ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

เที่ยวย้อนอดีตวันวานผ่าน เมืองกาญจนบุรี



เที่ยวย้อนอดีตวันวานผ่าน 'เมืองกาญจนบุรี' (คู่หูเดินทาง)

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เราได้มีโอกาสมาเยือนยังจังหวัดกาญจนบุรีกันอีกครั้ง ด้วยเพราะจังหวัดนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า มีผู้คนหลากเชื้อชาติที่มาอาศัยอยู่ร่วมกัน ทั้งไทย พม่า มอญ ปากะญอ (กะเหรี่ยง) ฯลฯ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่าเขา มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 19,473 ตารางกิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 129 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งชุมชนมาตั้งแต่ครั้งก่อนประวัติศาสตร์ ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมืองกาญจนบุรีได้รับการยกฐานะเป็นจังหวัดในปี พ.ศ. 2467

          สถานที่แรกที่เราอยากจะพาคุณผู้อ่านไปรู้จักกับความทรงจำในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ตั้งอยู่ในบริเวณอำเภอเมือง คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดกาญจนบุรี











          ทางรถไฟสายมรณะ (ถ้ำกระแซ) จุดที่น่าสนใจของทางรถไฟสายมรณะอยู่ที่ช่วงโค้งมรณะ ซึ่งเป็นช่วงที่สะพานด้านหนึ่งเลียบไปตามโค้งขอบหินผาสูงส่วนอีกด้านเป็นแม่น้ำแควน้อยที่อยู่ลึกลงไปดังหุบเหว เป็นระยะทางประมาณ 400 เมตร ทิวทัศน์ตลอดเส้นทางมีความสวยงามและน่าหวาดเสียว เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของนักท่องเที่ยวอย่างมาก เส้นทางนี้สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร และกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า อินเดีย จำนวนมาก  มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์นี้ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่พม่า

          ในสมัยนั้นมีความทุรกันดาน ขาดแคลนอาหารและเต็มไปด้วยความยากลำบาก โรคภัยชุกชุม อีกทั้งความโหดร้ายทารุณของทหารญี่ปุ่นที่คอยเร่งรัดเชลยศึกให้โหมงานการก่อสร้างอย่างหามรุ่งหามค่ำ ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายลงที่นี่เป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของชื่อทางรถไฟสายมรณะ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  สะพานแห่งนี้ถูกทหารฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดเพื่อตัดเส้นทางการลำเรียงยุทโธปกรณ์ของกองทัพญี่ปุ่นไปสู่พม่า ทำให้สะพานได้รับความเสียหาย ต่อมาเมื่อสงครามฯ สิ้นสุดลง ในปี พ.ศ. 2489 รัฐบาลไทยได้ซ่อมแซมจนสะพานสามารถกลับมาใช้งานได้ดังเดิม

          ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งสันติภาพ และมีการจัดงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี มีการแสดงนิทรรศการทางประวัติศาสตร์ การแสดงพื้นบ้าน การออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง และการแสดง แสง สี เสียง มีบริการนั่งรถรางเที่ยวชมทุกวัน วันธรรมดา เริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 - 10.30 น., 11.20 - 14.00 น., 15.00 - 16.00 น. และ 18.00 - 18.30 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00 - 09.30 น., 11.20 - 14.00 น., และ 18.00 - 18.30 น.















          อีกหนึ่งแห่งที่เป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่เจ็บปวดที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นกันก็คือ สุสานทหารสัมพันธมิตร(ดอนรัก) ตั้งอยู่บนถนนแสงชูโต เยื้องสถานีรถไฟกาญจนบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 323 ไปทางอ.ไทรโยค ผ่าน รพ.แสงชูโต ตรงไปไม่ไกลจะเห็นสุสานอยู่ทางด้านซ้ายมือ "สุสานดอนรัก" หรือ "สุสานสหประชาชาติ" ที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "ป่าช้าอังกฤษ" เป็นสุสานขนาดใหญ่บนพื้นที่ 17 ไร่ เป็นอนุสรณ์สถานฝังศพเชลยศึกที่เสียชีวิตระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ 6,982 หลุม โดยเชลยศึก 300 คนเสียชีวิตด้วยอหิวาตกโรคและฝังไว้ที่ค่ายนิเกะ (ประมาณ 15 กิโลเมตร ก่อนถึงด่านเจดีย์สามองค์) ส่วนที่เหลือได้จากหลุมฝังศพเชลยศึกตามค่ายต่างๆ และยังมีสุสานช่องไก่ ซึ่งรัฐบาลไทยและฝ่ายสัมพันธมิตรได้ตกลงกันเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2497 เพื่อสร้างสุสานสองแห่งนี้ขึ้น

          บรรยากาศในสุสานเงียบสงบและร่มรื่น พื้นที่ภายในได้รับการตกแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม เหนือหลุมฝังศพทุกหลุมมีแผ่นทองเหลืองจารึก ชื่อ อายุ และประเทศของผู้เสียชีวิต บรรทัดสุดท้ายเป็นคำไว้อาลัยที่โศกเศร้า ทุกปีจะมีวันที่รำลึกถึงผู้เสียชีวิตเฉพาะของคนชาติต่างๆ ได้แก่ วัน Anzac Day 25 เมษายน ของชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ วัน Armistice Day 5 พฤษภาคม ของชาวเนเธอร์แลนด์ และ วัน Remembrance Day 11 พฤศจิกายน ของชาวอังกฤษ การมาเที่ยวยังสถานที่แห่งนี้ควรอยู่ในอาการสงบ ไม่ควรวิ่งเล่นหรือเดินข้ามหลุมฝังศพ ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามารับประทาน และห้ามจัดกิจกรรมทุกประเภท เพื่อเป็นการเคารพต่อสถานที่และผู้เสียชีวิต





          จากนั้นมาต่อกันที่ชุมชนเก่าแก่ที่มีอดีตความทรงจำที่น่าสนใจมากมาย ชุมชนปากแพรก อยู่ใกล้ๆ กับศาลหลักเมือง















          อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 3 และแนวกำแพงเมืองเก่า เป็นประตูเมืองก่ออิฐถือปูนยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ครั้งย้ายเมืองกาญจนบุรีเก่า จากตำบลลาดหญ้ามาสู่ปากแพรก เนื่องด้วยยุทธศาสตร์การรบ เพราะมีชัยภูมิในการตั้งรับข้าศึกได้ดีกว่าเก่า อีกทั้งยังสะดวกในการค้าขายกับเมืองต่าง ๆ อีกด้วย ลักษณะตัวกำแพงด้านบนมีใบเสมา ผังกำแพงเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 210 เมตร ยาว 480 เมตร มีป้อมประจำมุม 4 ป้อม ป้อมกลางกำแพงด้านหน้า 1 ป้อม และป้อมเล็กกลางกำแพงด้านหลัง 1 ป้อม มีประตู 8 ประตู ประกอบด้วย ประตูเมือง 6 ประตู และประตูช่องกุด 2 ประตู ซึ่งได้ชำรุดลงเกือบทั้งสิ้น คงเหลือเฉพาะประตูเมืองด้านหน้า ซึ่งหันหน้าสู่แม่น้ำแควใหญ่ และกำแพงเมืองบางส่วนที่อยู่ติดกัน โดยได้มีการบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2549 ส่วนบริเวณด้านหลังประตูเมืองเป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3)

          ที่นี่เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ของเมืองกาญจน์ เป็นถนนสายเก่าของเมืองในอดีต ที่มีสิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ ทั้งโบราณสถาน บ้านเรือนร้านค้าแบบไม้และตึก ส่วนใหญ่เป็นรูปทรงแบบจีนผสมตะวันตก ที่เรียกว่าชิโน-โปรตุกีส ตลอดเส้นทางสายนี้ระยะทางกว่า 1 กม. อาคารแต่ละหลังที่มีความสำคัญและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้ผู้ที่มาเยือนได้ชม อาทิ บ้านแต้มทอง อาคารตึกหลังแรกของกาญจนบุรี มีลักษณะภายนอกดูเหมือนศาลเจ้า บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้สองชั้น อายุประมาณ 142 ปี ปัจจุบันยังคงเป็นที่พักอาศัยของคนในตระกูลมาถึง 5 รุ่นแล้ว, บ้านสิทธิสังข์ สร้างขึ้นในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส มีจุดเด่นอยู่ที่ปูนปั้นลายก้านขดเหนือป้ายชื่อบ้าน รวมทั้งประตูบานเฟี้ยมใช้สีทาบ้านที่ทำจากดิน ปัจจุบันบ้านนี้ถูกเปลี่ยนเป็น ร้านกาแฟร่วมสมัยเก๋ไก๋น่านั่งดื่มกาแฟและถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก โรงแรมสุมิตราคาร โรงแรมแห่งแรกของกาญจนบุรี เลิกกิจการไปเมื่อปี 2522 ในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 เคยมีทหารญี่ปุ่นมาเช่าพักค้างคืน ในราคา 1 บาทต่อคืน

