All Blog
ปางเสน่หา ตอนที่ 3 (ต่อ)



เช้าวันรุ่งขึ้นจุรีเล่าเรื่องตาซ้ายเห็นผีให้ทุกคนฟัง ทุกคนจึงนั่งคุยกันเรื่องนี้

“ด้วยความเคารพ แบบนี้แสดงว่าตาซ้ายตาเดียวที่เห็นผีได้ ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ”
“ก็ยังดีพอผีมาก็ปิดตาซ้าย แต่ผมดีกว่าเพราะมองไม่เห็นทั้ง 2 ตา”
“ในขณะที่ผมมองเห็นทั้ง 2 ตา”
“ฉันว่ามันอยู่ที่เขาต้องการให้เราเห็นหรือเปล่า”
ขณะที่ทุกคนพูด ตรีทศนั่งเงียบๆ โดยเตชิตคอยลอบมองสังเกตทุกอิริยาบถ
“คุณตรีทศล่ะครับ ว่ายังไง”
ตรีทศขยับตัวเล็กน้อย
“ผม ...ไม่ว่ายังไงหรอกครับ แต่ก็เห็นด้วยที่ศักดิ์กับอ้อยจะทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้”
“นึกได้แล้ว เราทำบุญทั้งรีสอร์ทเลยดีกว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะดีขึ้น” ศรีตรังบอก
“ด้วยความเคารพ ผมเห็นด้วยครับ”
“คุณจุคงต้องปิดตาซ้ายตลอด เพราะอันนั้นบรรดาดวงวิญญาณคงมารับส่วนบุญกับเพียบ”
จุรีทำหน้าสยอง
ศรีตรังตัดสินใจทำบุญรีสอร์ทหลังจากทำบุญเสร็จแล้วศรีตรังกับเตชิตจึงพาหลวงพ่อมาที่บ้านพักของเตนชิต พอหลวงพ่อเข้ามาในบ้านหลวงพ่อก็ต้องชะงักมองไปที่มุมหนึ่ง เตชิตและศรีตรังมองตามศรีตรังไม่เห็นอะไรแต่เตชิตเห็นเสียงหวานก้มกราบหลวงพ่อ
“เจริญพร”
ศรีตรังยกมือลูบแขนด้วยความรู้สึกเหมือนขนลุกขึ้นมาเฉยๆ
“ดิฉันไม่เคยคิดจะมาหลอกหลอน หรือทำให้ใครตกอกตกใจเลยเจ้าค่ะเพียงแค่อยากจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นกับดิฉันและทำไมถึงต้องติดอยู่ที่นี่”
“โยมพึ่งไม่ผิดคนหรอก เขาจะช่วยโยมได้”
เสียงหวานมองเตชิตแล้วยิ้มแจ่มใส
“ดิฉันก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
ตลอดเวลาศรีตรังได้แต่มองภาพหลวงพ่อพูดกับความว่างเปล่าด้วยความประหลาดใจแกมหวาดๆ
“โยมสบายใจได้ ก็อย่างที่อาตมาเคยบอกเขาไม่ได้มาให้ร้ายแน่นอน”
หลวงพ่อบอกเมื่อเดินออกมาข้างนอก
“แล้วทำไมเขาถึงได้หลอกศักดิ์ล่ะคะ”
“ไม่น่าจะใช่เขาหรอก”
“อาจจะเป็นเพื่อนของเสียงหวาน”
“หลวงพ่อช่วยถามเขาหน่อยได้ไหมคะว่าต้องการอะไร”
“ก็คงคล้ายๆ กับโยมในบ้านนี้เพียงแต่มีรายละเอียดคนละอย่าง”
“หลวงพ่อช่วยพวกเขาไม่ได้หรือครับ”
หลวงพ่อไม่ตอบเดินไปที่รถเงียบๆ เตชิตและศรีตรังสบตากันแว่บหนึ่งแล้วรีบตามไป เตชิตเปิดประตูด้านคู่คนขับให้หลวงพ่อขึ้นโดยศรีตรังขึ้นด้านหลัง เตชิตขึ้นนั่งคู่หลวงพ่อแล้วขับออกไป
“สบายใจขึ้นไหมลูก”
จุรีถามอ้อยเมื่อกลับมาบ้าน อ้อยยังมีสีหน้าเป็นกังวลอยู่
“ไม่รู้ซิคะ อ้อยอยากได้ของดีมากกว่า”
“ของดีอะไร”
“ก็พวกที่เอาไว้ปราบผีได้ ผีเห็นผีกลัว ประมาณนั้น”
“หลวงพ่อท่านไม่นิยมแจกของประเภทนั้น”
“อ้อยถึงคิดว่าไม่มีประโยชน์”
“อะลัดตัดต๊า แก...เอ๊ย ลูกไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผีสักหน่อย เราไม่ได้ทำอะไรเขา เขาก็ไม่ทำอะไรเรา ต่างคนต่างอยู่”
“แล้วทำไมถึงได้มาหลอกศักดิ์ล่ะคะถ้าต่างคนต่างอยู่จริง”
จุรีนิ่งคิดครู่หนึ่ง
“ศักดิ์อาจจะเคยรู้จักกับผู้หญิงคนนั้นก็ได้ดีไม่ดีคงเคยสนิทถึงขั้นเป็นแฟนกันด้วยซ้ำ”
อ้อยสะดุ้งตั้งแต่ประโยคแรก
“โอ๊ย ไม่จริงหรอกแม่”
“อะลัดตั๊ดต๊า รู้ได้ยังไง เราไปอยู่กับเขาตลอดเวลารึก็เปล่า เอ๊ะ หรือว่าอยู่”
อ้อยลุกขึ้นทำเป็นรำคาญแต่ที่จริงเพื่อกลบเกลื่อน
“จะไปอยู่ได้ไง ไปละ ไม่อยากพูดกับแม่แล้ว”
อ้อยพูดพลางเดินขึ้นบ้านไป จุรีมองตามฉุนๆ แล้วกลับมาคิดเรื่องเดิมต่อ
“มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่ๆ”
เตชิตขับรถกลับมาจอดหน้าบ้านพักหลังจากส่งหลวงพ่อแล้ว เตชิตลงจากรถเดินเข้าบ้าน พลางส่งเสียงดังเรียกเสียงหวาน
“เสียงหวาน”
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นทันทีตรงหน้า เตชิตหยุดไม่ทันก้าวทะลุผ่านไป
“เฮ้ย”
เตชิตร้องลั่น เสียงหวานหน้าคะมำ
“ว้าย”
