ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

2012 Lexus GS ในชุดแต่งอัพเกรด TRD F-Sport


ค่าย TRD (Toyota Racing Development) ได้เปิดตัวชุดอัพเกรดชุดแต่ง F-Sport สำหรับ Lexus GS 350 และ 450h ซึ่งจากเดิมจะมีแอโรพาร์ตรอบคัน กระจังหน้าแบบตาข่าย ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว และระบบกันสะเทือนปรับแต่งใหม่ แต่ชุดอัพเกรดนี้มีการเสริมวัสดุเข้าไปในส่วนของกันชนหน้า สเกิร์ตข้าง บังโคลนหลัง และใช้สปอยเลอร์ฝากระโปรงหลังที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยปลายท่อทั้งสีเป็นสเตนเลสแกมฟ้า






ส่วนการอัพเกรดด้านสมรรถนะเป็นการปรับแต่งรถในส่วนของช่วงล่างให้สปอร์ตมากขึ้น รวมถึงระบบไอเสีย โดยมีการใช้ล้ออัลลอยขอบ 19 นิ้ว สีเข้ม ส่วนราคาไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใด


สำหรับแฟนๆ เล็กซัส ในบ้านเราอาจจะต้องรอลุ้นว่าจะมีอะไรเด็ดๆ มาเปิดตัวที่งานมอเตอร์โชว์ 2012 (Motor Show 2012) ในต้นปีนี้ หรือไม่ ซึ่งอันนี้แฟนๆ Lexus ต้องติดตามกันต่อไปครับ


อย่าพลาดติดตามข่าวสารการเปิดตัวรถใหม่ พร้อมทั้งอัลบั้มรูปรถยนต์เด่นๆ พริตตี้น่ารักๆ รวมถึงความเคลื่อนไหวในวงการรถยนต์ทั้งไทย และต่างประเทศได้ใหม่กับ Thaicarlover.com ครับ




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2555 10:16:03 น.   
Counter : 6341 Pageviews.  

“ไฟตัดหมอก“ ดาบสองคมออพชั่นยานยนต์

ทุกวันนี้เมื่อพูดถึงรถยนต์รุ่น
ใหม่ที่วางจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว เจ้า "ไฟตัดหมอก"
ดูจะเป็นสิ่งมที่กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของรถยนต์ทุกวันนี้
ด้วยอำนาจการให้ไฟที่ส่องสว่างขึ้นมากกว่าเดิม
จนกลายเป็นที่พูดกันอย่างกว้างขวางถึงความเหมาะสมทางด้านการใช้งานว่า
สรุปแล้ว ไฟตัดหมอกนั้นมีดีหรือโทษมากกว่ากัน



เมื่อช่วงปีที่ผ่นมานั้น เราได้เคยพูดถึงเรื่องราวของ "ไฟตัดหมอก"
ไปบ้างในแง่ของการใช้งาน ที่เราสามารถเลือกที่จะปิดหรือเปิดตามต้องการได้
ทว่าด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการของคนขับ ที่ใช้มันอย่างพร่ำเพรื่อ
วันนี้ไฟตัดหมอกได้กลายมาเป็นภัยร้ายใหม่บนถนน
ที่อาจจะแฝงตัวเข้ามาโดยที่คุณไม่ทันสังเกต
และแม้ชุดไฟตัดหมอกนี้จะอยู่ต่ำกว่าไฟหน้าปกติ
แต่ก็มีพิษสงที่ร้ายกาจเช่นกัน


"ไฟตัดหมอก"


ไม่นานมาที่ประเทศอังกฤษได้มีการวิจัยที่น่าสนใจของบริษัท
ประกันภัยแดนผู้ดีที่ชื่อว่า Swift Cover
ที่มุ่งศึกษาประเด็นดังกล่าวในหัวข้อ "Reckless fog light Driver"
โดยเน้นในการศึกษาเกี่ยวกับผุ้ขับขี่ที่เปิดไฟตัดหมอกเป็นประจำบนถนน
โดยจากการวิจัยพบว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมามีอุบัติเหตุกว่า 300,000
ครั้ง ในอังกฤษที่อาจจะมีสาเหตุมาจากไฟตัดหมอก
และผู้ขับขี่ที่มีอายุน้อยส่วนใหญ่ มักจะบอกว่า "มันดูเท่ห์" กว่าบนถนน


จากการศึกษาในกรุงลอนดอนพบว่า อุบัติเหตุกว่าครึ่งในนครได้รับการระบุว่า
รถคู่กรณีนั้นมักจะใช้ไฟตัดหมอกนอกสภาวะการณ์ที่เหมาะ ในขณะที่ swift
cover เองก็พบว่า ผู้ใช้รถกว่า 21 % เปิดใช้ไฟตัดหมอกไม่ถูกต้อง
โดยผู้ขับส่วนใหญ่มักให้เหตุผลว่า ไฟหน้าของพวกเขาส่องสว่างไม่เพียงพอ
รวมถึงช่วยเพิ่มระยะการมองเห็นเมื่อกระทบกันเส้นไฟจราจร
และไฟตัดหมอกยังช่วยลดการจี้ตูดด้วย


แม้บางเหตุผลอาจจะพอที่จะเข้าใจได้แต่จากการวิจัยนี้พบว่า 14%
ของผู้ที่เปิดไฟตัดหมอกเอาไว้ ให้เหตุผลว่า มันช่วยให้รถดูดียามขับขี่
โดยผู้ที่ตอบด้วยเหตุผลนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ขับขี่ที่มีอายุระหว่าง 18 -34 ปี
และมีเพียง 3% ที่มีอายุระหว่าง 35-54 ปี ที่กล่าวถึงเรื่อง "ไฟตัดหมอก"
ด้วยเหตุผลเดียวกัน


"ไฟตัดหมอก"