          ปัจจุบันอาคารหลังนี้กลายเป็นบ้าน ร้านค้า และยังคงอยู่ในสภาพเดิมคือ เป็นตึกแถวสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ ฉาบปูนและคร่าวผนังเป็น โครงไม้รวก นอกจากนี้ยังมีอาคารเก่าแก่ที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บ้านฮั้วฮง, บ้านอำนวยโชค, บ้านชิ้นปิ่นเกลียว, นิวาสแสนสุข เรือนหอของพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย และใกล้ ๆ กันยังมีบ้านเรือนไม้ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ปัจจุบันไม่ได้เปิดเป็นถนนคนเดินแล้ว แต่เราก็ยังสามารถแวะเวียนไปเดินเที่ยวถ่ายรูป หรือเดินชมสถาปัตยกรรมความงดงามของบ้านเรือนในสมัยเมื่อครั้งอดีตได้





          เลยมาทางอำเภอไทรโยคเราก็จะได้พบกับโบราณสถานอันเก่าแก่ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยทางทิศเหนือ แวดล้อมด้วยทิวเขาเป็นแนวยาวอยู่โดยรอบ ลักษณะผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลง กว้างประมาณ 800 เมตร ยาวประมาณ 850 เมตร และกำแพงสูง 7 เมตร มีประตูเข้าออก 4 ด้าน มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ภายในเมืองมีสระน้ำ 6 สระ สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถาน นิกายมหายาน จากการขุดค้นตกแต่งของกรมศิลปากรไปตั้งแต่ พ.ศ. 2478 จนแล้วเสร็จเป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ.2530

          ปราสาทเมืองสิงห์ มีศิลปกรรมคล้ายคลึงกับของศิลปะสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1720 - 1780) แห่งอาณาจักรขอม ศิลปกรรมที่สำคัญที่พบคือ พระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และ นางปรัชญาปารมิตา และยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง รูปลักษณ์คล้ายกับที่พบในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครแล้ว คงเหลือแต่องค์จำลองไว้ โดยโบราณสถานสำคัญที่น่าสนใจมีด้วยกัน 5 จุด คือ โบราณสถานหมายเลข 1 ตั้งอยู่บริเวณใจกลางกลุ่มโบราณสถานทั้งหมด มีด้านหน้าอยู่ทางทิศตะวันออกและประกอบด้วยปรางค์ประธาน ระเบียงคด โคปุระ บรรณศาลา และกำแพงแก้ว โบราณสถานหมายเลข 2 หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโบราณสถานหมายเลข1 และมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มีขนาดเล็กกว่า มีปรางค์ประธาน โคปุระ 4 ด้าน แต่พังลงมามาก บูรณะได้น้อย

          โบราณสถานหมายเลข 3 ตั้งอยู่นอกกำแพงแก้ว ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโบราณสถานหมายเลข 1 เป็นโบราณสถานขนาดเล็ก ก่อด้วยอิฐศิลาแลง ซึ่งอาจจะเป็นฐานของเจดีย์ สภาพชำรุดมากจึงไม่สามารถบอกขนาดและลักษณะที่แน่นอนได้ โบราณสถานหมายเลข 4 อยู่ใกล้หมายเลข 3 เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบ่งเป็นส่วนเรียงเป็นแถวแนวเหนือใต้ สร้างด้วยศิลาแลง และจุดสุดท้าย หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งขุดค้นพบทั้งโครงกระดูก เครื่องมือเครื่องใช้ ภาชนะสำริด ดินเผา เครื่องมือเหล็ก สร้อยคอทำด้วยลูกปัดหินและลูกปัดแก้ว ซึ่งชี้ชัดว่าชุมชนเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่จะสร้างเมืองสิงห์ เพราะศพของคนที่ตายมีประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว สันนิษฐานว่าอาจเป็นคนในยุคเดียวกับคนในชุมชนบ้านเก่า

















          จริง ๆ แล้วจุดหมายหลักในการมาเที่ยวของเราครั้งนี้คือ การไปเที่ยวยัง "เมืองบาดาล วัดวังก์วิเวการาม" ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.สังขละบุรี อยู่ห่างจากตัวเมืองไปอีกเกือบ 200 กิโลเมตร โดยส่วนตัวแล้วเรามาเที่ยวที่สังขละบุรีนี้บ่อยมาก มาเกือบจะ 10 ครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่เรามาจะเป็นช่วงอากาศหนาวปลายปี น้ำในเขื่อนก็จะเยอะและท่วมบริเวณเมืองบาดาล วัดวังก์วิเวการาม แล้วทุกครั้ง การมาเที่ยวชมจึงทำได้เพียงก้มมองลงไปดูความงดงามแบบอ้างว้างผ่านสายน้ำเพียงเท่านั้น แต่ครั้งนี้เราตั้งใจที่จะลงไปเดินสัมผัสถึงความเจริญรุ่งเรืองและความงดงามของสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นและต้องถูกทิ้งล้างให้จมน้ำมากว่ายี่สิบปีแล้ว

          วัดวังก์วิเวการาม เดิมเป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังซึ่งประชาชนชาวไทยและชาวมอญรวมทั้งกระเหรี่ยงและพม่าที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ.2496 ในบริเวณที่เรียกว่า "สามประสบ"  คือมี แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี 3 สายไหลมารวมกัน ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอสังขละบุรีประมาณ 3 กม. มีวิหารริมแม่น้ำ ที่เคยประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอันงดงามและเคยเป็นที่จำพรรษาของหลวงพ่ออุตตมะ ต่อมาในปี 2527 มีการก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม ทำให้น้ำเข้าท่วมอำเภอสังขละบุรีเก่า รวมทั้งวัดนี้ด้วย หลวงพ่ออุตตมะจึงได้ย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขา โดยในช่วงเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนพฤษภาคม น้ำจะลด ทำให้สามารถมองเห็นโบสถ์ นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือไปเที่ยวชมได้ แต่ในช่วงน้ำขึ้นน้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงยอดโบสถ์ให้เห็นเท่านั้น และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว UNSEEN ที่สำคัญของอำเภอสังขละบุรี

















          ของแถมสำหรับปิดท้ายทริปนี้ที่สวยงามและน่าประทับใจของเราก็คือ สายหมอกที่ทอดยาวปกคลุม สะพานมอญ หรือ สะพานไม้อุตตมานุสรณ์ ด้วยเพราะในช่วงเย็นที่เราเดินทางมาถึงที่นี่ มีฝนตกจึงทำให้ในช่วงเช้าเกิดสายหมอกเหมือนกับในช่วงฤดูหนาวที่เราได้เห็นกันเป็นเรื่องปกติ อากาศสดชื่นเย็นสบาย สะพานนี้ สร้างโดยหลวงพ่ออุตตมะและคณะศิษย์ จึงมีอีกชื่อเรียกว่า "สะพานอุตตมานุสรณ์" เป็นสะพานไม้ที่มีชื่อเสียงและเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของอำเภอสังขละบุรี มีความยาวถึง 850 เมตร นับเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยและยาวเป็นลำดับ 2 ของโลก

          บริเวณสะพานเป็นจุดชมวิวทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณที่สวยงาม สามารถมองเห็นลำน้ำสามสาย คือ ซองกาเลีย บีคลี่ และรันตี ที่ไหลมาบรรจบกันเป็นสามประสบ อันเป็นจุดกำเนิดแม่น้ำแควน้อย นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินเยี่ยมชมสะพานเพื่อชมแสงสีทองของพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า และชมวิถีชีวิตของชาวไทยและมอญที่เดินข้ามไปมาหากันบนสะพานแห่งนี้ ในช่วงเช้าเวลาประมาณ 06.00 น.จะมีพระสงฆ์มาบิณฑบาตบนสะพานไม้แห่งนี้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาทำบุญตักบาตรเพื่อเป็นสิริมงคลอีกด้วย

          ครั้งนี้เราขอจบทริป "เที่ยวย้อนอดีตวันวานผ่านเมืองกาญจนบุรี" แต่เพียงเท่านี้ก่อน แต่อยากจะบอกท่านผู้อ่านทุกคนว่า ทุกเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตเรานั้น อดีตเป็นเพียงความทรงจำที่มีเรื่องราวทั้งร้ายและดี ทั้งสุขและทุกข์ แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป กลายเป็นประสบการณ์และครูชั้นเยี่ยมที่จะคอยย้ำเตือนเราไม่ให้มีปัจจุบันและอนาคตที่ผิดพลาด!

















