ปรับฐานทัพรับร้อน
ถ้าบ้านเปรียบเสมือนฐานทัพที่คนในบ้านใช้เป็นที่พักพิง แต่พอถึงหน้าร้อนก็มีศัตรูยกพลมาประชิดชายแดนสร้างความ "เดือดร้อน" ให้กับคนในบ้าน คงจะถึงเวลาที่คุณต้องลุกขึ้นมาเพื่อขับไล่ผู้บุกรุกอย่าง “ความร้อน” ให้ออกไปให้ไกล
คัมภีร์ยุทธศาสตร์ต่างๆ มักจะเอ่ยอ้างอิงถึงสำนวนสุภาษิตว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” คุณจึงควรรู้จักกับการถ่ายทอดพลังงานความร้อน*ของบรรดาข้าศึกเหล่านี้เสียก่อนว่า มันจะมีรูปแบบใดกันบ้าง? เพื่อที่ว่าเมื่อคุณรู้จะได้หายุทธวิธีรบเพื่อเอาชนะต่อไป
ถ้าคุณเลือกวิธีตีหัวเข้าบ้านอย่างเดียวด้วยการติดเครื่องปรับอากาศ ชัยชนะอาจจะได้มาแสนง่ายดาย คนในบ้านกลับมาอยู่เย็นอีกครั้ง แต่สิ่งที่ต้องสูญเสียไปล่ะจะคุ้มค่ากันไหม? ไม่ใช่เสียเลือดเสียเนื้อหรอก…แต่จะเป็นการเสียเงินเกินความจำเป็น คุณจึงต้องมีการจัดทัพให้ดีเพื่อรบกับความร้อนนี้
วางแนวหน้าด้วยการใช้กันสาดบังแดดที่ส่องผ่านเข้าหน้าต่าง แต่ต้องระวัง อย่าให้บดบังจนบ้านมืดเกินไป เพราะนั่นก็จะสิ้นเปลืองทรัพยากรไปกับการทำให้บ้านสว่างอีก ยุทธการเช่นนี้ต้องปรับวิธีรับมือ ให้เข้ากับการระดมพลรุกของข้าศึกอย่างดวงอาทิตย์ด้วย
ดาวฤกษ์ใหญ่ดวงนี้จะเคลื่อนตัวจากทิศตะวันออกอ้อมไปทางใต้ และมาบรรจบที่ทิศตะวันตกเป็นเวลา 9 เดือน โดยเฉพาะเดือนธันวาคมที่อ้อมไปทางใต้ที่สุด แดดจึงมีมุมต่ำที่สุด ส่วนอีก 3 เดือนที่เหลือ (พฤษภาคม-กรกฎาคม) ดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนแผนอ้อมไปทางเหนือ มุมแดดจะสูงป้องกันง่ายแต่แสงทิศนี้จะส่งผลต่อความสว่าง
ดังนั้น การตั้งรับการโจมตีจึงต้องยึดหลัก “รับไว้แสงทิศเหนือ ที่เหลือกันแดด”
กันสาดจะมี 3 รูปแบบให้เลือกใช้ คือ แนวนอนที่เหมาะกับการตั้งรับทางทิศเหนือและทิศใต้, แนวตั้งสำหรับทิศตะวันออกและตก และแบบผสมใช้ได้กับทุกทิศ
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใดสิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ คุณสามารถติดตั้งได้ไหม? มันจะล้ำแดนอาณาเขตผู้อื่นหรืออาณาเขตเป็นกลางไหม? โครงสร้างบ้านแข็งแกร่งพอหรือไม่?