ด้านนาย โรบิน รีเมส หัวหน้าฝ่ายเคลมค่าสินไหมของ Swift cover
เปิดเผยว่า ความคิดของวัยรุ่นที่คิดว่าการเปิดไฟตัดหมอกนั้นเท่ห์
อาจจะทำให้เป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่คนอื่นได้
ไฟตัดหมอกถูกออกแบบมาให้ใช้เพื่อเพิ่มคตวามสามารถในการมองเห็นในบาง
สถานการณ์ วึ่งการใช้งานอย่างไม่ถูกต้องนั้น
จะทำให้แยงตาและรบกวนสมาธิผู้ใช้ถนนคนอื่น และนำไปสู่อุบติเหตุ
ซึ่งพิสูจน์ได้จาการวิจัยในครั้งนี้
และถ้ายังสามารถมองเห้นได้ในระยะที่มากกว่า 100 เมตร
ไฟตัดหมอกก็ควรจะถูกปิดเสีย


แม้ไฟตัดหมอกจะดูไม่อันตรายมาก
แต่การออกแบบให้มันมีความสามารถทะลุทะวงอุปสรรคด้วยการกระจายแสงในแนวนอน
ก็ทำให้มันอาจจะเป็นอันตรายได้เช่นกัน ซึ่งตามปกติแล้ว เราอยากแนะนำว่า
การเปิดไฟตัดหมอกที่ถูกตั้องนั้น ควรใช้ในสถานการณที่มีฝนตก,หมอกลงหน้าจัด
ตลอดจน สภาวะฝุ่นหรือควัน และรวมถึงการขับขี่ฝ่าสภาวะหิมะตก
ซึ่งแม้ไฟตัดหมอกอาจจะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ในความคิดหลายๆคน
แต่การคิดถึงเพื่อนร่วมถนน ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2555 7:51:47 น.   
Counter : 1169 Pageviews.  

New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2 ..สมรรถนะเกินคาดกับเรือนร่างสุดหล่อ

ในช่วงปีที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดบ้านเรา  Ford  Ranger ถือ
เป็นรถยนต์รุ่นหนึ่งที่คนบ้านเราให้สนใจ
ด้วยการเปลี่ยนแปลงแบบกลับหน้ามือเป็นหลังมือชนิดที่เรียกว่าใหม่ถอดด้าม
และ Ford  ยังทำการบ้านมาเป็นอย่างดี
ซึ่งพอจะบอกได้ว่านี่คือผลงานชิ้นเอกเลยทีเดียว



                New! Ford Ranger  เปิดตัวและเริ่มวางขายไปแล้วอย่างเป็นทางการและหลังจากที่เราได้ไปสัมผัส Ford Ranger  ในแบบ Group Test  ไปแล้วที่เชียงราย มาวันนี้ Ford  ก็อนุเคราะห์เราให้สัมผัสรถกระบะรุ่นนี้อีกครั้งก่อนใคร



New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2

                นี่ต้องเรียกว่าเป็นครั้งแรกของบททดสอบ  New! Ford
Ranger  ในแบบขับขี่จริงใช้งานจริง และด้วยเวลาที่มีจำกัด ทำให้
การทดสอบครั้งนี้อาจจะเรียกว่ายังไม่ครอบคลุมนักเรายังไม่ได้ตอบโจทย์ใน
หลายๆด้าน ที่หลายคนอยากรู้ แต่ถ้าถามว่ามันจะดีแค่ไหนในเมือง
วันนี้เราจะมาพิสูจน์กัน


ภายนอกหล่อเหลากับเรือนร่าง WildTrak 





                ตั้งแต่ที่เราขึ้นไปทดสอบ Ford Ranger  ที่เชียงรายมา
ความประทับใจในเรื่องการออกแบบ ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่เรายกนิ้วให้ค่าย
Ford  ด้วยการแต่งแต้มเอกลักษณ์ความเป็นกระบะเข้ามาอย่างเต็มพิกัด
และยิ่งเมื่อพูดถึงเวอร์ชั่นจัดเต็ม  Wild Trak
มันก็ดูเหมือนจะเป็นรถที่พร้อมสรรพออกมาจากโรงงาน


                อีกครั้งที่เราได้มาจับ Ford Ranger ใหม่
งวดนี้เราก็ยังได้ควบเจ้า Ford Ranger WildTrak อีกครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ตัวขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นเพียงขับ 2 ยกสูงหรือ
Hi-Rider ที่แม้จะไม่ได้ลุยอย่างเต็มที่แต่ก็หล่อเหลาเอาการ



New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2

                Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 
ตอบโจทย์เรื่องการออกแบบด้วยความเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่าง
โดยพัฒนาจากรุ่นเดิม ภายใต้เรือนร่างเดียวกันด้วยขนาด ยาว 5359 ม.ม. กว้าง
1850 ม.ม. และสูง 1815 ม.ม. มาพร้อมกระจังหน้า 3 แถบ
เอกลักษณ์ใหม่ของค่ายรถยนต์เจ้านี้ แต่งเติมด้วยกระจังหน้าแบบสปอร์ต
ที่มาพร้อมไฟหน้าที่ดูโฉบเฉี่ยวปราดเปรียว แต่เมื่อดูองค์รวมแล้วจะพบว่า
Ford Ranger  ใหม่ มีความดุดัน
แถมเรือนร่างที่ใหญ่หมายถึงการบ่งบอกความเป็นอเมริกันพันธุ์แท้


                เส้นสายออกแบบที่ลงตัวทำให้ Ford Ranger  ใหม่
มีความสง่างามเรียกว่าตั้งแต่ใบหน้าจรดบั้นท้าย
และเมื่อมันถูกแต่งเติมเป็นรุ่น WildTrak องค์ประกอบเสริมความหล่อต่างๆ
ก็จะถูกใส่เข้ามาอย่างครบครัน ตั้งแต่ล้ออัลลอยขอบ 17 นิ้ว มาพร้อมยาง
265/65/R17  เป็นมาตรฐานทุกรุ่นในกลุ่ม ขับ 2 ยกสูงหรือ Hi-Rider
 จัดมาพร้อมการตบแต่งที่ดุดันยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเอกลักษณ์กระจังหน้ารมดำ
เช่นเดียวกับกรอบเสริมกันชน และบั้นท้ายมาพร้อม Sport Bar  รมดำเช่นกัน 
พร้อมชุดไลนเนอร์จากโรงงาน จนเรียกว่าไม่รู้จะแต่งอะไรเพิ่มแล้ว






