ตำนานช็อคโกแลต
ช็อคโกแลตของหวานแสนอร่อยและกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เคียงข้างไปกับดอกกุหลาบช่อโต สำหรับของขวัญวันวาเลนไทน์จากคนรักสู่คนรักนั้นมีความเป็นมาอย่างไร ประวัติยาวไกลหลายหมื่นลี้ค่ะ มีมานานมากแล้ว ถ้าเปรียบเทียบแบบไทยๆ เราก็คงเรียกว่า ตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาโน่นเลยแหละค่ะ "ช็อคโกแลต" ค้นพบครั้งแรกเมื่อ 4000 ปีที่แล้ว ในอาณาจักร Aztec และ Maya ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ผสมขึ้นมาจากเมล็ดของต้นโกโก้ และเรียกชื่อว่า Cocoatl ซึ่งEmperor Montezuma นิยามว่าเป็น เครื่องดื่มจากสรวงสวรรค์เลยทีเดียว เมื่อปี 1528 เป็นปีที่สเปนมีชัยชนะต่ออาณาจักร Aztec และ Maya จึงได้นำ Cocoatl กลับไปยังสเปนด้วยและเรียกชื่อใหม่ว่า cho-co-LAH-tay และในปี 1615 ช็อคโกแลตก็ได้เผยโฉมต่อสังคมของอายรธรรมใหม่ครั้งแรก ในงานสมรสของเชื้อพระวงศ์แห่งฝรั่งเศสและจากนั้นก็จึงแพร่หลายเข้าสู่อังกฤษในเวลาต่อมาในปี 1765 ช็อคโกแลตได้เดินทางไกลอีกครั้งไปสู่สหรัฐอเมริกาโดยการชักนำเข้าสู่วงการของ John Hanan ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก Dr. James Baker ในด้านการวิจัยและการผลิต ไม่นานโรงงานผลิตช็อคโกแลตก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศอเมริกานั่นเอง ในช่วงแรกๆ นั้นผู้ที่จะได้ลิ้มรสช็อคโกแลตจะเป็นเพียงผู้สูงศักดิ์หรือ ระดับเศรษฐีเท่านั้นเพราะว่าราคาแพงมากและถือเป็นของหายากชนิดหนึ่ง แต่เมื่อเข้ามาสู่ยุคอารยธรรมใหม่ มีการปฏิวัติในฝรั่งเศสทำให้ระบบศักดินาล่มสลายลง และช็อคโกแลตก็เข้าถึงประชาชนทั่วไปมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ค้นพบว่า ช็อคโกแลตสามารถรักษาอาการเกี่ยวกับช่องท้องได้ทำให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น
ช่วงแรกนั้นช็อคโกแลตยังไม่ได้มีส่วนประกอบมากมายอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ยังคงเป็นเพียงแท่งโกโก้เท่านั้น แต่เมื่อมีการค้นคว้ามากขึ้นก็สามารถบรรจุส่วนผสมต่างๆ ลงไปได้มากขึ้น เช่น นมผง ครีม คาราเมล หรือ อัลมอนด์ ทำให้ช็อคโกแลตมีรสชาติที่หลากหลายและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมาจนบัดนี้ ปัจจุบันนี้เรายกย่องกันว่าประเทศเบลเยี่ยมนั้นเป็นแหล่งผลิตช็อคโกแลต ที่ดีที่สุดในโลก คนที่ทำหน้าที่ในการผลิตช็อคโกแลตนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นช่างฝีมือประจำชาติเลยทีเดียว น่ายินดีนะคะนอกจากจะเป็นประเทศที่ ผลิตระฆังได้ดีที่สุด (เบลล์=ระฆัง) แล้ว ก็ยังผลิตช็อคโกแลตได้เป็นเยี่ยมอีกอย่างหนึ่งด้วย จากตำนานของช็อคโกแลตที่นาวนานหลายพันปีนั้น ยังไม่เห็นว่าจะมีส่วนใดมาเกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์ซึ่งเป็นวันสิ้นชีวิตของ St. Valentine ผู้ที่ศรัทธาในความรักมากกว่าสงครามเลย เพราะก่อนที่ท่านจะสิ้นลมหายใจ ท่านก็ได้มอบเพียง การ์ดใบเดียวพร้อมคำว่า "Love From Your Valentine" เท่านั้นเอง ไม่มีช็อคโกแลตแนบไปด้วยแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ก็อาจจะเป็นได้ว่า เนื่องจาก ในยุคโรมันที่นักบุญวาเลนไทน์ได้เสียชีวิตนั้น ช็อคโกแลตยังเป็นของหายากจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่คนรักจะมอบแทนใจให้กันได้ จึงส่งไปพร้อมการ์ดและดอกไม้ ซึ่งสื่อความหมายของความรักมาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ได้ และอาจจะรวมไปถึง การที่ช็อคโกแลตเคยเป็นสัญลักษณ์ของ เสรีภาพ มิตรภาพ และสันติภาพ ในช่วงที่ สงครามโลกครั้งที่2สิ้นสุดลงด้วก็ได้
