Test Drive : Honda Civic 1.8 E AT Navi สปอร์ตซีดาน ออฟชั่นข้ามรุ่น
| | เรื่อง - ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ | Tuesday, 2 October, 2012 0:12 AM | | | | | | ฮอนด้า ซีวิค โฉมปัจจุบัน เจนเนอเรชั่นที่ 9 เปิดตัวในไทย เมื่อกลางปีที่ผ่านมา จากนั้นเพียงไม่กี่วันก็ได้ ทดสอบกลุ่ม แบบไปเช้า-เย็นกลับ ซึ่งยังขาดข้อมูลบางส่วน จึงติดต่อขอยืมรถมาทดสอบเดี่ยวอีกครั้ง กับรุ่นสูงสุดของเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี 1.8 E AT Navi ลองมาดูกันว่าการปรับปรุงเครื่องยนต์บล็อกเดิมให้รองรับ E85 จะส่งผลต่อสมรรถนะหรือไม่ และอัตราสิ้นเปลืองจะเป็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับ E10 และ E20 | | | | รูปลักษณ์มีเค้าโครงเดิม ภายนอกของ ซีวิค ใหม่ซึ่งใช้รหัสตัวถัง FB ได้รับการถ่ายทอดเส้นสายจากรุ่นเดิม FD มาพอสมควร เช่น เส้นฝากระโปรงหน้า ซึ่งเกือบเป็นแนวเดียวกับเสาหน้า รวมทั้งแนวเส้นหลังคา กระจกมองข้างแบบติดตั้งที่บานประตู และโป่งล้อหน้า-หลัง ที่ยกขอบเหลี่ยมเหมือนรุ่นเดิม ชุดไฟหน้าทรงเพรียวรับกับลายเส้นบนกันชนหน้า ช่องดักลมในกันชนบุตาข่ายดูสปอร์ต
ด้าน ข้างมีเส้นคาดผ่านที่เปิดประตูเน้นทรงลิ่มของตัวถัง ล้อแม็กลายกึ่งหรูกึ่งสปอร์ตพร้อมยาง 205/55 R16 ชุดไฟท้ายช่วงแรกโดนบ่นว่าไม่สวย ผมเองก็มองแล้วขัดตา แต่ดูไปนานๆ ก็เริ่มชิน มีการออกแบบลายเส้นบนกันชนท้ายให้รับกับชุดไฟท้าย เช่นเดียวกับด้านหน้า ฝากระโปรงยกสันคล้ายเป็นสปอยเลอร์ในตัว
มิติ ตัวถังมีความยาว 4,525 มิลลิเมตร กว้าง 1,755 มิลลิเมตร สูง 1,434 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,670 มิลลิเมตร สั้นกว่ารุ่นเดิมที่ยาว 2,700 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,495/1,522 มิลลิเมตร แคบว่ารุ่นเดิมที่มีตัวเลข 1,500/1,525 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,255 กิโลกรัม | | | | ภายในล้ำยุค อุปกรณ์ครบ แผงคอนโซลของ ซีวิค ใหม่ ยังคงเป็นแบบ 2 ชั้นเหมือนรุ่นเดิม ด้านล่างเป็นมาตรวัดรอบแบบเข็ม พร้อมสัญญาณไฟเตือนระบบต่างๆ ด้านบนเป็นมาตรวัดความเร็วตัวเลขดิจิตอล ประกบข้างด้วยมาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงและมาตรวัดอุณหภูมิ มีแถบไฟเปลี่ยนสีได้ของระบบ Eco Coaching เมื่อขับอยู่ในช่วงที่ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด แถบไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว พร้อมสวิตช์เปิด-ปิดระบบ ECON Mode อยู่บนแผงคอนโซลฝั่งขวาของผู้ขับ ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ เกียร์ และระบบปรับอากาศ เพื่อให้ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าที่สุด