ภายในลุคสปอร์ต WildTrak   มีค่าในความแตกต่าง


                ในห้องโดยสารเมื่อเปิดประตูเข้ามา New! Ford Ranger
WildTrak Hi-Rider 2.2 ต้อนรับเราด้วยเสน่ห์ที่น่าหลงใหล
และเราชอบมันเป็นที่สุดด้วยเส้นสายการออกแบบที่สื่อตรงๆ ใน "ความสปอร์ต"
ที่สามารถสัมผัสได้ทันทีโดยไม่ต้องเดา



New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2

               
เบาะนั่งที่มาพร้อมหนังสังเคราะห์สีดำเดินด้านสีส้มพร้อมตัวอักษร WildTrak
เช่นเดียวกับหลายๆ จุดที่ถูกปรับให้เป็นการตบแต่งในโทนเดียวกันนี้
ตั้งแต่ข้างประตูยันพวงมาลัย ทำให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


                ตรงหน้าคนขับมาพร้อมมาตรวัดเรืองแสงควบเข็มสีฟ้าอ่อน
ให้ความสบายตาทางด้านการใช้งาน
ตรงกลางมีจอแสดงข้อมูลทำงานได้หลากหลายทั้งทริประยะทาง
บอกน้ำมันที่วิ่งได้อีกเช่นเดียว กับอัตราประหยัดโดยเฉลี่ย
ต่ำลงมาเป็นวิทยุ  CD  พร้อมการเชื่อมต่อ Bluetooth
กับโทรศัพท์และยังสามารถรับสัญญาณจากภายนอกด้วยช่องต่อ Aux
 แม้ในรถรุ่นนี้มาพร้อมระบบแอร์ธรรมดาทั่วไป
แต่ก็มีดีในเรื่องความเย็นจนหนาวเลยทีเดียว



New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2

                เรื่องช่องเก็บของต่างๆ มีมากมายในรถ
และที่น่าสนใจก็เป็นที่นั่งของเบาะแถวหลัง ของรุ่น  Double Cab
ที่สามารถตอบโจทย์ได้ดี ด้วย ระยะวางขาและพื้นที่นั่งที่ให้การตอบสนองได้
แม้ผู้โดยสารจะตัวใหญ่ไซส์ฝรั่งอย่างเราได้ลองนั่งเอง
แบบขยับเบาะนั่งเต็มสุดก็ยังไม่รู้สึกอึกอัดแม้แต่น้อย



ได้เวลาขับเคลื่อนกับ 2.2  L  ในเมือง


                ถ้าจะพูดแล้ว  New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2 L
 ถือเป็นความน่าประทับใจที่พอเพียงสำหรับใครที่กำลังมองหารถกระบะหล่อๆ
สักคัน ด้วยความครบครันทั้งภายนอกและภายใน
ทว่าสิ่งที่เราไม่สามารถเลี่ยงที่จะตอบได้
ก็ไม่พ้นว่าสมรรถนะเป็นอย่างไรกับ เรือนร่างสุดบิ๊ก   


                เครื่องยนต์ที่สถิตใต้ฝากกระโปรงเจ้า New! Ford Ranger
WildTrak Hi-Rider มาพร้อมขุมพลังดีเซล  DuraTorq ขนาด 2.2 ลิตร
ควบการเสริมกำลังด้วย  VG Turbo  ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ตอบแรงบิด 375
นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1500-2500 รอบต่อนาที
นับว่าเป็นโจทย์สำคัญทางด้านการขับขี่ที่เราต้องมาพิสูจน์กัน



New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2

               
เรือนร่างที่ใหญ่กับเครื่องยนต์ที่เล็กลงกลายมาเป็นคำถามสำคัญของคนจำนวนมาก
เมื่อมอง New! Ford Ranger ด้วยความไม่เข้ากันในด้านขนาดและน้ำหนัก
เมื่อเทียบกับขนาดเครื่องยนต์
แต่อย่างที่รู้เครื่องยนต์ไม่ได้มีเพียงแรงม้า เพราะสิ่งที่  Ford 
พยายามนำสนอมาตั้งนานตั้งแต่รถรุ่นก่อนหน้าคือ แรงบิดที่ถือเป็นโจทย์สำคัญ


                ทันทีที่เข้ากียร์ในตำแหน่งเกียร์  D
ที่วางไว้ในตำแหน่งสุดท้ายในชุดคันเกียร์
ที่มีการแสดงผลตรงหน้าคนขับที่หน้าจอแสดงผลบนมาตรวัด
ทำให้ไม่หลงตำแหน่งและยังสามารถเข้าใจง่ายมาพร้อม Manual Override
ให้ความสามารถในการขับแบบเดียวกับระบบเกียร์ธรรมดา
ใช้งานง่ายเพียงดันออกด้านข้าง โดยดันขึ้นเพื่อลดตำแหน่งเกียร์
และดันลงเพื่อเพิ่มตำแหน่งกียร์


                เมื่อพร้อมเราเหยียบคันเร่งเพื่อขับเคลื่อน New! Ford
Ranger ออกจากโกดังย่านสุขุมวิท โดยทันที่ที่รถเลื่อน
ความทรงพลังของเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ก็ทำให้เรารู้สึกได้ทันทีว่า
เครื่องยนต์ Duratorq 2.2 ลิตร สามารถตอบสนองได้ดี
ด้วยการให้แรงบิดสูงในรอบต่ำที่อวดความทรงพลังทันทีที่ปล่อยเบรค ด้วยอัตราความเร็วในรอบเดินเบา (Walking Speed) ที่สามารถทะยานได้กว่า 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โดยที่คุณยังไม่จำเป็นต้องแตะคันเร่ง
จึงเหมาะมากในการไหลรถไปตามการจราจรที่ติดขัด และเมื่อค่อยๆ
กดคันเร่งลงไปตามต้องการ ขุมพลัง 2.2 ก็เริ่มโชว์ศักยภาพออกมา



