|
งามวิจิตรตรึงใจ ในพุทธศิลป์ถิ่น“แม่ฮ่องสอน”
พระธาตุดอยกองมู สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองแม่ฮ่องสอน
แม้“แม่ฮ่องสอน”จะถูกภาคการปกครองและภาคการท่องเที่ยวกำหนดให้เป็น 1 ในกลุ่ม จังหวัดล้านนา แต่ถ้าหากมาพิจารณาถึงอัตลักษณ์ของเมืองนี้จะพบว่า เมืองสามหมอกแม่ฮ่องสอนมีความแตกต่างจากเมืองล้านนาอื่นๆ ตรงวิถีแห่งความ เป็น“ไทยใหญ่”หรือ“ไต” อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ สมดังจังหวัดที่มีผู้คน(เชื้อสาย)ไทยใหญ่อาศัยอยู่มากที่สุดในเมืองไทย นั่นจึงทำให้แม่ฮ่องสอนอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งไทยใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมิตรจิตใจอันดีงาม วิถีที่ยังแนบแน่นในพระพุทธศาสนา วัฒนธรรมประเพณีอันมีรูปแบบเฉพาะตัว อาหารการกิน รวมไปถึงงานศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ที่ปรากฏในงานพุทธศิลป์ต่างๆมากมาย
ทะเลหมอกยามเช้า ในมุมมองบนพระธาตุดอยกองมู ด้วยเหตุนี้เมื่อ“ตะลอนเที่ยว”ได้มีโอกาสขึ้นแอ่วแม่ฮ่องสอนครั้งล่า สุดเมื่อลมหนาวมาเยือน เราจึงถือโอกาสตระเวนเข้าวัดวาในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ไปไหว้พระ ทำบุญ พร้อมไม่ลืมที่จะชื่นชมงานพุทธศิลป์แบบไทยใหญ่ อันเป็นเอกอุของเมืองสามหมอก แห่งนี้
สำหรับวัดแรกที่ไป คือ“วัดพระธาตุดอยกองมู”ที่ ตั้งเด่นตระหง่านง้ำบนดอยกองมู (กองมูแปลว่าพระธาตุหรือเจดีย์) วัดแห่งนี้เดิมชื่อวัดปลายดอย มีงานพุทธศิลป์โดยรวมเป็นแบบไทยใหญ่ เป็นสถานที่ประดิษฐาน“พระธาตุดอยกองมู”พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ว่ากันว่าใครไปแอ่วเมืองสามหมอกแล้ว ไม่ได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยกองมูถือว่ายังไปไม่ถึง พระธาตุดอยกองมู เป็นพระธาตุคู่สีขาวเด่นเคร่งขรึมขลัง พระธาตุองค์ใหญ่(องค์แรก)สร้างในปี พ.ศ.2403 โดยจองต่องสู่ ใช้เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระที่นำมาจากพม่า พระธาตุองค์เล็ก(องค์หลัง)สร้างในปี พ.ศ. 2417 โดยพระยาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก ตรงมุมทั้งสี่ของฐานพระธาตุประดับด้วยประติมากรรมรูปสิงห์ปูนปั้น ส่วนที่ฐานประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิดในต่างๆ แต่ละวันจะมีคนขึ้นมาไหว้องค์พระธาตุ และพระพุทธรูปประจำวันเกิดไม่ได้ขาด
วัดก้ำก่อ นอกจากความเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองแล้ว บนวัดพระธาตุดอยกองมูยังเป็นจุดชมวิวชั้นดี ที่เมื่อมองลงไปจะเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ตั้งอยู่อย่างสงบงามท่ามกลางขุนเขา ที่โอบล้อม ฝั่งหนึ่งมองเห็นหนองจองคำ-วัดจองคำ-วัดจองกลาง อีกฝั่งหนึ่งมองเห็นสนามบิน ที่หากใครไปถูกจังหวะเวลาก็เห็นเครื่องบิน บินขึ้น-ลง เป็นของแถมชั้นเลิศ ส่วนช่วงหน้าหนาวถ้าใครขึ้นวัดนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ มีโอกาสกว่า 80 % ที่จะเห็นทะเลหมอกอันสวยงามลอยอ้อยอิ่ง ปกคลุมตัวเมืองและขุนเขาที่เห็นยอด แพลมอยู่ไกลๆ ดูประหนึ่งราวกับว่าวัดพระธาตุกองมูตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า ที่มีเมฆลอย พลิ้วลิ่วละเรี่ย สมดังคำขึ้นต้นคำขวัญจังหวัดว่า“กองมูสูงเสียดฟ้า”อันลือลั่น ลงจากพระธาตุดอยกองมู “ตะลอนเที่ยว”แวะบริเวณเชิงดอย(ทางขึ้นพระธาตุ) เพื่อไหว้พระติดกัน 3 วัดรวดที่อยู่ในละแวกเดียวกัน วัดแรกคือ “วัดก้ำก่อ” (ก้ำก่อภาษาไทยใหญ่แปลว่า "ดอกบุนนาค")หนึ่งในวัดเก่าแก่คู่เมืองสามหมอก สร้างเมื่อ พ.