|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
ชม : วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) - Part I
เพียงแค่ได้เห็นจดหมายข่าวจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เชิญร่วมกิจกรรม บรรยายและนำชม ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ "วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า)" เราก็พยายามล๊อคเวลา และสะกัดกั้นที่อาจเป็นอุปสรรค์ขัดขวางการร่วมกิจกรรมนี้ แล้ววันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 ก็จรลีมุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
นัดหมายลงทะเบียนเวลา 9 โมงเช้า ..เราก็ค่อยๆ เดินจากท่าพระจันทร์ ตัดเข้าธรรมศาสตร์ แล้วมาถึงจุดนัดหมายก่อนเวลา ... ระหว่างรอเพื่อนร่วมทริป...ก็เตร็ดเตร่ถ่ายภาพในบริเวณพิพิธภัณฑ์เล่นๆ ตามประสาช่างภาพมือใหม่อ่ะนะ ต้องฝึกมุมมอง ฝึกใช้กล้องไปเรื่อยๆ
พอได้เวลา เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการชี้แจ้งความเป็นมา และแนะนำวิทยากร คุณณัฏฐภัทร จันทวิช ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมศิลปากร เป็นวิทยากรนำชม เราเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามท่านมาบ้างแล้ว เพิ่งได้รู้จักหน้าค่าตาก็วันนั้นเอง
ก่อนอื่นก็ต้องมาทำความรู้จักกับสถานที่ซะก่อน
วัดบวรสถานสุทธาวาส หรือ วัดพระแก้ววังหน้า เป็นวัดในพระราชวังบวรสถานมงคล เช่นเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามภายในพระบรมมหาราชวัง และด้วยเหตุที่เป็นวัดในวัง ดังนั้น จึงไม่มีพระภิกษุจำพรรษา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ซึ่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่การยังไม่แล้วเสร็จพระองค์เสด็จทิวงคตเสียก่อน การก่อสร้างวัดพระแก้ววังหน้าจึงมาก่อสร้างแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและได้รับพระราชทานนามว่า วัดบวรสถานสุทธาวาส ปัจจุบัน วัดบวรสถานสุทธาวาสตั้งอยู่ในสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป เป็นวัดที่ไม่มีการประกอบสังฆกรรมใด ๆ และถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีไหว้ครู พิธีครอบครู และพิธีมงคลต่าง ๆ ของบรรดานาฏศิลปิน ดุริยางคศิลปินและกรมศิลปากร
รู้จักพอคร่าวๆ แล้วก็เดินตามวิทยากร ตัดสนามในพิพิธภัณฑ์ ผ่านโรงละครแห่งชาติ เข้าประตูข้างที่เชื่อมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ก็แลเห็นอาคารจตุรมุข ตรงหน้า ...ถึงแล้ว "วัดพระแก้ววังหน้า"
เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดในวังหน้าให้แล้วเสร็จนั้น ทรงมีพระราชดำริจะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษษฐานเป็นพระประธาน จึงโปรดให้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนัง เรื่อง ตำนานพระพุทธสิหิงค์ ภาพพุทธประวัติอดีตพระพุทธเจ้า 27 พระองค์ บนผนังทั้งสี่ด้าน
ดังนั้น เมื่อเราก้าวเท้าข้ามธรณีประตูสู่ภายในพระอุโบสถ ซึ่งปกติไม่เปิดให้ชมนั้น เราจึงตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง ที่ได้เห็นความสวยงามของภาพจิตรกรรม เต็มทั่วผนังทุกด้านเลยทีเดียว ...งานนี้ ต้องเดินชมกันยาวซะแล้ว
ตรงกลางมุขด้านทิศตะวันตก ตั้งบุษบกประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานอภัยสองพระหัตถ์ บุษบกไม้จำหลักทรงสี่เหลี่ยมสูงโปร่งสามด้าน มีผนังด้านหลังเพียงด้านเดียว บนผนังประดับลายรดน้ำเป็นลายพันธุ์พฤกษา เสาทั้งสี่แกะสลักลายลงรักปิดทองประดับกระจกสี หลังคาทรงปราสาท ตัวบุษบกซ้อนอยู่บนฐาน 3 ชั้น ฐานบุษบกชั้นล่างเป็นฐานเท้าสิงห์มีฐานบัวซ้อน 2 ชั้น หรือเรียกว่า ฐานบัวเท้าสิงห์ พระพุทธรูปยืนมีพระพักตร์รูปไข่ พระนลาฎกว้าง พระปรางสูง พระขนงโก่ง พระนาสิกเป็นสัน พระโอษฐ์อิ่ม พระเนตรทอดมองต่ำ เม็ดพระศกเล็ก เป็นรูปกก้นหอยเวียนขวา พระอุษณีษะเป็นต่อมสูง พระรัศมีเป็นเปลว ครองจีวรห่มเฉียง สบงยาวถึงข้อพระบาท ด้านหน้าจีบทบ ประทับยืนบนฐานกลมรูปดอกบัว จากลักษณะประติมานวิทยา แสดงว่าเป็นพระพุทธรูปในแบบศิลปะพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3
