Group Blog
 
 
มกราคม 2552
 
14 มกราคม 2552
 
All Blogs
 

สารพันการดูแลยางรถยนต์

สารพันการดูแลยางรถยนต์

สารพันยางรถยนต์

1. รัน-อิน ต้องมีการรัน-อิน
ยางใหม่ก็เช่นกันในช่วง 100-200 กิโลเมตรแรก ควรใช้ความเร็วไม่เกิน 80-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เพื่อให้โครงสร้างแก้มยางและหน้ายางมีการปรับตัว
เพราะยางทุกเส้นถูกผลิตออกมาให้รับกับมุมแคมเบอร์ของล้อเท่ากับ 0 คือตั้งฉากกับพื้น
แต่รถยนต์ทุกคันไม่ได้มีมุมแคมเบอร์เท่ากับ 0 มีทั้งแบะหรือหุบ
ในช่วงแรกจึงต้องใช้เวลาให้หน้ายางสึกปรับตัวรับกับศูนย์ล้อ


2. ถ่วงล้อยางต้องหมุนนับพันรอบต่อนาที
โดยเฉพาะล้อคู่หน้าที่มีการเลี้ยงด้วยจึงต้องมีการถ่วงสมดุล
เพราะถ้าล้อคู่หน้าไม่ได้สมดุล มักมีอาการพวงมาลัยสั่นในบางช่วงความเร็ว
และทำให้ลูกปืนล้อหรือช่วงล่างมีอายุการใช้งานสั้นลงด้วย

เมื่อเปลี่ยนยางใหม่หรือถอดยางออกจากระทะล้อ เพื่อสลับยางหรือเปลี่ยนยาง
ต้องมีการถ่วงสมดุลใหม่เสมอ


เมื่อใช้งานไปสัก 40 - 50 % ของอายุการใช้งานยางควรถอดมาถ่วงสมดุล
เพราะการสึกหรออาจไม่สม่ำเสมอกัน


ถ้าใช้วิธีถอดกระทะล้อออกมาถ่วงสมดุล แล้วยังมีอาการสั่นของพวงมาลัยบางช่วงความเร็ว
ต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีถ่วงแบบจี้ คือไม่ต้องถอดล้อออกจากรถยนต์
เป็นการถ่วงสมดุลกระทะล้อ, ยาง, เพลาขับ, จานดิสก์เบรก, ลูกปืนล้อและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
แต่โดยทั่วไปการถอดล้อออกมาถ่วงภายนอกก็เพียงพอแล้ว


3. ลมยางแรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่น
ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28-32 ปอนด์/ตารางนิ้ว (PSI)

สำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยางต้องใช้มาตรฐานที่ได้มาตรฐาน
และวัดตอนที่ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก

หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย,
ยางอ่อนทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น
และอัตราเร่งลดลงจากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น
และหากลมยางอ่อนมากๆ จะทำให้โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
และมีการสึกหรอบริเวณนอกซ้าย-ขวาของหน้ายางมากกว่าแนวกลาง

บางคนอาจจะคิดว่าถ้าอย่างนั้นเติมลมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆ
ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะแรงดันลมยางที่มากเกินไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง
จากหน้าสัมผัสที่ลดลง กระด้างและถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเสี่ยงต่อการระเบิด
และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา


เดินทางไกล ควรเติมแรงดันลมยางแข็งกว่าปกติ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว
เพื่อป้องกันยางร้อนมากหรือแรงดันลมสูงเกินไปจนระเบิด
อาจตรงข้ามกับความคิดผิดๆ ที่ว่าเมื่อเดินทางไกลยางหมุนด้วยความเร็วสูงและต่อเนื่อง
ยางน่าจะร้อนและมีแรงดันลมเพิ่มขึ้น

