว่าเดิม (จนท.กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ) และไซท์ของภารกิจก็ยิ่งทวีความรุนแรง ร้ายกาจและกว้างขวาง มากกว่าเคยทุกครั้ง เพราะหนนี้ ผู้ร้าย คือ คอมพิวเตอร์ และ เป้าหมาย ก็คือ สหรัฐอเมริกาทั้งประเทศ
สิ่งที่ผู้ร้ายต้องการจากอเมริกาในครั้งนี้ ก็คือ ความพินาศของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความเกี่ยวโยงเกี่ยวพันกับการใช้คอมพิวเตอร์ในทุกวันนี้ ตั้งแต่ ระบบสื่อสาร การจราจร เศรษฐกิจไปจนถึง ความมั่นคงของชาติ ...แผนการจะสั่นคลอนชาติ ที่ได้อุดรอยรั่วทุกจุดอย่างเพอร์เฟคของ "เกร็ก โป๊บ" ไม่น่าจะผิดเพี้ยนอะไรไปได้เลย ถ้าหากเพียงว่าอเมริกาจะไม่มีคนอึด นามกร จอห์น แมคเคลน บังเอิญมาอยู่ในสถานการณ์ ผิดที่ผิดเวลา ที่เขาคุ้นเคยการรับมือมาเป็นอย่างดี
จะมีที่ไม่คุ้นอยู่อย่างเดียว ก็คงเป็น การที่เขาไม่เป็นไฮเทคอะไรเลย เขาไม่รู้จักคอมพิวเตอร์มากไปกว่าเป็นการเป็นเครื่องทุ่นแรงของคนยุคปัจจุบัน ...หากแต่ถึงอย่างไร ความบังเอิญก็ยังทรงโปรดให้ ส่งคนที่รู้จัก และรู้ดีว่าคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้บ้าง มากไปกว่านั้น "แม็ต ฟอสเตอร์" คนนี้ ก็คือกลไกเล็กๆตัวหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการของ โป๊บ โดยตรง ...เพราะเขาก็คือหนึ่งในแฮ๊กเกอร์มือดีของอเมริกาที่ช่วยร่วมมือเจาะระบบยุ่งยากยุ่งเหยิงซะไม่เหลือชิ้นดี อีกทั้ง แมคเคลน ก็ได้รับมอบหมายจาก เอฟบีไอ ให้ไปรับตัวคน(บังเอิญ)ร้ายคนนี้ ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นอันนำพามาซึ่ง สถานการณ์ท้าตายถวายชีวิต ที่สาหัสหนักกว่าทั้ง สาม ครั้งที่ผ่านมา
"Die Hard 4.0" (หรือเรียกชื่อจริงได้ว่า "Live Free or Die Hard") ... กลับมาปลุดอึดตายยาก พร้อมกับการเป็นผลงานกำกับเรื่องที่ 3 ของ "เลน ไวส์แมน" ที่มีเครดิตสองภาคแอ๊คชั่นแวมไพร์ "Underworld" เป็นสองเรื่องก่อนหน้านั้น ...
ถ้าเราชายตามองงานหนก่อนของ ไวส์แมน แล้ว จะมีอยู่อย่างเดียวที่พอจะเข้าทางได้ ก็คือ การกำกับหนังแอ๊คชั่น ...นอกเหนือไปกว่านั้น ก็ไม่มีทางไหนเลยที่จะน่าเชื่อได้ว่าเขาควรจะได้มาเป็น ผู้กำกับคนที่สาม ของหนังตระกูลตายยาก ...ตอนที่ผมรู้ข่าว ผมก็ยัง งง งง อยู่ว่า คิดดีแน่แล้วเหรอ?
