วสันต์...หรรษา...ปราจีน
แก่งหินเพิง สายน้ำแห่งความท้าทาย ฤดูฝน ฝนย่อมตก เมื่อฝนตกก็ต้องเปียก ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงหลีกเลี่ยงการออกท่องเที่ยวในช่วงหน้าฝน เพราะกลัวฝน กลัวเปียก กลัวเฉอะแฉะ กลัวไม่สะดวกสบาย และกลัวอีกสารพัดอย่าง
ในขณะที่ใครและใครอีกหลายคนกลับมีพฤติกรรมตรงกันข้าม คือ ชอบเที่ยว(มาก)ในหน้าฝน โดยเฉพาะเที่ยวป่า เที่ยวไพร เที่ยวผจญภัยไปตามใจของตน เพราะหน้านี้ป่าไพรหลายแห่ง(ที่เปิดให้ท่องเที่ยว) ได้ฉายมนต์เสน่ห์แห่งความงามออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ดังเช่นที่"แก่งหินเพิง" จ.ปราจีนบุรี แก่งหินเพิง ยามหน้าแล้งเป็นเพียงลานหินโล่ง ดาดๆทั่วไป แต่ครั้นฝนมาเยือน แก่งหินแห่งนี้ จะมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์จนกลายเป็นสถานที่ล่องแก่งผจญภัยใกล้กรุงฯสุดฮิต ซึ่งในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นั้น มีคนหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ออกเดินทางไปผจญแก่งหินเพิงกันเป็นจำนวนมาก
สนุก สะใจ ที่แก่งหินเพิง สนุก ระทึกใจ ผจญภัยแก่งหินเพิง "ตะลอนเที่ยว" หลังรู้ข่าวว่า"แก่งหินเพิง" ได้เปิดฤดูกาลล่องแก่ง(ปี 52)ไปเมื่อต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ก็ไม่รีรอหาวันว่างรวบรวมสมัครพรรคพวกออกเดินทางสู่ แก่งหินเพิง อ.นาดี จ. ปราจีนบุรี ในทันที
พูดถึงแก่งหินเพิงหลายคนไม่รู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานฯเขาใหญ่ อยู่ในความดูแลของหน่วยพิทักษ์ฯเขาใหญ่ที่ 9 (ขญ.9) แก่งแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของลำน้ำใสใหญ่ มีต้นกำเนิดจากยอดเขาใหญ่ มีระดับความยากของสายน้ำอยู่ที่ 3-5 นับว่าเหมาะแก่การล่องเรือยางผจญแก่งมาก สำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวผจญภัยประเภทล่องแก่งนั้น สิ่งที่ต้องพึงระลึกไว้เสมอก็คือ เรื่องของความปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ก่อนจะไปผจญแก่งของจริง ทางทีมสตาฟฟ์ได้เข้ามาแนะนำการพายเรือ การช่วยเหลือตัวเองเมื่อพลัดตกน้ำ และการป้องกันตัวเองในระหว่างที่ล่องแก่ง ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ล่องแก่งอย่างสนุกสนานออกรสชาติ
เปียกปอน สะใจ กับการผจญแก่งหินเพิง เสร็จสรรพจากนั้น เป็นการเดินเท้าจากหน่วยไปจุดเริ่มต้นล่องแก่งประมาณ 2.5 กม.เพื่อเรียกน้ำย่อย ก่อนจะตรวจเช็คพาย ชูชีพ หมวกกันน็อค ในขั้นสุดท้าย แล้วก็เริ่มต้นบรรเลงออกล่องแก่งกันทันที
ด่านแรกเป็นแก่งหินเพิง หลังเรือยางตั้งลำได้ไม่กี่อึดใจ ก็แล่นพุ่งโจนทะยานฝ่าสายน้ำอันกราดเกรี้ยวสีขาวฟูฟ่องของแก่งในระดับ 4+ ลงมา ชนิดสาวหลายๆคน เมื่อเจอสภาพแบบนี้ถึงกลับ "กรี๊ด!!!"ลั่นสนั่นแก่ง ก่อนจะมาพักหายใจหายคอกันในช่วงน้ำนิ่งให้พายเรือเนิบๆกันต่อไป แต่พักได้ไม่ทันไร แก่งหนามล้อมก็ส่งเสียง เชี่ยวกรากของสายน้ำคำรามรออยู่เบื้องหน้าให้พวกเรานำเรือแล่นฝ่าข้ามไปอย่างสนุกตื่นเต้น ต่อจากนั้นเป็นแก่งวังบอน แล้วต่อด้วยคิวของแก่งลูกเสือ ก่อนที่จะไปสลับอารมณ์ด้วยการลงเล่นสไลเดอร์น้ำ ให้ตัวและหัวใจไหลไปตามความแรงของสายน้ำอันชุ่มฉ่ำ ก่อนจะไปขึ้นเรือผจญแก่งวังไทรกันต่อ เมื่อแต่ละคนในเรือเริ่มคุ้นเคยการผจญแก่งแล้ว การบังคับเรือก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะทั้งคำสั่ง"ขวาพาย ซ้ายทวน ก้มหัว จับเชือก" และอื่นของนายท้าย ดูแต่ละคนจะปฏิบัติตามได้อย่างดี จากนั้นพวกเราได้ล่องเรือยางไปต่อยัง แก่งงูเห่า และขึ้นฝั่งเทียบท่าที่บริเวณหน่วย ขญ.9 ก็ถือเป็นอันเสร็จพิธีการล่องแก่งหินเพิง ที่ถ้าโอกาสเหมาะเมื่อไหร่"ตะลอนเที่ยว"ก็จะรวบรวมสมัครพรรคพวก มาตะลุยผจญภัยแก่งแห่งนี้กันอีก ส่วนทริปนี้ของพูดเพียงสั้นๆว่า "ลาก่อน แก่งหินเพิง"