New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2

               
เราเริ่มเดินทางบนถนนสุขุมวิทด้วยถนนสายหลักแห่งการเดินทางของคนเมือง ซึ่ง
ขุมพลัง 2.2 ลิตร ก้ทำให้  New! Ford Ranger สามารถฝ่าการจราจรไปได้
แบบสุขมุนุ่มลึกด้วยความรู้สึกของรถที่ใหญ่และหนัก
แต่ไปยังได้แบบนิ่มนวลให้ความรู้สึกที่อาจจะไม่ถูกใจคนที่รักความกระโชก
โฮกฮาก แต่มันก็เหมาะมากสำหรับคนที่มองหารถที่ให้ความสบายในการขับขี่
แถมวิสัยทัศน์ในการขับขี่ก็จัดว่าดีเยี่ยมด้วยกระจกหน้าบานใหญ่อาจจะมีจุด
บอดเล็กน้อยทางด้านซ้าย
ด้วยความสูงของรถเองทำให้บางครั้งจะมองไม่เห็oบางสิ่งที่ต่ำกว่ากระจก
โดยเฉพาะต้องระวังให้มากกับรถเก๋ง ที่เราแทบจะเห็นแต่หลังตา


               
การจราจรที่ติดขัดบนถนนสุขุมวิททำให้เราต้องลัดเข้าซอยเส้นทางยอดฮิตของคน
เมือง ซึ่ง Ford Ranger  ใหม่ ก็ตอบสนองการขับขี่ได้ดี
แม้ความใหญ่ของรถเริ่มจะทำำให้เรารู้สึกว่ามันเทอะทะสำหรับเส้นทางแบบนี้
แต่รถเองก็มีความคล่องตัวที่ใช้ได้ การบังคับเลี้ยวที่ทำได้รวดเร็วฉับไว
ทำให้สามารถนำร่างใหญ่ผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อประกอบกับระบบเกียร์อัตโนมัติ
ที่ใช้งานง่าย ก็ทำให้เราเพียงแค่ถือพวงมาลัย
ช่วยให้มีสมาธิการขับขี่มากยิ่งขึ้น ถือเป็นข้อดีที่มองข้ามไปไม่ได้





ร่างยักษ์แต่พริ้ว... เรื่องจริงที่พิสูจน์มาแล้ว


               
หลังจากฝ่างานกองโตที่สำนักงานเรียบร้อยก็ได้เวลาที่เราจะไปขับเจ้า New!
Ford Ranger กันต่อในยามเย็น การทดสอบในช่วงที่ 2
เรายังคงขลุกอยู่กับชีวิตในเมือง แต่เมื่อเจ้า Ranger
ต้องเจอกับแขกรับเชิญอีก 3 คน นั้นมันจะเป็นอย่างไร


                เราใช้เวลาค่ำคืนในการไปรับเพื่อนร่วมทางอีก 3 คน
ไปขับชิวเล่นในเมือง ด้วยน้ำหนักของผู้ขับขี่ที่ยังอ้วนเท่าเดิม
ด้วยน้ำหนัก 90 ก.ก. สูง 182 ซ.ม. ส่วนผู้โดยสารนั้นหนัก 50, 65 และ 70
ตามลำดับ นั่นเท่ากับเราใส่น้ำหนัก อีก 200 ก.ก โดยประมาณในเจ้า Ranger
ใหม่



New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2

               
เมื่อรับผู้โดยสารครบเราก็เริ่มต้นการทดสอบด้วยการขับขี่ไปในเมือง
ความรู้สึกในเรื่องอัตราเร่งยังคงเหมือนเดิมไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
แม้ปัจจัยทางด้านน้ำหนักจะเพิ่มขึ้น แต่เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร
ยังแสดงความทรงพลังขับได้ไม่อืดด้วยฟีลลิ่งการเร่งแบบสุขุมเน้นความสุภาพไม่
บ้าระห่ำมากนัก


                เราพาผู้โดยสารออกไปผจญภัยในเมืองผ่านทางด่วน
ลงถนนพระรามที่ 4 ต่อเนื่องไปยังพระโขนง
ซึ่งตรงนี้เองที่เริ่มเป็นปัญหาทั้งการจราจรที่คับคั่งและเลนของถนนที่แคบลง
ตามสภาพการจราจร ทำให้การขับขี่เริ่มมีอุปสรรคเล็กๆ
ซึ่งมาจากขนาดของรถที่ใหญ่โตพอตัว
จนมองไปข้างหน้าจะเห็นได้ว่ารถเราใหญ่เต็มเลนพอดี
ทำให้บางครั้งมีปัญหาในการแทรกตัวกับการจราจรในเมือง
ที่ดูจะเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเรืองสมรรถนะเครื่องยนต์


               
การเดินทางในเมืองจบลงด้วยการขับขี่ไปตามถนนล่องไปตามถนนสุขมวิทในยามค่ำคืน
ก่อนที่จะกลับขึ้นทางด่วนที่ด่านบางนา เพื่อทดสอบอีกหนึ่งเรื่องสำคัญต่อไป






ย่านความเร็วสูงไปได้ เพียงแต่ต้องทำใจในอัตราเร่ง           


                ช่วงค่ำคืนยามดึกบนทางด่วนขั้นที่ 1 ราวๆ 5 ทุ่มนั้น
ถือเป็นเวลาที่เหมาะสมมากต่อการทดสอบเรื่องการขับขี่ในย่านความเร็วสูง
แม้ต้องบอกก่อนเลยว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม
แต่บางครั้งก็จำเป็นบ้างล่ะนะ (ห้ามลอกเลียนแบบ)


                เราจ่ายเงินที่ทางด่วนบางนาน
ก่อนจะยิ้มแฉ่งให้พนักงานเก็บเงินที่มองเจ้า New! Ford Ranger ตาเป็นมัน
แล้วเหยียบเข้าสู่โหมดซิ่งเต็มพิกัดโดยใช้ตำแหน่งเกียร์ D
เท่านั้นในการขับขี่ไม่มีการใช้ Manual Override



New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2

                ผู้โดยสาร 3
คนพร้อมคนขับออกทะยานจากด่านเก็บเงินแบบสุขุมเราค่อยๆ
ไต่ทำความเร็วไปเรื่อย โดยในช่วงนี้เราทำความเร็วอยุ่ที่ราวๆ 140
กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ด้วยความเงียบของห้องโดยสาร
และการไร้ซึ่งเสียงเครื่องยนต์ที่เล็ดรอดเข้ามาน้อยมาก
เช่นเดียวกับเสียงลมที่ยังไม่มีให้ได้ยิน
นอกจากเสียงเพลงจากวิทยุที่มาพร้อมสรรพในความกระหึ่มจากลำโพง 6
จุดที่แน่นปึ๊กเลยทีเดียว