กรอบมาตรวัดด้านบนกว้างขึ้นรองรับจอเอนกประสงค์ i-MID หรือ Intelligent Multi-Information Display แสดงข้อมูลและปรับเซตระบบต่างๆ ของรถ ควบคุมด้วยปุ่มบนพวงมาลัยฝั่งซ้าย คอนโซลกลางติดตั้งจอสัมผัสสำหรับแสดงผลระบบเครื่องเสียง ระบบนำทางผ่านดาวเทียม และเป็นกล้องมองหลังพร้อมเส้นกราฟิกกะระยะ ถัดลงมาเป็นชุดควบคุมเครื่องปรับอากาศ และคอนโซลเกียร์หน้าตาเรียบๆ | | พวง มาลัย 3 ก้านหุ้มหนังปรับได้ 4 ทิศทาง ที่ก้านฝั่งขวามีสวิตช์ควบคุมครูสคอนโทรล และที่ด้านล่างซ้ายของพวงมาลัยมีสวิตช์รับ-วางสายโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อผ่าน ทาง Bluetooth ที่เท้าแขนกลางเบาะหน้ามีช่องเสียบ USB เบาะผู้ขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง โอบกระชับกำลังเหมาะ แต่พนักพิงดันหลังมากไปนิด ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับมือ
แม้ ฐานล้อจะสั้นลงเล็กน้อย แต่จากการทดลองปรับเบาะหน้าให้พอเหมาะกับผู้ขับสูง 170 เซนติเมตร แล้วย้ายไปนั่งเบาะหลังฝั่งผู้ขับ พบว่าที่วางขายังเหลือเฟือ และสบายยิ่งขึ้นด้วยพื้นห้องโดยสารด้านหลังแบบเรียบ ส่วนพื้นที่ศีรษะทั้งด้านบนและด้านข้างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ใน รุ่น 1.8 ตกแต่งภายในด้วยสีทูโทนดำ-เบจ ดูโปร่งโล่งและหรูหราตอนซื้อใหม่ๆ แต่ถ้าใช้แบบไม่ระวังหรือขาดการดูแล จะโทรมค่อนข้างง่าย อย่างคันนี้เพิ่งเป็นรถทดสอบไม่นานก็เริ่มมีคราบและรอยด่างดำให้เห็นบ้าง แล้ว ถ้าอยากได้ภายในดำล้วน ต้องขยับไปเป็นรุ่น 2.0 เท่านั้น ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าในรุ่นปรับโฉมของเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี จะมีภายในสีเข้มหรือสีดำให้เลือกหรือไม่ | | | | เครื่องยนต์เดิม เพิ่มความประหยัดด้วย E85 ซีวิค ใหม่ทั้งรุ่น 1.8 และ 2.0 ใช้เครื่องยนต์และเกียร์เดิมแบบอัตโนมัติ 5 จังหวะ (มีรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะให้เลือกในรุ่น 1.8 S MT) เพิ่มความประหยัดขึ้นอีกนิดด้วยการปรับให้รองรับแก๊สโซฮอล์ E85 ออกเทน 91 ขึ้นไป โดยในรุ่นที่ทดลองขับครั้งนี้มีความจุ 1,798 ซีซี กำลังสูงสุด 104 กิโลวัตต์ หรือ 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 17.7 กก.-ม. ที่ 4,300 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
ทราบ มาว่าก่อนวันนัดรับรถ ทีมพีอาร์ของ ฮอนด้า ได้นำรถไปเติม E85 ให้เต็มถัง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้เติมน้ำมันอะไรไว้ และเหลือค้างในถังอีกเท่าไรก่อนเติม E85 และถึงแม้จะเติมเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่งล้วนๆ แต่เมื่อเปลี่ยนเชื้อเพลิง อัตราสิ้นเปลืองก็จะแตกต่างกันอยู่ดี เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าแก๊สโซฮอล์ที่ผสมเอธานอลมาก ก็จะใช้เชื้อเพลิงมากกว่าเพื่อให้ขับได้ระยะทางเท่ากัน