จากหลักการของก๊าซ อากาศร้อนจะขยายตัว ทำให้แรงดันลมเพิ่ม
จึงคิดว่าน่าจะลดแรงดันลมลงจากปกติ ซึ่งผิดเพราะหากมีการลดแรงดันยางลงในขณะที่เดินทางไกล
ยางจะกลับร้อนและมีแรงดันสูงมาก เพราะแก้มยางจะบิดตัวมากจนร้อน
และทำให้แรงดันลมสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว
วิธีที่ถูกต้องคือเพิ่มแรงดันลมขึ้น 2-3 ปอนด์ เพื่อป้องกันการเปิดตัวของแก้มยางมากจนร้อน
เป็นการป้องกันล่วงหน้า เช่น ยางที่มีแรงดันลม 32 ปอนด์มากกว่าปกติ 2 ปอนด์
เมื่อเดินทางไกลอาจจะมีแรงดันลมเพิ่มขึ้นจากความร้อนเพียง 2 ปอนด์
แต่ถ้าแรงดันลมเหลือ 28 ปอนด์ ยางจะบิดตัวมากและร้อนมากกว่าอาจมีแรงดันลมเพิ่มขึ้นถึง 5-6 ปอนด์
และก็เป็นลมที่มีความร้อนสูงกว่าการเติมลมแรงดันสูงเผื่อไว้


4. สลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร
ควรสลับยางพร้อมกระทะล้อหน้า-หลังในแต่ละด้านเพื่อให้มีการสึกหรอใกล้เคียงกันทั้ง 4 เส้น
เพราะยางคู่ที่ใส่กับล้อขับเคลื่อน จะมีการสึกหรอมากกว่ายางอีกคู่หนึ่ง

อย่าลืมดูทิศทางการหมุนและถ่วงล้อใหม่ด้วย
แนวทางการสลับยางและระยะทางที่เหมาะสม มักมีกำหนดในคู่มือประจำรถยนต์

ถ้าไม่สลับยางแล้วมีการสึกหรอไม่เท่ากัน
หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยางครั้งละคู่หรือ 2 ล้อ
เพราะทำให้ต้องเปลี่ยนสลับครั้งละคู่ไปเรื่อยๆ เสียเวลาและไม่ถูกต้อง


ในการเปลี่ยนยาง
ไม่ควรใช้ยางต่างรุ่นดอกกันในแกนล้อเดียวกัน เพราะประสิทธิภาพการเกาะถนนจะแย่ลง
ควรใช้ยางขนาดเดียวกันและรุ่นเดียวกันทั้ง 4 ล้อ



5. หมั่นตรวจสอบการสึกหรอของดอกยาง
นอกจากตรวจสอบความลึกของดอกยางและสลับตามระยะทางแล้ว
ยังต้องหมั่นสังเกตการสึกหรอที่ผิดปกติตลอดหน้ายางซึ่งมีหลายลักษณะ
ถ้าหน้ายางสึกเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าศูนย์ล้อผิดปกติ
แต่ถ้ามีการสึกไม่เรียบเสมอกันตลอดหน้ายางหรือสึกเป็นบั้งๆ อาจเกิดจากระบบช่วงล่าง
ควรรีบแก้ไขเพราะมีผลต่ออาการทรงตัวของรถด้วย


6. หมดสภาพ
ยางหมดอายุได้ในหลายลักษณะหลัก เช่น ดอกหมด,ไม่เกาะ, เนื้อแข็ง,โครงสร้างกระด้าง, แตกปริ,
แตกลายงา, เสียงดังหรือแก้มยางบวม เกิดขึ้นเพียงลักษณะเดียวหรือควบคู่กันก็ถือว่าหมดอายุ
ไม่จำเป็นต้องดอกหมดแล้วยางถึงจะหมดสภาพเสมอไป
เพราะความลึกของดอกยางเกี่ยวข้องกับการรีดน้ำ ฝุ่นและโคลนเป็นหลัก

