มิตรภาพไทย-กัมพูชา ฟังคำตัดสินคดีพระวิหาร (สกู๊ปพิเศษ)
มิตรภาพไทย-กัมพูชา ฟังคำตัดสินคดีพระวิหาร
สกู๊ปพิเศษ
ฮอร์ นัมฮง จับมือกับ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
| สองรัฐมนตรีต่างประเทศของคู่คดีพื้นที่เขาพระวิหารนัดพบกันไปแล้วเมื่อวันที่ 28 ต.ค. ก่อนที่ศาลระหว่างประเทศที่ กรุงเฮกจะอ่านคำตัดสินคดีวันที่ 11 พ.ย.นี้
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล และ นายฮอร์ นัมฮง แถลงผลการหารือร่วมกันว่าจะช่วยกันดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกันในช่วงที่ศาลโลกจะมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีเมื่อปีพ.ศ.2505 สรุปประเด็นได้ดังนี้
1.ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า ไม่ว่าผลการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะเป็นเช่นไร จะไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป
2.ทั้งสองฝ่ายร่วมกำหนดมาตรการที่จะยึดถือปฏิบัติร่วมกัน รักษาไว้ซึ่งความสงบสุขตามแนวชายแดน ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ
3.ทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ และกระบวนการทางกฎหมายภายในของ แต่ละประเทศ ซึ่งในชั้นนี้เห็นพ้องที่จะให้ใช้กลไกที่มีอยู่แล้ว เช่น การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-กัมพูชา หรือกลไกอื่นๆ
4.การนำเสนอข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐเป็นสิ่งสำคัญ และเพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้กระทรวงการต่างประเทศของแต่ละฝ่ายเป็นหน่วยงานหลักในการประสานข้อมูลและการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในเรื่องของข้อมูลข่าวสาร
สำหรับคำตัดสินของศาลโลกที่สองฝ่ายรอคอยนั้น ก่อนหน้านี้ เอกอัครราชทูตวีรชัย พลาศรัย ในฐานะหัวหน้าคณะทนายกฎหมายระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหารของไทย คาดการณ์แนวโน้มว่า อาจออกมาได้ 4 ประเด็น
1. ศาลโลกตัดสินว่า "ไม่มีอำนาจตีความ" หรือ "มีอำนาจแต่ไม่มีเหตุที่จะต้องตีความ" ซึ่งเป็นการตัดสินที่สมบูรณ์ และไม่เป็นการจำหน่ายคดีหรือยกคำร้อง แต่อย่างใด
หากคำพิพากษาออกมาในแนวทางนี้ จะทำให้สถานการณ์กลับไป "เหมือน" ช่วงก่อนการฟ้องคดี
แต่สิ่งที่จะ "แตกต่าง" ออกไปนั้นขึ้นอยู่กับ "การให้เหตุผลของศาล" จะเป็นประโยชน์ในการนำหลักการและเหตุผลจากแนวทางคำพิพากษามาใช้เป็นพื้นฐานในการพูดคุยต่อไปในอนาคต
2. ศาลโลกตัดสินให้ตามที่กัมพูชาขอ กล่าวคือให้ขอบเขตบริเวณใกล้เคียงเป็นไปตามเส้นเขตแดนบนแผนที่อัตราส่วนแผนที่ 1 ต่อ 200,000 (เส้นสีแดงตามแผนที่) หรือศาลอาจกำหนดเส้นใกล้เคียงกับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ให้
สำหรับ "เส้นใกล้เคียง" นั้น อาจเป็นไปได้ว่าศาลกำหนดเอง หรือให้ผู้เชี่ยวชาญกำหนดให้ แม้กระทั่งให้คู่กรณีคือไทยและกัมพูชา ไปตกลงกันเอง
แต่คิดว่าแนวโน้มนี้ "เป็นไปได้ยาก" เนื่องจากเป็นการตัดสินที่เกินจากคำพิพากษาเดิมเมื่อปีพ.ศ.2505
3. ศาลโลกตัดสินให้ขอบพื้นที่ใกล้เคียงเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2505
มีข้อสังเกตคือ ทางฝั่งไทยเรามีการต่อสู้คดีโดยระบุว่าในคำพิพากษาเมื่อปีพ.ศ.2505 ทางฝั่งกัมพูชาไม่ได้อ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แต่ไปอ้างเส้นเขตแดนที่ใกล้เคียงกับมติคณะรัฐมนตรีของเรา นอกจากนั้น ข้อพิพาทเมื่อปีพ.ศ.2505 ระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นอยู่ที่ว่า สันปันน้ำที่แท้จริงอยู่ตรงไหน และไม่ได้มีข้อพิพาทว่าเส้นบนแผนที่ 1 ต่อ 200,000 มีเจตนาแสดงสันปันน้ำแต่อย่างใด
นอกจากนั้น ทางฝ่ายไทยยังได้นำเสนอแผนที่ "85D" ซึ่งแสดงเส้นสันปันน้ำตามที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาอ้างในการต่อสู้คดีเมื่อปี 2505 แต่ความพิเศษของแผนที่ฉบับนี้คือเป็นส่วนขยายของพื้นที่พิพาทบริเวณปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกจัดทำขึ้นเพื่อขยายพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารให้ชัดเจนขึ้น โดยเส้นสีดำคือเส้นสันปันน้ำที่ไทยอ้าง ขณะที่เส้นสีแดงคือเส้นสันปันน้ำตามที่กัมพูชาอ้างถึง
4. ประเด็นสุดท้าย ทูตวีรชัยคาดการณ์ว่าเป็นไปได้มากที่สุด คือ ศาลโลกจะตัดสินในลักษณะที่เป็นการให้คำอธิบายคำพิพากษาปีพ.ศ.2505 ว่าหมายความว่าอย่างไร โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน และเส้นบนแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน
จากนั้นจึงให้คู่กรณีไปเจรจาบนพื้นฐานของคำอธิบายนั้น ซึ่งไม่ใช่การขีดเส้นแบ่งพื้นที่แต่อย่างใด
11 พฤศจิกายนนี้คงจะได้ทราบกันว่าศาลโลกจะตัดสินออกมาเป็นแนวทางใด
Create Date : 30 ตุลาคม 2556 |
Last Update : 30 ตุลาคม 2556 2:36:12 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1012 Pageviews. |
|
|
|
|
|