ไหว้พระ 9 วัดกับเขตจอมทอง : วัดไทร (จบ)
ความเดิมตอนที่แล้ว
เรือลำที่่ 9 กลับมาส่งชาวคณะที่ วัดไทร ซึ่งเป็นวัดสุดท้าย แต่เหมือนรายการจะจบเอาซะง่ายๆ ตรงนี้ เพราะน้องเจ้าหน้าที่เขตและน้องไกด์ ร่ำลาพวกเราและตัวกลับไปที่สำนักงานเขต ส่วนคณะนักท่องเที่ยว ก็ยังกินข้าวไม่เสร็จ เลยต้องมานั่งห้อยขา กินข้าวกันอยู่ที่ท่าน้ำนั่นแหละ
ที่นี่เคยเป็นตลาดน้ำที่ขึ้นชื่อมาก่อนนะ เพราะเคยทราบจากผู้ให้บริการเรือเช่าบอกว่า เส้นทางที่นักท่องเที่ยวจะล่องคลอง มี 3 เส้นทาง เข้าทางคลองบางกอกน้อย คลองบางกอกใหญ่ (คลองบางหลวง) สุดท้ายก็คือ คลองด่าน ...ซึ่งเส้นทางนี้จะแวะตลาดน้ำวัดไทร ฟาร์มจระเข้ .. แต่ว่าเป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยสวย ทำให้นักท่องเที่ยว (หรือที่จริงก็คือบริษัทนำเที่ยวนั่นแหล่ะ) ซาลงไป
ส่วนตัวตลาดน้ำวัดไทร (ที่เราไม่เคยไปมาก่อน) ก็ผันแปรขึ้นมาขายบนบก ก็ตรงหน้าวัด มันเป็นตลาดอยู่แล้วอ่ะ ...ไม่ต้องลงเรือขายกันแล้ว เรือที่แล่นไป แล่นมาในคลองสายนี้ ก็เป็นเรือเครือ น้ำกระจาย แล้วแม่ค้าจะมานั่งพายเรือขายของ เอาบรรยากาศได้ยังไง
กินข้าวกันอิ่มแล้ว ..ก็เดินพากันไปดู ตำหนักทองวัดไทร กันก่อน
ตำหนักทองวัดไทร หรือ ตำหนักพระเจ้าเสือ ตั้งอยู่ริมคลองสนามไชย (คลองด่าน) เป็นสถาปัตยกรรไม้สมัยอยุธยาที่สำคัญและเหลืออยู่เพียงไม่กี่หลัง ตามประวัติเชื่อว่าเป็นตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราธิบดี(พระเจ้าเสือ) พ.ศ.2245 2251 หรือของพระมหากษัตริย์ พระองค์ใดองค์หนึ่งในช่วงนั้นจนสิ้นกรุง ได้สร้างถวายรวมกับหมู่กุฏิสงฆ์โดยรอบตำหนัก (ถูกรื้อไปแล้ว) ในคราวเสด็จประพาสทางทะเล โดยใช้เส้นทางคลองด่านเป็นทางพระราชดำเนินผ่าน และมีการแวะพักกลางทาง ณ สถานที่แห่งนี้
ศาลาท่าน้ำนี้ได้เห็นแล้วแต่เช้า พร้อมกับศาลาพระรูปพระเจ้าเสือกับพันท้ายนรสิงห์ ก็อยากรู้ว่า มันเกี่ยวกับวัดไทร ยังไงเหรอ
ก็เลยเดินตัดวัดข้ามสะพานเล็กๆ มายืนอ่านป้าย และเข้าชมใกล้ชิด แบบขึ้นไปเหยียบพระตำหนักกันเลย อ้อ ...หลังจากไปไหว้พระเจ้าเสือกับนายสิงห์ที่ศาลก่อนนะ ข้างๆ ศาลก็มีเรือขุดและเรือกระบวนเก่า ตั้งโชว์ไว้ด้วย ไม่มีข้อมูลที่มาที่ไป
รูปแบบอาคาร เป็นอาคารไม้ทรงไทยขนาด 3 ห้อง (3 ช่วงเสา) มีชานข้างพร้อมบันไดปูน (สันนิษฐานว่าเป็นการต่อเติมภายหลัง) ภายในอาคารมีการตกแต่งด้วยลวดลายเขียนสีทั้งฝาและโครงหลังคา หลังบานประตูภายในห้องบรรทมเขียนเป็นรูปทวารบาล ฝาภายนอกมีการลงรักเขียนลายรดน้ำตกแต่งบ้านหน้าต่าง ประดับด้วยกระจกเกรียบสีเขียวและขาว