                เราทะยานในความเร็วนี้มาเรื่อยจนถึงช่วงด่านประชาชื่น
ก่อนที่จะลองทำความเร็วสูงสุดพร้อมจำนวนผู้โดยสาร 4 คน รวมคนขับ
โดยยังใช้ตำแหน่งเกียร์ D เหมือนเดิม เมื่อเริ่มออกจากด่าน
ถนนที่โล่งก็ทำให้เราง่ายต่อการทำความเร็ว และทันทีที่เหยียบคันเร่งลงไป
New! Ford Ranger ก็ออกตัวแบบสุขุม แต่อัตราเร่งที่กระชากจนหลังติดเบาะนิดๆ
กับไปดีเช่นกัน เข็มความเร็วค่อยๆ ไต่อย่างไม่เร่งรีบ
ความจริงแล้วสไตล์แบบบนี้คล้ายๆ กับเครื่องยนต์ในรถที่ไม่มีเทอร์โบ
ทว่านี่คือสไตล์ใหม่ของรถในวันหน้าที่ความกระโชกโฮกฮากอาจจะไม่ใช่คำตอบของ
การขับขี่


                เมื่อถึงช่วงทางลงถนนงามวงศ์วาน
ความเร็วบนหน้าปัดรถวัดได้ที่ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ก่อนที่จะลงเนินเล็กน้อย ทำให้เรามีแรงเพิ่มขึ้นจนทำความเร็วมาได้170
กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็ต้องได้มีกระแทกคันเร่งน้อยๆ
ส่งเจ้าเรนเจอร์อวดศักยภาพที่แท้จริง  แต่อีกประมาณ 500
เมตรข้างหน้ามีรถช้าชิดขวา (อีกแล้ว)ตามนิสัยคนไทย
ทำให้เรายกเลิกการทำความเร็ว ด้วยตัวเลขสุดท้ายที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
พร้อมผู้โดยสาร 4 คน ในเจ้า เจ้า New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider




ช่วงล่างมั่นใจ สมดุลขั้นเทพ


           
โดยปกติในการขับขี่รถกระบะแล้วสิ่งที่หลายคนมักจะเป็นกังวลในรถที่มีขนาด
ใหญ่นี้ก็คงจะเป็นเรื่องของระบบช่วงล่าง ซึ่งแม้เจ้า New! Ford Ranger
WildTrak Hi-Rider จะเป็นรถตัวขับ 2 ยกสูง ที่มีระยะสูงจากพื้น 232 ม.ม.
แต่จากการขับขี่ในการทดสอบโดยเฉพาะบนทางด่วนบ้านเราที่อุดมด้วยโค้งความเร็ว
สูงนั้นก็ต้องยอมรับว่า
มันเป็นหนึ่งในรถกระบะที่มั่นใจได้ในเรื่องสมรรถนะการขับขี่


                เจ้า New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider
ได้พิสูจน์ให้เราเห็นในเรื่องสมรรถนะในระบบช่วงล่างมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
โดยเฉพาะการะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงตั้งแต่เมื่อครั้งทดสอบที่เชียงราย
ที่เราได้พามันขึ้นดอยช้าง ที่โค้งกันอย่างต่อเนื่องจนชวนเวียนหัว
แต่ครั้งนี้การทดสอบด้วยโค้งความเร็วสูงบนทางด่วนก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเช่น
กัน



New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2

                ตามโบว์ชัวร์ที่เรามีในมือนั้น รถ เจ้า New! Ford
Ranger WildTrak Hi-Rider มาพร้อมระบบความปลอดภัยโดยเฉพาะระบบเบรค ABS+EBD
ช่วยกันกระจายแรงเบรค แต่ที่ไม่แน่ใจคือพวกระบบ ESP และ
ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ ซึ่งเราขอติต่างว่ามันไม่มีในรถแล้วกัน


               
ในการขับขี่ของเราช่วงทำความเร็วสูงนั้นเราได้ลองเข้าโค้งที่ความเร็วระดับ
ที่ชาวบ้านไม่ทำกันแถมเจ้า New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider
ยังสูงโย่งเท่ารุ่นขับ 4
แต่มันก็อวดศักยภาพให้เราได้แปลกใจด้วยการเข้าโค้งได้อย่างนิ่งสนิท
แม้น้ำหนักจากผู้โดยสาร 4 คนจะมีส่วนช่วยได้มากพอตัวในการสร้างสมดุลในตัวรถ

แต่ส่วนหนึ่งหลังจากที่ถือพวงมาลัยองศาเดียวแล้วใช้คันเร่งควบคุมองศาที่
เข้าโค้งนั้น เราก็พอจะบอกได้ว่า เจ้า New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider
มันมาพร้อมระบบเฟืองท้ายแบบ Limited Slip ซึ่งใช้ในรถขับเคลื่อน 4
ล้อที่เท่ากับ Ford แค่ถอดชุดเพลาหน้าออกไปเท่านั้นเอง


New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2


                โค้งแรกที่เข้าสู่ทางต่างระดับมักกะสันนั้น
ถือเป็นโค้งที่ยังไม่หินนัก ด้วยโค้งที่กว้างพอสมควร แต่ในช่วงที่ 2
ที่เราเข้าโค้งเกือกม้าเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังทางต่างระดับพญาไท
ด้วยความเร็วที่ 110 ก.ม./ช.ม.พร้อมผู้โดยสาร4คน เจ้า New! Ford Ranger
WildTrak Hi-Rider
ก็ให้ความน่าประทับใจด้วยความนิ่งของระบบช่วงล่างที่ไม่มีย้วยแม้แต่น้อย
และแม้จะเข้าด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ โดยไม่ได้ใส่ Racing ไลน์
มันก็ยังสามารถทำได้ดี เกาะถนนแน่น อาการโยนในโค้งไม่มีให้เห็น
ซึ่งส่วนตัวเองมันทำให้เราไม่แน่ใจว่ารถมีระบบ ESP
และป้องกันการคว่ำมาให้หรือไม่ แต่ถ้ามีก็ควรจะเขียนไว้ในโบว์ชัวร์ดีกว่า