เตชิตค่อยๆ หันกลับมา หน้าตาบอกว่ากำลังหงุดหงิดเสียงหวานถึงกับหน้าจ๋อย เสียงอ่อยๆ
“ขอโทษค่ะ”
“บอกไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าทำแบบผี”
“ก็คุณบอกว่าฉันเป็นผีนี่คะ” เสียงหวานบอกเสียงเครือน้ำตาเริ่มคลอ เตชิตจึงเสียงอ่อนลง
“ผมขอโทษ... ที่เรียกคุณก็เพราะจะบอกว่าผมจะพาคุณนั่งรถไปสถานที่ต่างๆ ที่ควรจะไปในปากช่อง เผื่อคุณจะจำอะไรได้บ้าง”
“ขอบคุณมากค่ะ จะไปเมื่อไหร่คะ”
เสียงหวานถามอย่างดีใจ
“เดี๋ยวนี้เลย ผมปรึกษากับศรีตรังแล้ว”
“งั้นไปเลยค่ะ”
เสียงหวานแวบผ่านเตชิตออกไป เตชิตเซไปเล็กน้อยแล้วเกาหัวเซ็งๆ ก่อนจะเดินตามออกไป
เตชิตปิดประตูแล้วเดินไปที่รถซึ่งเสียงหวานขึ้นไปนั่งรออยู่แล้วด้วยสีหน้าแจ่มใส
“หน้าระรื่นเชียวนะ”
“ก็ฉันดีใจนี่คะ”
เตชิตขับรถออกไป
เตชิตขับรถพาเสวียงหวานไปตามสถานที่ต่างๆ ในปากช่องแต่เสียงหวานก็ยังจะอะไรไม่ได้อยู่ดี เตชิตจึงแวะมาหาศรีตรังที่บ้าน
“จำไม่ได้เลยเรอะ”
ศรีตรังย้อนถาม
“ค่ะ”
เสียงหวานตอบขณะที่เตส่ายหน้าประมาณ “จำไม่ได้” เตชิตหันมามองเสียงหวาน
“ไม่ต้องตอบ...เพื่อนผมเขาไม่เห็นคุณหรอก”
ศรีตรังเริ่มจะเลิ่กลั่ก
“คุณหนูเผือกเสียงหวานอยู่ที่นี่เรอะ”
“เออ นั่งอยู่ทางขวามือของแก”
“เฮ้ย”
ศรีตรังกระโดดกอดเตชิตหลับตาปี๋ เสียงหวานห่อปากทำตาโต เตชิตรีบจับตัวศรีตรังออกห่างๆ
“ไอ้ศรี ใช้ไม้นี้กับฉันไม่มีทาง Work หรอก”
ศรีตรังคิดครู่หนึ่งแล้วเบิกตากว้าง จับเตชิตขึ้นเข่าทันที
“ไอ้เต บังอาจ นี่แน่ะ นี่แน่ะ”
“โอ๊ย ยอมแล้ว ยอมแล้ว”
เสียงหวานหัวเราะคิกคัก
“หน่อยแน่ะ คิดว่าฉันพิศวาสแกนักเรอะให้ฟรีแถมบ้านกับรถยังไม่เอาเลย”
“ใครจะไปรู้” เตชิตบอกเสียงอ่อยตัวงอลุกขึ้นมานั่ง
“รูปที่แกไปให้เพื่อนวาดเสร็จหรือยัง” ศรีตรังถามอย่างเป็นการเป็นงาน
“ป่านนี้คงเสร็จแล้วมั้ง”
“แล้วทำไมยังไม่ไปเอา”
“ลืม...แล้วก็มัวแต่ยุ่งเรื่องนั้นเรื่องนี้”
“งั้นไปเอามาได้แล้วจะได้ให้พวกคนงานดู ไปพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกันฉันจะไปด้วย”
“นั่นแน่ จะแวะไปหาพอลละซี้”
“ไอ้บ้า”
ศรีตรังผุดลุกขึ้นทันที เตชิตขยับหนีไปที่ประตู
“ไม่ได้กินเสียละ”
ศรีตรังขยับจะเข้าไปหาอีก เตชิตวิ่งออกไปอย่างว่องไว
ส่วนที่บ้านศักดิ์สิทธิ์ ขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ที่หน้าต่างดวงตามองออกไปข้างนอก พงษ์ศักดิ์เดินเข้ามามองดูศักดิ์สิทธิ์เงียบๆ ครู่หนึ่ง...ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจหันกลับมาแล้วสะดุ้งด้วยความตกใจ
“พ่อ โฮ้ยตกใจหมด”
“แกจะขวัญอ่อนอะไรกันนักหนา”
“ก็พ่อไม่ใช่ผมนี่ พ่อไม่ได้เจอ “มัน”
“คิดดูอีกทีก็ดีเหมือนกัน แกจะได้ไม่ไปนัดพบใครดึกๆ ดื่นๆ อีก” ศักดิ์สิทธิ์นิ่งไป “แกจริงจังกับอ้อยหรือเปล่า”
อ้อยเดินมาพร้อมปิ่นโตอาหาร ได้ยินพอดีจึงแอบฟัง
“พ่อถามทำไมครับ”
“ถ้าหากไม่จริงจังก็อย่าไปหลอกเขา พ่อกับคุณจุรีจะมองหน้ากันไม่ติด”
“อ้อยไม่ใช่ลูกแท้ๆ ป้าจุไม่ใช่หรือครับ”
“แท้ไม่แท้ คุณจุแกเลี้ยงมาก็ต้องรักเหมือนลูกนั่นแหละแต่ถึงไม่ใช่ลูกคุณจุแกก็ไม่ควรไปหลอกเขา” อ้อยฟังอย่างตั้งใจ “ถ้าชอบพอกันจริงก็จะได้ทำตามประเพณีให้เป็นเรื่องเป็นราว”
ศักดิ์สิทธิ์เบ้ปาก
“ผู้หญิงอย่างนั้น ไม่มีใครเขาเอาจริงหรอกพ่อ”
“เฮ้ย”
ใบหน้าอ้อยเต็มไปด้วยความโกรธแค้นมือกำปิ่นโตแน่นจนเกร็ง
“มันใจง่ายจะตาย เดี๋ยวให้ท่าคนนั้น เดี๋ยวไปเอาคนโน้น ผู้ชายหน้าตาท่าทางดีๆ โดนหมด ไม่เชื่อพ่อก็ไปถามคุณตรีทศดู ล่าสุดนี่ก็เพื่อนนายศรีตรัง”
“พูดแบบนี้ผู้หญิงเขาเสียหายนะเว้ย”
“ก็มันจริงนี่พ่อ แค่เล่นๆ น่ะพอรับได้แต่ให้จริงจังไม่ไหวแน่”
อ้อยออกมาจากบริเวณนั้นเงียบๆ สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“แกไม่รู้จักฉันเสียแล้ว ไอ้ศักดิ์สิทธิ์”
อ้อยพึมพำออกมาอย่างแค้นใจขณะถีบจักรยานกลับบ้าน
