สารพันการดูแลยางรถยนต์
สารพันยางรถยนต์
1. รัน-อิน ต้องมีการรัน-อิน ยางใหม่ก็เช่นกันในช่วง 100-200 กิโลเมตรแรก ควรใช้ความเร็วไม่เกิน 80-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อให้โครงสร้างแก้มยางและหน้ายางมีการปรับตัว เพราะยางทุกเส้นถูกผลิตออกมาให้รับกับมุมแคมเบอร์ของล้อเท่ากับ 0 คือตั้งฉากกับพื้น แต่รถยนต์ทุกคันไม่ได้มีมุมแคมเบอร์เท่ากับ 0 มีทั้งแบะหรือหุบ ในช่วงแรกจึงต้องใช้เวลาให้หน้ายางสึกปรับตัวรับกับศูนย์ล้อ
2. ถ่วงล้อยางต้องหมุนนับพันรอบต่อนาที โดยเฉพาะล้อคู่หน้าที่มีการเลี้ยงด้วยจึงต้องมีการถ่วงสมดุล เพราะถ้าล้อคู่หน้าไม่ได้สมดุล มักมีอาการพวงมาลัยสั่นในบางช่วงความเร็ว และทำให้ลูกปืนล้อหรือช่วงล่างมีอายุการใช้งานสั้นลงด้วย
เมื่อเปลี่ยนยางใหม่หรือถอดยางออกจากระทะล้อ เพื่อสลับยางหรือเปลี่ยนยาง ต้องมีการถ่วงสมดุลใหม่เสมอ
เมื่อใช้งานไปสัก 40 - 50 % ของอายุการใช้งานยางควรถอดมาถ่วงสมดุล เพราะการสึกหรออาจไม่สม่ำเสมอกัน
ถ้าใช้วิธีถอดกระทะล้อออกมาถ่วงสมดุล แล้วยังมีอาการสั่นของพวงมาลัยบางช่วงความเร็ว ต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีถ่วงแบบจี้ คือไม่ต้องถอดล้อออกจากรถยนต์ เป็นการถ่วงสมดุลกระทะล้อ, ยาง, เพลาขับ, จานดิสก์เบรก, ลูกปืนล้อและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง แต่โดยทั่วไปการถอดล้อออกมาถ่วงภายนอกก็เพียงพอแล้ว
3. ลมยางแรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่น ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28-32 ปอนด์/ตารางนิ้ว (PSI)
สำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยางต้องใช้มาตรฐานที่ได้มาตรฐาน และวัดตอนที่ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย, ยางอ่อนทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และอัตราเร่งลดลงจากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น และหากลมยางอ่อนมากๆ จะทำให้โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีการสึกหรอบริเวณนอกซ้าย-ขวาของหน้ายางมากกว่าแนวกลาง
บางคนอาจจะคิดว่าถ้าอย่างนั้นเติมลมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะแรงดันลมยางที่มากเกินไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง จากหน้าสัมผัสที่ลดลง กระด้างและถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเสี่ยงต่อการระเบิด และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา
เดินทางไกล ควรเติมแรงดันลมยางแข็งกว่าปกติ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อป้องกันยางร้อนมากหรือแรงดันลมสูงเกินไปจนระเบิด อาจตรงข้ามกับความคิดผิดๆ ที่ว่าเมื่อเดินทางไกลยางหมุนด้วยความเร็วสูงและต่อเนื่อง ยางน่าจะร้อนและมีแรงดันลมเพิ่มขึ้น
จากหลักการของก๊าซ อากาศร้อนจะขยายตัว ทำให้แรงดันลมเพิ่ม จึงคิดว่าน่าจะลดแรงดันลมลงจากปกติ ซึ่งผิดเพราะหากมีการลดแรงดันยางลงในขณะที่เดินทางไกล ยางจะกลับร้อนและมีแรงดันสูงมาก เพราะแก้มยางจะบิดตัวมากจนร้อน และทำให้แรงดันลมสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว วิธีที่ถูกต้องคือเพิ่มแรงดันลมขึ้น 2-3 ปอนด์ เพื่อป้องกันการเปิดตัวของแก้มยางมากจนร้อน เป็นการป้องกันล่วงหน้า เช่น ยางที่มีแรงดันลม 32 ปอนด์มากกว่าปกติ 2 ปอนด์ เมื่อเดินทางไกลอาจจะมีแรงดันลมเพิ่มขึ้นจากความร้อนเพียง 2 ปอนด์ แต่ถ้าแรงดันลมเหลือ 28 ปอนด์ ยางจะบิดตัวมากและร้อนมากกว่าอาจมีแรงดันลมเพิ่มขึ้นถึง 5-6 ปอนด์ และก็เป็นลมที่มีความร้อนสูงกว่าการเติมลมแรงดันสูงเผื่อไว้
4. สลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร ควรสลับยางพร้อมกระทะล้อหน้า-หลังในแต่ละด้านเพื่อให้มีการสึกหรอใกล้เคียงกันทั้ง 4 เส้น เพราะยางคู่ที่ใส่กับล้อขับเคลื่อน จะมีการสึกหรอมากกว่ายางอีกคู่หนึ่ง อย่าลืมดูทิศทางการหมุนและถ่วงล้อใหม่ด้วย แนวทางการสลับยางและระยะทางที่เหมาะสม มักมีกำหนดในคู่มือประจำรถยนต์
ถ้าไม่สลับยางแล้วมีการสึกหรอไม่เท่ากัน หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยางครั้งละคู่หรือ 2 ล้อ เพราะทำให้ต้องเปลี่ยนสลับครั้งละคู่ไปเรื่อยๆ เสียเวลาและไม่ถูกต้อง
ในการเปลี่ยนยาง ไม่ควรใช้ยางต่างรุ่นดอกกันในแกนล้อเดียวกัน เพราะประสิทธิภาพการเกาะถนนจะแย่ลง ควรใช้ยางขนาดเดียวกันและรุ่นเดียวกันทั้ง 4 ล้อ
5. หมั่นตรวจสอบการสึกหรอของดอกยาง นอกจากตรวจสอบความลึกของดอกยางและสลับตามระยะทางแล้ว ยังต้องหมั่นสังเกตการสึกหรอที่ผิดปกติตลอดหน้ายางซึ่งมีหลายลักษณะ ถ้าหน้ายางสึกเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าศูนย์ล้อผิดปกติ แต่ถ้ามีการสึกไม่เรียบเสมอกันตลอดหน้ายางหรือสึกเป็นบั้งๆ อาจเกิดจากระบบช่วงล่าง ควรรีบแก้ไขเพราะมีผลต่ออาการทรงตัวของรถด้วย
6. หมดสภาพ ยางหมดอายุได้ในหลายลักษณะหลัก เช่น ดอกหมด,ไม่เกาะ, เนื้อแข็ง,โครงสร้างกระด้าง, แตกปริ, แตกลายงา, เสียงดังหรือแก้มยางบวม เกิดขึ้นเพียงลักษณะเดียวหรือควบคู่กันก็ถือว่าหมดอายุ ไม่จำเป็นต้องดอกหมดแล้วยางถึงจะหมดสภาพเสมอไป เพราะความลึกของดอกยางเกี่ยวข้องกับการรีดน้ำ ฝุ่นและโคลนเป็นหลัก
ส่วนประสิทธิภาพการเกาะถนนและการทรงตัว ขึ้นอยู่กับความแข็งของเนื้อยาง และโครงสร้างภายในยางรถยนต์ส่วนใหญ่จะเริ่มแข็งตัวขึ้นทีละนิด แต่จะรู้สึกได้ชัดเจนเมื่อผ่านการใช้งานไประยะหนึ่ง (ประมาณ 1 ปีหรือ 20,000 กิโลเมตร)
ตามพื้นฐานของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยางที่แพ้ความร้อน เมื่อเนื้อยางแข็ง ดอกยางก็ไม่ค่อยสึก แต่แรงเสียดทานระหว่างหน้ายางกับผิวถนนจะลดลง
หากเปรียบเทียบอัตราการสึกของดอกยางต่อระยะทาง แทบไม่มียางรุ่นไหนที่ดอกสึกเร็วขึ้นเมื่อผ่านการใช้งานไปแล้ว ส่วนใหญ่มักจะสึกช้าลงหรือแทบไม่สึกเลย เมื่อเนื้อยางแข็งกระด้างเต็มที่ ทดสอบง่ายๆ โดยใช้เล็บจิกลงบนเนื้อของหน้ายางเก่าเปรียบเทียบกับยางใหม่ๆ เนื้อยางเก่ามักแทบจิกไม่ลง
อายุการใช้งานของยางสำหรับเมืองไทย เฉลี่ยประมาณ 3 ปีหรือ 50,000-60,000 กิโลเมตร ก็ถือว่ายางเสื่อมสภาพแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและลักษณะการใช้งาน ถ้าใช้งานเกินระยะทางข้างต้น ควรพิจารณาอย่างละเอียดว่าสภาพของยางดีหรือไม่ เพราะพบว่า ยางรถยนต์ หลายรุ่นสามารถใช้งานได้นานกว่านั้น ควรหลีกเลี่ยงยางเก่าเก็บ เพราะจะทำให้ระยะเวลาในการใช้ยางสั้นลงไปอีก
ข้อควรระวัง
1. ไม่จอดทิ้งไว้นาน รถยนต์ที่ใช้งานน้อยจอดนิ่งอยู่กับที่ น้ำหนักของตัวรถทั้งหมดจะกดลงสู่ยางแต่ละเส้นในจุดเดียว โครงสร้างภายในและแก้มยางจะมีการยืดตัวและเสียความหยืดหยุ่น ยิ่งจอดนิ่งนานๆ โครงสร้างของยางยิ่งมีโอกาสเสียง่ายขึ้น ถ้าต้องจอดนานมากทุก 1 สัปดาห์ต้องสตาร์ทเครื่องและนำรถออกไปแล่นอย่างน้อย 2-3 กิโลเมตร หรือเดินหน้าถอยหลัง 5-10 เมตรหลายๆ ครั้งเพื่อให้แก้มยางและโครงสร้างของยางมีการขยับตัว 2. น้ำยาเคลือบ เป็นเรื่องปกติที่คนไทยที่รักสวยรักงาม น้ำยาเคลือบแก้มยางเพื่อเพิ่มความสวยงาม น้ำยาบางชนิดมีฤทธิ์ต่อเนื้อยางทำให้บวมหรือเปื่อยในระยะยาว ควรเป็นสารประเภทซิลิโคนจะปลอดภัยกว่า
ที่มา : //v2.one2car.com
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ความสำคัญของดอกยางรถยนต์ 11 ข้อน่ารู้ สำหรับยางรถยนต์ มานับอายุขัยของยางกันเถอะ
สารบัญ รู้เรื่องรถ
Create Date : 14 มกราคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 8 ธันวาคม 2554 22:45:09 น. |
Counter : 1148 Pageviews. |
|
|
|