แต่ทว่า...เรายังไม่อำลาจากทริปนี้ไปไหน เพราะปราจีนบุรียังมีของดีดึงดูดให้เราไปสัมผัสเที่ยวชมกันอีก ในโปรแกรมท่องเที่ยวของวันต่อไป
ของเก่าแก่และตะเกียงมากมายที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์ พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์ แหล่งสะสมตะเกียงมากที่สุดในไทย ณ ที่พักแห่งหนึ่งในปราจีน ด้วยความที่ "ตะลอนเที่ยว" ใช้พลังออกไปมากโขจนอ่อนเพลียเต็มพิกัด ค่ำวันนั้นเราจึงหลับเป็นตายตั้งแต่หัวค่ำ ชนิดที่มาตื่นอีกทีก็ช่วงเช้าค่อนไปทางเกือบสายของวันรุ่งขึ้นเข้าให้แล้ว
เช้าวันนี้ หลังอิ่มหนำจากอาหารเช้า เราก็มุ่งหน้าไปยัง "พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์" ถ.ปราจีนตคาม ต.ดงขี้เหล็ก อ.เมือง ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ชื่อชั้นนั้นถือว่ามาแรงไม่เบา เพราะนอกจากจะเป็นที่รวบรวมของเก่าแก่ ให้ชมกันมากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งสะสมตะเกียงที่มากที่สุดในประเทศไทยถึงหมื่นกว่าดวงเลยทีเดียว
อาคารฟ้าประดิษฐ์ เปิดโล่งจัดแสดงเรือโบราณ
ครั้นเมื่อไปถึงพิพิธภัณฑ์ เราก็รู้สึกสมสุขไปกับบรรยากาศย้อนยุคของข้าวของเก่าๆที่ทางพิพิธภัณฑ์แบ่งสัน ปันส่วนการจัดแสดงเป็นอาคารต่างๆได้อย่างลงตัวเนียนตา อาทิ ตะเกียงเจ้าพายุหลากประเภท หลายยี่ห้อ พร้อมด้วยมุมร้านกาแฟ เก๋ๆ เก่าๆ เก๋าๆ บนชั้น 2 ของ "อาคารราชาวดี" ,ตราชั่ง เครื่องตวงวัดแบบโบราณ พระเครื่อง ของเล่นเด็กย้อนยุคจำพวกรถสังกะสี ตุ๊กตุ่น ตุ๊กตา ถ้วยชามโบราณ เครื่องทองเหลือง และรถจักรยานยนต์รุ่นเก๋ากึ๊กอีกหลายยี่ห้อใน "อาคารลีลาวดี" , หนังสือเก่า การ์ตูนเก่า แสตมป์เก่า และภาพเก่าเมืองปราจีน ใน "อาคารชวนชม"
สวนวรรณคดี พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์ ส่วน"อาคารฟ้าประดิษฐ์" ที่เปิดโล่งนั่นก็น่ายลไปด้วยเรือโบราณหลายประเภท ขณะที่"อาคารเจ้าพายุ"อันโดดเด่น ด้วยรูปแบบของตะเกียงเจ้าพายุนั้น ถือเป็นจุดชมวิวชั้นดีที่สามารถชมวิวได้โดยรอบ นอกจากนี้ในพิพิธภัณฑ์ยังมี สวนวรรณคดีพระอภัยมณีให้เลือกชมกัน เคียงคู่ไปกับมนต์เสน่ห์ของตะเกียงมากมายที่ติดประดับอยู่ทั่วไปใน พิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะบนเพดานของอาคารต่างๆอันนับเป็นจุดเด่นสำคัญของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
โบสถ์วัดแก้วพิจิตร วัดแก้วพิจิตร งามวิจิตรศิลปะ 4 ชาติ หลังถูกตะเกียงมากมายส่องทางปัญญาให้ตัวเองแล้ว จุดต่อไปเราเลือกมุ่งหน้าเข้า“วัดแก้วพิจิตร” ที่อยู่ไม่ไกลกันในเขตเทศบาลเมืองปราจีนบุรี (ริมฝั่งด้านขวาของแม่น้ำปราจีน)เพื่อไปซึมซับวิถีธรรม และความงามแห่งงานพุทธศิลป์ ที่วัดนี้สามารถรวมศิลปะ 4 ชาติ คือ ไทย จีน เขมร และตะวันตก มาผสมผสานไว้ด้วยกันได้อย่างสวยงามลงตัว วัดแก้วพิจิตร สร้างขึ้นปี พ.ศ. 2422 โดย นางประมูลโภคา(แก้ว ประสังสิต) ต่อมาปี พ.