มาสด้าเดินหน้าลุยเต็มสูบชูไฮไลต์ปี56
ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในครึ่งปีหลังค่อนข้างจะคึกคักกันพอสมควร และหนึ่งในค่ายที่สร้างความคึกคักดังกล่าวให้กับตลาดก็คือค่ายมาสด้า ที่ทีมผู้บริหารใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาเยี่ยมเยือน พร้อมทั้งประกาศแผนงานและเป้าหมายสำคัญอย่างการบรรลุยอดขายทั่วโลก1.7 ล้านคัน และมีผลกำไรจากการดำเนินงาน 150,000 ล้านเยนภายในปี 2559 ขณะที่ในตลาดอาเซียนก็มีการวางเป้าหมายยอดขาย 150,000 คันภายในปี 3 ปีข้างหน้าชูแผนระยะกลางดันยอด 1.7 ล้านคัน จากเป้าหมายดังกล่าว แน่นอนว่าจะต้องมียุทธศาสตร์ที่คอยขับเคลื่อนให้ไปสู่เป้าที่วางไว้ โดยมาสด้าเรียกแผนดังกล่าวว่า "แผนนวัตกรรมโครงสร้างธุรกิจ" ซึ่งประกอบไปด้วย 4 แกนหลักได้แก่ 1.การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี "สกายแอกทีฟ" ที่จะผลักดันการเติบโตของธุรกิจมาสด้าในทุกตลาดทั่วโลก โดยเทคโนโลยีดังกล่าวมีคุณสมบัติเด่นคือ ช่วยประหยัดน้ำมันขึ้น 30% แต่ยังคงรักษาสมรรถนะการขับขี่ในสไตล์ซูม-ซูม ของมาสด้า ซึ่งตามแผนงานที่วางไว้มาสด้าจะทำการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสกายแอกทีฟ 8 รุ่นภายในระยะเวลา 5 ปี แกนที่ 2 คือนวัตกรรมทางการผลิต ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะช่วยให้มาสด้าปรับปรุงค้นคว้าพัฒนารถยนต์และกระบวนการผลิตในโรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยผลลัพธ์คือการปรับลดต้นทุนการผลิตลงไปได้ถึง 30% แกนที่ 3 คือการสร้างธุรกิจให้เติบโตในตลาดเกิดใหม่โดยใช้ความแข็งแกร่งทางฐานการผลิตที่มีอยู่ทั่วโลกนอกประเทศญี่ปุ่น โดยการริเริ่มยุทธศาสตร์ทางธุรกิจนี้จะครอบคลุมถึงอาเซียน รัสเซีย และเม็กซิโก ซึ่งมาสด้าได้มีเป้าหมายที่จะผลิตรถยนต์ในประเทศอาเซียนให้มากขึ้น และในปีนี้จะเริ่มผลิตรถในรัสเซีย ในปี 2014 จะเริ่มการผลิตในเม็กซิโก แกนที่ 4 คือการเร่งหาพันธมิตรใหม่ในหลากหลายสายธุรกิจ อาทิ การร่วมมือกับโตโยต้าเรื่องการผลิตรถยนต์ไฮบริดของมาสด้า หรือการประกาศความร่วมมือในโครงการพัฒนารถสปอร์ตกับบริษัทเฟียตฯ เรียกได้ว่ายุทธศาสตร์ทั้ง 4 ข้อได้ถูกขับเคลื่อนและทีมผู้บริหารก็ประกาศว่าแผนงานดังกล่าวกำลังไปได้สวยเลยทีเดียว -เล็งเปิดCX- 5 สกายแอกทีฟปีหน้า นอกจาก "แผนนวัตกรรมโครงสร้างธุรกิจ" ที่ประธานใหญ่ได้ออกมาประกาศแล้ว การเดินทางเข้ามายังประเทศไทยในครั้งนี้ ยังมีการเข้าพบปะกับรัฐบาลไทย โดยนายทาคาชิ ยามานูชิ คณะกรรมการและประธานกรรมการ,ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ภายใต้ยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ข้อจะช่วยทำให้มาสด้าไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ โดยในส่วนของประเทศไทยได้มีการเข้าพบกับรัฐบาลเพื่อแนะนำเทคโนโลยีสกายแอกทีฟว่าคืออะไร - มีการทำงานอย่างไรบ้าง ซึ่งตามแผนงานที่วางไว้สำหรับเทคโนโลยีดังกล่าว คือการเปิดตัว CX- 5 สกายแอกทีฟในเดือนมีนาคมหรือช่วงงานมอเตอร์โชว์ปี 2556 "รัฐบาลไทยได้ให้ความสนใจในเทคโนโลยีสกายแอกทีฟ และเราก็ได้เข้าไปพูดคุยว่าเทคโนโลยีของเรามีคุณสมบัติอะไรบ้าง มีคุณสมบัติเหมือนแตกต่างอย่างไรกับไฮบริด หรือสามารถลดและประหยัดน้ำมันได้ ซึ่งการเข้าพบปะในครั้งนี้มิได้เป็นการไปล็อบบี้เพื่อขออัตราภาษีพิเศษแต่อย่างไร เพราะเรายังคงเดินหน้าตามแผนงานคือการเปิดตัว 7 รุ่นสำหรับรถสกายแอกทีฟในประเทศไทย" สำหรับเทคโนโลยีสกายแอกทีฟ ที่จะแนะนำผ่าน CX-5 ในเบื้องต้นบริษัทแม่กำลังมองหาฐานการผลิต