TIPS การเดินทาง

อำเภอเมืองกาญจนบุรี

          รถยนต์ส่วนตัว ออกจากกรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทาง ถ.ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ทางหลวงหมายเลข 4 มุ่งหน้าไปยัง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 323 (ถ.แสงชูโต) เข้าสู่ จ.กาญจนบุรี ที่ อ.มะกา อ.ท่าท่วง ไปจนถึง อ.เมือง รวมระยะทาง 129 กม.

          รถโดยสารประจำทาง มีรถโดยสารปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งสายใต้บรมราชชนนีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 - 22.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.1490 เรียก บขส. หรือ //www.transport.co.th

อำเภอสังขละบุรี

          รถยนต์ส่วนตัว จากตัว อ.เมือง กาญจนบุรี ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 ถึงทางแยกก่อนเข้าตัว อ.ทองผาภูมิเลี้ยวขวาแล้วไปอีก 74 ก.ม. ถึง อ.สังขละบุรี การขับรถไป อ.สังขละบุรี ผู้ขับจะต้องตรวจสอบสภาพรถให้ดีก่อนการเดินทาง และควรขับรถด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชัน โดยเฉพาะช่วง อ.ทองผาภูมิ มุ่งหน้า อ.สังขละบุรี และควรตรวจดูน้ำมันเชื้อเพลิงให้พร้อมเพราะจากทางแยกแล้วจะมีปั้มน้ำมันเพียงปั้มเดียวบริเวณทางแยกด่านเจดีย์สามองค์เท่านั้น

          รถโดยสารประจำทาง จากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) - สังขละบุรี เส้นทางกรุงเทพฯ-ด่านเจดีย์สามองค์ ของ บริษัทขนส่ง จำกัด เป็นเส้นทางที่สะดวกที่สุด ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 6-7 ชั่วโมง มีรถออกวันละ 4 รอบ (05.00 น. , 06.00 น. , 09.30 น. , 12.30 น.) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและตารางเดินรถได้ที่ Call Center  โทร.1490 เรียก บขส. หรือ //www.transport.co.th //travel.kapook.com/view42496.html




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2555   
Last Update : 17 มิถุนายน 2555 12:33:42 น.   
Counter : 12851 Pageviews.  

เทศกาลล่องแก่งหินเพิง 2555

ล่องแก่งหินเพิง

เทศกาลล่องแก่งหินเพิง 2555 (ททท.)

          จังหวัดปราจีนบุรี ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี อำเภอนาดี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอนาดี และชมรมผู้ประกอบการเรือยางจังหวัดปราจีนบุรี ขอเชิญนักท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติของสายน้ำอันสวยงาม สนุกสนานตื่นเต้นเร้าใจกับการล่องแก่งหินเพิง ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม - 31 ตุลาคม 2555 ณ บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ 9 ตำบลสะพานหิน อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี

โดยจะมีกิจกรรมล่องแก่งหินเพิงผ่านแก่ง 6 แก่ง ได้แก่ แก่งหินเพิง, แก่งวังหนามล้อม, แก่งวังบอน, แก่งลูกเสือ, แก่งวังไทร และแก่งงูเห่า ทั้งนี้ ช่วงสัปดาห์ล่องแก่งหินเพิง (ประมาณต้นเดือนกรกฎาคม) เป็นงานที่ใช้ประชาสัมพันธ์/เปิดกิจกรรมล่องแก่งหินเพิง ซึ่งจะมีการแสดงมหรสพ การจำหน่ายสินค้า OTOP การแข่งขันล่องแก่งหินเพิง และกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ มากมาย

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้เติมได้ที่ TAT Call Center 1672, ททท.สำนักงานนครนายก โทรศัพท์ 037-312-282, 037-312-284 และชมรมผู้ประกอบการล่องแก่งหินเพิง โทรศัพท์ 0 3745 1204

          หมายเหตุ : กำหนดการจัดงานอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งก่อนเดินทาง





 

Create Date : 16 มิถุนายน 2555   
Last Update : 16 มิถุนายน 2555 11:18:44 น.   
Counter : 2053 Pageviews.  

Toy Story Land…สุดยอดสวนสนุกแห่งจินตนาการ

ติมความใส ใส่ความซ่าส์ แล้วโลดแล่นลั้นล้า บินข้ามฟ้าไปค้นหาความมหัศจรรย์ใหม่ๆ ที่ ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท เราเริ่มต้นเดินทางด้วยไฟล์เช้าที่ไม่เช้ามากเกินของ ฮ่องกง แอร์ไลน์ ในชั้นเฟิร์สคลาสที่แสนสบาย เพียง 3 ชั่วโมง ก็ถึงฮ่องกงแล้ว เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม มุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งโลกจินตนาการ ที่ซึ่งจะทำให้คุณสนุกจนลืมอายุกันไปเลย

สัมผัสมนต์เสน่ห์ในดินแดนแห่งจินตนาการ

ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์รีสอร์ท เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก ซึ่งฮ่องกงถือเป็นหนึ่งใน 5 ประเทศทั่วโลก ที่ได้รับเลือกให้เปิดสวนสนุกแห่งนี้ พอได้เข้าไปเหมือนต้องมนต์ให้เป็นเด็กอีกครั้ง ด้วยบรรยากาศและเสียงเพลงปลุกเร้าชีวิตชีวา เดินผ่านเมนสตรีท ยูเอสเอ ซึ่งจำลองตึกแถวร้านค้าในอดีตยุครุ่งเรืองของอเมริกา ก็จะเข้าสู่โซนสวนสนุกซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ แฟนตาซีแลนด์, ทูมอร์โรว์แลนด์ และแอดเวนเจอร์แลนด์ แต่ละโซนมีเครื่องเล่นเด่นๆ ให้ได้ตื่นเต้น ที่ฮอตฮิตก็มี Space Mountain, Jungle River Cruise, Buzz Lightyear Astro Blasters และอีกมากมาย ระหว่างเดินชมคุณยังจะได้กระทบไหล่เพื่อนดิสนีย์อย่าง มิกกี้ มินนี่ โดนัลด์ สติทช์ และบัซ ไลท์เยียร์ อย่างใกล้ชิดอีกด้วย

Toy Story Land...สนุกกับสวนหลังบ้านของแอนดี้

หากจินตนาการสุดล้ำไม่ได้หยุดอยู่กับที่ เพราะตอนนี้ได้เปิดพื้นที่แห่งใหม่ Toy Story Land โดยนำเรื่องราวความสนุกจากภาพยนตร์ทอยสตอรี่ทั้ง 3 ภาค มาให้คนชอบเที่ยวสวนสนุกได้สัมผัส เราเดินดิ่งเข้าไปทางสวนหลังบ้านของแอนดี้ ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย พอก้าวเข้าสู่โลกแห่งของเล่นที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ก็รู้สึกเหมือนถูกเนรมิตรให้มีขนาดจิ๋วเท่าของเล่นในชั่วพริบตา มาที่นี่นอกจะถ่ายรูปเล่นที่ Barrel of Fun กับวู้ดดี้และเจสซี่แบบประชิดตัวแล้ว ต้องไม่พลาด 3 เครื่องเล่นสุดสนุก แนะนำให้เริ่มแบบเบาๆ ด้วย Slinky Dog Spin รถสุนัขที่วิ่งไล่หางตัวเองด้วยจังหวะการกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง จากนั้นเตรียมตัวไปเป็นพลทหาร ผจญภัยลอยอยู่กลางอากาศกับ Toy Soldier Parachute Drop เครื่องเล่นกระโดดร่มจำลองจะเคลื่อนลงจากระดับความสูง 25 เมตร สู่พื้นดินด้วยความตื่นเต้นแบบหล่นวูบพอดีๆ และยังเสียวได้อีกกับ RC Racer เพียงแค่เห็นและ ได้ยินเสียงกรี๊ดอย่าเพิ่งได้ถอดใจ เพราะถือเป็นสุดยอดรถแข่งของเล่นความเร็วสูงสุดบนรางรูปตัว U สูง 27 เมตร ถ้าไม่ขึ้นถือว่ามาไม่ถึงนะ