แม้หลายคนจะกังวลว่า "กินช็อคโกแลตวันนี้ จะอ้วนพีในวันหน้า" ก็ยังไม่วาย เผลอ เห็นใกล้มือเมื่อไหร่ก็คว้าเข้าปากง่ายๆ แบบลืมตัวอยู่เสมอๆ บางคนก็บอกว่าช็อคโกแลตสามารถเพิ่มพลังทางเพศได้ ก็อาจจะเป็นได้ เพราะน้ำตาลในช็อคโกแลต ไปกระตุ้นการทำงานของก้านสมองที่ควบคุม Basic Instinct ของมนุษย์ ให้ทำงานได้ก้าวหน้ากว่าสมองจริงๆ ก็ได้นะคะ แม่อบเชยหวังว่าข่าวนี้จะไม่แพร่ ออกไปก่อนวาเลนไทน์หลายวันนัก เกรงเหลือเกินค่ะว่า ช็อคโกแลตจะขาดตลาด หนุ่มสาวหลายคู่อาจจะพลาดการให้ช็อคโกแลตกันในวันวาเลนไทน์ เพราะหาก ช็อคโกแลตทำหน้าที่ได้คล้ายไวอากร้าแต่ราคามหาชนอย่างนี้มีหวังเกิดการกักตุน กันแน่นอนเลยค่ะ ชนิดของช็อคโกแลต
ช็อคโกแลตในโลกนี้ไม่ได้มีอยู่แค่ชนิดเดียว แต่มีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีรสชาดและความหอมหวานที่แตกต่างกันไป รวมทั้งสีก็ต่างกันในแต่ละชนิด มีทั้งที่เป็นสีน้ำตาลอย่างที่เราคุ้นเคยกันอยู่ และสีขาวที่ไม่น่าจะเป็นสีช็อคโกแลต แต่ก็อร่อยไม่แพ้กัน ลองมาดูกันซิว่าช็อคโกแลตมีอะไรบ้าง จะน่ากินแค่ไหน Chocolate Liquor เป็นผลผลิตจากเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียด แล้วนำมาคั้นเอาแต่น้ำ น้ำช็อคโกแลตนี้สามารถทำให้เย็นและทำให้แข็งตัวโดยใส่พิมพ์ไว้ แต่ช็อคโกแลตที่ได้เป็นชนิดที่ไม่หวาน น้ำช็อคโกแลตนี้จะมีส่วนผสมของโกโก้บัทเตอร์ประมาณ 53% Semi-Sweet (แบบหวานน้อย) ช็อคโกแลตชนิดนี้อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่ cocoa butter ลงไปด้วย สีของช็อคโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตรฐานของสหรัฐฯ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อคโกแลตประมาณ 35% และมีไขมันประมาณ 27% Milk Chocolate (ช็อคโกแลตนม) ช็อคโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter , นม และยังเพิ่มความหวานและรสชาดลงไปด้วย ช็อคโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อคโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อคโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12% Sweet Chocolate (ช็อคโกแลตชนิดหวาน) ช็อคโกแลตชนิดนี้จะเพิ่มความหวานลงไปมากกว่าช็อคโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อคโกแลตอย่างน้อย 15 % ช็อคโกแลตชนิดนี้ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนมและตกแต่งขนม และยังมีไขมันเท่าๆ กับช็อคโกแลตแบบหวานน้อย White Chocolate ช็อคโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล , cocoa butter , นมสด และ ใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย White chocolate นี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter Liquid Chocolate เป็นช็อคโกแลตที่ไม่หวาน ส่วนใหญ่จะบรรจุขายเป็นขวดๆ ละ 1ออนซ์ และเนื่องจากมันไม่ละลายจึงสะดวกในการใช้มาก โดยพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้ทำขนมอบ อย่างไรก็ดีเนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter ซึ่งเนื้อช็อคโกแลตจะแตกต่างกัน ปกติแล้วช็อคโกแลตชนิดนี้จะมีรสไม่หวาน Couverture ช็อคโกแลตชนิดนี้เป็นชนิดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือจะเป็นมันเงา โดยปกติจะมีส่วนผสมของ cocoa butter อย่างน้อยที่สุด 32% ทำให้มันสามารถคงตัวอยู่ในรูปของไขได้ดีกว่าชนิดเคลือบ ปกติแล้วจะใช้เฉพาะในร้านที่ทำขนมหวานเท่านั้น ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของส่วนที่เคลือบอยู่ภายนอกผลไม้หรือหุ้มไส้ช็อคโกแลตอยู่ Ganache ช็อคโกแลตชนิดนี้จะมีลักษณะข้นมาก เป็นที่นิยมนำไปทำเค้กช็อคโกแลต Ganache ทำโดยการหั่นช็อคโกแลตและใส่วิปปิ้งลงไปตีในครีมร้อนๆ ผสมกันจนช็อคโกแลตละลายและส่วนผสมข้นและแข็งขึ้น Confectionery Coating (เคลือบลูกกวาด) เป็นช็อคโกแลตที่ไว้เคลือบลูกกวาด โดยนำไปผสมกับน้ำตาล นมผง น้ำมันพืช และสารปรุงแต่งรสชาดต่างๆ มีสีสันหลากหลาย ลูกกวาดที่ได้นี้ผงโกโก้จะมีไขมันต่ำ แต่จะไม่มีส่วนผสมของ cocoa butter เหมือนชนิดอื่นๆ จึงแยกออกมาเป็นอีกประเภทหนึ่งได้
ประโยชน์ของช็อคโกแลต
เมื่อไม่นานมานี้ มีการรายงานผลการวิจัยเกี่ยวกับการบริโภคช๊อกโกแล็ต ขนมหวานยอดนิยมในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ที่ว่า ช๊อกโกแล็ตนั้น มีสาร antioxidant เป็นส่วนประกอบสำคัญ ทำให้ดูเหมือนว่า ช๊อกโกแล็ตเป็นอาหารเสริมสุขภาพ เสียมากกว่าจะเป็นของหวานทำลายสุขภาพ ซึ่งก็จริงอยู่ที่ว่า ช๊อกโกแล็ตนั้นมีส่วนช่วยป้องกัน ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหรือแม้กระทั่งมีคุณประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ แต่ถ้าหากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปแล้วละก็ จะทำให้มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน อันเป็นสาเหตุของโรคร้ายอีกหลายชนิด จากรายงานล่าสุดของ American Journal of Clinical Nutrition ระบุว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากการรับประทานช๊อกโกแล็ตนั้น จะมีความสัมพันธ์กับการได้รับปริมาณ ช๊อกโกแล็ตและโกโก้เพียงเล็กน้อย โดยเมื่อเรารับประทานช๊อกโกแล็ตดำประมาณครึ่งออนซ์ หรือแป้งโกโก้ที่ไม่ใส่น้ำตาล 1 ใน 4 ช้อนโต๊ะ ความสามารถในการ antioxidant ของร่างกายจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ และ LDL ซึ่งเป็น bad cholesterol ก็จะลดลงด้วย โดย antioxidant นั้นเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ทั้งโกโก้ และช๊อกโกแล็ต มีส่วนประกอบสำคัญเรียกว่า Flavonoid ซึ่งพบได้ในผักและชา Flavonoid นี้ สามารถป้องกันเซลของร่างกาย ไม่ให้ทำปฏิกริยากับอณูที่เรียกว่า Free Radical ซึ่งเป็นตัวการในการของโรคหัวใจและการก่อให้เกิดเซลมะเร็ง นอกจากนี้ ยังมีรายงาน ของ Journal of Agricultural and Food Chemistry ที่ระบุว่าสาร Antioxidant ของโกโก้นั้น ให้ผลไม่ต่างจากชาดำและชาเขียว ในขณะเดียวกันบทความใน Experimental Biology and Medicine ก็ระบุว่า สาร Antioxidant ในโกโก้ และช็อคโกแลต ยังสามารถป้องกันเซลจากความเสียหาย อันจะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการพัฒนาเซลมะเร็ง อีกทั้งส่วนประกอบในโกโก้ ยังสามารถสกัดกั้นการเติบโตของเซลมะเร็งลำไส้ ในร่างกายมนุษย์ด้วย จาก//pirun.ku.ac.th
|
อรุณสวัสดิค่ะ คุณจิ๋ม