<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
11 กรกฏาคม 2553
 

ทริปแข่งถ่ายภาพ "สนามกาญจนบุรี" : ทางรถไฟสายมรณะ



ความเดิมตอนที่แล้ว

กาญจนบุรี ตั้งอยู่ภาคกลางของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางตะวันตก 129 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 19,483.148 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 12,176,967.5 ไร่ ภูมิประเทศส่วนใหญ่ เป็นป่าโดยเฉพาะชายแดนที่ติดกับพม่ายังมีสภาพเป็นป่าดงดิบ ซึ่งมีสัตว์ป่านานาชนิด อาศัยอยู่ เป็นจำนวนมาก แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 10 อำเภอ และ 3 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอบ่อพลอย อำเภอเลาขวัญ อำเภอพนมทวน อำเภอไทยโยค อำเภอสังขละบุรี อำเภอศรีสวัสดิ์ อำเภอท่ามะกา อำเภอท่าม่วง อำเภอทองผาภูมิ กิ่งอำเภอด่านมะขามเตี้ย กิ่งอำเภอหนองปรือ และกิ่งอำเภอห้วยกระเจา


ณ สถานีถ้ำกระแซที่คณะช่างภาพลงมานั้น ก็เดินเข้า "สวนไทรโยค" ได้เลย
ที่นี่เป็นรีสอร์ทที่ติดแม่น้ำแควและได้มุมมองของ "สะพานรถไฟสายมรณะำ" ชัดเจน
จึงได้เป็น โจทย์แรกของการแข่งขัน
หลังจากกินมื้อกลางวัน (ค่อนบ่าย) กันอย่างอิ่มอร่อยแล้ว ..ก็ต้องเร่งกระจายตัวไปเก็บภาพ
มีเวลาให้คิดและถ่ายภาพเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
เราก็เดินตามคนอื่นๆ ไป


เราเลือกภาพนี้เข้าประกวด


แต่ละคนก็หามุมกล้องตามแต่จะคิดกัน ทั้งใต้รางรถไฟ บนรางรถไฟ
หรือกระทั่งลงไปยื่นเสี่ยงตายกัน สนุกสนานกันดี
...มีฝนโปรยปรายของมาเล็กน้อย
เราคิดอะไรไม่ค่อยออก ก็เลยกดชัตเตอร์เก็บภาพไปเรื่อยเปื่อย
วิวแม่น้ำ วิวทางรถไฟ และเก็บบรรยากาศไปพลางๆ ด้วย



เหตุการณ์ที่ทำให้กาญจนบุรีมีชื่อเสียงไปทั่วโลก คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นตัดสินใจสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ จากชุมทางหนองปลาดุกในประเทศไทย ไปยังเมืองทันบีอูซายัตในพม่า โดยเกณฑ์เชลยศึกและแรงงานจำนวนมากมาเร่งสร้างทางรถไฟอย่างหามรุ่งหามค่ำ จนทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ทั้งจากความเป็นอยู่ที่ยากแค้นและโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้า ซึ่งภาพและเรื่องราวของความโหดร้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรากฏอยู่ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในกาญจนบุรี


ระหว่างเดินถ่ายภาพบนทางรถไฟ รำลึกถึงความเป็นมาของสะพานแห่งนี้ตามประวัติศาสตร์ที่ได้เรียนมา
สะท้อนใจกับเรื่องราวของสงครามในยามนั้น
กว่าจะได้เส้นทางรถไฟสายนี้มาให้ใช้งานจนถึงปัจจุบัน เราย่ำบนหยาดเหงื่อและหยาดน้ำตาของเชลยศึกกันไปเท่าไหร่แล้ว

ถ่ายภาพบนสะพานกันพอสมควรแล้ว ทีมงานก็ส่งเสียงผ่านโทรโข่งเตือนให้ลงจากสะพาน
รถไฟกำลังจะผ่านเส้นทางนี้ ...ช่างภาพก็ทะยอยถอยมาตั้งหลักหามุมกล้องด้านล่าง



ขบวนรถไฟผ่านไป ...บรรดาช่างภาพก็เก็บอุปกรณ์ขึ้นรถบัส
เดินทางไปยังจุดหมายที่จะเป็นโจทย์ที่ 2 ต่อไป




โปรดติดตามตอนต่อไป


Create Date : 11 กรกฎาคม 2553
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 22:41:59 น. 12 comments
Counter : 1349 Pageviews.  
 
