ตำรวจสหรัฐฯจับกุมแก๊งอาชญากรไซเบอร์ 7 คน ฐานเจาะระบบฐานข้อมูลบัตรเดบิต และนำไปใช้กดเงินจากตู้เอทีเอ็มทั่วโลก ได้เงินไปกว่า 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 พ.ค. ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กจับกุมผู้ต้องสงสัย 7 คน ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนึ่งในแก๊งอาชญากรไซเบอร์ ที่ก่อเหตุเจาะระบบฐานข้อมูลบัตรเดบิต และนำไปใช้กดเงินจากตู้กดเงินอัตโนมัติใน 26 ประเทศทั่วโลก ได้เงินไปถึง 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.3 พันล้านบาท)

นางโลเรตตา ลีนช์ อัยการเขตอีสต์เทิร์น ในนครนิวยอร์ก กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า ผู้ต้องสงสัยทั้ง 7 คน มีส่วนร่วมในการปล้นธนาคารผ่านอินเทอร์เน็ตครั้งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 21 "แทนที่จะใช้ปืนและสวมหน้ากาก องค์กรอาชญากรไซเบอร์กลุ่มนี้กลับใช้เพียงแล็ปท็อปและอินเทอร์เน็ต" เขากล่าว

ลีนช์ระบุว่า อาชญากรไซเบอร์กลุ่มนี้ถูกกล่าวหาว่า เจาะระบบคอมพิวเตอร์และขโมยข้อมูลบัตรเดบิตแบบกดเงินด่วน และยกเลิกการจำกัดวงเงินการถอนของบัตร และส่งต่อข้อมูลไปผู้สมรู้ร่วมคิดซึ่งถูกเรียกว่า 'แคชเชียร์ส' ที่มีอยู่ทั่วโลก โดยเหล่าแคชเชียร์สจะนำข้อมูลที่ได้รับมา ใส่ลงในบัตรอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่นบัตรของขวัญหรือบัตรเปิดห้องโรงแรมเก่าๆ และใช้พวกมันในการถอนเงินก้อนโต

จากหลักฐานที่พบ การปล้นครั้งแรกเกิดขึ้นที่ธนาคารรัคแบงก์ ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อเดือนธ.ค. ก่อนที่คนร้ายจะทำธุรกรรมกว่า 4,500 ครั้งใน 20 ประเทศ และได้เงินไปราว 5 ล้านดอลลาร์ อัยการยังเชื่อว่าคนกลุ่มนี้เจาะระบบของธนาคารมัสกัต ในประเทศโอมาน เมื่อเดือนก.พ. และหลังจากนั้นเพียง 10 ชม. เงินจำนวน 40 ล้านดอลลาร์ก็ถูกถอนออกจากตู้เอทีเอ็ม ด้วยฝีมือของเหล่าแคชเชียร์ส

ข้อมูลจากคำร้องในศาลนิวยอร์กระบุว่า คนร้ายดำเนินการฟอกเงินอย่างรวดเร็ว ด้วยการเปิดบัญชีธนาคารเมืองไมอามี และนำเงินไปซื้อรถยนต์ราคาแพง เช่น ปอร์เช่ และเมอร์เซเดส รวมถึงซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์

ทั้งนี้ ผู้ต้องสงสัยทั้ง 7 คนถูกจับ และจะถูกตั้งข้อหาเป็นแฮกเกอร์เจาะข้อมูลเพื่อฉ้อโกงและฟอกเงิน อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องสงสัยคนที่ 8 ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ของกลุ่ม ถูกฆาตกรรมที่สาธารณรัฐโดมินิกัน เมื่อสัปดาห์ก่อน