เย็นวันเตชิตโทรศัพท์หาธงเพื่อถามเรื่องรูป
“จ่า รูปที่หมวดพิธานวาดเสร็จเรียบร้อยหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ แฟนผู้กองหรือครับ สวยยังกับดารา ยิ่งผู้หมวดให้สีสันยิ่งสวย”
“จ่าช่วยเก็บไว้ให้ด้วย พรุ่งนี้ฉันจะไปเอา”
“ได้ครับ”
“อะลัดตั๊ดต๊า”
“แค่นี้ละ ขอบใจนะจ่า”
เตชิตปิดโทรศัพท์ แล้วเดินไปเปิดประตูชะงักมองหน้าจุรีเขม็ง เพราะจุรีถือปิ่นโตอาหาร นัยน์ตาข้างซ้ายปิดพลาสเตอร์
“คุณสมแกบอกว่า นัยน์ตาข้างซ้ายของป้ามีซิกส์เซ้นส์ค่ะก็เลยต้องปิดเอาไว้ กลัวเห็นคุณหนูเผือกน่ะคะ”
“เขาไม่อยู่หรอกป้า จะเข้ามาไหม”
“ไม่ละค่ะ ป้าเอากับข้าวมาส่งแค่นี้แหละ...เห็นคุณหนูศรีตรังบอกว่า เย็นนี้คุณจะทานข้าวที่นี่”
“ขอบใจนะป้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าไปละ”
จุรีส่งปิ่นโตให้แล้วเดินออกไป เตชิตหิ้วปิ่นโตเข้ามาวาง
คืนนั้นขณะที่ศรีตรังนอนหลับจู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ศรีตรังขณะค่อยๆ เอื้อมมือคลำไปหยิบมารับทั้งที่ยังหลับตา
“ใครฮึ”
เตชิตเดินกลับไปกลับมาช้าๆ ในห้องนอน
“ศรี แกนอนหรือยัง”
ศรีตรังลุกขึ้นนั่ง
“อ้อ แกเองเรอะ ไอ้เต ไอ้ ...”
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งด่า หยุดก่อนเดี๋ยวจะลืมพรุ่งนี้แกช่วยเตรียมแฟ้มรูปภาพคนงานไว้ให้ฉันหน่อย ฉัน...”
“เดี๋ยวๆๆๆๆๆไอ้เต แกโทร.มาเรื่องนี้ตอน 2 ยามเนี่ยนะ”
“ฉันอยากรู้ว่า ในระหว่าง 2 ปีมานี่ มีใครบ้างที่หายไป”
“เรื่องนี้คุณตรีทศเป็นคนรับผิดชอบ ฉันไม่เกี่ยวถ้าอยากได้ก็ไปขอเอาเอง”
“ใช้เส้นแกไม่ได้เรอะ”
“ที่นี่ไม่มีเส้น แกไปหาเหตุผลกับคุณตรีทศเอาเอง”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์แล้วลงนอน เตชิตวางโทรศัพท์ลง
“เฮอะ ไม่มีเส้น น่าเชื่อร้อกที่ไหนๆ เขาก็มีเส้นกันทั้งนั้น”
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านศรีตรัง จุรีเดินออกมาโดยปิดตาซ้ายเช่นเคย จุรียกกาแฟมาให้เตพร้อมหนังสือพิมพ์โดยที่เสียงหวานนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ
“รอเดี๋ยวนะคะ คุณหนูเพิ่งจะตื่นค่ะทานกาแฟก่อนค่ะ”
“ขอบคุณครับ ถ้าเพิ่งตื่นก็คงไม่ใช่รอเดี๋ยวหรอก”
“อะลัดตั๊ดต๊า พูดอีกก็ถูกอีก ป้าไปเตรียมอาหารเช้าก่อนนะคะ”
“เชิญครับ”
จุรีเดินกลับเข้าไป เตชิตหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่าน เสียงหวานชะโงกมองบ้างแล้วเบิกตากว้าง
“ฉันรู้จักผู้หญิงคนนี้ค่ะ”
เตชิตปรายตามองเหมือนจะค้อน
“ถามถึงใครไม่รู้จักสักคน แต่ดั๊นจำดาราได้”
“เขาชื่อชล ...ชลอะไรน้า...อ๋อ ชลธิดาค่ะ”
เตชิตหัวเราะลั่นๆ ยื่นให้เสียงหวานดูใกล้ๆ ซึ่งเป็นภาพเจนจิราใส่แว่นดำบนโรงพัก
“ชลธิดาอะไรของคุณ เขาชื่อเจนจิราเป็นนางเอกละคร โดนจับฐานเมาแล้วขับ... เมาแล้วซ่าส์ เจนจิรา เกรย์แฮมป์ โดนข้อหาเมาแล้วขับหลังพารถสปอร์ตคู่ใจแหกด่านตรวจแอลกอฮอล์ เจ้าตัวปฏิเสธลั่นว่าถูกตำรวจกลั่นแกล้งและจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
“ฉันรู้จักจริงๆ นะคะ เขาไม่ได้เป็นลูกครึ่ง ไม่ใช่ชื่อเจนจิรา เราไปหาผู้หญิงคนนี้กันเถอะค่ะ เธอต้องรู้ว่าฉันเป็นใครแน่ๆ” เตชิตมองเสียงหวานอย่างเพ่งพิศ เสียงหวานมีสีหน้ามั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง “ฉันจำไม่ผิดจริงๆ ค่ะ”
ศรีตรังได้โทรศัพท์เตชิตขณะกำลังจะเปิดประตูห้อง
“อะไรนะ”
ขณะนั้นเตชิตกำลังเลี้ยวรถออกจากรีสอร์ท
“ฉันมีธุระด่วน ขอโทษด้วย”
“ไอ้บ้า”
“เอ้ย เสียงหวานเขาเกิดจำดาราคนนึงได้ว่าเขาเคยรู้จัก ฉันเลยรีบลงไป”
“แกแน่ใจนะ เพราะถ้ารู้จักดารา คุณหนูเผือกเสียงหวานก็อาจจะเป็นดารากับเขาเหมือนกัน แหม แกน่าจะรอฉันหน่อย”
“ขอโทษจริงๆ ว่ะ อ้อ ฉันขอยืมรถแกมานะ”
“เออ เออ”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์แล้วเปิดประตูออกไป