 
 
 
อารมณ์แบบนี้ ต้องขาเดียวกันนะค่ะหนิ
ถึงจะไปด้วยกันได้ เพลินๆ ชิลๆ เป็นอะไร
ที่น่าปรารถนาจริงๆ ค่ะคุณนัทธ์
 
 

โดย: JewNid วันที่: 11 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:52:41 น.  

 
 
 
ยังดูไม่จุใจเลยตามตอนหน้าอีกละ
แต่ของดีต้องใจเย็นๆ เนาะ
ชอบรูปแรกกับสุดท้ายค่ะ
โดยเฉพาะสุดท้ายนี่ลั่นทมเด่นเลยล่ะ
 
 

โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 11 กรกฎาคม 2553 เวลา:18:09:46 น.  

 
 
 
คุณพู่ >> ใช่ค่ะ ..ไปแบบไม่มุ่งมั่นมากนัก เหมือนเป็นผู้สังเกตการณ์ ก็สนุกดีล่ะ

คุณส้ม >> ตอนแรกจะต่อโจทย์ 2 แต่รูปช่วงนั้นมันเยอะ กลัวว่าจะ load กันช้า...ยกยอดไปครั้งหน้าเลยดีกว่า
 
 

โดย: นัทธ์ วันที่: 11 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:39:12 น.  

 
 
 
ภาพที่สองนั่น ถ้ารถไฟมาตอนกำลังถ่ายภาพกันอยู่แบบนั้น จะไปหลบตรงไหน เห็นแล้วกลัวแทนเลย
 
 

โดย: ลุงแอ๊ด วันที่: 11 กรกฎาคม 2553 เวลา:20:00:26 น.  

 
 
 
คุณลุงแอ็ด >> ในวันนั้นมีช่างภาพคนนึง หลบซุกข้างไม้หมอน เพื่อเก็บภาพตอนขบวนรถแล่นมาด้วยค่ะ
แต่รถไฟขบวนที่แล่นบนสะพานรถไฟสายมรณะนี้ ส่วนใหญ่จะแล่นช้ามาก
เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ดูวิวเสียวๆ นอกหน้าต่าง
แต่การถ่ายรูปเสี่ยงตายขนาดนี้ ก็เกินไป ...ทำเอาทีมงานเสียวไปด้วย
 
 

โดย: นัทธ์ วันที่: 11 กรกฎาคม 2553 เวลา:20:24:15 น.  

 
 
 

แจมด้วยคนนะคะเห็นทริปคุณเดินบนรางรถไฟ
ทริปพี่อุ้มอยู่บนรถไฟค่ะ


เข้าสู่ตอนที่ 5
ของรถไฟสายมิตรภาพที่อบอุ่นของพวกเรา
คราวนี้เป็นเส้นทางรถไฟสายมรณะค่ะ


หากนับหมอนหนุนรางรถไฟมีเท่าไหร่
จำนวนผู้คนเชลยศึก
ที่ถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟสายนี้ก็ตายไปเท่านั้น
นี่คือคำเล่าขานถึงเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์
ระยะทางกว่า 415 กิโลเมตร
คือ ความโหดร้าย ทารุณ และความยากลำบาก
ที่เชลยศึกได้รับ
จนได้รับการขนานนามว่าเส้นทางรถไฟสายมรณะ


ย้อนกลับไปเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484
สงครามแปซิฟิกเริ่มก่อตัวขึ้น
กองทัพญี่ปุ่นบุกโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เกาะฮาวาย
และบุกเข้ามาเลเซียตอนกลางปี 2485
จากนั้นกองทัพญี่ปุ่นต่อสู้กับกองทัพอังกฤษในพม่า
แต่เป้าหมายหลักคือการเข้ารุกรานประเทศอินเดีย


