พัฒนาการทางบุคลิกภาพ
พัฒนาการทางบุคลิกภาพ เด็กวัยนี้เป็นวัยที่นักจิตวิทยาพัฒนาการอีริคสัน (Erikson) เรียกว่า เป็นวัยแห่งการเป็น ผู้คิดริเริ่มการรู้สึกผิด (Initiative vs Guilt) เป็นวัยที่เต็มไปด้วยพลังงานที่จะเริ่มงาน มีความคิดริเริ่ม ที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ ชอบประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองอย่างอิสระ ผู้ใหญ่ เช่น บิดา มารดา หรือครูควรจะพยายามช่วยเหลือและสนับสนุนมากกว่าดุหรือห้าม เพราะการดุและห้ามอาจจะทำให้เด็กมีความขัดแย้งในใจ และรู้สึกผิด ทำให้เด็กเก็บกดความคิดริเริ่ม ฟรอยด์ได้กล่าวว่า เป็นวัยที่เด็กมีปมเอ็ดดิปุส และพยายามที่จะหาวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งในใจ โดยการเลียนแบบพฤติกรรมพ่อหรือแม่ที่มีเพศเดียวกับตน ดังนั้น ในระยะสุดท้ายของวัยอนุบาลราว ๆ 5 ขวบ เด็กชายและเด็กหญิงจะเริ่มแสดงพฤติกรรมที่บ่งถึงความแตกต่างระหว่างเพศ เด็กชายจะทำตนเหมือน ผู้ชาย เด็กหญิงจะทำตนเหมือน ผู้หญิง นักจิตวิทยาที่สนใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเพศแต่ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีของฟรอยด์ ได้พยายามตั้งทฤษฎีเพื่ออธิบายความแตกต่างระหว่างเพศขึ้น ทฤษฎีที่สำคัญ มีดังนี้คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของบันดูรา และทฤษฎีพัฒนาการปัญญานิยมของโคลเบิร์ก บันดูรา อธิบายว่า ความแตกต่างของพฤติกรรมระหว่างเพศเกิดจากการเรียนรู้ โดยการสังเกตทุกสังคมตั้งความคาดหวังเกี่ยวกับพฤติกรรมของชายและหญิงไว้ด้วยกัน เวลาที่เด็กชายแสดงพฤติกรรมเหมือน ผู้ชาย โดยการสังเกต หรือเลียนแบบก็มักจะได้รับรางวัล สำหรับเด็กหญิง ก็เช่นเดียวกันพฤติกรรมที่เหมือนกับ ผู้หญิง มักจะได้รับการสนับสนุนหรือได้รับรางวัล เด็กชายและหญิงพยายามแสดงบทบาทตามเพศของตนตามที่สังคมได้ตั้งความคาดหวังไว้ สำหรับโคลเบอร์ก กล่าวว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเพศเกิดพร้อม ๆ กับการพัฒนาการทางระดับเชาวน์ปัญญา ซึ่งโคลเบอร์กแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังต่อไปนี้ ระดับแรก เป็นระยะที่เด็กชายหญิงรู้อย่างชัดเจนว่า ตนเป็นชายหรือหญิง เป็นต้นว่า รู้ความแตกต่างของอวัยวะเพศ โคลเบิร์กเรียกระดับนี้ว่า Basic Gender Identity ระดับที่ 2 เป็นระยะที่เข้าใจความคงตัว หรือคงที่ของเพศ เช่น ถ้าเป็น ผู้ชาย ก็จะเป็นผู้ชายตลอด ผู้หญิง ก็เป็นผู้หญิงตลอด แลกเปลี่ยนกันไม่ได้ โคลเบิร์ก เรียกระดับนี้ว่า Gender Stability ระดับที่ 3 เป็นระยะที่เด็กหญิงและเด็กชายทราบว่า ความแตกต่างระหว่างเพศเป็นสิ่งถาวร เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้ว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมที่แสดงออก หรือเปลี่ยนการแต่งตัวเด็กชายและเด็กหญิงทราบว่า แม้จะแต่งตัวเหมือนกัน เช่น นุ่งกางเกงใส่เสื้อเหมือนกัน เด็กหญิงก็ยังคงเป็นเด็กหญิง เด็กชายก็ยังคงเป็นเด็กชาย โคลเบิร์ก เรียกระดับนี้ว่า Gender Constancy โคลเบิร์ก กล่าวว่า เด็กชายและหญิงจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเพศอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อมีอายุราว ๆ 6 ขวบ ซานดรา เบ็ม (Sandra Bem, 1985) อธิบาย Sex typing ว่าเป็นสิ่งที่เด็กหญิงและเด็กชาย เรียนรู้จาก schemas เกี่ยวกับเรื่องเพศของแต่ละวัฒนธรรม ดังนั้น เด็กหญิงและเด็กชายจะจัดรวบรวมพฤติกรรมของหญิงและชายเป็น Schemas หญิงและชาย และทราบความแตกต่าง เนื่องจากสังคมแต่ละสังคมได้ตั้งความคาดหวังเกี่ยวกับพฤติกรรมของชายหญิงไว้แตกต่างกัน การเรียนรู้พฤติกรรมตามเพศของเด็กในวัยนี้จึงสำคัญมาก เพราะจะช่วยเด็กในการปรับตัวทั้งด้านอารมณ์และสังคม ลักษณะทางบุคลิกภาพที่เด่นชัดของเด็กวัยนี้คือ การยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentrism) พีอาเจต์ ได้อธิบายว่า เด็กวัยนี้ไม่สามารถที่จะเข้าใจความคิดเห็นของผู้อื่น ดังนั้น จึงเป็นการยากที่เด็กวัยนี้จะยอมรับความเห็นของผู้อื่น เด็กวัยนี้จะคิดว่าสิ่งที่ตนรับรู้คนอื่นก็รับรู้ด้วย การส่งเสริมให้เด็กได้มีโอกาสที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมวัย โดยมีผู้ใหญ่ให้ความช่วยเหลือ จะช่วยให้การยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของเด็กลดลง (Piaget and Inhelder, 1967) ตัวแบบในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เช่น บิดา มารดา ครู และเพื่อนร่วมวัย รวมทั้ง สิ่งที่เห็นจากโทรทัศน์ จะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเด็กวัยนี้มาก การใช้ภาษามาตรฐานทางศีลธรรมและค่านิยมต่าง ๆ เด็กวัยนี้ควรจะได้รับการเรียนรู้โดยการสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมเสริมสร้างสังคม ต่าง ๆ (Prosocial Behaviors) ตัวอย่างเช่น การแสดงความเมตตาต่อเพื่อน สัตว์เลี้ยง และการแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งของเล่น และขนมให้เพื่อน นอกจากการเรียนรู้จากตัวแบบจริงแล้ว ครูอาจจะใช้การเล่านิทาน การใช้บทบาทสมมติช่วยในการสอน
Free TextEditor
Create Date : 24 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2551 18:37:22 น. |
|
12 comments
|
Counter : 2067 Pageviews. |
|
|
ได้รับความรู้ดีมากค่ะ สำหรับเด็กปฐมวัยแล้ว การเป็นแบบอย่างที่ดีในทุกด้านทุกๆเรื่อง ของพ่อ แม่และครู เป็นสิ่งจำเป็นมากและมากที่สุด คิดว่าอย่างนั้นนะคะ