ศรีตรังเดินออกมาแล้วตรงมาที่โต๊ะซึ่งมีหนังสือพิมพ์พับวางอยู่ โดยมีแจกันดอกไม้วางทับอยู่ ศรีตรังยกแจกันออกหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดู ศรีตรังนิ่วหน้าเมื่อเห็นข่าวเจนจิรา
“รู้จักเจนจิราเนี่ยนะ”
ทางด้านเตชิตหลังจากขับรถมาได้สักพักเตชิตเหลือบมองเสียงหวานซึ่งนั่งสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนกำลังใช้ความคิดหนัก
“ขอถามอีกครั้ง คุณยังแน่ใจนะ”
เสียงหวานส่ายหน้าน้อยๆ เตชิตถอนใจเฮือกแล้วขับจอดข้างทางทันที เสียงหวานมองด้วยสีหน้าเหยๆ
“เดี๋ยว ผมอุตส่าห์ขับรถพาคุณมา โดยยอมถูกเพื่อนด่าฐานเบี้ยวนัดเพื่อที่จะฟังคุณบอกว่าคุณจำไม่ได้ ทุกอย่างเป็นการเข้าใจผิดงั้นเรอะ”
“ก็... ตอนเห็นทีแรก ความรู้สึกมันบอกทันทีว่ารู้จัก แต่พอมาคิดๆ ดู ฉันกลับจำเรื่องราวเกี่ยวกับเธอไม่ได้เลย ซึ่งถ้าหากเราเคยเป็นเพื่อนกันจริงมันก็น่าจะจำได้บ้าง คุณว่าจริงมั้ยคะ”
“จริง”
เตชิตกระแทกเสียงตอบ เสียงหวานเสียงเครือ
“คุณโกรธฉัน”
“อ้อ แล้วจะให้ผมไชโยโห่ร้องด้วยความปลาบปลื้มยังงั้นเรอะ”
เสียงหวานน้ำตาไหลขณะพนมมือไหว้
“ขอโทษค่ะ” เตชิตชำเลืองมองแล้วถอนใจเฮือก ทั้งสองนิ่งกันไปครู่หนึ่งแล้วเตชิตก็สตาร์ทรถ
“จะกลับหรือคะ”
“ไม่ ผมจะไปเอารูปคุณที่ให้เพื่อนตำรวจวาด”
เตชิตบอกแล้วขับรถออกไป
“ดีค่ะ จะได้ไม่เสียเที่ยว”
เสียงหวานรีบบอกอย่างเอาใจขณะที่เตชิตยังหน้าบึ้งอยู่
“กรุณานั่งเงียบๆ อย่าออกความเห็นอะไรทั้งนั้น”
เสียงหวานเอนหลังพิงพนัก หน้าจ๋อยๆ
ทางด้านศรีตรังหลังจากอ่านข่าวเจนจิราเสร็จแล้วศรีตรังก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาตรีทศ
“คุณตรีทศ ... นี่ฉันเองนะคะ คุณช่วยให้ใครเอาแฟ้มพนักงานของเราในระยะ2ปีมาให้หน่อยได้ไหมคะ ค่ะ...ขอบคุณมากค่ะ”
ศรีตรังวางโทรศัพท์ลงเอนตัวพิงพนัก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เตชิตยังคงขับรถมาเรื่อยๆ เสียงหวานเหลือบมองเตชิตเป็นระยะๆ ด้วยสีหน้าสำนึกผิดเต็มที่
เตชิตมองตรงไปข้างหน้าอย่างเคร่งขรึม เสียงหวานลอบถอนใจแล้วเบือนหน้ามองออกไปข้างทาง...เตชิตขับรถมาเรื่อยๆ แล้วเหลือบมองเสียงหวานเป็นระยะ เสียงหวานยังคงเบือนหน้ามองข้างทางเพื่อซ่อนความน้อยใจและเสียใจ แต่แล้วเสียงหวานก็ต้องชะงักเมื่อเตชิตขับผ่านบริเวณหนึ่ง เสียงหวานเบิกตากว้าง เหมือนมีบางอย่างแว่บเข้ามาในความทรงจำ
“จอด! จอด!จอดหน่อย”
เตชิตเบือนหน้ามามอง เสียงหวานหายออกไปจากรถด้วยความไม่ทันใจ เตชิตเบรคพรืดทำให้รถที่ตามมาเบรคอย่างกระชั้นชิดแล้วบีบแตรด่า เตชิตเปิดหน้าต่างชะโงกหน้าออกไปขอโทษรถคันนั้นขับออกมา โดยไม่วายหันมาด่าอีกครั้งตอนผ่าน เตชิตเปิดไฟขอทางแล้วขับเข้าไปจอดแล้วมองเสียงหวานที่กำลังเดินก้มๆ เงยๆ เหมือนจะหาอะไรบางอย่าง
“ให้มันได้อย่างนั้นซิ”
เตชิตเปิดประตูรถตามลงไปแล้วยืนมองเสียงกวานอย่างแปลกใจ เสียงหวานกำลังเดินก้มมองไปตามพื้นอย่างจดจ่อเหมือนพยายามค้นหาบางอย่าง
“หาอะไรน่ะ”
เตชิตถามอย่างอดรนทนไม่ได้ เสียงหวานไม่ตอบเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ รถที่ผ่านไปมาบริเวณนั้น บางคันหยุดมองท่าทางของเตชิตที่เดินพูดอยู่คนเดียวอย่างแปลกใจ...เสียงหวานเดินลึกไปเรื่อยๆจนถึงเพิงไม้เล็กๆ เตชิตยังคงเดินตามเสียงหวานมาเรื่อยๆ เสียงหวานเดินเข้าไปในพงหญ้า สายตามองสอดส่าย
“กำลังหาอะไร”
“ต้องอยู่แถวนี้ซิ”
เสียงหวานบ่นเหมือนไม่ได้ยินเตชิต เตชิตก้าวมายืนตรงหน้า
“กำลังหาอะไร ... ผมจะได้ช่วยหา”
เสียงหวานเงยหน้าขึ้นมองเตชิต
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เตชิตค่อยๆ หยิบของบางอย่างขึ้นมาแล้วปัดดินออก จนเห็นรางๆ ว่าเป็นพระเครื่อง
“พระหรือคะ”
เสียงหวานเอื้อมมือมาคว้า แต่ก็วืดไปด้วยเสียงหวานเป็นเพียงวิญญาณ เสียงหวานหน้าสลด แล้วรีบเดินตามเตชิตซึ่งย้อนกลับมาที่รถ
เตชิตก้าวยาวๆ มาถึงรถ เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นรออยู่แล้ว เตชิตส่ายหน้าแล้วเปิดประตูรถออกหยิบขวดน้ำมาเปิดแล้วจัดการล้างจนเห็นพระเครื่องชัดขึ้น ซึ่งเป็นพระเครื่องเนื้อดินสีมอยปางเปิดโลก เลี่ยมไว้ในกรอบพลาสติค
“พระเครื่องจริงๆ ด้วย”
“ของฉัน พระเครื่องนี่เป็นของฉัน”
“แล้วมาอยู่แถวนี้ได้ยังไง”
“ไม่ทราบค่ะ รู้แต่ว่าท่านต้องสำคัญมากๆ สำหรับฉัน และคงอยู่กับฉันมาตลอดชีวิต”
เตชิตหันไปมองพงหญ้าเบื้องหลัง
“ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าคุณเข้าไปทำอะไรในที่รกร้างแบบนั้น...” เตชิตเบือนหน้ากลับมามองเสียงหวาน “นอกจากพระเครื่องนี่แล้ว คุณจำอะไรได้อีก”
เสียงหวานมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“ฉันจำไม่ได้หรอกค่ะ แต่มันมีแวบๆ เข้ามาว่าตอนนั้นยังไม่มีเพิง มีแต่ทุ่งโล่ง แล้วก็เสาไฟฟ้า”
“ขึ้นรถเถอะ”
เตชิตอ้อมเดินมาขึ้นรถซึ่งปรากฏว่าเสียงหวานขึ้นไปนั่งก่อนแล้ว เตชิตทำท่าจะพูดแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ขับรถออกไปเงียบๆ
รถเตชิตแล่นมาเรื่อยๆ เสียงหวานเริ่มแปลกใจมองสองข้างทางที่ผ่านแล้วหันมามองเตชิต
“นี่ไม่ใช่ทางกลับไร่สุขศรีตรังนี่คะ คุณจะไปไหน”
“กลับบ้าน”
“บ้านใคร”
เตชิตเหลือบมองเสียงหวานแว่บหนึ่ง
“บ้านผม”
“ทำไมคะ” เสียงหวานทำหน้างง
“ก็ผมจะกลับบ้านผมน่ะ ไม่เห็นจะต้องถาม”
เสียงหวานขยับจะถาม แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อน เตชิตกดรับ
“ฮัลโหล ...เออ ...ว่าไง”
“หายไปไหนมาฮึ ฉันโทร.ตั้งนาน”
“อ๋อ ลงไปทำธุระน่ะ โทรศัพท์อยู่ในรถ”
“ฉันมีอะไรบางอย่างจะให้แกดู”
“อะไร”
“รูปคุณตรีทศกับผู้หญิงคนนึง อาจจะเป็นเกษรินก็ได้”
“เออ แกเก็บไว้ก่อน แล้วฉันจะกลับไปดู”
“แล้วนี่แกอยู่ที่ไหน”
“กำลังจะกลับบ้าน อย่าเพิ่งซักแล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง”
เตชิตวางสายไป ศรีตรังปิดโทรศัพท์แล้วยกรูปตรัทศขึ้นมาดู
เมื่อมาถึงบ้านเตชิตลงจากรถไปเปิดกุญแจประตูบ้าน เสียงหวานขยับตัวชะเง้อมอง เหมือนเห็นใครสักคนแล้วส่งยิ้มให้ เตชิตกลับมาพอดีแล้วมองอย่างแปลกใจ
“ยิ้มกับใครน่ะ”
เสียงหวานไม่ตอบ เตชิตมองขึ้นไปที่ระเบียงตามสายตาเสียงหวานแต่บริเวณระเบียงนั้นว่างเปล่า
เตชิตจึงปิดประตูรถแล้วขับรถเข้าบ้าน
เตชิตเปิดประตูเดินนำเสียงหวานเข้ามาในบ้าน เสียงหวานมองไปโดยรอบขณะที่เตชิตออกตัว
“ฝุ่นเยอะหน่อย ไม่ได้อยู่หลายวันเลยไม่มีใครทำความสะอาด ผมจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย คุณจะดูทีวีไหม”
“ค่ะ”

เตชิตเดินไปเปิดทีวีแล้วเดินขึ้นไปข้างบน

เตเชิตปิดประตูเดินเข้ามาในห้องแล้วเดินมาเปิดตู้เสื้อผ้า ระหว่างนั้นลูกสาวเตชิตเดินเข้ามาในห้อง

“พ่อคะ พ่อพาผู้หญิงที่ไหนมาด้วยค่ะ” เด็กสาวเตชิตถามเตชิตหันมา ความจริงมองประตูที่เปิดทิ้งไว้ “พ่อไม่รักหนูแล้วใช่ไหม”
เด็กหญิงหันหลังกลับวิ่งออกไป เตชิตเดินตรงมาแล้วชะโงกมองทำท่าเหมือนจะลงไป แต่แล้วก็
เปลี่ยนใจปิดประตูห้อง
เสียงหวานนั่งดูทีวีเพลินๆ เด็กหญิงเดินเข้ามายืนมองเสียงหวานนิ่ง เสียงหวานรู้สึกตัวหันไปมองแล้วสะดุ้ง
“อ้าว หนู”
เด็กหญิงยังคงมองเขม็ง เสียงหวานมองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสขณะที่เด็กหญิงดูแปลกใจ
“หนูมองเห็นน้าด้วยหรือ”
“คุณน้านั่นแหละมองเห็นหนูเหรอ”
“อ้าว ทำไมถามยังงั้นล่ะจ้ะ”
“ทีคุณน้ายังถามหนูเลย”
เสียงหวานเริ่มจะมีสีหน้าหวาดๆ ขณะมองเด็กหญิงอย่างเพ่งพิศ เด็กหญิงเอียงคอมองตอบ เสียงหวานค่อยๆ ลุกขึ้นถอยหลังไป 2-3 ก้าว
“หนู...หนูมาจากไหน...แล้ว...แล้วพ่อแม่หนูล่ะ”
“หนูอยู่ที่นี่ แม่ไปสวรรค์แล้ว พ่อเตชิตก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่ถึงอยู่ก็ไม่เคยพูดกับหนูเลย ทำเหมือนกับไม่เห็นหนู” .