ที่ผมคิดไม่ได้หมายความว่า Underworld ไม่ดีนะ ...มันก็หนุกอยู่หรอก มันส์ดีแหละ เพียงแต่มันดูๆแล้วก็ยังไม่น่าจะใช่ ไวส์แมน คนนี้ ที่เหมาะสมกับการมาทำสุดยอดของหนังแอ๊คชั่นที่คลาสสิคไม่มีวันตายเรื่องนี้
แต่ผมก็แค่คิดในเชิงลบเป็นเบื้องต้นเท่านั้นแหละ ...เพราะถึงอย่างไร ผมก็เชื่อในมาตรฐานของ Die Hard และคาดว่า มันน่าจะเป็นอีกหนึ่งเรื่อง หนังซัมเมอร์ประจำปี 2007 ที่ให้ผลคุ้มค่าสมการรอคอย
ผมคิดถูกดังที่ผมเชื่อ และคาดหมาย ... Die Hard 4.0 ดูสนุกมากมาย ไม่เสียดายเวลาที่เคยคิดถึง
ไวส์แมน มีพัฒนาการงานกำกับที่ดีกว่า Underworld อย่างเห็นได้ชัด ...เขาสามารถเข้าถึงในมาตรฐานของ Die Hard ที่ผู้กำกับ จอห์น แมคเทียร์แนน เคยสร้างเกณฑ์เอาไว้จากภาคแรกและเปลี่ยนแปลงบิดพริ้วเล็กน้อยในภาคสาม (เรนนี่ ฮาร์ลินในภาคสอง ก็ทำได้ดีในการแอ๊คชั่น หากแต่มันไม่ดีพอสำหรับความเป็นหนัง Die Hard...ผมดูภาคนี้จบ แล้วได้แค่รู้สึกเฉยๆ ไม่มีอะไรน่าจดจำเป็นพิเศษ)
ไวส์แมน กำกับจังหวะหนังได้ลื่น เดินหน้าโหมซัดความมันส์แบบไม่มียั้ง ค่อยๆทยอยความตื่นเต้นที่มีแต่จะเพิ่มจะเพิ่มขึ้นในฉากแอ๊คชั่นต่อๆมา พอมีจังหวะให้พักผ่อนก็ไม่ได้หมายความที่เราจะปล่อยผ่านให้เวลานั้นเราจะละสายตาไปจากจอ ...ทุกๆนาทีมี อะไรให้น่าสนใจ น่าจับตามอง เสมือนว่าเราคนดูคือบุคคลที่สามที่ไม่ได้ทำเพียงแค่การสังเกตสังกา เรามีโอกาสที่จะได้เหนื่อยได้วิ่งได้สู้เคียงข้างกับ จอห์น แมคเคลน ไปตลอด 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่เราอยู่ในโรง
บทหนังของภาคนี้ ทำอะไรที่มันยากๆมากขึ้นกว่าภาคก่อนๆ และที่ยากๆเนี่ย มันก็คือ ความกดดันที่มีมากขึ้น สร้างความรู้สึกตึงเครียด กลายเป็นซีเรียสแทน ป๋าจอห์น ...ทุกนาทีที่ป๋าอึด ต้องตามล่าตามอัดผู้ร้าย ผมเองก็พลอยต้องนั่งลุ้นตามอย่างอึดอัด แบบว่า ทั้งเหนื่อย ทั้งแอบสงสารแทน ...ถ้าลองให้ผมเป็น จอห์น แมคเคลน จริงๆ แล้ว ผมก็ยินดีจะโดนรุมสะกรัมให้ตายห๊า ขอจบๆชีวิตไปที่บ้านของแมตต์เลยซะดีกว่า จะต้องไปเจออื่นๆอีกมากมายในเวลาเกือบสองชม.ที่อันตรายน่าตายถวายชีวิตยิ่งกว่า
อันเพราะความที่ผมมีอารมณ์ร่วมไปกับเหตุการณ์ มีความเชื่อในเรื่องราวของมัน ถึงแม้หลายสิ่งหลายอย่างมันจะพาดพิงคำว่า "เว่อร์" มาเป็นเหตุเป็นผล ...แต่เหตุและผลที่มีใน Die Hard 4.0 ก็พอจะอนุโลมกันได้โดยง่าย เพียงเพราะนี่คือ หนังแอ๊คชั่นตลาดๆ เรื่องหนึ่ง ที่ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรที่มันสมจริงกันมากมายนัก
