Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
18 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
มนต์ "ขนมปังขิง" เสน่ห์คลาสสิคกลางกรุง

มนต์ "ขนมปังขิง" เสน่ห์คลาสสิคกลางกรุง
พระที่นั่งวิมานเมฆ พระที่นั่งไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก

พูดถึงขนมปังขิงขึ้นมา หลายๆ คนคงอาจจะนึกว่าฉันจะพาเปลี่ยนแนวจากเดินเที่ยวเป็นไปชิมขนมอร่อยๆ
แต่เสียใจด้วย เพราะขนมปังขิงที่ว่านี้ ไม่ใช่ขนมปังขิงที่กินได้
แต่หมายถึงบ้านสไตล์หนึ่ง ที่มีการประดับตกแต่งบ้านด้วยไม้ฉลุลวดลายต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นที่ชายคา ช่องลม หรือราวระเบียง หรือที่เรียกว่า "บ้านขนมปังขิง" (Ginger Bread Style)
ซึ่งต้นแบบนั้นมาจากบ้านสไตล์วิคตอเรียนในประเทศอังกฤษ และได้แพร่หลายเข้ามาในประเทศของเรา
หลังจากที่ชาวต่างชาติเริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศช่วงราวรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา
และได้สร้างบ้านเรือนตามแบบที่ตนคุ้นเคยไว้ในประเทศไทย
ชาวไทยเองก็ชื่นชอบความงดงามของลวดลายไม้แกะสลัก จนเกิดเป็นกระแสนิยม
นำเอาลวดลายขนมปังขิงมาประดับที่บ้านเรือนของเราบ้าง
โดยความนิยมนั้นก็เริ่มต้นขึ้นจากพระราชวัง บ้านขุนนาง เศรษฐี คหบดี และตามวัดวาอารามต่างๆ

แม้จะนำแบบมาจากบ้านสไตล์ต่างประเทศ แต่ก็ใช่ว่าบ้านแบบขนมปังขิงนี้จะไม่เข้ากับประเทศไทย
เพราะลวดลายแกะสลักนั้นทำหน้าที่เป็นช่องลมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความอ่อนช้อยงดงาม
เหมาะกับความประณีตละเอียดอ่อนของคนไทยอีกด้วย
ซึ่งบางคนก็ได้ดัดแปลงลวดลายแกะสลัก เป็นลายไทยเพิ่มความงดงามขึ้นไปอีก

มนต์ "ขนมปังขิง" เสน่ห์คลาสสิคกลางกรุง
ระเบียงบ้านดูงดงามขึ้นเมื่อประดับด้วยลวดลายไม้ฉลุ

ส่วนเหตุที่เรียกการตกแต่งด้วยไม้แกะสลักเหล่านี้ว่าขนมปังขิง
ก็เพราะชาวตะวันตกนิยมเอาคุกกี้ขนมปังขิง มาสร้างเป็นบ้านตุ๊กตาเล็กๆ
ประดับตกแต่งด้วยขนมอมยิ้มหลากหลายชนิดในวันคริสต์มาส
อีกทั้งลวดลายแกะสลักเหล่านั้นยังมีลักษณะหงิกงอเป็นแง่งๆ คล้ายขิงอีกด้วย

ในปัจจุบัน บ้านขนมปังขิงในกรุงเทพฯ ส่วนมากก็เริ่มมีให้เห็นน้อยลง
อาจเพราะส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเก่าที่ต้องบูรณะซ่อมแซมอยู่เรื่อยๆ ซึ่งก็ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง
แต่ก็ไม่ยากจนเกินไปถ้าอยากจะชม เพราะในกรุงเทพฯ ก็ยังมีบ้านขนมปังขิงอีกหลายหลังที่น่าสนใจกัน
ที่ฉันจะพาไป ชมกันวันนี้ สถานที่แห่งแรกที่น่าจะถือเป็นสุดยอดอาคารขนมปังขิงก็คือภายใน "พระราชวังดุสิต"
ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระที่นั่งที่เรารู้จักกันดี เช่น พระที่นั่งอนันตสมาคม และพระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นต้น

มนต์ "ขนมปังขิง" เสน่ห์คลาสสิคกลางกรุง
ลวดลายฉลุไม้งดงามที่พระที่นั่งอภิเศกดุสิต

ฉันจะพาไปชมลวดลายขนมปังขิงกันที่ "พระที่นั่งวิมานเมฆ" กันก่อน
พระที่นั่งแห่งนี้เป็นพระที่นั่งองค์แรก ที่สร้างขึ้นในพระราชวังดุสิต และยังเป็นอาคารแบบวิคตอเรีย
ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมยุโรปผสมกับไทยประยุกต์
องค์พระที่นั่งเป็นรูปอักษรตัวแอล สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง จึงถือเป็นพระที่นั่งไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีลวดลายฉลุที่เรียกว่าขนมปังขิงให้ชมตามหน้าต่างและช่องลม ซึ่งฉลุเป็นลวด ลายอ่อนช้อยสวยงาม
ภายในพระที่นั่งวิมานเมฆยังเป็นสถานที่จัดแสดงศิลปวัตถุต่างๆ
เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย

นอกจากนั้น ที่นี่ก็ยังมีอาคารแบบขนมปังขิงให้ชมกันอีกที่ "พระที่นั่งอภิเศกดุสิต"
พระที่นั่งชั้นเดียวที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น เพื่อใช้เป็นท้องพระโรงและสถานที่พระราชทานเลี้ยง
ในพระราชวังดุสิต และใช้เป็นสถานที่สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการในงานประจำปีสวนดุสิต
พระที่นั่งองค์นี้ เป็นอาคารไม้ที่ได้รับอิทธิพลการก่อสร้างแบบตะวันตก เช่นเดียวกับพระที่นั่งวิมานเมฆ
อีกทั้งยังมีลวดลายฉลุไม้แบบขนมปังขิงประดับอยู่ตามชายคาอย่างงดงาม ลวดลายฉลุไม้เรียกว่าลายบุหงา
มีการประดับกระจกสี เป็นศิลปะแบบมัวร์ที่มีความงดงามมากเลยทีเดียว
อีกทั้งยังมีตราแผ่นดินที่มุขหน้า และมุขหลังของพระที่นั่งอีกด้วย

มนต์ "ขนมปังขิง" เสน่ห์คลาสสิคกลางกรุง
บ้านเอกะนาค ที่ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์ศูนย์กรุงธนบุรีศึกษา

บ้านขนมปังขิงหลังที่สองก็เป็นบ้านเก่าแก่อีกเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ "บ้านเอกะนาค"
บ้านสองชั้นครึ่งไม้ครึ่งปูนที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 มีอายุนับได้ 91 ปีแล้ว
แม้จะเก่าแก่แต่ก็ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ปัจจุบันบ้านเอกะนาคได้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ศูนย์กรุงธนบุรีศึกษา
ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยานั่นเอง
บ้านเอกะนาคนี้แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตนักแต่ก็ดูอบอุ่นสมเป็นบ้าน
เราสามารถชมลวดลายไม้ฉลุขนมปังขิงอันละเอียดงดงาม ที่ตกแต่งอยู่ได้ตามช่องลม เหนือประตูห้องต่างๆ
และตามชายคา ซึ่งเป็นของที่มีมาแต่เดิมในบ้านหลังนี้ รวมไปถึงกระเบื้องปูพื้นและผนังห้องลวดลายต่างๆ
ที่ส่วนใหญ่เป็นของเก่า และส่วนหนึ่งทำขึ้นให้เหมือนของเดิม ก็ทำให้ตัวบ้านมีสีสันน่ารักมากยิ่งขึ้นไปอีก

มนต์ "ขนมปังขิง" เสน่ห์คลาสสิคกลางกรุง
ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศ

ผู้ที่มาชมยังบ้านเอกะนาค นอกจากจะได้ชมบ้านขนมปังขิงน่ารักๆ แล้ว
ก็ยังจะได้ชมพิพิธภัณฑ์กรุงธนบุรีศึกษาที่อยู่ด้านในบ้านอีกด้วย โดยจะมีทั้งเรื่องราวของบ้านหลังนี้
เรื่องราวเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินผู้ทรงก่อตั้งกรุงธนบุรี
รวมไปถึงวิถีชีวิตและอาชีพของชาวธนบุรี ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนอีกด้วย

คราวนี้มาดูตึกขนมปังขิงภายในวัดกันบ้างที่ "ตำหนักเพ็ชร"ในวัดบวรนิเวศวิหาร
พระตำหนักหลังสำคัญของวัดบวรฯหลังหนึ่ง โดยเป็นตำหนักที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6
โดยพระองค์ทรงสร้างถวายเป็นท้องพระโรงของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ในสมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช

มนต์ "ขนมปังขิง" เสน่ห์คลาสสิคกลางกรุง
ตำหนักเพ็ชร ตำหนักแบบฝรั่งผสมไทย

ตำหนักเพ็ชรหลังนี้มีความสำคัญ ตรงที่ใช้เป็นสถานที่ประชุมมหาเถรสมาคม
อีกทั้งยังเคยใช้เป็นที่ประชุมคณะธรรมยุติวินิจฉัย กรณีพิพาทระหว่างพระมหานิกายและธรรมยุติ
ตัวตำหนักเป็นสองชั้นแบบฝรั่งผสมไทย มุขด้านหน้าประดับด้วยลวดลายไม้ฉลุขนมปังขิงดูงดงามมากทีเดียว