ศ. 2433 ด้านหน้าวัดโดดเด่นด้วยสิงห์คู่ศิลปะไทยใหญ่ 2 ตัวยืนขนาบซ้ายขวา ถัดไปฟากถนนเป็นเจดีย์สมส่วนขนาดย่อม ส่วนอีกฟากหนึ่งเป็นทางเดินหลังคาคลุม มีซุ้มประตูหลังคาซ้อนชั้นตกแต่งลวดลายฉลุสังกะสีอย่างวิจิตรบรรจง ทางเดินสายนี้นำเข้าสู่ศาลาอันขรึมขลัง ข้างในมีพระพุทธรูปศิลปะไทยใหญ่-พม่า อันสวยงามให้สักการะบูชา ด้านข้างทางเดินเป็นศาลสมเด็จพระนเรศวรฯ มีภาพแกะสลักไม้ลงสีสวยงาม เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับพุทธประวัติ ที่ทางวัดบอกว่าได้มาจากร้านขายของ เก่า หางดง เชียงใหม่
พระนอนวัดพระนอน ตรงข้ามกับวัดก้ำก่อเป็น“วัดพระนอน” จุดหมายลำดับต่อไป วัดแห่งนี้ประดิษฐานพระนอนยาว 12 เมตร สร้างด้วยศิลปะไทยใหญ่ มีพุทธลักษณะงดงามมาก พระพักตร์หวาน ดูอิ่มบุญ จีวรพลิ้วดูสบายตา ตามประวัติเล่าว่าสร้างโดยพระนาง เมี๊ยะ ภริยาของพระยาสิงหนาทราชา ข้างๆองค์พระนอน(ฝั่งพระพักตร์)มีพระพุทธรูปศิลปะไทยใหญ่ จีวรประดับกระจกสวยงามประดิษฐานอยู่ เขยิบถัดไปอีกหน่อยเป็นพิพิธภัณฑ์ของทางวัด ข้างในมีโบราณวัตถุน่าสนใจอยู่หลากหลาย โดยเฉพาะพระพุทธรูปไทยใหญ่ พม่า และพระพุทธรูปบัวเข็มที่พบมากตามวัดในแม่ฮ่องสอน เพราะชาวไทยใหญ่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
เจดีย์วัดม่วยต่อ จากวัดพระนอนเราไปแวะ“วัดม่วยต่อ” เพื่อไหว้พระ และชมเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญสีขาวเด่น บนเนินด้านหลังวัด อันเป็นจุดชวนชมสำคัญของวัด ออกจากวัดม่วยต่อ “ตะลอนเที่ยว”เดินทางไปยังหนองจองคำ เพื่อเที่ยวชมวัดจองกลางและวัดจองคำ 2 วัดที่อยู่ติดกันแบบไม่มีกำแพงขวางกั้น จนหลายๆคนยกให้เป็นดังวัดคู่แฝดแห่งเมืองแม่ฮ่องสอน
วัดจองกลางกับเจดีย์อันโดดเด่นเป็นสง่า สำหรับวัดจองกลางนั้น มีจุดเด่นอันเป็นความต่างจากวัดจองคำคือ มีเจดีย์องค์ใหญ่ฐานสีขาว ยอดสีทอง อันสวยงามสมส่วนตั้งอยู่ทางส่วนหน้าของวัด เจดีย์องค์นี้ตามประวัติของวัดระบุว่า เริ่มสร้างเมื่อพ.ศ.2456 แล้วเสร็จใน พ.ศ.2458 จากศรัทธาของขุนเพียร (พ่อเลี้ยงจองนุ) พิรุญกิจและแม่จองเฮือนคหบดี โดยช่างชาวไทยใหญ่ เป็นรูปทรงจุฬามณี มีฐานเป็นสี่เหลี่ยมมีมุข 4 ด้าน มีสิงห์ด้านละ 1 ตัว ภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มานมัสการ นอกจากองเจดีย์อันโดดเด่นแล้ว ในวิหารวัดจองกลางยังมีพระพุทธสิหิงค์จำลองให้ผู้คนได้สักการะบูชา ส่วนด้านข้างทางวัดจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงศิลปวัตถุอันหลากหลาย ที่เด่นๆก็มี บุษบก พระไม้ ไม้แกะสลักเป็นเทวทูตทั้ง 4 (เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย) ตุ๊กตาแกะสลักต่างๆ ภาพวาดบนแผ่นกระจก และข้าวของเก่าแก่อีกหลายชิ้น
วัดจองกลาง-จองคำ ในมุมมองผ่านหนองจองคำ ออกจากวัดจองกลางเดินไปอีกนิดก็จะเป็น“วัดจองคำ”ที่มีข้อมูลระบุว่า ชื่อวัดมาจากการที่เสาวัดประดับไปด้วยทองคำเปลว วัดจองคำ สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2370 เป็นวัดแห่งแรกในเมืองแม่ฮ่องสอน มีความโดดเด่นตรงหลังคาวัดเป็นรูปปราสาทซ้อน 9 ชั้น พร้อมองค์ประกอบเป็นงานฉลุสังกะสีประดับประดาอย่างสวยงาม ตามความเชื่อที่ว่าปราสาทเป็นของสูง ผู้ประทับในปราสาทจึงควรจะเป็นพระมหากษัตริย์ หรือตัวแทนพระศาสนาเท่านั้น
