2014 Ferrari LaFerrari ซูเปอร์คาร์ไฮบริดที่แรงที่สุดในโลก
 | | | | | เรื่อง : ARIA 54 | Thursday, 7 March, 2013 4:39 PM | |  | | | | | |  นอกเหนือจากไฮเปอร์คาร์พลังไฮบริดอย่าง McLaren P1 แล้ว ไม่มีรถรุ่นไหนสร้างแรงสั่นสะเทือนใน 2013 เจนีวา มอเตอร์โชว์ ได้เท่า Ferrari LaFerrari รุ่นใหม่ล่าสุด พละกำลังมาแบบเขย่าขวัญ 800 + 163 แรงม้า HP อีกทั้งยังแรงแบบมีดีกรีที่มา... งานนี้เท่ากับว่า เฟอร์รารี่ สามารถสร้างความตื่นเต้นให้แฟนซูเปอร์คาร์ในระดับสูงสุดรับปี 2013
LaFerrari หรือ The Ferrari คือทายาทของสปอร์ท V12 อันเลื่องชื่ออย่าง Enzo Ferrari ข่าวคราวก่อนหน้านี้มีหลุดออกมาเป็นระยะด้วยชื่อ Ferrari 70 และใช้ชื่อโปรเจคท์ว่า F150 ตัวถังยังคงอยู่ในรูปแบบดั้งเดิม คือ 2 ที่นั่ง 'Berlinetta' หรือ Coupe ในภาษาอังกฤษ เครื่องยนต์วางเลย์เอาท์แบบ RMR วางกลาง/ขับหลัง ขนาดตัวมากับความยาว 4,720 มม. กว้าง 1,992 มม. สูงเพียง 1,116 มม. ฐานล้อ 2,665 มม. เทียบกับ Enzo Ferrari จะยาวกว่า +18 มม. กว้าง -43 มม. สูง -31 มม. และฐานล้อ +15 มม. น้ำหนักตัว 1,300 กก. (-65 กก.)
LaFerrari มากับระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด เฟอร์รารี่ เรียกระบบนี้ว่า HY-KERS system ซึ่งตรงกับข่าวที่บอสใหญ่ Luca di Montezemolo เคยว่าไว้ในปี 2011 จับคู่เครื่องยนต์ V12 ความจุ 6.2 ลิตร 800 แรงม้า HP กับมอเตอร์ไฟฟ้า 120 กิโลวัตต์ หรือเทียบเท่า 163 แรงม้า ระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรคสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เฟอร์รารี่ แจ้งว่าแม้แต่ในขณะที่เบรคจนกระทั่ง ABS ทำงาน ระบบอิเลคทรอนิคที่สั่งการก็ยังสามารถบังคับให้ระบบชาร์จไฟกลับทำงานได้ต่อเนื่อง | | | |
เมื่อแยกชุดขับเคลื่อนออกมาเป็น 2 ส่วน เครื่องยนต์จะให้กำลังสูงสุด 800 แรงม้า ที่ 9,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 71.3 กก.-ม. ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าผลิตกำลังสูงสุดได้ 120 กิโลวัตต์ (163 ม้า) แรงบิดสูงสุดคงที่ 20.3 กก.-ม. ทั้งระบบผลิตกำลังสูงสุดได้เท่ากับ 963 แรงม้า แรงบิด 91.7 กก.-ม. ที่ 9,250 รอบ/นาที น่าเสียดายที่อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียไม่สวยเท่ากับ McLaren P1 คือ 330 กรัม/กม.
ทว่านี่เป็นตัวเลขของเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนๆ แต่ถึงจะเอาตัวเลขทั้งระบบในขณะใช้งานแบบไฮบริด ก็ยังสูงกว่าอยู่ดี คือ 220 กรัม/กม. ในขณะที่ P1 น้อยกว่า 200 กรัม/กม. อย่างไรก็ดี ยังเป็นที่เข้าใจได้ว่าตัวเลขชุดนี้ของ LaFerrari มาจากการใช้งานเครื่องยนต์ V12 สูบ ในขณะที่ P1 ใช้เครื่อง V8 สูบนั่นเอง
ว่ากันตามตรงแล้วซูเปอร์คาร์ที่เสียเปรียบเพื่อนๆ ที่สุดในเวลานี้คือ Lamborghini แม้ Aventador รุ่นปี 2013 จะเพิ่ม 3 เทคโนโลยีประหยัดให้ใหม่ก็ตาม แต่ก็ยังมีตัวเลข CO2 สูงสุดที่ 370 กรัม/กม. จากผลงานของเครื่องยนต์ V12 ดังนั้น ลัมเบอร์กินี่ จึงเหลือทางเลือกเพียงทางเดียว คือขอสมรรถนะแรงบิดเพิ่มจากมอเตอร์ไฟฟ้า จึงจะสามารถตามเพื่อนๆ ได้ทัน
ผู้แปลเชื่อว่าม้าในมอเตอร์ไฟฟ้าไม่สำคัญเท่าแรงบิด เพราะแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยในเรื่องอัตราเร่งที่ดีในทุกช่วงความเร็ว (เรียกใช้ในบางจังหวะ) ไม่ใช่ม้าจากเครื่องยนต์สันดาปภายในโดดๆ ที่ลากน้ำหนัก 1 ตันกว่าพุ่งไปในทางตรง ซึ่งส่งผลให้ตัวเลข CO2 สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ระบบส่งกำลังของ LaFerrari เป็นแบบ DCT คลัทช์คู่ 7 จังหวะ การกระจายน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 41/59 กันสะเทือนหน้าปีกนกคู่ หลังมัลติ-ลิงค์ ล้อคู่หน้า 19" หลัง 20" สวมยางไฮเพอร์ฟอร์มานซ์ของ Pirelli รุ่น P-Zero หน้า 265/30 หลัง 345/30 หยุดม้าทั้งหมดด้วยชุดเบรคคาร์บอนเซรามิคของ Brembo ระบบแอโรไดนามิคของรถเป็นแบบแอคทีฟ ปรับอัตโนมัติตามเร็วรถ ทดสอบโดยใช้อุโมงค์ลมสำหรับพัฒนารถ F1 โดยเฉพาะ
ชุดตัวเลขสมรรถนะไม่ใส่ให้ก็คงไม่ได้ LaFerrari มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3 วินาที, 0-200 กม./ชม. 7 วินาที และ 0-300 กม./ชม. 15 วินาที ความสูงสุด 'มากกว่า' 350 กม./ชม.
เฟอร์รารี่ ยังไม่เผยกำหนดการจำหน่าย LaFerrari ที่แน่นอน แต่เบื้องต้นจะจำกัดจำนวนเอาไว้ที่ 499 คันเท่านั้น ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ประมาณ 1.3 ล้านยูโร หรือราว 50 ล้านบาท แพงกว่า McLaren P1 ราวๆ 11 ล้านบาท ถ้าคิดเป็นราคาจำหน่ายจริงในบ้านเรา... ผู้แปลไม่กล้านึกตามครับ
//www.motortrivia.com
| Create Date : 08 มีนาคม 2556 |
| Last Update : 8 มีนาคม 2556 20:54:23 น. |
|
0 comments
|
| Counter : 5130 Pageviews. |
|
 |
|
|
|
|
นอกเหนือจากไฮเปอร์คาร์พลังไฮบริดอย่าง 
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 53 คน [