ส่วนประสิทธิภาพการเกาะถนนและการทรงตัว ขึ้นอยู่กับความแข็งของเนื้อยาง
และโครงสร้างภายในยางรถยนต์ส่วนใหญ่จะเริ่มแข็งตัวขึ้นทีละนิด
แต่จะรู้สึกได้ชัดเจนเมื่อผ่านการใช้งานไประยะหนึ่ง (ประมาณ 1 ปีหรือ 20,000 กิโลเมตร)

ตามพื้นฐานของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยางที่แพ้ความร้อน
เมื่อเนื้อยางแข็ง ดอกยางก็ไม่ค่อยสึก แต่แรงเสียดทานระหว่างหน้ายางกับผิวถนนจะลดลง

หากเปรียบเทียบอัตราการสึกของดอกยางต่อระยะทาง
แทบไม่มียางรุ่นไหนที่ดอกสึกเร็วขึ้นเมื่อผ่านการใช้งานไปแล้ว
ส่วนใหญ่มักจะสึกช้าลงหรือแทบไม่สึกเลย เมื่อเนื้อยางแข็งกระด้างเต็มที่
ทดสอบง่ายๆ โดยใช้เล็บจิกลงบนเนื้อของหน้ายางเก่าเปรียบเทียบกับยางใหม่ๆ
เนื้อยางเก่ามักแทบจิกไม่ลง

อายุการใช้งานของยางสำหรับเมืองไทย
เฉลี่ยประมาณ 3 ปีหรือ 50,000-60,000 กิโลเมตร ก็ถือว่ายางเสื่อมสภาพแล้ว
แต่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและลักษณะการใช้งาน
ถ้าใช้งานเกินระยะทางข้างต้น ควรพิจารณาอย่างละเอียดว่าสภาพของยางดีหรือไม่
เพราะพบว่า ยางรถยนต์ หลายรุ่นสามารถใช้งานได้นานกว่านั้น
ควรหลีกเลี่ยงยางเก่าเก็บ เพราะจะทำให้ระยะเวลาในการใช้ยางสั้นลงไปอีก



ข้อควรระวัง

1. ไม่จอดทิ้งไว้นาน
รถยนต์ที่ใช้งานน้อยจอดนิ่งอยู่กับที่ น้ำหนักของตัวรถทั้งหมดจะกดลงสู่ยางแต่ละเส้นในจุดเดียว
โครงสร้างภายในและแก้มยางจะมีการยืดตัวและเสียความหยืดหยุ่น
ยิ่งจอดนิ่งนานๆ โครงสร้างของยางยิ่งมีโอกาสเสียง่ายขึ้น
ถ้าต้องจอดนานมากทุก 1 สัปดาห์ต้องสตาร์ทเครื่องและนำรถออกไปแล่นอย่างน้อย 2-3 กิโลเมตร
หรือเดินหน้าถอยหลัง 5-10 เมตรหลายๆ ครั้งเพื่อให้แก้มยางและโครงสร้างของยางมีการขยับตัว


2. น้ำยาเคลือบ
เป็นเรื่องปกติที่คนไทยที่รักสวยรักงาม น้ำยาเคลือบแก้มยางเพื่อเพิ่มความสวยงาม
น้ำยาบางชนิดมีฤทธิ์ต่อเนื้อยางทำให้บวมหรือเปื่อยในระยะยาว
ควรเป็นสารประเภทซิลิโคนจะปลอดภัยกว่า



ที่มา : //v2.one2car.com


เรื่องที่เกี่ยวข้อง :
ความสำคัญของดอกยางรถยนต์
11 ข้อน่ารู้ สำหรับยางรถยนต์
มานับอายุขัยของยางกันเถอะ


สารบัญ รู้เรื่องรถ




 

Create Date : 14 มกราคม 2552
1 comments
Last Update : 8 ธันวาคม 2554 22:45:09 น.
Counter : 1148 Pageviews.

 

ขอบคุณสำหรับความรู้และข้อมูลดีๆครับ

 

โดย: dragonTFR IP: 116.58.231.242 17 มกราคม 2552 23:40:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.