เสียงหวานยกมือทาบอกดวงตามองเด็กหญิงหวาดๆ
ขณะนั้นเตชิตนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินฮัมเพลงออกมาจากห้องน้ำแต่ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงหวานปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าด้วยหน้าตาตื่น
“เฮ้ย”
“คุณเตชิต”
“ทำไมหน้าตาตื่นอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้น”
“ละ ...ละ...ลูก...ลูก...คุณ”
“อะไรนะ”
“อยู่... อยู่...ข้างล่าง”
“ใครอยู่ข้างล่าง พูดให้รู้เรื่องซิ”
“ละ...ลูก...ลูกคุณ...อยู่...อยู่ข้างล่างค่ะ”
“เฮ้ย ลูกที่ไหน ผมไม่มีลูก”
เตชิตชะงักเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มองเสียงหวานเขม็งราวกับจะถามบางอย่าง
เสียงหวานพยักหน้าช้าๆ กลืนน้ำลาย
เตชิตค่อยๆ ก้าวลงบันไดมาโดยหลังแนบราวบันได มีเสียงหวานตามลงมาติดๆ ในลักษณะเดียวกัน ทั้งสองลงบันไดมาจนถึงกลางห้องรับแขก
“ไหน อยู่ตรงไหน”
เตชิตถามเสียงหวานเบาๆ
“ไป ไปแล้วค่ะ” เสียงหวานบอกเสียงเบาเช่นกัน
“คุณ แน่ใจนะ”
“ค่ะ”
เตชิตเดินมานั่งบนโซฟา เสียงหวานมานั่งตรงข้าม มองเตชิตเต็มตา แสงสว่างขาวเรืองค่อยๆกลายเป็นสีชมพูเช่นเดียวกับใบหน้าที่เริ่มเขินอาย เตชิตมองเสียงอย่างแปลกใจ เสียงหวานหรุบตาลง
เตชิตรู้สึกตัวก้มมองตัวเองแล้วยิ้มนิดๆ
“อายแทนผมหรือ” เสียงหวานก้มหน้างุดลงไปอีก “งั้นเดี๋ยวผมขึ้นไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน”
เตชิตลุกเดินขึ้นข้างบน เสียงหวานเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ อย่างเริ่มหวาดๆ ขึ้นมาใหม่
เตเชิตเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นเสียงหวานยืนรออยู่ก่อนแล้ว เตชิตอ้าปากจะพูดแต่เสียงพูดขึ้นก่อน
“ลูกคุณเป็นผี แล้วฉันก็กลัวผี”
“กลัวมากกว่าเห็นผมโป๊หรือ”
แสงที่หน้าเสียงหวานเป็นสีชมพูจัด แล้วหันหลังให้
“ฉันไม่มองหรอกค่ะ คุณรีบใส่เสื้อผ้าก็แล้วกัน”
เตชิตหยิบกางเกงออกมา
“อย่าหันมานะ ตาเป็นกุ้งยิงไม่รู้ด้วย”
เสียงหวานเม้มปากทั้งฉุนและอาย
“ยังกับอยากเห็นนักนี่... เกิดอะไรขึ้นกับภรรยาแล้วก็ลูกคุณคะ”
“ภรรยาผมถูกคนเมายาบ้าแทงตายพร้อมกับลูกในท้อง...”