ศ.2456 เจ้าพระยาอภัยภูเบศร(ชุ่ม อภัยวงศ์) ได้สร้างโบสถ์เพิ่มเติมขึ้นด้วยงานศิลปกรรมผสม 4 ชาติ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งต่างก็มีจุดเด่นของศิลปะของแต่ละชาติแตกต่างกันออกไป อาทิ เสารอบตัวโบสถ์เป็นเสากลมเซาะร่องมีหัวเสาใบผักกาดตามแบบตะวันตก ผนังตอนบนใต้ชายคาเป็นงาน จิตรกรรมแบบตะวันตก บันไดทางเข้าโบสถ์เป็นศิลปะปูนปั้นลวดลายลายมังกร 12 ตัวแบบจีน มีซุ้มประตูเรือนเเก้วทางเข้าสู่โบสถ์เป็นศิลปะเขมร แฝงปริศนาคือมีนาฬิกาที่บอกเวลาใกล้ๆเที่ยง อันหมายความว่าชีวิตของมนุษย์นั้นไม่เที่ยงประดับอยู่
หลวงพ่ออภัย พระพุทธรูปปางอภัยทานเพียงหนึ่งเดียว ส่วนงานศิลปะไทยมีอยู่ทั่วไปในทุกมุมของวัด ไม่ว่าจะเป็น หน้าบัน ลายประตูหน้าต่าง งานจิตรกรรมฝาผนังเรื่องทศชาติชาดก ลานปูนปั้นประดับผนังโบสถ์ด้านนอกเรื่องรามเกียรติ์ นอกจากนี้วัดแก้วพิจิตรยังมี "หลวงพ่ออภัย" พระพุทธรูปปางอภัยทาน เป็นพระประธาน ที่ออกแบบโดย กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางพิเศษมีเพียงหนึ่งเดียวคือที่วัดแก้วพิจิตรแห่งนี้
ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร อภัยภูเบศร ตึกโรงพยาบาลสวยที่สุดในเมืองไทย พูดถึงเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ท่านนับเป็นปูชณียบุคคลสำคัญ(มาก)คนหนึ่งของปราจีนบุรี นอกจากจะสร้างโบสถ์วัดแก้วพิจิตรเพิ่มเติมแล้ว ท่านยังสร้างตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรขึ้นในปี พ.ศ.2452 เพื่อถวายเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 5 ในคราวเสด็จประพาสต้นมณฑลปราจีนบุรี "ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร" ตั้งอยู่ภายใน"โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร" (ต.ท่างาม อ.เมือง) เป็นตึกโรงพยาบาลที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในประเทศไทย มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมทรงยุโรปสมัยเรอเนสซอง มีมุขด้านหน้า ตรงกลางเป็นโดม ผนังด้านนอกตกแต่งลวดลายปูนปั้นลายพฤษาประดับซุ้มประตูและหน้าต่าง ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว
ปัจจุบันตึกหลังนี้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทย จัดแสดงและรวบรวมเรื่องราวทางการแพทย์แผนไทยต่างๆ อาทิ ตำรายาไทย สมุนไพรไทย การแพทย์พื้นบ้านของปราจีนบุรี
การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทย นอกจากตึกอันสวยงามแล้ว โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่สำคัญของ ปราจีน เพราะเป็นโรงพยาบาลที่นำร่องเรื่องแพทย์แผนไทย การใช้สมุนไพรบำบัดรักษาโรค ในโรงพยาบาล มีบริการนวด อบ ประคบ ฝังเข็ม ขายยาสมุนไพร เครื่องสำอางค์สมุนไพร และโปรแกรมทัวร์สุขภาพ ทั้งเวชภัณฑ์และบริการการแพทย์ทางเลือกทั้งหลายทั้งปวงของโรงพยาบาลแห่งนี้ ล้วนต่างได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างสูง สะท้อนให้เห็นว่ายุคนี้ พ.ศ.นี้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ กันเป็นพิเศษ ซึ่งสิ่งสำคัญของการมีพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ก็คือ "การมีสุขภาพจิตดี" ด้วยเหตุนี้การเลือกเดินจากชีวิตที่วุ่นวายแก่งแย่งของเมืองใหญ่ ชีวิตที่ซ้ำซากจำเจจากการทำงาน(หรืออื่นๆ) ออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนชาร์จแบตให้ชีวิต ไยมิใช่หนึ่งในการช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตใจให้แข็งแรงขึ้น นี่แหละเสน่ห์ของการท่องเที่ยวที่ใครไม่ไปย่อมไม่รู้