อาคารหลังนี้เชื่อว่าถูกบูรณะมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งปัจจุบันในปีพ.ศ.2545 กรมศิลปาการร่วมกับทางวัดได้ทำการบูรณะอาคารหลังนี้อีกครั้งตามหลังวิชาการ โดยมีการบูรณะโครงสร้างอาคารและชานข้างที่ชำรุด พร้อมปรับระดับพื้นล่างให้สูงขึ้น โดยคงสัดส่วนอาคารไว้เช่นเดิม พร้อมทั้งทำการอนุรักษ์ลายรดน้ำ จิตรกรรมที่เหลืออยู่ โดยทำความสะอาด เสริมความมั่นคงภาพ เพื่อสงวนรักษาและส่งต่อสมบัติของชาติอันมีค่ายิ่งชิ้นนี้ให้แก่ลูกหลานต่อไป
ลายรดน้ำบนฝาไม้ ยังเห็นชัดเจน กรอบหน้าต่างแกะลายงดงาม ตัวเรือนก็แข็งแรงดี ทำให้เราขึ้นไปยืนพิจารณาดูลักษณะเรือนไทยได้ชัดๆ ว่าหลังคาสูง เข้าไม้ยังไง ลักษณะการแบ่งห้องเป็นยังไง แต่ส่วนพื้นที่ห้องบรรทม ไม่ได้เปิดให้เข้าไปชมนะ เรามองดูพื้นที่จากภายนอก ..รู้สึกว่าห้องแคบชะมัด ...ก็แต่พักชั่วคราวนี่เนอะ ...
ชื่นชมเรือนไทยโบราณกันแล้ว ก็ย้อนกลับเข้าวัดไทรกันอีกครั้ง ตั้งใจว่าวัดสุดท้ายคงได้ใช้เวลานานหน่อย ชมให้ทั่วๆ วัด
เดินผ่านหอกลองแบบโบราณ และทึบทึมมาก .. ถ้าเข้าไปตีกลอง เสียงคงกังวาลพิลึกเลยล่ะ
มาถึงหน้าโบสถ์ ปรากฎว่า โบสถ์ปิดแล้ว ก็เลยต้องยกมือวันทา กราบนมัสการในใจแทน
วัดไทรเป็นวัดที่มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังที่ยังปรากฏหลักฐานพระพุทธรูปสลักหินทรายสีแดง ปางสมาธิ ปางมารวิชัย พระพุทธรูปทรงเครื่อง อยู่ในพระวิหาร และมีใบเสมาสลักหินทรายสีแดง อยู่ด้านตะวันตกของพระอุโบสถ เหลืออยู่ 1 หลัก วัดไทรได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อประมาณ 2251 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 8.15 เมตร ยาว 16.15 เมตร
เป็นอันว่า เราไม่ได้เข้าชมอะไรเลย ...แม้แต่ระเบียงโบสถ์ก็ไม่ได้ย่างเหยียบ ได้แต่เดินวนและเก็บภาพมานิดหน่อย ก็ในเมื่อเข้าไม่ได้จะอยู่ำทำไมล่ะ แสงแดดแผดกล้าขนาดนั้น ...สะท้อนกระเบื้องที่ประดับผนังโบสถ์จนแสบตา งั้นก็ ..แยกย้ายกันกลับบ้านละกัน นะ
ปล. ข้อมูลวัดไทร >>//arcbs.bsru.ac.th/local/jt/jt_s.pdf
อ่านทริปเดียวกันนี่ที่ Blog นู๋เมี่ยง ก็ได้นะ ตอนแรก / ตอนจบ
Create Date : 21 เมษายน 2553 |
|
18 comments |
Last Update : 21 ธันวาคม 2553 23:33:07 น. |
Counter : 2009 Pageviews. |
|
|
|
ดีจังเลยที่คุณนัทธ์ได้มีโอกาสไปเที่ยวกับรายการดีๆอย่างนี้ อ่านแล้วชอบมากเลยล่ะค่ะ
ขอบคุณนะคะที่เอามาฝากกันค่ะ