สารพันโชว์และขบวนพาเหรดสุดอลังการ

พลาดไม่ได้เลยกับการมาดินแดนแห่งสวนสนุก ก็คือการไปชมโชว์ต่างๆ เช่น Mickey's Philharmagic ภาพยนตร์ 4 มิติ ที่จะพาท่องไปในดินแดนของโลกดีสนีย์แลนด์แบบรอบด้าน, Stitch Encounter พูดคุยกับเจ้าสติทช์ตัวการ์ตูนสุดกวนจากต่างดาวแบบอินเตอร์แอ็ททีฟ ซึ่งจะทำให้คุณหลงรักโดยไม่รู้ตัว, Festival of The Lion King โชว์ละครเพลงจัดเต็มทั้งแสง สี เสียง และคอสตูม, Toy Soldier Boot Camp ทหารตัวเขียวที่จะมาแสดงความพร้อมเพียงและให้คุณได้ร่วมสนุกไปด้วย พอช่วงเย็นต้องเตรียมตัวไปดูขบวนพาเหรดสุดอลังการ Flight of Fantasy Parade จากตัวการ์ตูนในดินแดนต่างๆ ให้คุณสัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ปิดท้ายวันด้วย Disney in the Stars การแสดงพลุในยามค่ำคืน จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อฉลองครบรอบ 5 ปีของ ฮ่องกงดีสนีย์แลนด์ ซึ่งงดงามตระการตา และสุดแสนจะโรแมนติกจนคู่รักตรงหน้าต้องประทับรอยจูบให้อิจฉา

Fast Facts

- ฮ่องกงแอร์ไลน์ส เปิดให้บริการเที่ยวบินระหว่างฮ่องกง-กรุงเทพฯ วันละ 2 เที่ยว โดยใช้เวลาบินจากกรุงเทพฯ ราว 3 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดและจองตั๋วโดยสารได้ที่ โทร. 0-2160-5138 //www.hongkongairlines.com

- ค่าเข้าฮ่องกงดีสนีย์แลนด์ ตั๋ว 1 วัน ราคา HK$399 ตั๋ว 2 วัน ราคา HK$499

- ที่พักแนะนำ Disney's Hollywood Hotel โรงแรมสไตล์อาร์ตเดโคแต่น่ารักเพราะนำลวยดลายมิกกี้เมาท์เข้าไปผสมผสานในการตกแต่งทั้งโรงแรม และ Hong Kong Disneyland Hotel โรงแรมหรูในสไตล์วิกตอเรียน เก๋ที่ร้านอาหาร Enchanted Garden เพราะจะมีตัวการ์ตูนมาหาคุณและร่วมถ่ายรูปแบบตัวต่อตัว




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2555   
Last Update : 15 มิถุนายน 2555 8:52:03 น.   
Counter : 4926 Pageviews.  

เกาะหลีเป๊ะ เที่ยวทะเลอันดามัน น่าไปทุกฤดู

หลังจากได้รับคำเชิญชวนจากคุณโทนี่แหล่ง Lipi Resort ให้แวะไปเที่ยว ไปเยี่ยมเยียนทะเลสตูลดูบ้างนะได้รู้ว่าต่างจากทะเลภูเก็ตยังไง เราใช้เวลาไม่นานในการตัดสินใจว่ายังไงก็ไปกันแน่ๆ ใช้เวลาเลือกวันที่จะเดินทางกันภายใน 5นาที เพราะจิตใจแต่ละคนไม่ค่อยอยู่กับที่อยู่แล้ว อยากออกสำรวจทะเลกันตลอดเวลา


ทริปนี้เราจะไปเกาะหลีเป๊ะกัน 3 วัน 2 คืนกำลังดี ไปกัน 2 สาวกับ 1 หนุ่ม หลังจากนัดแนะวันเดินทางกันได้ก็นัดหมายเดินทาง กำหนดการของเราคือออกจากภูเก็ตกันเช้าหน่อย ไปถึงแล้วลงเรือเลย วันเดินทางเราออกจากภูเก็ตกันตอนตี 3 โดยมีสารถีชายหนุ่มขับรถ (ทริปนี้สบายจัง ไม่ต้องขับรถเอง) แวะเข้าห้องน้ำบ้าง ซื้อขนมบ้าง กินขนมจีบ ติ่มซำที่ตรัง เดินทางกันแบบชิวๆ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงก็ไปถึงท่าเรือปากบารา จังหวัดสตูล

ถึงท่าเรือแวะไปเช็คอินขึ้นเรือที่เคาท์เตอร์ของอาดังราวี คุณอิน ว่าที่คุณแม่แห่งอาดังราวีรอให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดี หลังจากเช็คอินรับบัตรคิวเพื่อรอขึ้นเรือ

ช่วงที่เราไปเที่ยวกันไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว ดังนั้นเรือที่จะไปเกาะหลีเป๊ะจึงมีแค่วันละเที่ยว เรือออกจากท่าเรือปากบารา 11.30 น. วันนี้คนเดินทางไปเกาะหลีเป๊ะยังคงเต็มลำเรือ ถ้าไปเช็คอินช้าก็ขึ้นเรือทีหลังนะคะ แต่มีที่นั่งครบทุนคนแน่นอน เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที เรือแวะจอดที่เกาะไข่ (เกาะไข่ของสตูลนะค่ะ ไม่ใช่ของภูเก็ต) ให้เราลงไปเดินเล่นถ่ายรูปกับซุ้มประตูหิน ที่มีรูกว้างตรงกลาง ที่สัญลักษณ์ของเกาะไข่ หาดทรายที่นี่ขาว และน้ำใสจริงๆค่ะ โดยปกติแล้ว ถ้าเรามาในฤดูกาลท่องเที่ยว เราจะได้แวะเกาะตะลุเตาก่อน แต่ช่วงนี้ (เดือน พ.ค-ต.ค. ของทุกปี) เกาะตะลุเตาปิดให้บริการ (อดเลยเรา) เรือจึงไม่จอดแวะ

ออกจากเกาะไข่ไปประมาณ 30 นาที ก็มาถึงเกาะหลีเป๊ะกันแล้ว แว๊บแรกที่เห็นเรารู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก เพราะน้ำทะเลของเกาะหลีเป๊ะใสจริงๆ มองไปเห็นแนวหิน-แนวปะการังใต้น้ำได้ง่ายๆ ไม่ต้องดำน้ำลงไปดูเลย และหาดทรายก็ขาวสวยมากจริงๆ เกาะหลีเป๊ะมีชายหาดที่เหมาะกับการเดินเล่นหลักๆอยู่ 3 หาด คือ sunset beach  sunrise beach และ pattaya beach แต่ละหาดตั้งชื่อได้เหมาะสมกับทำเลที่ตั้งจริงๆค่ะ และเราก็ตั้งใจกันแล้วว่า เราจะไปสำรวจให้ครบทุกหาดเลยทีเดียว เริ่มจากลงเรือ เราลงเรือกันที่ Sunrise beach หาดนี้เหมาะสำหรบการชมพระอาทิตย์ขึ้น มีรีสอร์ที่พักอยู่ริมหาดหลายแห่ง. แต่ช่วงที่เราไปรีสอร์ทส่วนมากปิดให้บริการค่ะ ก็จะได้สัมผัสบรรยากาศเงียบสงบไปอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน


แต่วันนี้เราจะไปพักกันที่ Lepi Resort ซึ่งอยู่ที่ Pattaya beach แค่ได้ยินชื่อหาดก็น่าจะคึกคักแล้ว เรานั่งเรือหางยาวจากจุดลงเรือไปประมาณ 5 นาที ก็มาถึงหน้าหาด pattaya แล้ว

ลงเรือมาก็ได้รับการต้อนรับจากพนักงานของ Lipi Resort เป็นอย่างดี คุณต้อม แนะนำจุดท่องเที่ยวต่างๆให้เราได้รู้เป็นข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยว อดตื่นเต้นกันไม่ได้ เรารีบเข้าที่พัก เก็บของ เก็บภาพบรรยากาศรอบที่พักซะเหมือนว่าจะไม่ได้อยู่อีกตั้ง 2 วัน


ห้องพักมีทั้งแบบ sea view และ garden view. วันนี้เราพักกันหน้าหาดเลย ฟังเสียงคลื่นกันแบบเต็มๆ หลังจากถ่ายภาพ-พักผ่อนทานอาหาเสร็จ ก็เริ่มออกสำรวจเกาะกัน เย็นวันนี้ ตั้งใจจะเดินไปดูพระอาทิตย์ตกกันที่ sunset beach เราไปพร้อมกับแผนที่ซึ่งได้รับอนุเคราะห์จากชาวบ้านบริเวณนั้นใจดีจริงๆ เราเดินกันไปตามแผนที่ผ่าน walking street มุ่งหน้าไปทาง sunset beach ผิดทางบ้าง ถามทางบ้าง จริงๆแล้วไปไม่ยากหรอค่ะ แต่เราหลายความเห็นเลยต้องใช้เวลาสรุปเส้นทางบ้าง ระหว่างทางเราสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า เกาะหลีเป๊ะเนี่ยมีสมาชิกร่วมเกาะเป็นน้องหมาทั้งหลายเยอะจริงๆ และทุกตัวมีนิสัยเหมือนๆกันคือ พร้อมรับแขก เดินไปทางไหนไม่ต้องห่วง เจ้าสี่ขาเหล่านี้พ้อมให้การต้อนรับตลอดทาง ถ้าจะให้ดี พกไก่ย่างไปด้วยจะเป็นที่โปรดปรานมาก

เดินกันไปประมาณ 30 นาทีก็มาถึง sunset beach ถ้าไม่ใช่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเช่นวันนี้ร้านค้าต่างๆ พากันปิดเงียบ ถ้าเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวคงคึกคักน่าดู เพราะเส้นทางเข้าไปยังsunset beach. มีร้านค้าต่างอยู่เยอะแยะ น่านั่งสังสรรค์ชมพระอาทิตย์ตกน้ำ

ออกจาก sunset beach เราเดินกลับที่พัก วันนี้อยากพักผ่อน เล่นน้ำสบายๆหน้าที่พักกันก่อน หน้าที่พัก น้ำใส อากาศดี เหมาะกับการเล่นน้ำ เพราะคลื่นไม่แรงเกินไป เด็กๆเล่นน้ำได้สบายเลยค่ะ

วันที่สอง เราตื่นกันแต่เช้า วันนี้เรามีโปรแรมออกทะเลไปชมความสวยงามของเกาะน้อยใหญ่ต่างๆบริเวณเกาะหลีเป๊ะ หลังอาหารเช้า เรารีบมุ่งหน้าไปยังท่าเรือฝั่ง sunrise beach โดยการเดินผ่านไปทางwalking steet ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีก็ถึง เรือนัดออกเวลา 9.30 ถึงเวลาคนพร้อม เรือพร้อมก็ออกเดินทางกันเลย


เราเดินทางกันด้วยเรือหางยาวกับผู้ร่วมทางรวม 9 คน นั่งกันสบายๆพอดีกับเรือ ออกจากฝั่งไปประมาณ 20 นาที ก็ไปถึงจุดดำน้ำแรก บริเวณเกาะหินงาม จุดนี้เรือปล่อยให้เราลงดำน้ำดูปะการังประมาณ 40 นาที ปะการังของเกาะหินงามยังคงมีความสวยอยู่มาก ปลาแลกๆก็มีให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ แต่จะสวยแค่ไหนคงต้องมาดูด้วยตาของตัวเอง จากนั้นเรือพาเราไปจอดที่เกาะหินงาม เกาะที่มีหินสีดำ มันวาว กลมเกลี้ยง พี่คนขับเรือแนะนำให้เราเรียงหินให้ซ้อนกันให้ได้
12 ก้อน แล้วราดน้ำลงไปพ้อมกับ อธิฐานแล้วจะสมหวังตามต้องการ ฟังดูเหมือนง่าย เพราะเห็นกองหินเรียงอยู่กันหลายกอง เราเลยต้องลองสักหน่อย นั่งเรียงกลางแดดร้อนๆ ประมาณ 30นาที ยังไม่สำเร็จ พอเรียงสำเร็จราดน้ำลงไปแล้วหินก็ล้ม จนพี่คนเรือต้องมาช่วยเพราะใกล้จะได้เวลาเดินทางต่อแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จจนหมดเวลาล้มเลิกความตั้งใจขึ้นเรือออกเดินทางต่อดีกว่า

ออกจากเรือเกาะหินงาม นั่งเรือต่อไปอีกประมาณ 15นาที ไปแวะหาดทรายขาว เกาะราวี ที่เกาะนี้เราแวะทานอาหารเที่ยงกันแบบปิคนิค หลังอาหารเรามีเวลาพักผ่อนบริเวณริมหาดอีกประมาณ 1ชั่วโมง น้ำทะเลใสๆ คลื่นลมสงบ จะเล่นน้ำ หรือจะนอนเล่นริมหาดก็สบายๆ

บ่าย 2 ได้เวลานัดหมายเดินทางต่อ สมาชิกพร้อมตรงเวลา เรือออกมุ่งหน้าตรงไปยัง เกาะยาง ให้เราลงน้ำชมปะการังใต้น้ำประมาณ 30 นาที แล้วออกไปต่อกันที่ จุดดำน้ำดูปะการัง 7 สีที่เกาะจาบัง วันนี้เราโชคดีที่น้ำไม่แรงมากนัก และเป็นเวลาที่น้ำลดอยู่ในระดับพอดีที่เราจะมองเห็นปะการังเจ็ดสีได้

ออกจากเกาะจาบังเราไปแวะเยี่ยมเกาะอาดัง ลงเรือเดินเล่นชมวิวริมหาด ชายหาดที่เกาะอาดังมีความเด่นที่ทรายขาวเรียบ น้ำทะเลใส เราเดินเล่นถ่ายรูปกันจนได้เวลาสมควรเดินทางกลับเดาะหลีเป๊ะ และถึงเกาะหลีเป๊ะประมาณ
ห้าโมงเย็น

หลังอาบน้ำ ทุกคนก็พร้อมออกสำรวจถนน walking steet เวลากลางคืน ช่วงนี้ร้านค้าต่างๆปิดเป็นจำนวนมาก เพราะนักท่องเที่ยวน้อย แต่ก็ยังมีร้านอาหารให้บริการอยู่บ้าง เช่น ขายอาหารทะเลสดๆ มีลูกค้านั่งทานเต็มร้าน เราเลือกเดินไปชิมของถูกบนเกาะกันก่อนที่ร้านไก่ปิ้งไม้ละ 10 บาท คนขายอารมณ์ดี บอกเราว่ามีคนเอารูปเขาไปลงในเน็ทหลายคนแล้ว ยินดีให้ถ่ายค่ะ

ออกจากร้านไก่ปิ้งแวะกินข้าวกันก่อนกลับ ราคาอาหารที่นี่ใกล้เคียงกับภูเก็ตค่ะ กับข้าวจานละประมาณ 150-180 บาท อยู่ที่ว่าใครเลือกทานอะไร

คืนนี้กลับมาที่พักเราสลบกันแต่หัวค่ำเลยทีเดียวเพราะเหนื่อยกันสุดๆ

เช้าวันที่สาม หลังอาหาร เตรียมตัวเดินทางกลับ ช่วงนี้มีเรือออกจากเกาะหลีเป๊ะกลับท่าเรือปากบาราวันละ 1 เที่ยวคือตอน 9.30 เช่นเคยต้องรีบไปเช็คอินขึ้นเรือนะคะ ถ้าเช็คอินช้า ไม่รับประกันว่าเรือจะมีที่นั่งพอให้กลับได้รึเปล่า เดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมงถึงฝั่งอย่างปลอดภัย