                เราใช้ความเร็วมาเรื่อยจนกระทั่งมาถึงโค้ง S 
ความเร็วสูงบนทางด่วนช่วงต่างระดับพญาไทมุ่งหน้ากลับยังแจ้งวัฒนะ
ตรงนี่เราลองใช้ไลน์ใส่ความเร็วเต็มพิกัดเท่าที่รถจะไปได้ โดยใช้ Full
Line  นอก-ใน-นอก ตามสูตรขับขี่รถแข่งเป๊ะ! ผลคือ เจ้า New! Ford Ranger
WildTrak Hi-Rider กลายเป็นรถไฟเหาะดีๆ ที่พาเราผ่านโค้งเนียนๆ
ด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งความจริงจะไปมากกว่านี้ก็ได้
แต่สงสารคนนั่ง ทว่าหลังจากจบบททดสอบเราลองถามไถ่ผู้โดยสารทั้ง 3 โดยเฉพาะ 2
ผู้กล้าเบาะหลัง
เราพบว่าเบาะหลังนั้นมีการโยนบ้างเล็กน้อยแต่ไม่มากพอที่จะทำให้เวียนหัว
ซึ่งหมายถึง Ford  เซทสมดุลรถคันนี้มาอย่างดี และเราอยากจะบอกเช่นนั้นจริงๆ


สรุปตกลงประหยัดหรือไม่เจ้าเครื่อง 2.2


                ท้ายที่สุดแล้ว แม้การขับขี่เจ้า New! Ford Ranger
WildTrak Hi-Rider
จะให้สมรรถนะที่เราต้องออกปากในเรื่องความประทับใจของตัวรถในด้านการขับขี่
แต่กับผู้ใช้ชาวไทยในปัจจุบัน
เรื่องความประหยัดดูจะเป็นประเด็นสำคัญทางด้านการใช้งานมากกว่า ซึ่งเมื่อ
 Ford  กล้าที่จะยัดเครื่องยนต์ที่เล็กลงมา
นั่นหมายความถึงก็ต้องมั่นใจว่ามันจะให้ความประหยัดได้


                เจ้า New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider
ที่เรานำมันมาขับทดสอบครั้งนี้ เป็นรถรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
ที่มาพร้อมออพชั่นครบครัน เราไม่มีน้ำหนักของตัวมันที่แน่นอน
แต่ในการขับทดสอบครั้งนี้เราใช้พื้นราบแทบทั้งหมดผ่าถนนที่ติดหนักๆ เช่น
สุขุมวิท-เพชรบุรีตัดใหม่ พระราม 4 
ทั้งหมดถูกทดสอบในช่วงเวลารถติดหนักจริงๆ
รวมถึงช่วงเวลาของการจราจรคับคั่งในถนนสายอื่นๆ อีก



New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2

                จากผลการขับ 3 วัน รวมถึงช่วงการใช้ความเร็วสูงสุด
และในบางโอกาสยังพกเพื่อนไปอีก 3 คนด้วยนั้น เราขี่เจ้า  Ford Ranger
จวบจนส่งมอบสู่มือ  Ford  ด้วยระยะทางรวม 246.3 กิโลเมตร
เมื่อจอดรถเราพบว่า  Trip Meter 
ยังบอกว่าเรามีน้ำมันในถังเหลือพอที่จะขับได้อีก 446 กิโลเมตร
โดยขีดน้ำมันขึ้นมาขีดลอตแรกเล็กน้อย
ทำให้เมื่อเราได้เวลาใช้วิชาคณิตศาสตร์ ผลคือ 246.3+446 = 692.3 กิโลเมตร
ที่น่าจะวิ่งได้ ถังน้ำมันของ Ranger มีขนาด 80 ลิตร
ที่น่าจะใช้จริงก่อนไฟเตือนที่โดยปกติรถกระบะจะมีมาตรฐานอยู่ที่เฉลี่ย 8
ลิตร (ตามปกติแล้วเมื่อๆไฟเตือนเซ็นเซอร์ระยะทางจะไม่คำนวน)
 ดังนั้นเท่ากับว่า ตัวเลขระยะทางทั้งหมด 692.3 หารด้วย  80-8 = 692.3/72
 เราได้อัตราประหยัดเฉลี่ย 9.6 กิโลเมตรต่อลิตร ในสภาพการใช้ในเมืองโดยรวม
และอย่าลืมว่ารถคันนี้มาพร้อมยางขนาดใหญ่ 265/65 R17  ในเรือนร่าง 4 ประตู


            ถ้ามองในภาพรวมแล้ว  เจ้า New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider
เป็นรถที่มีความลงตัวอย่างมากทางด้านสมรรถนะการขับขี่
แต่กับการทดสอบครั้งนี้ในเขตเมือง มันก็ออกจะไม่ประหยัดเท่าไรนัก แต่ตัวเลข
9.6 กิโลเมตรต่อลิตรนี้ ก็มีปัจจัยหลายๆ อย่างที่สำคัญ  
ทั้งช่วงทดสอบความเร็วสูง หน้ายางที่ใหญ่
ซึ่งเราเฝ้ารอที่จะได้นำมันไปทดสอบในช่วงทางไกลกันอีกครั้ง
ที่น่าจะได้ตัวเลขดีกว่าแต่ถ้าถามราคา 869,000 บาท กับความคุ้มค่า เราว่า
มันลงตัวเลยทีเดียวเชียวล่ะ



ผลการทดสอบ


ที่ความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม. ใช้รอบเครื่องยนต์ 1475 รอบต่อนาที


ที่ความเร็ว 90 ก.ม./ช.ม. ใช้รอบเครื่องยนต์ 1600 รอบต่อนาที


ที่ความเร็ว 120 ก.ม./ช.ม. ใช้รอบเครื่องยนต์ 2050 รอบต่อนาที


ที่ความเร็ว 130 ก.ม./ช.ม. ใช้รอบเครื่องยนต์ 2200 รอบต่อนาที


ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ 177 ก.ม./ช.ม.





