ทำเอากลุ่มคนรักร่วมเพศถึงกับน้ำตาตกไปตามๆ กัน เมื่อศาลสูงสหรัฐฯ ออกมาระงับกฎหมายอนุญาตแต่งงานคนรักร่วมเพศในรัฐยูทาห์ชั่วคราว จนหลายคู่ต้องแขวนชุดรอ ว่าเมื่อไหร่จะได้เข้าพิธีที่วาดหวังไว้เสียที...
การแต่งงานของคนรักร่วมเพศนั้น เพิ่งจะได้รับการยอมรับมากขึ้นในระยะหลัง และมีหลายประเทศรวมถึงรัฐที่ยินยอมให้มีการแต่งงาน และจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม แคนาดา ฮาวาย รวมถึงรัฐแมสซาชูเซตส์ นิวเจอร์ซีย์ นิวยอร์ก และนิวแฮมป์เชียร์ เป็นต้น
แต่ใครจะรู้บ้างว่า คู่รักร่วมเพศคู่แรกของโลกที่เคยถูกบันทึกไว้นั้น มีมาตั้งแต่ 2,400 ปี ก่อนคริสตกาลแล้ว คู่รักร่วมเพศคู่แรกของโลกเป็นคู่ชายกับชายชาวอียิปต์ชื่อ นัมโฮเทป และ นิอังค์คานุม ซึ่งเป็นบริวารของฟาโรห์ในราชวงศ์ลำดับที่ 5 ของอาณาจักรอียิปต์โบราณ โดยทั้งคู่ถูกฝังอยู่ในหลุมฝังศพเดียวกันและมีข้อความเป็นภาษาเฮียโรกลิฟฟิกจารึกไว้ว่า "อยู่ด้วยกันในชีวิต และอยู่ด้วยกันในความตาย" ซึ่งการฝังศพร่วมกันนี้เปรียบเสมือนกับการแต่งงานในสมัยนั้น และข้อความที่จารึกไว้ก็เป็นเหมือนคำสาบาน
ความจริงแล้ว นิอังค์คานุมนั้นมีภรรยาอยู่แล้ว แต่ภาพสลักคู่บนฝาผนังในหลุมฝังศพของคนทั้งคู่นั้น ในตำแหน่งที่ควรจะเป็นภาพของภรรยา กลับกลายเป็นรูปของนัมโฮเทปประดับอยู่ทั่วไปหมด รวมถึงภาพที่คนทั้งคู่จับมือโอบไหล่และเอาจมูกชนกันด้วย
จากนั้นดูเหมือนภาพของชายรักชาย จะเฟื่องฟูมากในยุคอาณาจักรกรีก-โรมัน คนกรีกโบราณยกย่องว่าผู้ชายคือสิ่งสวยงาม เต็มไปด้วยปัญญาและเหตุผล จนเกิดเป็นอารยธรรมขึ้น จากความเชื่อที่ว่าผู้ใหญ่สามารถถ่ายทอดสัญลักษณ์ความเป็นชายไปสู่เด็กหนุ่มได้ด้วยการร่วมเพศ เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อความรู้ ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นเพียงแค่ปัจจัยในการสืบพันธุ์เท่านั้น เด็กหนุ่มสมัยนั้น จึงมักมีสัมพันธ์กับอาจารย์ของตัวเอง เมื่อโตขึ้นจึงแต่งงานกับหญิงสาวเพื่อสืบพันธุ์ และเมื่อเข้าวัยชราก็จะมีสัมพันธ์กับลูกศิษย์ของตัวเองเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น นักปรัชญาชื่อดัง โสเครตีส และเพลโต
ชายรักชายในสมัยนั้น มีการแสดงออกที่เปิดเผย ตั้งแต่ปุถุชนคนธรรมดาไปจนถึงผู้ครองอาณาจักรอย่าง อเล็กซานเดอร์มหาราช ก็ไม่เว้น ดังนั้นศิลปะรูปปั้นในยุคนี้ จึงนิยมทำรูปสลักผู้ชายขณะร่วมเพศกัน หรือเรือนร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายโดยไม่ปิดบัง
สำหรับฝ่ายหญิงรักหญิงนั้น มีบันทึกว่าเกิดขึ้นจากกวีสาวชั้นนำชาวกรีก ที่อาศัยอยู่ในเกาะเลสบอสในแถบเอเชียไมเนอร์ยุค 580 ปีก่อนคริสตกาล มีชื่อว่า แซพโฟ ซึ่งเป็นทั้งกวีและครู ที่คอยสอนเด็กสาวๆ บนเกาะนั้น และในบทกวีที่เธอแต่ง มักพูดถึงเรื่องความรัก กามารมณ์ ความอิจฉาริษยา และความโหยหา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ผู้หญิงเป็นหลัก
มีบทหนึ่งได้สะท้อนบุคลิกและทัศนคติของเธอต่อผู้หญิงอย่างเด่นชัด มีข้อความว่า "...เหงื่อเย็นไหลท่วมกายข้าจนสั่นเทิ้ม ความริษยาถาโถมไปทั่วร่าง" แซพโฟแต่งกวีบทนี้ขึ้น เพื่อแสดงความหึงหวง เมื่อหญิงสาวที่เธอปรารถนานั้นเป็นของชายอื่น จากนั้นเป็นต้นมา คำว่า เลสเบี้ยน จึงถือกำเนิดขึ้น โดยแปลงมาจากชื่อเกาะเลสบอสที่แซพโฟอาศัยอยู่
ดังนั้น ความรักร่วมเพศไม่ว่าจะเป็นชายรักชาย หญิงรักหญิง ชายก็ได้หญิงก็ดี ล้วนมีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณกาลแล้ว ใครที่คิดว่าเพิ่งจะเป็นเทรนด์ในยุคหลังๆ มานี้ ก็คงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ แต่ไม่ว่ารูปแบบจะเป็นอย่างไร ความรักก็ยังคงเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ.