|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ครบรอบวันสูญเสีย
ตั้งแต่เขียน blog มาก็ไม่เคยนึกว่า วันหนึ่งจะมานั่งเขียนเรื่องราวชีวประวัติของตัวเอง จนกระทั่งมานึกได้ว่า นี่ก็ใกล้วันครบรอบวันเสียชีวิตของน้องชายแฝดแล้วนี่นา
งั้นเราน่าจะเขียนอะไรสักอย่างไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำบ้าง เผื่อว่าวันข้างหน้า ลูกหลานจะได้เข้ามาเปิดอ่าน เมื่อคิดได้ดังนี้ จึงลงมือเขียนเรื่องราวของตัวเองเล่าสู่กันฟัง
คงสงสัยใช่ไหมค่ะว่า ทำไมต้อยจึงใช้คำว่า น้องชายแฝด ไม่ต้องสงสัยหรอกค่ะ เพราะว่า ต้อยเป็นลูกแฝดหญิง – ชาย ของคุณพ่อ คุณแม่ โดยต้อยเกิดก่อนน้อง 2 ชั่วโมง พี่ ๆ เล่าด้วยความติดตลกว่า พอแม่เบ่งต้อยก็โผล่หัวออกมาอย่างง่ายดาย เพราะโดนเจ้าแฝดอีกคนใช้เท้าน้อย ๆ ยันออกมา ด้วยความที่เขาไม่อยากเป็นพี่ แต่ตัวน้องชายแฝด เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงแล้ว ก็ไม่ยอมออกมาจากท้องแม่ คุณหมอผู้ทำคลอดจึงต้องใช้เครื่องดูดออกมา (ฉมหน้าที่ต้นแขนเลยมีรอยเขียวปูดขึ้นมาติดตัวจนตาย) ร่างกายสมบูรณ์อ้วนจ้ำม่ำ ส่วนต้อยนะเหรอ ตัวนิดเดียว ผอมจนเห็นกระดูก คุณหมอต้องนำเข้าเครื่องอบ ไม่ได้กลับบ้านพร้อมแม่และน้องชายแฝด จนคุณยายฝันว่า เห็นเด็กคนหนึ่งลอยน้ำมา ตัวเขียวคล้ำ เลยสั่งให้คนไปรับต้อยกลับจากโรงพยาบาล มาเลี้ยงเอง โดยมีพี่เลี้ยงคอยดูแล ประคบประหงม จนร่างกายอ้วนท้วน
ต้อยมีพี่น้องด้วยกัน 16 คน แต่เสียชีวิตตอนคลอดบ้าง ออกมาไม่นานก็เสียชีวิตบ้าง มีหัวแข็งรอดมาได้ 10 คน เป็นชาย 2 คนปิดหัวปิดท้าย และผู้หญิง 8 คน ต้อยเป็นน้องนุชสุดท้องในจำนวนลูกผู้หญิง อักษรย่อของชื่อเล่น ใช้ ตัว ต เต่า หมดทุกคน ส่วนชื่อจริง ผู้ชายจะมีคำว่า ชู นำหน้า คือ พี่ชายคนโตชื่อ ชูเกียรติ รับราชการตำรวจ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้วด้วยโรคเลือดออกในสมอง ส่วนน้องชายแฝดชื่อ ชูพงษ์ รับราชการตำรวจ และเสียชีวิตแล้วเช่นกันด้วยโรคมะเร็งลำไส้ สำหรับลูกสาวทั้ง 8 คนจะมีชื่อจริงเป็นชื่อ ของดอกไม้แทบทั้งสิ้น ปัจจุบันต้อยเหลือพี่น้องแค่ 7 คน พี่สาวคนที่สองได้เสียชีวิตด้วยโรคลมปัจจุบัน ต้อยเองก็เป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุได้ 9 ปี คุณพ่อซึ่งรับราชการตำรวจเสียชีวิตด้วยโรคเบาหวาน ต่อมาอีก 1 ปี คุณแม่ก็เสียชีวิตตามไปด้วยโรคเลือดคั่งในสมอง ต้อยอาศัยอยู่ในบ้านที่เป็นมรดกของพ่อแม่ รวม 9 ชีวิต ยกเว้นพี่ชายคนโตที่แยกไปอยู่กับภรรยา แต่ก็ส่งเสียให้ต้อยและน้องแฝดได้เรียนหนังสือ ตามความสามารถของแต่ละคน