ตารางคะแนนผลการทดสอบ  New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider 2.2 6 A/T


ผลคะแนนที่ทำได้









































หัวข้อ



คะแนนทีทำได้



คำติชม-ข้อเสนอแนะ



ภายนอก



20



เรือนร่างขนาดใหญ่สไตล์กระบะ
อเมริกันพันธุ์แท้เป็นอะไรที่ถูกใจเราอย่างมาก
โดยเฉพาะในเรื่องของการออกแบบที่ทำได้แข็งแกร่งดุดันลงตัว
ยิ่งเมื่อได้ชุดแต่งแบบ WildTrak
มันก็ยิ่งคมเข้มขึ้นไปอีกจนเรียกได้ว่าน่าจะไม่ต้องแต่งอะไรแล้ว ขับไปไหนก็หล่อซะ




ภายใน



19



ห้องโดยสารที่สื่อสารถึงความสปอร์ตได้ด้วยการตบแต่งเฉพาะในรุ่น WildTrak น่า
จะถูกใจหลายๆคนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องการใส่รายละเอียดต่างๆ
ทั้งช่องเก็บของ เบาะหนังเดินด้ายส้มที่ให้ความลงตัว
แต่ข้อหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมคงไม่พ้นเรื่องการงอแขนในการกดกระจก
แม้มันจะพอดีในตำแหน่งเมื่อเรางอแขน แต่มันก็ไม่สะดวกนัก




เครื่องยนต์



18



เครื่อง 2.2 ลิตร
นี้ให้ความสุขุมในการขับขี่ที่ดี ความไม่กระโชกโฮกฮาก
ทำให้มันเป็นรถที่มีสุนทรีย์การขับขี่ที่ลงตัว
และพร้อมรบทุกเมื่อด้วยแรงบิดมหาศาลที่พาร่างยักไปได้ด้วยความเร็วที่น่า
ประทับใจ แต่จะมีแย่ก็ตรงอัตราประหยัดเฉลี่ยรวมนี่แหละ
แต่ก็พอจะเข้าใจได้จากปัจจัยต่างๆ




เทคโนโลยี



19



ฟังชั่นเทคโนดลยีที่จัดมาให้อย่างครบครัน ถือเป็นสิ่งที่เราประทับใจ โดยเฉพาะ Voice Control  แบบเดียวกับใน Ford Fiesta แต่
ก็ทีแอบใช้งานยากบ้างเล็กน้อย แต่ที่เราอยากเห็นจริงๆ
คือการเปิดเผยทางด้านเทคโนโลยีมากกว่านี้ โดยเฉพาะในโบว์ชัวร์บอกมาเลย
เอามาให้ครบว่าอะไรมีไม่มีนะ Ford 
อันนี้ขอฝาก




ระบบกันสะเทือน-สมรรถนะการขับขี่



19



แม้การประหยัดน้ำมันจะทำได้ไม่ดีแต่  Ford Ranger  ใหม่
เป็นรถที่มีความลงตัวมากทางด้านสมรรถนะ
การขับทดสอบที่พิสูจน์แล้วหลายเรื่องทำให้เรามั่นใจว่า
นี่คือกระบะยอดสมรรถนะตามคำพูดของ Ford
 ที่ไม่ได้โฆษณา
เกินจริงเลย
แต่สิ่งที่ต้องปรับนั้นคงเป็นเรื่องอัตราประหยัดที่อาจจะพาลูกค้าหนีหมดถ้า
เค้าไม่ได้ต้องการเพียงสมรรถนะ




สรุป



95



โดยรวมแล้ว  เจ้า New! Ford Ranger WildTrak Hi-Rider มา
พร้อมความหล่อเหลาที่ไม่ว่าใครก็คงต้องใหล
แต่สิ่งที่ไม่น่าประทับใจการทดสอบในเมืองนั้นคือเรื่องความประหยัด
ที่มันก็ไม่น่าแปลกใจนักกับรถ 4 ประตูที่มาพร้อมยาง 265/65/R17









//auto.sanook.com/3425/




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2555 8:05:12 น.   
Counter : 11936 Pageviews.  

“เครื่องเสียงติดรถ“ เรื่องเสี่ยงภัยที่คุณหมางเมิน

ถ้าพูดถึงรถยนต์ในปัจจุบันแล้ว มาตรฐานหนึ่งที่ถูกนำเข้ามาบรรจุไว้ในรถทุกรุ่นที่ไม่ว่าจะรุ่นไหน ยี่ห้อ หันไปก้ต้องเจอ วิทยุ CD-Mp3 บ้างเพิ่มจอสัมผัสมาให้ได้ใช้งานกันอย่างลงตัว แลับ้างทันสมัยสั่งง่ายด้วยการเปล่งเสียง


"เครื่องเสียงติดรถยนต์" ในปัจจุบัน
กลายเป็นของแถมที่มาอย่างครบครันกับตัวรถ
แต่แม้มันจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราไม่ต้องเสียเงินจ่ายค่าแต่งเครื่องเสียง
เพิ่มเติม แต่การฟังเครื่องเสียนงในรถนั้น
ก้มีน้อยคนนักที่จะคิดว่ามันอันตราย




เรื่องจริงที่แฝงอยู่กับสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคนี้สมัยนี้ใครก็ฟัง
วิทยุในรถทั้ง แม้ "เครื่องเสียง" จะเป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิง
เพื่อแก้เหงาสำหรับใครที่ชิบสันโดดในการขับรถ
ทั้งยังให้การรับข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ แต่ในผลดีทีมีอย่างมากมาย
ถ้าใช้เกินความจำเป็นก็อาจจะเป็นผลร้ายก็ได้


ตามปกติแล้วในขณะที่รถยนต์วิ่งนั้นย่อมจะมีเสียงรบกวนจากภายนอกอยู้ว
ทั้งจากเครื่องยนต์ก็ดี หรือเสียงยางที่สัมผัสกับพื้นถนน ตลอดจน
เสียงเศษดินกรวดต่างๆที่มาจากธรรมชาติ
ทว่าเสียงที่น้อยนิดเหล่านี้กลับเป้นอุปสรรคต่อความบันเทิงในห้องโดยสาร
วึ่งการเอาชนะเสียงเหล่านี้ได้ คุณจะต้องเร่งความเข้มของเสียงหรือ หมุน
Volume ให้ดังมากขึ้นเพื่อกลบเสียงที่เกิดขึ้นจากภายนอก