พอนั่งนิ่ง ฟังบรรยายถึงองค์พระพุทธรูป และภาพจิตรกรรมบนผนังด้านต่างๆ รวมทั้งบนทวารบาลแล้ว ชาวคณะก็แยกย้าย กล้องใครกล้องมัน มุมใครมุมมัน กดชัดเตอร์กันเป็นการใหญ่ แล้วก็ถกกันถึงเรื่องและตำนามที่ปรากฎอยู่ในภาพนั้นๆ ...นี่คือความสนุกสนานของการเที่ยวชมศิลปวัฒนธรรมในแบบที่เราชอบ เราเองก็พยายามเดินเก็บภาพให้ทั่วๆ เช่นกัน เพราะตั้งการเก็บไว้เป็นหลักฐาน และไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสให้เข้าชมภายในอย่างนี้อีกหรือไม่ วิธีการถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนัง ต้องระวัง "อย่าใช้แฟลต" และต้องระมัดระวังตัวเอง ไม่ให้ยืนมือไปแตะต้อง หรือกระทบกับภาพเด็ดขาด หากยังต้องการให้คนรุ่นหลังได้ชมความงดงามของฝีมือช่าง ก็ต้องระวังกันหน่อย
ภาพผนังส่วนบนด้านหลังพระประธาน วาดเป็นภาพจักรวาล มีวิมานเทวดาลอยอยู่ ท่ามกลางปุยเมฆ ต่ำลงมาเป็นภาพเทวดาเหาะลงมา ด้านขวาวาดภาพสุริยเทพทรงรถเทียมราชสีห์ ด้านซ้ายวาดภาพพระจันทร์ทรงทรงเทียมม้า
ผนังพระอุโบสถอีก 3 ด้าน เขียนภาพเล่าเรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์ฉบับโพธิรังษี จิตรกรรมฝาผนังนี้วาดโดยจิตรกรหลายคน ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัศรพงศ์ ทรงเป็นแม่กองคัดเลือกช่างในกรมของพระองค์เองมาร่วมกันวาด ช่างที่มีฝีมือดี มีชื่อเสียงในยุคนั้น เช่น พระอาจารย์แดง จากวัดหงส์รัตนาราม และนายมั่น
แม้ว่ากล้องของเราจะตัวเล็ก ขาตั้งกล้องก็ไม่ได้ติดมาด้วย เราก็พยายามยืนนิ่งๆ ขาตั้งมั่น ปรับฟังก์ชั่นให้เหมาะ เพื่อเก็บความงดงามเหล่านี้ให้ดีที่สุด สั่นไหวน้อยที่สุด
ภาพจิตรกรรมอีกชุดคือ เรื่องอดีตพระพุทธเจ้า 27 พระองค์ อันนี้คงต้องอ่านหนังสืออีกหลายเล่มกว่าจะเข้าใจ ... เอาสั้นๆ เลยว่า เราอยู่ในยุคของ "ภัทรกัลป์" มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ 4 องค์ คือ พระกุกุสันโธพุทธเจ้า พระโกนาคมน์พุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า และพระโคดมพุทธเจ้า และจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในภายภาคหน้า คือ พระศรีอาริยเมตไตรโพธิสัตว์
ดูจิตรกรรมฝาผนังแต่ละวัด ...มีเรื่องให้เรียนรู้และค้นคว้าหาอ่านเพิ่มเติมเยอะมาก ทั้งเรื่องพุทธประวัติ เรื่องอดีตพุทธเจ้า เรื่องไตรภูมิ และตำนานต่างๆ รวมทั้งยังมีเรื่องราวชีวิต ความเป็นอยู่ และภาพสังคม บันทึกอยู่ในภาพเหล่านั้นด้วย
ชักจะเยอะไปแล้ว ....เอาไว้ไปดูภาพจิตรกรรมชุดสุดท้าย และสถาปัตยกรรมภายนอก ใน blog ต่อไปแล้วกันนะคะ
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล. เนื้อหาความรู้เรียบเรียงจากเอกสารประกอบการบรรยายและนำชม
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2555 |
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2555 20:10:31 น. |
|
4 comments
|
Counter : 2996 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: find me pr วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:19:26:03 น. |
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:0:26:31 น. |
|
| |
|
นัทธ์ |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]
|
รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้ และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
|
|
|
|
|
|
ผมเคยไปเรียนศิลปะช่วงสั้นๆที่ช่างศิลป์ แวะเวียนอยู่รอบๆ แต่ไม่เคยเข้าไปชมเลย ได้เห็นคุณนัทนำมาเผยแพร่เช่นนี้ นับว่าเป็นวิทยาทานให้กับคนที่อยากรู้อยากเข้าใจความเป็นมา ซึ่งแม้แต่ชื่อวัดดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในความคุ้นเคยเลย อ่านบล็อกนี้คุ้มค่าจริงๆครับ