แต่กันสาดนั้นสามารถทำให้เกิดเทอร์มอล บริดจ์ (Thermal Bridge) ได้ คือเมื่อแสงแดดส่องกระทบกันสาด ความร้อนจะสะสมอยู่มากเข้าๆ ก็จะมีการนำความร้อนไปยังผนัง และวัสดุตรงส่วนรอยต่อของกันสาดกับบ้าน การติดตั้ง จึงควรเลี่ยงที่จะให้มีจุดเชื่อมของกันสาดกับตัวบ้านน้อยที่สุด…แต่ยังคงไว้ซึ่งความแข็งแกร่งอยู่
ในขณะที่แนวหน้ากำลังกรำศึกอยู่ก็ควรมีแถวสองไว้ด้วย คือฉนวนกันความร้อนที่จะไม่ยอมให้ความร้อนแทรกซึมมาได้ แยกได้เป็น 2 ชนิด คือ ฉนวนป้องกันความร้อน เช่น พวกใยแก้ว โฟม พวกนี้จะนำความร้อนต่ำ เมื่อมาทำฉนวนจะมีโพรงอากาศ เนื้อวัสดุไม่ติดกัน ทำให้ไม่เกิดการนำความร้อน แต่การแผ่รังสีก็ยังเกิดขึ้นได้แต่น้อย
อีกพวกคือฉนวนสะท้อนความร้อน ด้วยความที่มีลักษณะเป็นแผ่นมันวาว เมื่อวางใต้หลังคามันจึงสะท้อนความร้อนออกไปก่อนที่จะสะสมในตัว แต่หากผิวหมดความวาวก็จะกลายเป็นของไร้ค่าไป หากต้องการประสิทธิภาพสูงสุดควรทำให้มีช่องว่างอากาศ (Air Gap) ระหว่างฉนวนกับฝ้าเพดานอย่างน้อย 1 นิ้วด้วย
สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนเลือกฉนวนกันความร้อน คือ 1. การทนต่อแมลงและการเกิดเชื้อรา 2. ราคาและอายุการใช้งาน 3. น้ำหนักและความหนาแน่น 4. การป้องกันน้ำและความชื้น
เมื่อได้คำตอบแล้วก็ติดตั้งได้เลย โดยเริ่มจากฝ้าเพดาน ผนังด้านตะวันตกและใต้แล้วค่อยไปด้านอื่น แต่กับห้องที่ไม่ติดแอร์ อย่าไปเผลอตัวติดทุกด้านนะ แม้งบจะเพียงพอก็ตาม เพราะห้องจะกลายเป็นเตาอบไป
นี่คือวิธีการง่ายๆ สำหรับการปรับทัพเพื่อต้านรับความร้อน ไม่ให้เข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในบ้าน แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องหมั่นตรวจตราด้วย ถ้าเมื่อใดที่กองกำลังที่คุณติดตั้งอ่อนแอลง ก็จัดการทะนุบำรุงใหม่เพื่อไม่ให้เป็นช่องว่างให้ข้าศึก (ความร้อน) กลับมาโจมตีอีกได้
* การถ่ายทอดพลังงานความร้อน พฤติกรรมการถ่ายเทความร้อนหรือ Heat Transfer นั้นจะมีมาในลักษณะ 3 รูปขบวนด้วยกันได้แก่
1. การนำความร้อน จะถ่ายเทอยู่ในวัสดุชิ้นเดียวกันหรือวัสดุ 2 ชิ้นที่แตะทับสัมผัสกันก็ได้ เช่น ถ้าเอามือไปแตะสัมผัสกำแพงก็จะรู้สึกร้อน ถ้ากำแพงนั้นร้อน เป็นต้น การถ่ายเทความร้อนในลักษณะนี้จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับวัสดุนั้นๆ ว่าเป็นตัวนำความร้อนที่ดีเพียงใด เช่น เหล็ก หิน คอนกรีตนั้น จัดได้ว่าเป็นตัวนำความร้อนที่ดีทีเดียว
การนำความร้อนสามารถเกิดขึ้นได้อีกลักษณะที่ไม่ต้องเกิดการสัมผัส คือถ้ากำแพงด้านหนึ่งร้อนมันจะถ่ายเทความร้อนมายังอีกด้านหนึ่งด้วย 2. การพาความร้อน จะเริ่มซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยเมื่อต้องอาศัย “ตัวกลางเชื่อมโยง” อันได้แก่ น้ำหรืออากาศเข้าร่วมมือด้วย สำหรับการพาความร้อนในบ้านนั้น อากาศเป็นตัวการที่สำคัญที่สุด ในพื้นที่ที่อุณหภูมิสูงอากาศจะร้อนและลอยตัวขึ้น อากาศจากที่ที่อุณหภูมิต่ำก็เลยสวมรอยเข้าทดแทน และหมุนเวียนอยู่ทั่วทั้งห้องทำให้ความร้อนอบอยู่ในนั้น คอนเด็นซิ่งยูนิตของเครื่องปรับอากาศ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด เพราะเป็นการพาเอาความร้อนจากในบ้านมาทิ้งนอกบ้าน 3. การแผ่รังสีความร้อน ไม่ต้องอาศัยตัวกลางเชื่อมโยงแล้ว แต่บุกเดี่ยวเข้าโจมตีด้วยการแฝงตัวผ่านอากาศหรือสูญญากาศ ในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเลย เปรียบเสมือนยืนข้างกองไฟแม้ไม่มีลมพัดพาความร้อนมา แต่เราก็ร้อนอยู่ดีเพราะไฟแผ่รังสีออกมา เช่นกันกับยามบ่ายคล้อย ผนังที่รับความร้อนมาเต็มที่ก็จะคลายความร้อนออกมา โดยการแผ่รังสีไปยังสิ่งที่เย็นกว่า เราที่อยู่ในห้องไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยก็จะรู้สึกร้อนไปด้วย
ที่มา : //www.homeandi.com
สารบัญ ตกแต่งบ้าน และ จัดสวน
Create Date : 18 เมษายน 2554 |
|
0 comments |
Last Update : 18 เมษายน 2554 18:13:54 น. |
Counter : 1265 Pageviews. |
|
|
|