มนต์ "ขนมปังขิง" เสน่ห์คลาสสิคกลางกรุง
หมู่กุฏิขนมปังขิงที่วัดสวนพลู

ที่วัดอีกแห่งหนึ่งก็เป็นแหล่งชมงานศิลปะขนมปังขิงได้ชัดเจน
นั่นก็คือที่ "วัดสวนพลู" วัดเล็กๆ บนถนนเจริญกรุง ใกล้กับโรงแรมแชงกรีลา
ที่หมู่กุฏิของพระสงฆ์ในวัดแห่งนี้มีความโดดเด่นสวยงาม
ด้วยลวดลายไม้ฉลุขนมปังขิงที่ประดับตกแต่งอยู่บนเรือนไม้สองชั้น ทาด้วยสีเหลืองครีมคาดน้ำตาลเข้ม
ฝาไม้ตีซ้อนเกล็ด โดยบริเวณชายคาก็ประดับด้วยไม้ฉลุที่แผงกันแดดเหนือทางเข้า ราวลูกกรงระเบียงชั้นบน
และแผงกันแดดระหว่างเสาระเบียง โดยความสวยงามของหมู่กุฏินี้ ยังได้รับการการันตีด้วยรางวัลอนุรักษ์ดีเด่น
มรดกสถาปัตยกรรมในประเทศไทยจากสมาคมสถาปนิกสยาม เมื่อปี พ.ศ.2545 อีกด้วย

มนต์ "ขนมปังขิง" เสน่ห์คลาสสิคกลางกรุง
หมู่กุฏิขนมปังขิงที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น

มาปิดท้ายการชมบ้านขนมปังขิงกันที่ "โรงละครปรีดาลัย" ในแพร่งนรา ไม่ไกลจากเสาชิงช้าเท่าไรนัก
โรงละครปรีดาลัยนี้ตั้งอยู่ในบริเวณซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของวังวรวรรณ
ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
ผู้ทรงมีความสนใจในเรื่องของการนิพนธ์และศิลปะการละคร โดยได้ทรงแต่งบทละครร้อง "สาวเครือฟ้า" ขึ้น
โดยใช้เค้าโครงจากละครโอเปร่าเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลาย
ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงก่อตั้งโรงละครร้องขึ้น ในบริเวณตำหนักที่ประทับชื่อว่าโรงละครปรีดาลัยขึ้น
เป็นโรงละครร้องแห่งแรกในสยาม
ซึ่งรัชกาลที่ 5 ได้เคยเสด็จมาทอดพระเนตรละครร้องที่โรงละครแห่งนี้ด้วย
แต่ต่อมาได้มีการสร้างถนนขึ้นตัดผ่านวัง จึงเหลือเพียงตำหนักไม้ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวังเท่านั้น
ที่ยังเหลือให้เห็น และต่อมาพื้นที่บริเวณนี้ก็ถูกเช่าไป เพื่อเปิดเป็นโรงเรียนตะละภัฏศึกษา
ก่อนจะปิดทำการไปเมื่อ พ.ศ.2538 ปัจจุบันเป็นสำนักงานกฎหมาย
แต่ตัวตำหนักก็ยังคงตั้งตระหง่านให้เราได้ชมความงามกันจนทุกวันนี้

มนต์ "ขนมปังขิง" เสน่ห์คลาสสิคกลางกรุง
อดีตวังและโรงละครปรีดาลัย ที่แพร่งนรา

ตัวอาคารที่ยังมีให้เราเห็นอยู่นี้ ได้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นตึกผสมไม้สามชั้น
ประดับลวดลายฉลุไม้สวยงาม หลังคาทรงปั้นหยา มีหน้าบันรูปครึ่งวงกลม มีเฉลียงหันออกถนนแพร่งนรา
ส่วนที่เป็นไม้ฉลุลายสวยงามตามชายคา และเท้าแขนค้ำยันเฉลียงด้านติดถนน
ด้านหน้าอาคารถูกต่อเติมภายหลังด้วยอาคารเครื่องไม้ ลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 6
และใช้หน้าต่างบานเกล็ดไม้ ขณะที่หน้าต่างประตูของตัวตึกส่วนใหญ่เป็นบานทึบลูกฟักไม้กระดาน
ถือเป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่ามากทีเดียว


โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
ที่มา : //www.manager.co.th




Create Date : 18 พฤษภาคม 2553
Last Update : 18 พฤษภาคม 2553 13:23:30 น. 3 comments
Counter : 2544 Pageviews.

 
เคยไปเหมือนกัน
งามมาก
ต้องอนุรักษ์ไว้


โดย: Ezy-SeaHill วันที่: 18 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:51:56 น.  

 
สวยงามมากเลยใคร
..หาโอกาสไปเที่ยวบ้างดีกว่า


โดย: ibozla วันที่: 18 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:54:58 น.  

 
แนะนำ เว็บจองโรงแรมทั่วไทยค่ะ
เคยไปราคาหน้าเคาเตอร์ไม่ยอมลดให้เลย
ขนาดพักมาหนึงคืนแล้ว สุดท้ายก็ต้องกลับมาใช้บริการที่นี่ต่อ
// //www.therelaxy.com


โดย: siriwon IP: 114.128.62.199 วันที่: 10 มิถุนายน 2553 เวลา:15:15:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.