ซึ่งอาจจะเป็นประเทศไทย หรือเป็นประเทศในอาเซียน แต่จะไม่ได้นำเข้ามาทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่น โดยปัจจุบัน CX- 5 มีการวางจำหน่ายแล้วที่มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ส่วนรถรุ่นต่อไปที่จะใช้เทคโนโลยีสกายแอกทีฟก็คือ มาสด้า 2 และมาสด้า 3 "การลงทุนในเทคโนโลยีสกายแอกทีฟของไทยจะไม่มากเท่าไร เพราะมันคือการพัฒนาอาทิ เครื่องยนต์สันดาปภายใน และการพัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่ อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ต้องมีการวางแผนและหาแหล่งผลิตให้ได้ก่อน เพราะรถรุ่นนี้มิได้มีการประกอบในประเทศไทย แต่ในรุ่นต่อไปอย่าง มาสด้า 2 และ 3 ซึ่งมีฐานผลิตในไทยอยู่แล้วนั้น ก็คาดว่าจะได้เห็นการลงทุนเพิ่มเติมอย่างแน่นอน" โดยการตอบรับของตลาดโลกในเทคโนโลยีสกายแอกทีฟนั้น พบว่ามียอดขายไปแล้วกว่า 150,000 คัน คิดเป็นสัดส่วนการขายของรถมาสด้าทุกรุ่นในช่วงปีที่ผ่านมากว่า 10% และคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถทำยอดขายสกายแอกทีฟได้สัดส่วนสูงกว่า 20% และในประเทศญี่ปุ่น หลังจากทำการเปิดตัว CX-5 สกายแอกทีฟ มียอดจองกว่า 24,000 คันภายใน 4 เดือน นอกเหนือจากการแนะนำเทคโนโลยีสกายแอกทีฟแล้ว ยุทธศาสตร์ทางด้านสินค้า ที่แต่เดิมมีเพียงแค่ปิกอัพ ไฟท์เตอร์ และรถเก๋ง โปรทีเจ หลังจากนั้นก็เริ่มมีมาสด้า 3 และมาสด้า 2 ออกมา ซึ่งส่งผลให้ยอดขายของมาสด้าเพิ่มขึ้นและทำให้ต้องมีการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และในอนาคตจะมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แผนงานด้านเครือข่าย ปัจจุบันมาสด้ามีโชว์รูมและศูนย์บริการ 130 แห่งทั่วประเทศ และตามแผนงานที่วางไว้ภายในสิ้นปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 150 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนั้นแล้วการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทแม่และตัวแทนจำหน่ายจะมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น นายยามานูชิ กล่าวว่า ธุรกิจในอาเซียนเติบโตมาก และถือเป็นตลาดหลักของมาสด้า โดยยอดขายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาของมาสด้ามีจำนวน 50,000 คัน และคาดว่าในปีนี้จะทำได้ 100,000 คัน และใน 3 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่ 150,000 คัน โดยตัวเลขดังกล่าวจะมาจากประเทศไทยที่ถือเป็นประเทศยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งบริษัทแม่จะช่วยสนับสนุนเรื่องการขายและเรื่องกำลังการผลิตเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด โดยเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้คือ 70,000 คัน หรือครองส่วนแบ่งทางการตลาด 6% และเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้มาสด้าในประเทศไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมาย 100,000 คันอย่างแน่นอน "ใจกลางความสำคัญก็คือตลาดประเทศไทย ซึ่งบริษัทแม่รวมไปถึงผู้จำหน่ายต่างๆต้องมีการทำงานร่วมกัน รวมไปถึงการเพิ่มกำลังการผลิต ดังจะเห็นจากในช่วงที่ผ่านมาที่เราเพิ่มกำลังการผลิตรถปิกอัพอีก 20,000 คันที่โรงงานจังหวัดระยอง" จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,757 15-18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
Create Date : 17 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2555 18:44:58 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1795 Pageviews. |
|
|
|