เสียงหวานสะดุ้งทำท่าจะหันกลับมา แล้วนึกได้ยืนนิ่งเหมือนเดิม
“ฉันเสียใจด้วยนะคะ”
“หันมาได้แล้ว”
“แน่ใจนะคะ” เตชิตถอนใจเฮือกหงุดหงิด เสียงหวานค่อยๆ หันมา แล้วสีหน้าโล่งใจเมื่อเห็นเตชิตแต่งตัวเรียบร้อยแล้วจริง “งั้นออกไปข้างนอกเถอะค่ะ”
เสียงหวานเดินไปที่ประตู เตชิตก้าวไปคว้าข้อมือเสียงหวานไว้ แต่วืดตามเคยโดยที่เสียงหวานเองก็ไม่รู้ตัว เดินผ่านประตูออกไป เตชิตเดินชนโครมแล้วเกาหัวหงุดหงิดก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป
เตชิตเดินออกมาเปิดประตูรั้วแล้วเดินไปปิดกุญแจประตู เตชิตเดินย้อนมาขึ้นรถขับออกไปแล้ว
ลงมาเปิดกุญแจประตูรั้วอีกทีก่อนจะขึ้นรถขับออกไป ระหว่างนั้นเตชิตได้โทราศัพท์หาธง
“จ่าธง กลับบ้านหรือยัง เออ...ดี...ฉันกำลังจะไปหา เดี๋ยวพบกัน”
เตชิตปิดโทรศัพท์ แล้วหันมาชำเลืองมองด้านข้างแว่บหนึ่งด้วยคิดว่าเสียงหวานนั่งอยู่ด้วย
“นั่งเงียบเชียวนะ”
เตชิตยิ้มนิดๆ แต่ทุกอย่างยังเงียบสนิท
“ดี รู้จักนั่งเงียบๆ เสียบ้าง ขอให้เงียบอย่างนี้ให้ตลอดรอดฝั่งนะ”
ทุกอย่างเงียบอีก
“สบายหูดีจัง”
เตชิตปรายตามองยิ้มๆ ราวกับเสียงหวานนั่งมาด้วย
ขณะนั้นเสียงหวานยังอยู่ที่บ้านเตชิต เสียงหวานสูดลมหายใจยาวเหมือนจะข่มความกลัว แล้วส่งเสียงเรียกเบาๆ ขณะมองไปโดยรอบ
“หนู ...หนูจ๋า”
เสียงหวานขยับออกเดินช้าๆ
“หนู...หนู...น้ารู้นะว่า หนูอยู่ในบ้านนี้”
ขณะเสียงหวานขยับเดินแล้วมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
“หนู...” เสียงหวานหันกลับมา แล้วสะดุ้งเฮือก “ว้าย”
เสียงหวานร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นเด็กหญิงนั่งอยู่ที่บันได จับจ้องมองเสียงหวานตาแป๋ว สียงหวานถอนใจเฮือก
“มานั่งเงียบๆ ใจหายหมด”
“น้ากลัวผีเหรอครับ”
“น้าตกใจนะจ้ะ”
เด็กหญิงนิ่งไปครู่หนึ่ง
“น้าเป็นแฟนพ่อเหรอ”
คำถามนี้ทำให้เสียงหวานถึงกับสะดุ้ง
“อุ๊ย เปล่านะ”
แสงที่หน้าเสียงหวานค่อยๆ กลายเป็นสีชมพู เด็กหญิงมองอย่างแปลกใจ
“น้าหน้าสีชมพู เลย”
“น้าเป็นเพื่อนคุณพ่อหนู คุณพ่อหนูช่วยน้าทำอะไรนิดหน่อย”
“ทำอะไร”
“น้าทำของหาย คุณพ่อหนูใจดีช่วยน้าหา” ขณะเสียงหวานพูด เด็กหญิงเอียงคอมองเสียงหวานอย่างเพ่งพิศ “มองอะไรจ้ะ”
“น้าสวย เป็นแฟนพ่อก็ดีเหมือนกัน”
“ฮื้อ”
“หนูอยากมีแม่”
เด็กหญิงบอกอย่างเหงาๆ แววตาเสียงหวานดวงตาเต็มไปด้วยความสงสาร
“โถ...”
“แม่ไปตั้งนานแล้ว”
เสียงหวานน้ำตาคลอ
“พ่อก็ลืมหนู”
เสียงหวานน้ำตาไหลหยด
“ไม่จริง...คุณ พ่อไม่ได้ลืมหนูหรอก”
“หนูเหงา”
เสียงหวานมองเด็กหญิงอย่างน่าสงสารสุดๆ
เตชิตมาหาธงที่สถานีตำรวจบรรดาตำรวจต่างยิ้มแย้มทักทายเตชิต เตชิตตอบคำถามเหล่านั้นอย่างยิ้มแย้มแล้วขอตัวเดินไปเข้าห้องๆ หนึ่ง
เตชิตเดินเข้ามาธงรีบลุกขึ้นเดินมาทำความเคารพ
“สวัสดครับผู้กอง”
“สบายดีนะ จ่าธง”
“ก็ สบายตามยศว่านั่นแหละครับ”
“รูปล่ะ”
ธงรีบเดินไปที่โต๊ะ เปิดลิ้นชักหยิบรูปออกมาส่งให้
“ใครครับผู้กอง สวยจัง” เตชิตมองภาพเสียงหวานด้วยความพอใจ แฟนผู้กองใช่มั้ยเอ่ย”
คำถามนี้ทำให้เตชิตถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย”
เตชิตมองไปโดยรอบกลัวเสียงหวานจะได้ยิน ธงมองอย่างแปลกใจ
“ผู้กองมองหาใครครับ”
“เปล่า ขอบใจนะจ่า ไป...ไปกินข้าวกัน”
“ด้วยความยินดีครับ” ธงหยิบซองใหญ่ส่งให้ “เอารูปใส่ในซองนี่ดีกว่าครับจะได้ไม่เปื้อน”
“ขอบใจ”
เตชิตรับซองมาใส่รูปแล้วเดินคุยกันออกไป
เตชิตและธงเดินคุยกันออกมา แล้วเตชิตก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพอลเดินออกมากับเสนา เสนามองเตชิตอย่างฉุนๆ
“เตชิต เชิญ”
เสนาเดินนำเตชิตเข้าห้อง เตชิตมองพอลเขม็งด้วยความไม่ไว้ใจ เช่นเดียวกับพอลซึ่งมองเตชิตผิดแต่ว่าในดวงตามีแววยิ้มเยาะ สองหนุ่มมองกันจนเตชิตเข้าไปในห้องเสนา ประตูปิดพอลค่อยๆ เบือนหน้ามามองธง
“มาทำไม บอกแล้วว่าให้หายตัวไปพักนึง”
เสนาถามเตชิตอย่างหงุดหงิด
“คนเมื่อกี้นี่ใครครับ”
“ผู้กองพอล”
“ผู้กองพอล” เตชิตเลิกคิ้ว
“ใช่”
“มันเป็นลูกน้องไอ้เดนนิสนะครับ”
“ไม่จริง”
“จริงครับ ผมเห็นมันไปกับเดนนิสที่โรงพยาบาล...” เตชิตชะงักเหมือนนึกได้ เสนามองเตชิตอย่างเพ่งพิศ
“โรงพยาบาลไหน” เตชิตนิ่งอึ้ง เสนาหรี่ตามอง “นายกำลังล้ำเส้นอีกแล้วใช่ไหม”
“ผม”
“นายขัดคำสั่งฉัน”
“ไอ้หมอนั่นมันเป็นตำรวจตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“ก็แล้วมันเรื่องอะไรของนาย”
“มันเป็นคนของ...”