* * * * * * ปราจีนบุรี เคยเป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยทวารวดี และมีพัฒนาการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ปราจีนบุรีนอกจากมีสถานที่ท่องเที่ยวตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้วก็ยังมีสถานที่น่าสนใจ อาทิ ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์ โบราณสถานเมืองศรีมโหสถ น้ำตกมากมายใน อ.ประจันตคาม อช.ทับลาน แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านดงบัง สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวแก่งหินเพิงนั้น สามารถล่องได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงราวเดือนตุลาคม โดยทางจังหวัดปราจีนบุรีจะจัดงาน “สัปดาห์ล่องแก่งหินเพิง” ในวันที่ 8 – 12 ก.ค. 52 ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวในปราจีน และสอบถามปริมาณน้ำในการล่องแก่งได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานนครนายก(นครนายก,ปราจีนบุรี,สระแก้ว) โทร. 0-3731-2282, 0-3731-2284,
การเดินทาง :- ข้อมูลโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ทางรถยนต์ :- เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯ แยกรังสิตตามทางหลวงหมายเลข 305 เลียบคลองรังสิตผ่านอำเภอองครักษ์ นครนายก เข้าทางหลวงหมายเลข 33 แยกขวาที่สามแยกหนองชะอม ตามทางหลวงหมายเลข 319 ระยะทาง 132 กิโลเมตร หรือวิ่งไปตามทางหลวงหมายเลข 33 เลี้ยวขวาที่สี่แยกเนินหอม ระยะทาง 136 กิโลเมตร
เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯ ตามทางหลวงหมายเลข 1 เลี้ยวขวาที่หินกอง ไปตามทางหลวงหมายเลข 33 ผ่านนครนายก แยกขวาที่สามแยกหนองชะอม ตามทางหลวงหมายเลข 319 ระยะทาง 164 กิโลเมตร
เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯ ตามทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านฉะเชิงเทรา พนมสารคาม เลี้ยวซ้ายตามทางหลวงหมายเลข 319 ผ่านอำเภอศรีมโหสถ ระยะทาง 158 กิโลเมตร
ทางรถโดยสารประจำทาง :- มีรถโดยสารออกจากสถานีขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือ ถนนกำแพงเพชร 2 ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ทั้งรถโดยสารธรรมดา และปรับอากาศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 936-2852-66
ทางรถไฟ :- มีขบวนรถไฟโดยสารกรุงเทพฯ-ปราจีนบุรี ออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงทุกวัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่หน่วยบริการเดินทางสถานีรถไฟกรุงเทพฯ โทร. 223-7010, 223-7020
ที่มา ผู้จัดการ,การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
Create Date : 13 กรกฎาคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 13 กรกฎาคม 2552 11:39:23 น. |
Counter : 2560 Pageviews. |
|
|
|
เทศกาลปีใหม่โล้ชิงช้า ปีใหม่ของชนเผ่าอาข่า ทัวร์3วัน2คืน เริ่ม 2,3,4,กันยายน52
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=khundoi&group=3
//www.hilltribeguide.com/autopage/show_page.php?h=1&s_id=3&d_id=4