เมื่อจบการศึกษาน้องชายแฝดก็เข้ารับราชการตำรวจ ต่อมาก็ย้ายไปประจำที่โรงพักแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่วนต้อยก็เข้าทำงานในรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ และได้ขอย้ายตามสามีมาอยู่ที่เชียงใหม่ จนถึงปัจจุบัน
จวบจนประมาณปี 2542 ต้อยก็ได้รับทราบข่าวร้ายว่า น้องชายแฝดเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยทางโรงพยาบาลแม่สะเรียงส่งตัวมา คุณหมอทำการผ่าตัดอยู่ 3 ครั้งเห็นจะได้ และในที่สุดก็ให้กลับแม่สะเรียง ต้อยเห็นน้องทรมานมากเวลาที่เขาปวด แต่น้องไม่ได้รับการรักษาโดยการให้คีโม หรือฉายแสงแต่อย่างใด นอกจากผ่าตัด
พวกพี่ ๆ และต้อยนัดไปเยี่ยมเขาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ต่อผอมมาก หน้าดำ แต่ก็ยังไม่หยุดสูบบุหรี่ คุยไปสักพักก็ออกอาการเจ็บท้อง พวกเรายังแซวกันว่า “เฮ้ย! จะอยู่ถึงวันเกิดหรือเปล่าเนี้ยะ 15 เมษานะโว้ย อดทนหน่อย” ต่อได้แต่หัวเราะ และยิ้มแหย ๆ น้องทรมานด้วยโรคมะเร็งลำไส้ จนถึงวันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม 2543 เวลาเช้าตรู่ต้อยก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่สาว ที่กรุงเทพฯว่า ต่อไม่ไหวแล้วนะต้อย ให้ต้อยรีบขึ้นไปดูด้วย ต้อยรีบเดินทางไปแม่สะเรียงทันที แต่ก็ไม่ทันเมื่อไปถึงต่อน้องแฝดได้สิ้นลมแล้ว จึงได้อยู่ช่วยงานและรอพี่ ๆ ที่กรุงเทพฯ ขึ้นมาสมทบ นับเป็นการสูญเสียครั้งแรกของเราพี่น้อง 10 คน
ตลอดเวลาของการสวดอภิธรรมศพ มีอะไรต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก ตอนมีชีวิตอยู่ ต่อ เป็นคนสูบบุหรี่จัดมาก แทบจะเรียกได้ว่า มวนต่อมวน เขาน่าจะเป็นมะเร็งปอดมากกว่ามะเร็งลำไส้ นิ เวลาที่พวกพี่ ๆ จัดบุหรี่ใส่จานไปวางให้ที่หน้าโลง มีมวนหนึ่งจะถูกจุดไว้และบอกให้ต่อมาสูบ เชื่อไหมว่า บุหรี่มวนที่ถูกจุดอยู่จะแดงวาบ ๆ คล้ายกับว่ากำลังมีคนอัดบุหรี่ ต้อยเห็นแล้วก็ขนลุก ทั้ง ๆ ที่บริเวณนั้นไม่มีลม และพัดลมเลยสักตัว เป็นไปได้อย่างไร
กว่า 10 ปีแล้วที่ต่อได้จากพวกเราไป หลับให้สบายเถิดนะ น้องรัก พี่ไม่เคยลืมน้องชายคนนี้ อีกไม่นานเราคงได้พบกัน ไม่ว่าต่อจะอยู่ที่ไหน จงรับรู้ไว้ด้วยว่า ต้อยรักต่อเสมอนะ
เขาบอกว่ามะเร็ง เกิดขึ้นเพราะกรรมพันธุ์ ก็อาจจะมีส่วน เพราะหลังจากที่น้องแฝดสิ้นชีวิตไม่นาน ต้อยก็ตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 4 เข้าทำการรักษา ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เดินเข้า – ออก โรงพยาบาลมาตั้งแต่รู้ว่าตัวต้อยเป็นมะเร็ง จวบจนปัจจุบันเซลล์มะเร็งได้แพร่มาที่ปอด รวมระยะเวลาที่ต้อยต้องต่อสู้กับเจ้าเพื่อนมะเร็ง 4 ปีเกือบ 5 ปีแล้วสินะ
สุดท้ายนี้ต้อยขอยกบทกลอนบางตอน ของน้องขวัญ ( ในความอ่อนไหว) ที่ได้เขียนไว้ และโดนใจต้อยมาก มาเป็นเครื่องเตือนสติว่า