โชค ดีที่ผมเคยพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ท่านหนึ่งในเรื่องนี้ และได้สอนผมคำนวณหาความแตกต่างของอัตราสิ้นเปลืองแต่ละเชื้อเพลิง โดยเริ่มจากตัวเลขอัตราส่วนผสมระหว่าง น้ำมันเชื้อเพลิง กับ อากาศ หรือ A/F Ratio ที่ทำให้เครื่องยนต์มีการเผาไหม้สมบูรณ์และไอเสียสะอาด สำหรับแก๊สโซลีนล้วนๆ คือ 14.7:1 และสำหรับเอธานอลล้วนๆ คือ 9.0:1 จากนั้นก็นำตัวเลขมาคำนวณหา A/F Ratio ของแก๊สโซฮอล์ | | | | เมื่อ รู้ค่า A/F Ratio ของแต่ละเชื้อเพลิงแล้ว ก็คำนวณได้ว่าแต่ละเชื้อเพลิงมีอัตราสิ้นเปลืองแตกต่างกันแค่ไหน โดยนำ A/F Ratio มาหารกัน เช่น จะเปรียบเทียบระหว่าง E10 กับ E85 ก็นำ 14.13 หารด้วย 9.855 เท่ากับ 1.43 หมายความว่า E85 ใช้เชื้อเพลิงมากกว่า E10 43 เปอร์เซ็นต์ และใช้เชื้อเพลิงมากกว่า E20 37 เปอร์เซ็นต์ (13.56 หาร 9.855)
ถ้า เคยเติม E10 100 ลิตร เมื่อเปลี่ยนเป็น E85 จะต้องเติมเพิ่มเป็น 143 ลิตร เพื่อให้ขับได้ระยะทางเท่าเดิม หรือถ้าเคยเติม E20 100 ลิตร เมื่อเปลี่ยนเป็น E85 จะต้องเติมเพิ่มเป็น 137 ลิตร เพื่อให้ขับได้ระยะทางเท่าเดิม ในทางกลับกันถ้าเคยเติม E85 100 ลิตร เมื่อเปลี่ยนเป็น E10 (9.855 หาร 14.13 เท่ากับ 0.69) เติม 69 ลิตร ก็จะขับได้ระยะทางเท่า E85 100 ลิตร และถ้าเปลี่ยนเป็น E20 (9.855 หาร 13.56 เท่ากับ 0.72) เติม 72 ลิตรก็จะขับได้ระยะทางเท่า E85 100 ลิตร
เมื่อนำตัวเลข A/F Ratio ของแต่ละเชื้อเพลิง มาคำนวณร่วมกับราคาเชื้อเพลิง ก็จะได้ดัชนีเปรียบความสิ้นเปลือง 'ตัวเลขมาก' แสดงว่าสิ้นเปลืองมากกว่า | | เชื้อเพลิง | แก๊สโซฮอล์ (91) E10 | แก๊สโซฮอล์ (95) E20 | แก๊สโซฮอล์ (95) E85 | ราคา (22 กย. 55) | 35.18 | 34.18 | 21.98 | A/F Ratio เพื่อไอเสียสะอาด | 14.13 | 13.56 | 9.855 | ดัชนีเปรียบเทียบความสิ้นเปลือง | 2.48 | 2.52 | 2.23 | | | เพื่อ ให้เห็นความแตกต่างชัดขึ้น จึงนำตัวเลขการใช้เชื้อเพลิงและราคาเชื้อเพลิงมาคำนวณเป็นค่าใช้จ่าย เริ่มจาก E85 100 ลิตร เป็นเงิน 2,198 บาท ถ้าเปลี่ยนเป็น E10 (ออกเทน 91) ต้องเติม 69 ลิตร เป็นเงิน 2,427.42 บาท และถ้าเปลี่ยนเป็น E20 ต้องเติม 72 ลิตร เป็นเงิน 2,460.96 บาท สอดคล้องกับตัวเลขดัชนีเปรียบความสิ้นเปลืองซึ่งแสดงให้เห็นว่า ด้วยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ ปัจจุบัน เติม E85 จะเสียค่าเชื้อเพลิงน้อยที่สุด | | | | ส่วน การทดสอบอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงยังคงใช้วิธีการเดิม คือ ขับด้วยความเร็วนิ่งๆ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โชคดีที่รถรุ่นนี้มีครูสคอนโทรล จึงช่วยให้งานง่ายขึ้นอีกเยอะ แต่ก็มีบางช่วงที่เมื่อรถขึ้นเนินชันแล้วความเร็วเริ่มตก ระบบจะเร่งเครื่องยนต์ให้เอง ทำให้รอบไม่นิ่งในบางช่วง แต่เมื่อคิดว่าแลกกับความสะดวกสบายก็นับว่าคุ้ม สังเกตว่าช่วงก่อนจะถึงตัวเลข 12 กิโลเมตรต่อลิตร ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองจะขึ้นเร็วมาก จากนั้นจะเริ่มใช้ระยะทางมากขึ้นกว่าตัวเลขจะขยับขึ้น ขับสุดทางที่ใช้ทดสอบ ได้อัตราสิ้นเปลืองตามมาตรวัด 13.3 กิโลเมตรต่อลิตร
อัตรา เร่งทำเหมือนเดิม นำรถชิดขอบทางปิด ECON Mode เข้าเกียร์ D ใช้เท้าขวาเหยียบเบรก จากนั้นเมื่อเห็นว่าถนนโล่งก็ยกเท้าขวามาเหยียบคันเร่งมิด ค่อยๆ ประคองรถเข้าสู่เลนให้เป็นเส้นตรงมากที่สุด กดคันเร่งแช่ไว้จนกระทั่งสุดทางวิ่ง ตัวเลขด้านหลังเป็นของ ซีวิค FD ที่เคยทดสอบช่วงต้นปีที่แล้ว | | ความเร็ว (กม./ชม.) | เวลา (วินาที) | ระยะทาง (เมตร) | 10 | 0.66 / 0.56 | 0.84 / 0.90 | 20 | 1.34 / 1.28 | 3.71 / 3.94 | 30 | 2.19 / 2.19 | 9.61 / 10.27 | 40 | 3.05 / 3.12 | 17.97 / 19.25 | 50 | 3.89 / 4.02 | 28.53 / 30.62 | 60 | 4.77 / 4.98 | 41.92 / 45.23 | 70 | 6.00 / 6.43 | 64.37 / 71.45 | 80 | 7.40 / 7.91 | 93.37 / 102.41 | 90 | 8.82 / 9.46 | 127.10 / 139.00 | 100 | 10.32 / 11.08 | 166.51 / 181.69 | 110 | 12.12 / 13.11 | 219.25 / 241.21 | 120 | 14.54 / 15.73 | 296.75 / 324.74 | 130 | 17.22 / 18.57 | 389.85 / 423.64 | 140 | 20.03 / 21.65 | 495.30 / 539.10 | 150 | 23.19 / 25.51 | 622.38 / 694.71 | 160 | 26.74 / 29.10 | 775.62 / 849.47 | 170 | 32.41 / 33.91 | 1036.12 / 1070.23 | 180 | 43.23 / 44.91 | 1563.21 / 1605.12 | 190 | 61.12 / 66.21 | 2481.93 / 2703.81 | | ระยะทาง (เมตร) | เวลา (วินาที) | ความเร็ว (กม./ชม.) | 0-100 | 07.6 / 7.8 | 81.7 / 79.3 | 0-200 | 11.4 / 11.7 | 104.5 / 103.8 | 0-402 | 17.6 / 18.0 | 129.7 / 127.9 | 0-1000 | 31.8 / 32.4 | 168.5 / 167.2 | | ความเร็วสูงสุด | 194.4 / 194.2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง | | | | | รอบ เครื่องยนต์กวาดขึ้นอย่างต่อเนื่องและตัดที่ 6,700 รอบต่อนาทีก่อนเข้าขีดแดง ช่วงเปลี่ยนเกียร์รอบตกไปประมาณ 4,500-5,000 รอบต่อนาที แล้วจึงไล่กลับขึ้นมาใหม่ โดยในเกียร์ท้ายๆ จะเริ่มไล่รอบกลับได้ช้าลงซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ ความเร็วบนหน้าปัดแสดงที่ 202 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งต้องใช้เวลาและระยะทางลากกันยาวๆ ในการใช้งานจริงคงมีโอกาสได้ใช้ไม่บ่อยนัก ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 10 วินาทีนิดๆ นับว่าทันใจพอตัว แต่ก็ต้องลากรอบสูงจัด การสิ้นเปลืองและการสึกหรอย่อมสูงขึ้นด้วย ชุดมาตรวัดความเร็วแสดงผลเร็วกว่าเครื่องวัดอัตราเร่งที่รับสัญญาณจากดาว เทียมประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ | | ความเร็ว (กม./ชม.) | รอบต่อนาที | 80 | 1,500 | 90 | 1,700 | 100 | 1,900 | 110 | 2,100 | 120 | 2,300 | 130 | 2,500 | 140 | 2,700 | 150 | 2,900 | | | | | ช่วงล่างนุ่มพอใจ หนึบพอตัว ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ มีระยะฐานล้อสั้นลง และความกว้างช่วงล้อหน้า/หลังแคบลง เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม รวมทั้งเปลี่ยนระบบกันสะเทือนหลังจากปีกนก 2 ชั้นที่ใช้ในรถหลายรุ่นของ ฮอนด้า มาเป็นแบบมัลติลิงก์ แต่ก็ไม่ได้กระทบกับความนุ่มนวลหรือประสิทธิภาพการยึดถนนแต่อย่างใด การใช้งานทั่วไปยังคงดูดซับแรงกระแทกได้ดี ที่ความเร็วปานกลางก็ยังมีความมั่นคง กระทั่งถึงความเร็วประมาณ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป รู้สึกว่าด้านท้ายจะเลื้อยบ้างเล็กน้อย ไม่ถึงกับวูบวาบน่ากลัว พวงมาลัยที่ตอนทดสอบแบบกลุ่มรู้สึกว่าปรับความหนืดมาพอเหมาะแล้ว แต่เมื่อใช้ความเร็วสูงจัดก็ยังรู้สึกว่าเบาไปนิด ต้องใช้สมาธิและความบรรจงมากขึ้นในการบังคับทิศทาง
ระบบ เบรกดิสก์ 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน มาพร้อมตัวช่วยย่างเอบีเอสป้องกันล้อล็อก และอีบีดี กระจายแรงเบรกให้เหมาะสมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ น้ำหนักในการเหยียบแป้นเบรกสัมพันธ์กับแรงเบรก ขับครั้งแรกก็สามารถเบรกได้นุ่มนวล แป้นเบรกให้ความรู้สึกแข็งนิดๆ แต่ไม่ใช่เบรกด้านหรือเบรกทื่อ มีแรงเบรกเหลือเฟือสำหรับการดึงตัวรถจากความเร็วสูง
ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ รุ่นท๊อป 1.8 E AT Navi ราคา 964,000 บาท มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน เครื่องยนต์พื้นฐานเดิมที่ประหยัดอยู่แล้ว ช่วยลดค่าเชื้อเพลิงด้วยการรองรับ E85 ที่ราคาปัจจุบันยังให้ความประหยัดมากที่สุดในกลุ่มแก๊สโซฮอล์ ช่วงล่างเซตมากลางๆ รองรับการใช้งานทั่วไปหรือแอบสปอร์ตนิดๆ ภายในกว้างขวาง ภาพลักษณ์ดีและศูนย์บริการแพร่หลาย นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ
ขอบคุณ: บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เอื้อเฟื้อรถยนต์ในการทดสอบ | //www.motortrivia.com
Create Date : 02 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 2 ตุลาคม 2555 8:05:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 10836 Pageviews. |
|
|
|
|
| |