ทริปนี้จบลงด้วยความประทับใจเช่นเคย กับการบริการและความสะดวกสบายของที่พัก และความสวยงามของทะเลสตูล ซึ่งยังมีความเป็นธรรมชาติ ปะการังและปลาในทะเลยังสมบูรณ์อยู่ ใครมีโอกาสหาเวลาไปให้ได้นะคะ ไปสักครั้งแล้วจะอยากไปอีก ทำงานมาหนักแล้วอย่าลืมให้รางวัลกับตัวเองด้วยการพักผ่อนบ้างนะคะ

ขอบคุณภาพใต้น้ำสวยๆ จากสมาชิกร่วมเรือใจดี คุณเอ Thunya Sitthi ทุกภาพของคุณเอสวยสดใส เลือกไม่ถูกเลยค่ะ ขอบคุณมากจริงๆที่ให้เราแบ่งปันภาพสวยๆให้คนอื่นได้ดูด้วย

อยากไปทริปแบบนี้ในราคาประหยัดให้เราช่วยแนะนำ จัดทริปให้ยินดีให้บริการและคำแนะนำนะคะ ส่งเมลมาคุยกันทาง info@okalitours.com. หรือแวะเข้าไปดูทริปที่เราจัดไว้แล้วก่อนก็ได้ทางเว็บไซต์ //www.okalitours.com หรือโทร 088-766-1657, 082-812-1146 ยินดีพูดคุยค่ะ

เที่ยวไปกับ โอกาลิทัวร์

//travel.sanook.com/951613




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2555   
Last Update : 13 มิถุนายน 2555 22:23:36 น.   
Counter : 4418 Pageviews.  

สวนผึ้ง...เที่ยวสวนผึ้ง ไปชม ชิม ชอป สุดยอดเมืองโรแมนติก

สวนผึ้ง ไม่ว่าฤดูนี้ หรือฤดูไหนก็ไปได้ เมืองเล็กๆ น่ารักสุดแสนน่ารักที่ใครๆ ก็อยากไปเยือนสักครั้ง วันนี้ สนุก! ท่องเที่ยว มีโอกาสดีได้เพื่อนพาเที่ยว สวนผึ้ง เป็นไกด์บุ๊คท่องเที่ยวชุด GO เล่มล่าสุด GO สวนผึ้ง มาพาเราไปลั้ลลาเป็นเด็กเลี้ยงแกะ และสัมผัสบรรยากาศสุดโรแมนติก ในดินแดนขุนเขาและสายหมอก ตรอกธารและทุ่งหญ้า


สวนผึ้ง เป็นจุดหมายปลายทางที่ไปได้ง่าย ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ แค่ 2-3 ชั่วโมงโดยการขับรถ ด้วยเหตุผลเหล่านี้เองทำให้ สวนผึ้ง เป็นจุดหมายอันดับต้นๆ ของบรรดานักท่องโลกยุคใหม่ที่ท้าทายให้ไปเยี่ยมเยือนเสมอ ตามคอนเซ็ปแบบ Go ที่ว่า "เล่มเดียวครบทั้งไปชม ไปชิม ไปช็อป" พร้อมแผนที่ อ่านง่ายใช้ได้จริง 4 สีทั้งเล่ม... ว่าแล้วก็ตาม GO สวนผึ้ง ไปเที่ยวใ้ห้สนุกกันได้เลย

ชม

The Scenery Resort & Farm

โด่งดังขึ้นชื่อจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของสวนผึ้งในเวลาอันรวดเร็ว และมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาไม่ขาดสาย ปัจจุบันจึงได้เปลี่ยนจากที่พักเป็นจุดแวะพักผ่อนเที่ยวชมฟาร์มและหาซื้อของฝากแบบ One Day Trip อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาเที่ยวชมได้มากขึ้น สิ่งที่ดึงดูดใจฮ็อตฮิตติดลมบนคือ ความน่ารักของเจ้าแกะขนปุกปุยน่ากอดรัดฟัดเหวี่ยงฝูงใหญ่ที่ทางรีสอร์ทเลี้ยงไว้ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสตัวเป็นๆพร้อมกับการให้อาหารแกะ รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆอีกมากมาย เช่น ยิงธนู ขี่ม้า (สำหรับเด็กๆมีม้าแคระให้ขี่) นั่งรถชมบรรยากาศฟาร์ม อีกทั้งยังมีมุมเด็ดๆท่ามกลางทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่มสดใส รายล้อมด้วบภูเขาสลับซับซ้อน ให้คนรักการถ่ายภาพได้โพสท่าถ่ายรูปกันอย่างหนำใจ

ที่อยู่ : 234 หมู่ 7 ตำบลสวนผึ้ง

โทรศัพท์ : 08-1000-6677

เวลาให้บริการ : วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00 น. - 18.00 น. วัน เสาร์-อาทิตย์ เวลา 8.30-18.30 น.

ค่าเข้าชม : ท่านละ 40 บาท (พร้อมหญ้าสำหรับเลี้ยงแกะ 1 กำ และซื้อเพิ่มได้ในราคากำละ 20 บาท)

น้ำตกเก้าชั้น

เดิมชื่อ น้ำตกเก้าโจน แต่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสวนผึ้งมักจะเข้าใจผิดคิดว่าชื่อ "น้ำตกเก้าโจร" และตีความหมายว่าเป็นแหล่งซ่องสุมของโจรผู้ร้าย ฟังแล้วน่ากลัวมกกว่าน่ามาท่องเที่ยว หน่วยงานราชการในพื้นที่จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "น้ำตกเก้าชั้น" แทน น้ำตกแห่งนี้อยู่ห่างจากธารน้ำร้อนบ่อคลึงประมาณ 1 กิโลเมตร จากลานจอดรถจะต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 200 เมตร ต้นน้ำของน้ำตกแห่งนี้อยู่บนเทือกเขาตะนาวศรีซึ่งเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์และมีฝนตกชุกตลอดปี จึงทำให้มีน้ำซับตลอดเวลาและก่อให้เกิดธารน้ำธรรมชาติไหลผ่านจากตอนกลางของเทือกเขาลงมายังด้านล่าง กลายเป็นน้ำตกที่มีความงดงามไม่น้อยน้ำตกเก้าชั้นมีทั้งสิ้น 14 ชั้น แต่สามารถเที่ยวได้แค่ 9 ชั้น เนื่องจากชั้นบนกว่านั้นเป็นเขาสูงชันและเหวลึก ที่นี่คุณจะได้สัมผัสธรรมชาติของป่าเบญจพรรณที่เต็มไปด้วยพรรณไม้หลากหลาย ส่วนใครอบากนอนค้างแรมกลางป่าเพื่ออิ่มเอมธรรมชาติให้จุใจ ก็มีจุดกางเต็นท์ไว้ให้บริการ ด้านหน้าทางเข้าน้ำตกยังมีร้านอาหารพื้นบ้านจำพวกส้มตำไก่ย่างฝีมือชาวบ้านให้อุดหนุนไปชิมบนน้ำตกด้วย

ที่อยู่ : หมู่ 7 บ้านห้วยผาก ตำบลสวนผึ้ง เวลาเปิด : 6.00 น. - 18.00 น. โทรศัพท์ : 0-3239-5498

ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม แต่ต้องเสียค่าจอดรถคันละ 20 บาท

เขากระโจม

เป็นยอดเขาสุดเขตชายแดนระหว่างไทย-พม่า ตั้งอยู่ในแนวเทือกเขาตะนาวศรี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,045 เมตร บริเวณนี้เป็นที่อาศัยของของชุมชนชาวกะเหรี่ยงซึ่งอพยพมาจากเมืองทวายประเทศพม่า ชาวกะเหรี่ยงเรียกยอดเขานี้ว่า "เขาลันดา" ซึ่งหมายถึง ภูเขาที่มีที่ราบ ส่วนชื่อ "เขากระโจม" นั้นได้รับฉายามาจากคนไทยที่เข้าไปทำเหมืองแร่ แล้วมองเห็นยอดเขาดูดล้ายกระโจมของชนเผ่าอินเดียนแดงนั่นเองที่นี่นับเป็นจุดชมทะเลหมอก ทิวทัศน์ขุนเขาฝั่งพม่า และชมพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมแสงแรกแห่งวันที่สวยที่สุดในสวนผึ้ง