ชีวิต..ไม่เที่ยงแท้ สุดแล้วแต่...โชคชะตา กำหนดไว้ว่าเกิดมา ให้ชีวายาวเพียงไร
จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เผื่อว่าในวันรุ่งของพรุ่งนี้ เราอาจหมดโอกาสที่จะทำอะไรอย่างที่ใจอยากจะทำ ขอบคุณเพื่อนทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องราวของต้อยนะค่ะ
Create Date : 06 พฤษภาคม 2554 |
|
32 comments |
Last Update : 6 พฤษภาคม 2554 2:58:16 น. |
Counter : 3483 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: panwat 6 พฤษภาคม 2554 8:04:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: โบว์ (Niiziie ) 6 พฤษภาคม 2554 9:56:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 6 พฤษภาคม 2554 11:47:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนินน้ำ 6 พฤษภาคม 2554 12:21:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: tempopo 6 พฤษภาคม 2554 13:10:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: phunsud 6 พฤษภาคม 2554 16:04:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: ญามี่ 6 พฤษภาคม 2554 17:27:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: jamaica 6 พฤษภาคม 2554 20:46:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 6 พฤษภาคม 2554 23:47:58 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]
|
ชื่อเล่นว่าต้อย เป็นคนกรุงเทพฯ ย้ายตามสามีซึ่งรับราชการมาประจำที่จังหวัดเชียงใหม่ มีลูกสาวและลูกชายอย่างละ 1 หน่อ และมีหลานชายวัยกำลังซนผู้เป็นกำลังใจให้คุณย่าได้ต่อสู้กับโรคร้าย
อุปนิสัยส่วนตัวพูดไม่ค่อยเก่ง เขียนเล่าเรื่องราวไม่ค่อยจะิเป็น ถนัดแต่เรื่องเพลง ฉะนั้นบ้านนี้จึงมีเสียงเพลงเสียเป็นส่วนใหญ่
เรือนเพลงรัก KeRiDa ยินดีต้อนรับเพื่อน ทุกท่านด้วย ความเต็มใจค่ะ
"ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์"
บทกลอนตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6
|
|
|
|
|
|
|
ขอเป็นกำลังใจให้สำหรับทุกๆ เรื่องนะคะ
เรายังมีความทรงจำที่ดีให้กับคนที่เรารักเสมอ แม้ว่าเค้าจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ตาม
เอิงพอทราบการป่วยของคุณต้อยบ้าง เคยเข้าไปอ่านในกรุ๊ปบล็อกเรื่องมะเร็ง
คุณต้อยเขียนได้ดีมากเลยค่ะ ทำให้เข้าใจถึงอาการเจ็บป่วย
ขอให้กำลังใจให้อีกครั้งและในทุกๆ วัน
แม้คนไม่ป่วยก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้อาจเกิดอะไรขึ้น
เราทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่างที่คุณต้อยกล่าว เห็นด้วยอย่างยิ่ง
วันนี้พักผ่อนเยอะๆ และขอให้แข็งแรงขึ้นทุกวันนะคะ