การ้ร่งเสียงที่เพิ่มขึ้นเพื่อกลบเสียงภายนอกนี่แหละที่เป้นบ่อเกิดของ
ปัญหา
เพราะเมื่อเกิดอยู่ในสภาวะฉุกเฉินการเปิดเครื่องเสียงให้มีเสียงดังกว่าปกติ
ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวดต่อการแก้ไขสถานการณ์
เช่นการได้ยินเสียงแตรจากเพื่อนร่วมทาง
ไปจนถึงเสียงของความผิดปกติต่างๆของระบบต่างๆของรถ
ซึ่งจะส่งผลตรงต่อการแก้ไขสถานการณ์ระหว่างรอดอย่างหวุดหวิด
หรือเจอจังๆก็ได้





ทั้งนี้จากการวิจัยของ Populus ในเกาะอังกฤษที่มีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า
2000 คน เมื่อ ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ยังให้ผลการค้นพบที่น่าสนใจ โดยระบุว่า
ขาร๊อคหลังพวงมาลัยมักจะมีพฤติกรรมขับขี่ที่เร้าร้อนหลังได้ ฟัง
ในขณะที่คนขับที่ฟังเพลงคลาสสิคและเพลงป๊อป ขณะขับขี่จะช่วยให้ผ่อนคลาย
เช่นเดียวกันกับเพลงแจ๊ส


ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ระบุว่า
เสียงของรถยนต์ที่สามารถใช้งานบนถนนปัจจุบัน ต้องมีระดับเสียงที่ต่ำกว่า
100 เดซิเบลเอ ในระยะ 0.5 เมตร
ซึ่งหมายความว่าหากต้องการกลบเสียงรถยนต์ที่เราวิ่งอยู่นั้นอาจจะต้องเร่ง
เสียงวิทยุมากถึง 100 เดซิเบลเลยทีเดียว


ตามปกติ
แล้วเสียงที่เราได้ยินและเริ่มเป็นอันตรายต่อโสตประสาททางด้านการได้ยิน
ของหูนั้นจะมีระดับอยู่ที่ 85-90 เดซิเบล และถ้าเสียงที่ได้ยินมากกว่า 140
เดซิเบล ก็อาจจะเสี่ยงหูดับถาวร
ซึ่งคิดง่ายๆว่าการที่เราเร่งเสียงที่ต้องเอาชนะเสียงรถที่มีอย่างมากที่สุด
100 เดซิเบล และการเอาชนะได้นั้นต้องมีการเพิ่มความเข้มของเสียงขั้นต่ำอีก
20 เดซิเบล นั่นหมายถึง คุณต้องใช้เสียงมากที่สุดถึง 120
เดซิเบลในรถธรรมดาทั่วไปในการฟังเพลงให้สะใจวัยโจ๋


เสียงที่ดังเกินขนาดย่อมไม่ส่ง
ผลดีทั้งต่อความปลอดภัยของผู้อื่นบนถนน เช่นเดียวกับสุขภาพหุของผู้ขับขี่
แต่ในขณะที่เราอาจจะเลี่ยงไม่ได้ในการผ่อนคลายขณะขับขี่ด้วยเสียงเพลง
ขับรถเย็นนี้ลองลดเสียงลงสักนิดว่าเพื่อหูที่ได้ยินต่อไปอีกยาวนาน




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2555 7:38:19 น.   
Counter : 1799 Pageviews.  

ถอดถังแก๊สขับออกอู่ ไฟลุกรถหวิดย่างสด!


ถอดถังแก๊สขับออกอู่ ไฟลุกรถหวิดย่างสด!

ถอดถังแก๊สขับออกอู่ ไฟลุกรถหวิดย่างสด!

(5
ก.พ.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
ได้รับแจ้งมีรถยนต์เกิดเพลิงไหม้อยู่บนถนนสุขุมวิท กิโลเมตรที่ 179
จึงได้รีบไปตรวจสอบ พร้อมกับรถดับเพลิงเทศบาลเมืองสัตหีบ


เมื่อถึงที่เกิดเหตุ การจราจรติดขัดเป็นทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร
พบรถยนต์นิสสันซันนี่ สีขาว กำลังเกิดเพลิงลุกไหม้ท่วมคันอยู่บริเวรไหล่ทาง
เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเร่งระดมฉีดน้ำดับใช้เวลาประมาณ 10 นาที
เพลิงไหม้จึงสงบลง


จ่าเอกชาญณรงค์ ชะบา อายุ 39 ปี ทหารเรือ
สังกัดกรมก่อสร้างและพัฒนา เจ้าของรถคันที่เกิดเหตุให้การว่า
รถคันดังกล่าวเป็นรถมือสอง ซื้อต่อมาประมาณ 4 ปีแล้ว
และนำไปติดตั้งแก๊สแอลพีจี ก่อนเกิดเหตุเพิ่งนำรถไปที่อู่
เพื่อนำเอาถังแก๊สออกและกลับมาเติมน้ำมันใช้แทน
เมื่อเดินทางไปรับรถออกจากอู่ ขับออกมาได้เพียงเล็กน้อย
กำลังจะเข้าไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม
รถมีอาการกระตุกและเกิดควันบริเวณห้องเครื่อง ตนจึงเบี่ยงรถลงไหล่ทาง
และวิ่งหนีออกจากรถ เพียงไม่กี่นาทีรถก็เกิดเพลิงไหม้จนวอดทั้งคันดังกล่าว


เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดการเปลี่ยนระบบแก๊สออก
ช่างอาจจะติดตั้งสายน้ำมันเข้าไม่สนิท จึงเกิดการรั่วไหลของน้ำมัน
เมื่อเครื่องยนต์ทำงานและมีความร้อน
ทำให้น้ำมันที่รั่วเกิดประกายไฟลุกลามไปยังถีงน้ำมัน
ทำให้เกิดเพลิงไหม้อย่างรวดเร็ว




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2555 8:00:29 น.   
Counter : 1346 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  

sitcomthai
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 53 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add sitcomthai's blog to your web]