หลวงพ่อโต วัดจองคำ วัดแห่งนี้มีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ“หลวงพ่อโต”พระ พุทธรูปองค์โต สร้างเมื่อ พ.ศ.2477 มีพุทธลักษณะ งดงาม พระพักตร์หวานอมยิ้มเล็กน้อย ขนาดหน้าตักกว้าง 4.85 เมตร ประดิษฐานอยู่ในวิหารหลวงพ่อโต ซึ่งมีลักษณะแปลกไปจากวิหารพระทั่วไปในแม่ฮ่องสอน เพราะมีตัวอาคารเป็นศิลปะตะวันตก หลังไหว้หลวงพ่อโตองค์งามแล้ว เราไปต่ออารมณ์ไหว้พระงามกัน ณ วัดสุดท้ายของทริป ที่ “วัดหัวเวียง” (วัดกลางเวียง,วัดกลางเมือง) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองใกล้ๆกับตลาดเช้า
งานประดับสังกะสีฉลุที่วัดจองคำ วัดแห่งนี้ สร้างใน พ.ศ. 2406 เมื่อเข้าไปแล้วภาพของความงดงามในงานศิลปกรรมไทยใหญ่ ก็พุ่งจับเข้าในใจทันที ทั้งเจดีย์สีขาวยอดสีทองอันสมส่วน วิหารใหญ่หลังคาซ้อนหลายชั้น ในนั้นมีพระพุทธรูปหลายองค์ด้วยกัน มีทั้งงานฝีมือช่างพื้นบ้านและงานฝีมือช่างชั้นครู ที่สร้างพระพุทธรูปได้ อย่างปราณีตขรึมขลัง
พระเจ้าพาราละแข่ง สุดยอดพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพม่า ส่วนสิ่งที่ถือเป็นไฮไลท์ของวัดหัวเวียง ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะเวียนมาเที่ยวชม ก็คือ “พระเจ้าพาราละแข่ง”พระ พุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสามหมอก ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารพระเจ้าพาราละแข่ง ซึ่งมีการบูรณะซ่อมแซมไปในปี พ.ศ. 2536 มีลักษณะเป็นงานศิลปกรรมรูปทรงออกแนวไทยใหญ่ประยุกต์ หลังคามุงกระเบื้องไม้ซ้อนชั้นไล่ขนาดกันขึ้นไป สำหรับองค์“พระเจ้าพาราละแข่ง”นั้น ปัจจุบันทางวัดสร้างประตูเหล็กกั้นรอบองค์พระอีกที ตามประวัติเล่าว่า จำลองมาจาก“พระมหามุนี” เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า โดยลุงจองโพหย่า เดินทางไปนิมนต์มา แล้วสร้างเป็นท่อนๆ รวม 9 ท่อน ล่องแม่น้ำมา ก่อนนำมาประดิษฐานที่วัดหัวเวียง พระเจ้าพาราละแข่ง เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพม่าที่ได้รับการยกย่องว่า มีพุทธลักษณะงดงามมาก ที่สุดในเมืองไทย พระวรกายเพรียวงาม พระพักตร์อิ่มเอิบ ส่วนเครื่องทรงองค์ประกอบอื่นๆ ช่างสมัยโบราณก็สร้างอย่างสุดวิจิตรบรรจง นับเป็นความงามในพลังแห่งศรัทธาปิดท้ายทริปไหว้พระในตัวเมือง แม่ฮ่องสอน ที่จะว่าไปบรรยากาศในตัวเมืองให้อารมณ์ทางการท่องเที่ยว ค่อนข้างแตกต่างไป จากเมืองปายโดยสิ้นเชิง ยังไงๆเราก็ขอให้ชาวแม่ฮ่องสอน เก็บวิถีอันงดงามแบบนี้ให้อยู่คู่เมืองสาม หมอกไปอีกตราบนานเท่านาน
***************************************** สอบถามข้อมูล เส้นทางเที่ยววัดในตัวเมือง และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในแม่ฮ่องสอนเพิ่มเติมได้ที่ ททท.แม่ฮ่องสอน โทร. 0-5361-2982-3
ที่มา //www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000132450
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2552 |
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2552 11:56:49 น. |
|
2 comments
|
Counter : 701 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ThaMN วันที่: 7 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:30:11 น. |
|
|
|
|
|
|
|