แต่ญี่ปุ่นรู้ดีว่า
หากใช้เส้นทางเดินเรือขนอาวุธยุทโธปรณ์นั้น
เสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางอากาศ
จึงตัดสินใจสร้างทางรถไฟตัดผ่านประเทศไทย
ที่ขณะนั้นเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น
เริ่มต้นจากบ้านหนองปลาดุก อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
ผ่านจ.กาญจนบุรีไปสู่ชายแดนไทยพม่า
ตรงด่านพระเจดีย์สามองค์
ไปเมืองตันบีอูซายัดในพม่า


งานก่อสร้างในตอนแรกนั้น
ใช้แรงงานกรรมกรที่รับจ้างด้วยความสมัครใจ
แต่ความยากลำบาก โรคระบาด
ทำให้กรรมกรต้องเสียชีวิตนับหมื่นคน
และพากันละทิ้งงานจำนวนมาก
กองทัพญี่ปุ่นจึงใช้เชลยศึกชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย
ไอร์แลนด์ ดัตท์ และอเมริกัน ประมาณ 60,000 คน
ทำการก่อสร้างต่อไป
จนแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2486
รวมระยะเวลาการก่อสร้างเพียง 10 เดือนเท่านั้น !!!


ญี่ปุ่นต้องสังเวยชีวิตของเชลยศึกฝ่ายพันธมิตร
จำนวน 12,599 ราย
เชื่อกันว่ามีแรงงานที่เป็นพลเรือนเสียชีวิตราวๆ 80,000 คน
นับๆ ดูแล้วเกือบแสน
สาเหตุเนื่องมาจากการขาดแคลนอาหาร
ที่เชลยจะได้กินเพียงข้าวกับปลาแห้งเพียงเล็กน้อย
หมอไม่พอ
และยังได้รับการปฏิบัติอย่างป่าเถื่อนโหดร้าย
จากผู้คุมเชลยศึกและผู้ควบคุมทำทางรถไฟ


แต่แล้วเมื่อทางรถไฟเสร็จ
ญี่ปุ่นไม่มีแม้แต่โอกาสได้ใช้เส้นทางสายนี้
ด้วยว่าต้องยอมจำนนต่อสงครามที่พ่ายแพ้
เพราะระเบิดปรมาณูของฝ่ายพันธมิตร
ได้ทำลายเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิอย่างย่อยยับ
จึงยอมเซ็นสัญญาสงบศึกในวันที่ 11 สิงหาคม 2488


เมื่อสงครามสิ้นสุดลง
การรถไฟแห่งประเทศไทย
ได้ขอซื้อเส้นทางรถไฟสายนี้จากพันธมิตร
เป็นจำนวนเงินถึง 50 ล้านบาท
ส่วนที่ถูกระเบิดพังเสียหายภายในช่วงสงคราม
รัฐบาลญี่ปุ่นได้ซ่อมแซมสะพานให้ใหม่
เพื่อเป็นการใช้หนี้สงคราม


วันนี้ทางรถไฟสายมรณะ
ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนอายุครบ 67 ปี
สภาพของเส้นทางเปลี่ยนแปรไปตามกาลเวลา
แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
นั่นก็คือ
สงครามไม่เคยให้อะไรนอกจากความสูญเสียเท่านั้น


ที่หยุดรถไฟถ้ำกระแซ
ตั้งอยู่ต.ลุ่มสุ่ม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
เป็นที่หยุดรถของทางรถไฟสายมรณะ
บริเวณสะพานถ้ำกระแซ
ซึ่งเป็นสะพานไม้เลียบหน้าผา
ที่มีความยาวกว่า 450 เมตรค่ะ


ซึ่งเมื่อรถไฟแล่นมาถึงสะพานที่ถ้ำกระแซนี้
คนขับรถไฟจะแล่นอย่างช้าๆ ให้ถ่ายรูปค่ะ


สถานีรถไฟถ้ำกระแซ
เป็นสถานีรถไฟที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี


ไม้หมอนแต่ละท่อนของเส้นทางรางรถไฟ
หวนคิดถึงความยากลำบากของคนทำทางในอดีต


ออกจากสถานีข้างทางรถไฟ
จะพบกับหลุมระเบิดโบราณที่ยังทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็น
ว่าบริเวณนี้เคยผ่านการทำสงครามมาก่อน


ลูกระเบิดและหลุมระเบิด
ยังมีให้เห็นถึงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามค่ะ


บริเวณติดกับสถานีรถไฟถ้ำกระแซ
จะพบกับถ้ำกระแซซึ่งตัวถ้ำตื้นและตัน
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหลวงพ่อกระแซ
ให้ได้เข้าไปกราบไหว้สักการะบูชา
แต่เนื่องจากเราอยู่บนรถไฟก็ไหว้บนรถไฟละกันเน๊าะ


หลังจากนั้นคนขับรถไฟ
ก็พาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตรงไปเลี้ยวขวาเลี้ยวซ้าย
แล้วก็ถึงน้ำตกไทรโยคน้อยเจ้าค่ะ
เก็บภาพน้ำตกไทรโยคน้อยมีให้ชมตอนที่ 6 เน๊าะ

 
 

โดย: อุ้มสี วันที่: 11 กรกฎาคม 2553 เวลา:20:39:46 น.  

 
 
 
ถ้าเกะกะก็ลบทิ้งได้นะคะ
 
 

โดย: อุ้มสี วันที่: 11 กรกฎาคม 2553 เวลา:20:41:42 น.  

 
 
 
เป็นสถานที่ท่องเทียวเต็มไปด้วยความเศร้าจริงๆเลยครับ
 
 

โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 11 กรกฎาคม 2553 เวลา:22:06:53 น.  

 
 
 
คุณอุ้มสี >> ไม่เกะกะค่ะ ถือว่าเพิ่มเติมข้อมูลให้เพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่าน blog
นี้

คุณชาญ >> เศร้าค่ะ และเศร้าๆ แบบนี้มีทั้งหนังให้ดู และหนังสือให้อ่านอีกด้วย (ยังไม่ได้อ่าน 'อาทิตย์อุทัยดั่งสายฟ้า')
 
 

โดย: นัทธ์ วันที่: 12 กรกฎาคม 2553 เวลา:7:25:17 น.  

 
 
 
มาตอบนะคะคุณนัทธ์

จริง ๆ แล้ว หวานเย็นว่าไม่จำเป็นหรอกค่ะ แต่ถ้าต้องการเข้าใจวิถีของเซนมากขึ้นล่ะก็ อ่านมังกรเซนควบด้วยก็ดีค่ะ แต่โดยปกติแล้วสองเรื่องนี้ไม่ใช่งานภาคต่อของกันและกันนะคะ เพียงแต่สี่ฤดู, ทั้งชีวิต จะเป็นหนังสือรวมบทกวีไฮกุ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเซนน่ะค่ะ เมื่ออ่านแล้วยังคาใจกับเซนว่าเป็นมาอย่างไร สามารถหาอ่านได้ในมังกรเซนค่ะคุณนัทธ์
 
 

โดย: หวานเย็นผสมโซดา วันที่: 12 กรกฎาคม 2553 เวลา:9:56:30 น.  

 
 
 
คลาสิกจังค่ะ ชอบมากเลย ทางรถไฟ
เสียดายไม่ได้อยู่แถวนั้น ไม่ได้มีโอกาสไปร่วม
และก็คงร่วมลำบากค่ะ อยู่ ตจว.
ทริปแบบนี้นอกจากจะสนุกแล้วยังได้ความรุ้ ได้ฝึกฝนด้วยนะ
 
 

โดย: maru วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:14:06:28 น.  

 
 
 
ฮู้ พวกพี่ๆเก่งจัง

ถ่ายรูปก้อสวย

^^
 
 

โดย: พลอย IP: 192.168.1.25, 223.204.217.214 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:16:47:26 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

นัทธ์
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]





รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน
เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว
มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้



สงวนลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539

ห้ามผู้ใดละเมิด
โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้
และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต
เป็นลายลักษณ์อักษร

New Comments
[Add นัทธ์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com