การใช้เทคนิคการติดตามผลเพื่อการพัฒนาเด็ก
1. วิธีการสอน ในการอบรมเลี้ยงดูเด็กนั้น บุคคลที่มีความสำคัญในระยะต้นของชีวิตคือบิดามารดา ต่อมาเมื่อเด็กเข้าโรงเรียนอาจจะเน้นในระดับเตรียมความพร้อมหรือระดับอนุบาลนั้น "ครู" คือบุคคลที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในการศึกษาสมัยปัจจุบันนี้ซึ่งเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ยิ่งมีความสำคัญมาก ซึ่ง ดร.อุษณีย์ โพธิสุข (2543) ได้กล่าวสรุปการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมไว้ 4 กระบวนการ คือ " 1.1 การเรียนเป็นกลุ่ม 1.2 การใช้คำถามที่ใช้เทคนิคความคิดสูง 1.3 การให้เด็กทำกิจกรรมและสร้างผลงาน 1.4 การส่งเสริมให้เด็กสร้างจินตนาการ 1.5 การเชื่อมโยงกับชีวิตจริง "
2. การใช้กระบวนการทางจิตวิทยาและการแนะแนวการช่วยเหลือนักเรียนเพื่อให้สามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่าง มีความสุขนั้น สามารถกระทำได้ทั้งการแก้ไขปรับปรุงและส่งเสริมในการเลือกใช้เทคนิควิธีเพื่อการช่วยเหลือดังกล่าว สามารถใช้กระบวนการทางจิตวิทยาและการแนะแนวตามความเหมาะสมกับสถานการณ์และปัจจัยมูลเหตุ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่นักเรียนและผู้รับบริการ ซึ่งอาจกระทำได้โดยวิธีการดังต่อไปนี้ 2.1 การสำรวจและเก็บรวบรวมข้อมูลของเด็กไว้อย่างเป็นระบบ และติดตามผลเพื่อปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อประสิทธิภาพในการช่วยเหลือเด็กได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับความเป็นจริง 2.2 การสร้างเครือข่ายบุคคลากรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเพื่อการช่วยเหลือเด็ก เช่น นักแนะแนว นักจิตวิทยา จิตแพทย์ ครู ผู้ปกครอง และบุคคลากรที่เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น เพื่อร่วมมือกันในการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อการพัฒนาเด็กอันเป็นทรัพยากรที่มีค่าของสังคม
*ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจำโปรแกรมวิชาจิตวิทยาและการแนะแนว คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏราชนครินทร์ 2.3 การส่งต่อ (Refer) เด็กที่มีปัญหาเกินความสามารถที่ครูประจำชั้น ครูแนะแนว และ ผู้ปกครองจะช่วยเหลือได้ เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสพัฒนาได้เต็มตามศักยภาพ บุคคลดังกล่าวได้แก่ แพทย์ จิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด และนักจิตบำบัด เป็นต้น 2.4 การเชิญวิทยากรและผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชามา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือมาให้การอบรมเพื่อพัฒนาครู ผู้ปกครองและบุคคลากรทางการศึกษา เพื่อให้บุคคลเหล่านี้มีความสามารถในการใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ 2.5 การจัดกิจกรรมซึ่งสอดคล้องกับความสนใจ ความสามารถและความถนัดของเด็ก เพื่อเขาจะได้เรียนรู้ เข้าใจ และยอมรับตนเอง อันจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาบุคลิกภาพต่อไปในอนาคต
3. การปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ปัจจุบันสังคมมีการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมาก ทำให้เด็กมีโอกาสในการเรียนรู้ได้มากขึ้น ดังนั้นการจัดหาและจัดทำแหล่งความรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้รวมทั้งการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กด้วย ซึ่งการปรับสภาพดังกล่าวเราสามารถทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้ 3.1 การขอความร่วมมือจากผู้ปกครองและชุมชน เพื่อการสร้างและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบ้านและในชุมชนให้อบอุ่น ร่มรื่น และน่าอยู่ เพื่อให้เด็กมีสุขภาพจิตดี มีความพร้อมที่จะเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในอนาคต 3.2 การปลูกจิตสำนึกให้เด็กและบุคคลากรในสังคมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและรักษา สิ่งแวดล้อมเพื่อให้บุคคลดังกล่าวเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์และเห็นโทษของการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ลดการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เพิ่มความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม 3.3 สร้างภูมิทัศน์ในโรงเรียนให้ร่มรื่น น่าดูเอื้อต่อการพักผ่อนหย่อนใจเมื่อยามว่างจากชั่วโมงเรียน เช่นมีศาลานั่งพักริมสระน้ำที่มีปลาแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางพันธุ์พืชน้ำตามธรรมชาติ เป็นต้น 3.4 การจัดมุมสนใจในห้องเรียนนับเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เด็กมีแหล่งความรู้เพื่อศึกษาด้วย ตนเองด้วยวิธีที่ประหยัดเวลาและส่งเสริมความสนใจและความถนัดตามธรรมชาติของตนเอง ซึ่งการจัดมุมดังกล่าวควรมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจของเด็ก ทั้งนี้อาจจัดกิจกรรมในรูปแบบกิจกรรมกลุ่มเพื่อฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบควบคู่กันไปก็จะเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง 3.5 การจัดแหล่งวิทยบริการ หรือศูนย์สารสนเทศ เพื่อเสริมให้เด็กสามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากการเรียนการสอน ในห้องเรียนโดยมีเจ้าหน้าที่ซึ่งมีความชำนาญในการให้บริการและจัดหาสื่อความรู้อำนวยความสะดวกและแนะแนวทาง เพื่อให้เด็กสามารถศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเองตามความถนัดและความสนใจนอกจากนั้นควรมีการปรับเปลี่ยนสื่อและ กิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจอยู่เสมอ 3.6 การจัดกิจกรรมให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการจัดสร้างสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนและชุมชน เช่น โครงการห้องสีเขียวและโครงการอุทยานการศึกษา เป็นต้น
4. การใช้เทคนิคการติดตามผลเพื่อการพัฒนาเด็ก ในปัจจุบันมีสังคมเริ่มสนใจคนดีควบคู่ไปกับคนเก่ง ดังนั้นการมีความรู้ความสามารถเพื่อเป็นคนเก่งของสังคมแต่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ควรเป็นคนดีของสังคมโดยเน้นพัฒนาการด้านอารมณ์ เพื่อความมีคุณธรรมและจริยธรรมด้วย เทคนิคดังกล่าวได้แก่ 4.1 การศึกษาตนเอง เป็นเทคนิคหนึ่งที่ช่วยให้บุคคลเรียนรู้ความก้าวหน้าของตนเองในทุก ๆ ด้าน เช่น ด้านนิสัยใจคอ ความมีมนุษยสัมพันธ์ การปรับตัว ตลอดจนความรู้ความสามารถของตนเอง โดยอาจเก็บรวบรวมไว้ในแฟ้มสะสมงานเป็นสัดส่วนต่างหากก็ได้ 4.2 การใช้แบบทดสอบ ซึ่งอาจวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือลักษณะทางบุคลิกภาพ ในการเลือกใช้แบบทดสอบควรมีเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของแบบทดสอบเพื่อ ประสิทธิภาพของผลการทดสอบ อันจะช่วยให้หาแนวทางการช่วยเหลือและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้เต็มตามศักยภาพของเรา เมื่อโรงเรียนได้ตระหนักถึงวิธีการสอน การใช้กระบวนการจิตวิทยา การปรับสภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อการเรียนรู้และการใช้เทคนิคการติดตามผลเพื่อพัฒนาเด็กแล้ว จะช่วยให้เด็กได้รับการกระตุ้นให้แสดงออก มีโอกาสในการศึกษาสิ่งที่ตนอยากรู้ซึ่งในระดับปฐมวัยนั้นแม้ว่าความถนัดตามธรรมชาติและความสามารถจะปรากฏ ไม่เด่นชัดนักก็ตาม ครูและผู้ปกครองก็สามารถเห็นแนวโน้มของความสนใจของเด็กในสิ่งต่าง ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งความสนใจดังกล่าวจะช่วยให้ครูและบุคคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กได้หาทางปรับสภาพการเรียนการสอนและ การอบรมเลี้ยงดูได้สอดคล้องกับความสนใจของเขา เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาศักยภาพของเด็กในอนาคต
ที่มา:วารสารศูนย์ศึกษาการพัฒนาครู ปีที่ 2 ฉบับที่ 7
Create Date : 06 กันยายน 2551 |
Last Update : 6 กันยายน 2551 21:42:37 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1651 Pageviews. |
|
|