การเดินทางขึ้นเขากระโจมค่อนข้างลำบากเพราะเส้นทางลาดชันมากมีเพียงรถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้นที่จะพาเราขึ้นสู่ยอดเขาได้ ใครอยากขึ้นไปต้องตื่นแต่เช้ามืด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและความชำนาญของคนขับ) ระหว่างทางจะได้ชมทิวทัศน์ของผืนป่าเขียวขจีรอบด้านและเห็นสายหมอกเคลื่อนตัวอ้อยอิ่งอยู่เหนือหุบเขา เมื่อถึงยอดเขาก็จะเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาตะนาวศรีที่ทอดตัวยาวไปถึงชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ท่ามกลางทะเลหมอกในยามเช้าและอากาศที่หนาวเย็นจับใจ ข้างบนมีลานกางเต้นท์สำหรับนักท่องเที่ยว แต่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆนอกจากห้องน้ำ

ขากลับจากชมทะเลหมอกแนะนำให้แวะเที่ยวน้ำตกผาแดงน้ำตกธรรมชาติที่ซ่อนตัวอยู่ในราวป่า มีต้นน้ำมาจากห้วยลันดาโดดเด่นด้วยผาหินสีแดงสมชื่อ ในอดีตเคยเป็นแหล่งน้ำที่ใช้สำหรับร่อนแร่ดีบุกและวุลแฟรม หากเดินทางไปเที่ยวในช่วงฤดูฝนให้ระวังตัวทากด้วย


การเดินทาง : กลุ่มรักษ์เขากระโจมมีบริการให้เช้ารถขึ้นเขาราคาประมาณ 1,600 บาท (โดยสารได้ 8-10 คน)

โทรศัพท์ : 08-6174-7951

ภโวทัยพิพิธภัณฑ์

เรือนไทยหลังใหญ่ห้อมล้อมด้วยร่มไม้ดูครึ้มเย็น มีป้ายบอกด้านหน้าว่า "ภโวทัยพิพิธภัณฑ์ (ภูมิปัญญาชาวบ้าน)" นี้ก่อตั้งขึ้นจากความตั้งใจของเจ้าของที่ต้องการอนุรักษ์ศิลปะและโบราณวัตถุของไทยไว้ บนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ภายในประกอบด้วยอาคารจัดแสดงสองหลักคือ เรือนทรงไทยหลังใหญ่ สูงสองชั้น สร้างจากไม้เนื้อแข็งหลายชนิด เช่น ไม้สักทอง ไม้มะค่า ไม้ประดู่ และไม้แดง โดดเด่นด้วยการก่อสร้างแบบโบราณแท้ๆ นั่นคือ ฝาเรือนเป็นไม้เข้าลิ้นที่เรียกว่าฝาปะกนมีเสารองรับน้ำหนักทั้งหมด 94 ต้น หน้าจั่วแกะสลักด้วยฝีมือช่างพม่าดูมีมนตร์ขลัง ภาพในสว่างไสวด้วยตะเกียง ส่องให้เห็นวัตถุโบราณที่เจ้าของเก็บสะสมมาหลายปี อาทิ เครื่องแก้วเจียระไน กาน้ำชาจากเมืองจีน เครื่องกระเบื้องลายคราม ตลับแป้งและปิ่นทองคำสมัยกรุงศรีอยุธยา อีกหลังเป็นเรือนทรงไทยหมู่สร้างจากไม้สักทอง จักแสดงวิถีชีวิตและข้าวของเครื่องใช้ในสมัยก่อน โดยมีโอ่งมังกร ของดีเมืองราชบุรีวางเรียงรายอยู่ใต้ถุนบ้าน นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมรถม้าแบต่างๆและไม้ดอกไม้ประดับของไทยหลากหลายพันธุ์ไว้ชมกันด้วย หรือถ้าใครอยากนอนเล่นสักคืน ที่นี่ก็มีห้องพัก รวมทั้ง ร้านอาหารให้บริการด้วย

ที่อยู่ : 94 หมู่ 1 ตำบลตะนาวศรี

โทรศัพท์ : 08-6171-8400

เปิดให้บริการ : วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 8.00 - 17.00 น.

ค่าเข้าชม : ท่านละ 20 บาท

เว็บไซต์ : //www.pavothai.com

โป่งยุบ

อีกหนึ่งประติมากรรมธรรมชาติที่สรรค์สร้างฉากแปลกตาให้คุณตื่นตาตื่นใจได้อย่างอัศจจรย์ โป่งยุบอยู่บนที่ดินของเอกชน มีพื้นที่ประมาณสิบไร่ สันนิษฐานว่าเกิดจากการกัดเซาะของน้ำเป็นเวลานานจนทำให้แผ่นดินยุบตัวลงกลายเป็นหน้าผาสูงชัน บางจุดมีลักษณะเป็นหลุมลึกลงไปจากพื้นผิวระนาบราว 3-5 เมตร พร้อมทั้งมีร่องรอยแนวน้ำกัดเซาะจนมีรูปร่างแปลกตา ชวนให้นักท่องเที่ยวได้สนุกกับการสร้างจินตนาการแม้จะมีอาณาเขตไม่กว้างใหญ่เท่าแพะเมืองผี จังหวัดแพร่ หรือละลุ จังหวัดสระแก้ว แต่ก็น่าเดินเล่นเพลินๆได้แบบไม่ทันเหนื่อย

ที่อยู่ : หมู่ 6 ตำบลท่าเคย

โทรศัพท์ : 08-1256-2550, 08-1255-7500

เปิดให้บริการ : วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 น. -17.00 น. เปิดให้เข้าชมเฉพาะหมู่คณะ ต้องติดต่อล่วงหน้า ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไป เวลา 9.00 น. - 17.30 น.

ค่าเข้าชม : ท่านละ 40 บาท

ชิม

ร้านต้นขนมหวานสะพานกาแฟ

อีกหนึ่งร้านกาแฟที่ต้องแวะ เพราะภายในตกแต่งได้โดนใจคนชอบความสดใส แถมมีมุมน่ารักๆ และเต็มไปด้วยของกระจุกกระจิกมากมายให้เดินชมระหว่างรอกาแฟถ้วยโปรด ใครพกพากล้องมาด้วยรับรองว่าเพลิดเพลินไม่มีเบื่อ คุณสามารถนั่งจิบกาแฟได้หลายมุม ไม่ว่าจะริมลำธารฟังเสียงน้ำไหลให้เพลิดเพลินหรือในบ้านต้นม้ นั่งจิบกาแฟไมชมทิวทัศน์ไปท่ามกลางเสียงนกร้องก็เข้าท่าทั้งสองบรรยากาศนอกจากกาแฟรสชาติกลมกล่อมแล้ว ที่นี่ยังมีเครื่องดื่มอีกหลายชนิดให้คุณเลือก รวมทั้งขนมหวาน ถ้วยแนะนำคือเฉาก๊วยน้ำผึ้ง แก้กระหายคลายร้อนได้ดี หรือเป็นคอเบเกอรี่ก็ห้ามพลาดบราวนี่เด็ดขาด

ที่อยู่ : 142 หมู่ 7 ตำบลสวนผึ้ง (ตั้งอยู่ในบัววัฒนา รีสอร์ท)

โทรศัพท์ : 08-5700-0575

เวลาเปิด : 7.00 น. 17.00 น.