ซึ่งทั้งๆที่ผมได้ปล่อยวางและปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับหนังอย่างสุดๆแล้ว ...หากแต่มันก็ยังมีความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาซะเฉยๆ ในบางฉากที่หนังเล่นสรุปกันง่ายๆ จู่ๆก็ให้จบแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันมีให้สะดุดใจตั้งแต่ช่วงต้นๆ ที่บ้านของแม๊ตต์ แล้วก็มาเป็นพักๆ พอลืมๆไปได้บ้างอยู่ หากสุดท้ายไม่ต้องมาเจอกับความปรี๊ดสุดๆในหัวที่ คนขับเครื่องบินรบมันแสนซื่อ(บื้อ) จู่ๆก็หลงคำคน(ร้าย) ไปไล่ล่าป๋าจอห์นเราซะงั้นเลย ...มันก็น่าจะคิดมีตรรกะสักนิดว่า ที่มันทำไปมันบ้าบอ Silly Fools โคตรๆ (แต่ก็ต้องยอมรับนะว่าฉากนี้มันส์มากสมเป็นไคลแม็กซ์ เพียงมันก็สุดแสนจะหงุดหงิดไอ้คนขับมากไปกว่านั้นด้วย)
การกลับมาเป็นตัวละครที่แจ้งเกิดความโด่งดังเป็นซูเปอร์สตาร์ ให้กับ "บรูซ วิลลิส" ในหนที่ 4 นี้ ...ถึงวัยของป๋าจะล่วงเลยใกล้ระวางควรได้เวลาปลดเกษียณบทบู๊แล้ว แต่ห้าสิบกระรัตกว่าๆ กับการสวมวิญญาณคาแรกเตอร์ที่เป็นภาพจำของคอหนัง ก็ยังไม่เสื่อมสลายคลายความขลังไปไหน ป๋าบรูซ ยังคงเต็มเหนี่ยว พอฟัดพอเหวี่ยงกับคนร้ายหนุ่มสาวได้มันส์หมู ...หากใครจะมองว่าป๋าบรูซแก่แล้วแก่เลย ผมขอเถียงอย่างสุดใจขาดดิ้น ซึ่งเท่าที่เห็นและเป็นอยู่ ก็ไม่มีใครในโลกนี้จะเป็น "จอห์น แมคเคลน" ได้ดีไปกว่า บรูซ วิลสิส อีกแล้ว ...ซึ่งถ้าเกิดอนาคตจะหาเรื่องให้มีภาคห้า ภาคหก ตามออกมาอีก ก็ขอจะสวามิภักดิ์ตามดู ป๋าบรูซ เพียงคนเดียวเท่านั้น
ในส่วนบทบาทตัวละครอื่นๆ ไม่ว่าจะฝ่ายดีหรือฝ่ายร้าย ก็ช่วยสร้างสีสันความสนุกกันโดยถ้วนหน้า ..."จัสติน ลอง" ดูเนิร์ดกวนๆดีในมาดแฮ๊คเกอร์ที่ต้องมาลุยเป็นคู่หูเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับป๋าจอห์น , "ทิมโอธี่ โอลิแฟนต์" ก็คิดชั่ว ทำชั่วต่อกรกับ ป๋าจอห์น ได้เข้มดี (แต่ก็ทำดีไม่ได้ใจเท่า อลัน ริคแมน ในภาคแรกไปได้อยู่ดี) , "แมรี่ อลิซาเบธ วินสตีด" ห้าว ลุย ถึก เลือดพ่อแมคเคลนพุ่งพล่าน แต่ความสวยงามน่ารักก็บดบังให้เธอมีความเป็นหญิงที่น่าทะนุถนอม , "แม๊กกี้ คิว" ดุดันหนักแน่นทางหมัดมวย แต่ก็ยังทำหน้าหมวยสวยชวนยั่วกิเลสผู้ชายชอบเล่นของซาดิสม์
"Die Hard 4.0" ... เยี่ยมสมดังหวัง สนุกสมดังใจ ชอบภาคนี้มากกว่า สอง สาม หากยังคลาสสิคน้อยกว่า หนึ่ง อยู่หน่อยๆ ...นี่คือ หนังซัมเมอร์ 2007 อีกเรื่อง ที่ไม่อยากให้คอแอ๊คชั่นพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับคนที่รู้จัก หนังตระกูลตายยาก เป็นอย่างดี จะได้หายคิดถึงวันวานที่รอมานานเป็นแน่
ขอแนะนำ...ครับ
เกรด A- ... {}
หมายเหตุ : "จตุรภาค Die Hard" ... ความชอบตามลำดับของผม คือ... 1 > 4 > 3 > 2
ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 14 กรกฎาคม 2550 |
|
7 comments |
Last Update : 14 กรกฎาคม 2550 0:33:23 น. |
Counter : 2518 Pageviews. |
|
|
|
แต่ที่ชอบสุดๆ แน่นอนภาค 1 ครับ ส่วนภาค 2 ผมชอบที่มันเล่นมุขเดจาวู คือต้องช่วยเมียในวันคริสต์มาสนี่แหละ ดูแล้วพาลให้คิดดีว่าทำไมมันซวยยังงี๊หว่า
ส่วนภาค 3 ผมว่าจริงๆ แม๊คเคลนไม่ผิดอยู่ที่ผิดทางนะ แต่ดวงซวยไปนิดที่ผู้ก่อการร้ายดันเป็นพี่ชายของตัวร้ายภาคแรกนี่แหละ
ส่วนภาค 4 ชอบลูกสาวแม๊คเคลนจังเลย น่ารักดีแท้ อิอิ