เว็บไซต์ : //www.buawattanaresort.com


Swiss Fish & Chips Restaurant

ร้านอาหารตกแต่งสไตล์ยุโรปและให้ความรู้สึกของบบรยากาศโรงนาตะวันตกได้อย่างดี ที่นี่คุณจะได้นั่งกินอาหารไปพร้อมกับชมทิวทัศน์อันสวยงามของรีสอร์ทและฝูงแกะน่ารักๆ อย่างสบายอารมณ์ เมนูเด็ดที่ห้ามพลาด คือ สเต็กปลาแซลมอน ที่ทั้งหอมและรสชาติลงตัวด้วยซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบชีส รวมทั้งมีเครื่องดื่มรสชาติอร่อยให้เลือกชิมมากมาย รับรองว่าคุณจะอิ่มอร่อยไม่รู้ลืม

ที่อยู่ : 7/7 หมู่ 7 ตำบลสวนผึ้ง (ตั้งอยู่ด้านหน้าสวิส วัลเลย์ ฮิพ รีสอร์ท)

โทรศัพท์ : 0-3271-1111

เวลาเปิด : 9.00 น. - 20.30 น.

เว็บไซต์ : www.swissvalleyhipresort.com

ช็อป

แม่ทับทิมกล้วยฉาบ

กล้วยฉาบร้านนี้เป็นของฝากของกินเล่นที่อร่อยง่ายสไตล์ไทยๆรสชาติทั้งหวาน หอม และเคี้ยวมัน เพราะทำกันสดใหม่ทุกวัน แถมยังไม่ใส่เนย สารกันบูด หรือวัตถุเจือสีใดๆทั้งสิ้น ทุกชิ้นจึงอร่อยแบบธรรมชาติ เคล็ดลับความอร่อยอีกประการอยู่ที่กรรมวิธีการทำ นั่นคือ ใช้กล้วยน้ำว้าคัดพิเศษจากสวนในพื้นที่ และขณะทอด เมื่อกล้วยลอยตัวขึ้นมาบนผิวน้ำมัน ต้องหมั่นพลิกชิ้นกล้วยกลับไปมาให้สุกทั่วทั้งชิ้น ก่อนตักขึ้นวางให้สะเด็ดน้ำมันแล้วปรุงรส มีกล้วยฉาบให้เลือกทั้งรสหวานและรสเค็ม ถ้ามาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณก็จะได้ชมการผลิตกล้วยฉาบทุกขั้นตอน

ที่อยู่ : 21/2 หมู่ 7 ตำบลสวนผึ้ง

โทรศัพท์ : 08-7801-4077, 08-7168-5113

เวลาเปิด : 7.00 น. - 18.30 น.

ชอป

Sheepie Sheep

ร้านขายของฝากน่ารักๆ เอาใจคนชอบความเป็นคันทรี่ผสมผสานการดีไซน์แบบดมเดิร์น ทำให้มีเสน่ห์ดึงดูดขาช็อปจนมีลูกค้าเข้าออกตลอดทั้งวัน สำหรับของฝากขึ้นชื่อและเป็นเหมือนเอกลักษณ์ของสวนผึ้งก็คือหุ่นรูปแกะอ้วนๆที่ส่ายหัวไปมาได้และตุ๊กตาแกะขนปุกปุย นอกจากนี้ยังมีเสื้อยืดสกีนลาย เสื้อโปโลหลากสีสัน ผ้าพันคอ โปสต์การ์ด แผ่นแม่เหล็กติดตู้เย็น หมวก และของแต่งบ้านน่ารักให้ช็อปกันจนเพลิน

ที่อยู่ : 234 หมู่ 7 ตำบลสวนผึ้ง (ตั้งอยู่ใน The Scenery Resort & Farm)

โทรศัพท์ : 08-1000-6677

วัน-เวลา เปิด : วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 10.00 น. - 18.00 น. วันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 8.30 น. - 18.30 น.

เว็บไซต์ : //www.sceneryresort.com

บ้านนกละเมอ

บ้านนกละเมอ มีกรอบรูปแฮนด์เมดให้คุณเลือกซื้อหลากหลายขนาดแต่ละชิ้นทำด้วยไอเดียสร้างสรรค์และความตั้งใจจริงของเจ้าของร้าน จนเป็นชิ้นเดียวที่ไม่เหมือนใคร เอกลักษณ์ที่น่าสนใจของกรอบรูปร้านนี้คือ การนำไม้เก่ามาประดิษฐ์เป็นกรอบรูปแบบต่างๆและทาสีเลียนแบบของโบราณ หรือถ้าใครอยากได้ดีไซน์ตามใจตัวเอง ก็ขอเจ้าของร้านให้ทำเดี๋ยวนั้นได้เลย

ที่อยู่ : หมู่ 7 ตำบลสวนผึ้ง

โทรศัพท์ : 08-6574-6191

เวลาเปิด : 8.00 น. - 18.00 น.

 เห็ด

สวนผึ้งมีฟาร์มเห็ดหลายแห่งให้คุณได้ตะลุยบุกกันเข้าไปซื้อถึงที่ ทั้งเห็ดโคนญี่ปุ่นเห็ดหอม และเห็ดฟางรับประกันความสดและกรอบอร่อยไม่แพ้เห็ดของภาดเหนือเลยทีเดียว นอกจากนี้คุณยังสามารถเข้าชมการเพาะปลูกเห็ดในฟาร์มได้ด้วย ติดต่อได้ที่ไร่อัจฉรา

โทรศัพท์ 08-1721-3322, 08-1832-2241

ที่พัก

บ้านอ้อมกอดขุนเขา

รีสอร์ทที่ตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งนี้เป็นหนึ่งในที่พักสวยอันดับต้นๆ ของสวนผึ้ง ตกแต่งและดีไซน์บ้านพักเป็นสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ด้วยการสร้างเป็นอาคารปูนเปลือยทาสีขาว ดูหรูหราและโดดเด่น แต่ละหลังตั้งรายล้อมสระว่ายน้ำที่ตกแต่งอย่างสวยงาม รีสอร์ทแบ่งเป็นสามโซนน่ารักในสองบรรยากาศน่าพัก คือ เมาน์เทนวิว (Mountain View) และพลูวิว (Pool View) ภายในบ้านพักแต่ละหลังตกแต่งด้วยสีสันสดใสไม่ซ้ำกัน บนดาดฟ้าใช้เป็นมุมสังสรรค์กับคนรัก ครอบครัว หรือจะนอนนับดาวชมเดือนก็ได้บรรยากาศโรแมนติก แถมในรีสอร์ทยังมีธารน้ำธรรมชาติและมุมให้คุณนั่งเล่นอีกมากมายด้วย

ที่อยู่ : 7/7 หมู่ 7 ตำบบลสวนผึ้ง

โทรศัพท์ : 08-7773-3950, 08-1995-6162

ราคา : 3,900 - 18,500 บาท

เว็บไซต์ : //www.swissvalleyhipresort.com


บ้านริมเขา


บ้านพักท่ามกลางสวนแห่งนี้จะทำให้คุณได้ชื่นชมธรรมชาติอย่างไม่รู้เบื่อ เพราะเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพรรณ อีกทั้งมีแม่น้ำภาชีไหลผ่านช่วยเพิ่มความเย็นฉ่ำให้แก่วันพักผ่อนของคุณ บ้านพักมีหลายแบบให้เลือกอาทิ บ้านสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน บ้านไม้ กระท่อม หรือแม้แต่บ้านแฟนซีรูปทรงสับปะรด หน้าบ้านแต่ละหลังมีสนามหญ้าเขียวขจีให้คุณนั่งเล่นได้อย่างเพลินตาเพลินใจ

ที่อยู่ : 55/1 หมู่ 7 ตำบลสวนผึ้ง

โทรศัพท์ : 0-2880-8520-9, 0-3271-1089, 08-9919-1459

ราคา : คืนละ 1,500 - 15,000 บาท

เว็บไซต์ : www.baanrimkao.com

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก: GO สวนผึ้ง คู่มือเที่ยวสวนผึ้งเล่มเดียว ครบทั้งไปชม ไปชิม ไปช็อป พร้อมแผนที่ 4 สีทั้งเล่ม อ่านง่ายใช้ได้จริง


คลิก! อ่านข้อมูลหนังสือ GO สวนผึ้ง เพิ่มเติม


คู่มือนักอ่าน

ชื่อ: GO สวนผึ้ง

ราคา : 219 บาท

สำนักพิมพ์: แพรวสำนักพิมพ์ ท่องโลก

จำนวนหน้า : 158 หน้า

เขียนโดย: ชุติมา สมสืบ




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2555   
Last Update : 12 มิถุนายน 2555 20:57:16 น.   
Counter : 3980 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  

sitcomthai
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 53 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add sitcomthai's blog to your web]