“มาทางไหน ไปทางนั้น”
“ผู้กอง”
“ไม่ได้ยินเรอะ ไป” เตชิตทำความเคารพด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วเดินไปที่ประตู “เตชิต” เตชิตหยุด หันกลับมาด้วยสีหน้าเดิม “ฉันขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย อย่าได้เข้ามาสอดเรื่องนี้อีกเข้าใจไหม”
“เข้าใจครับผม”
“ไปได้”
เตชิตเปิดประตูเดินออกไป เสนามองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เตชิตปิดประตู แล้วหันกลับพอลกำลังมองตรงมาด้วยสายตาเยาะๆ เตชิตฉุนจัดขบกรามแน่น ทำท่าจะถลาเข้าไป ธงรีบคว้าตัวไว้
“อย่าครับ ผู้กอง”
“ปล่อย”
ทุกคนมอง ธงจับเตชิตไว้แน่น
“อย่ามีเรื่องเลยครับ”
เตขิตสะบัดหลุดแล้วชี้หน้าพอล
“ฉันจะกระชากหน้ากากแกให้ได้”
“ฉันจะรอ”
เตชิตฮึดฮัด
“ไปเถอะครับผู้กอง”
เตชิตจ้องพอลเขม็ง แล้วเดินไปอย่างหงุดหงิด เสนาเดินออกมาพอลหันมาสบตาเสนา
พอออกจากสถานีตำรวจเตชิตขับรถมาหลบอยู่มุมหนึ่ง
“รอใครหรือครับ ผู้กอง”
“รอคุณพ่อนายไง”
“คุณพ่อผมเสียแล้วครับ” พอลขับรถออกมาแล้วเลี้ยวไป เตชิตขับตาม “นั่นผู้กองพอลนี่ครับ” เตชิตยังคงขับตาม “ผู้กองจะสะกดรอยตามผู้กองพอลหรือครับ” เตชิตไม่ตอบ จดจ่อกับการขับรถตามพอล
“ผู้กอง”
เตชิตเอื้อมมือหยิบลูกอมส่งให้
“เอ้า ปากจะได้ไม่ว่าง”
ธงหน้าแหยๆ รับมาแกะใส่ปาก พอลขับไปด้วยสีหน้าปกติ
พอลขับรถมาตามถนนใหญ่โดยมีเตชบิตขับรถตาม พอลเหลือบมองกระจกรถเตชิตยังคงตามไม่ลดละ พอลยิ้มเยาะแล้วใช้ความว่องไวขับหนีไปได้ เตชิตซึ่งขับหลงไปอีกทางจอดรถแล้วทุบพวงมาลัยอย่างหงุดหงิด
“ไวจังนะครับ”
ธงบอก เตชิตค่อยๆ เบือนหน้ามามองธงยิ้มแห้งๆ
พอลโทรศัพท์หาศรีตรัง ศรีตรังเดินมาหยิบโทรศัพท์แล้วชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา
“มีอะไรก็พูดเร็วๆ ฉันไม่ว่าง”
“ก็แค่ฝากบอกไอ้เตแฟนคุณว่า ฝีมือแค่นี้ อย่าได้ริมาเทียบกับผม”
“เดี๋ยว ใครเป็นแฟนฉัน”
“แหม อยู่ด้วยกันตลอดไม่น่าลืม”
“เตชิตน่ะเหรอ” ศรีตรังเสียงหลง
“เบาหน่อยคุณ ไม่ต้องตื่นเต้นดีใจจนระงับไว้ไม่อยู่หรอก”
“บ้า ไอ้เตเป็นเพื่อนฉัน”
“สมัยนี้ เพื่อนเขาแปลว่า แฟน “แฟน” แปลว่าสามี”
“สามีนายน่ะซิ”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์อย่างฉุนจัด พอลยิ้มนิดๆ ขับรถออกไปอย่างสบายอารมณ์
พอลขับรถมาเรื่อยๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอลชำเลืองมองแว่บหนึ่งแล้วกดรับ
“ว่าไงครับพี่”
“มันตามไปหรือเปล่า” เสนาถามมาตามสาย
“ตามคาดครับ แค่นี้ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจัดให้มันหลงไปแล้ว”
“เออ ระวังหน่อยก็แล้วกัน ไอ้นี่มันไม่เลิกง่ายๆ หรอก”
“ครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
พอลปิดโทรศัพท์ สีหน้าแววตามีรอยยิ้มนิดๆ
เตชิตกับธงมานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“ไอ้พอลมันมาพบผู้กำกับบ่อยไหม” เตชิตถามธง
“ก็ไม่บ่อยนักครับ เวลามีธุระก็มา”
“ท่าทางจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว”
“ผมก็ว่าแกดีนะครับ” เตชิตจ้องธงเขม็ง ธงบอกเสียงอ่อย “ขอประทานโทษครับ”
“จ่าต้องคอยจับตาดูทั้ง 2 คนให้ดี หากเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล ก็โทร.บอกฉัน”
ธงกลืนน้ำลาย
“รายงานเรื่องท่านผู้กำกับกับผู้กองพอลเนี่ยนะครับ”
“ใช่”
“โห ผมเป็นแค่ว่า...”
“ว่าก็สำคัญเหมือนกัน อย่าดูถูกตัวเอง”
สีหน้าเตชิตให้กำลังใจธงเต็มที่
พอลขับรถเข้ามาจอดที่คอนโด พอลก้าวลงจากรถระหว่างนั้นมีชายสามคนตรงเข้ามาจู่โจมเล่นงานพอลตอนแรกพอลไม่ทันระวังจึงเสียเปรียบแต่สุดท้ายพอลเล่นงานกลับจนเป็นฝ่ายชนะแต่ค่อนข้างสะบักสะบอม ชายสามคนหนีไปได้พอลเช็ดเลือดที่มุมปาก มองตามด้วยสีหน้าราบเรียบ
ค่ำวันนั้นเตชิตขับรถกลับเข้าบ้าน เตชิตจอดรถเดินไปปิดประตูรั้วแต่พอหันกลับมาเตชิตก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเสียงหวานยืนอยู่ เตชิตถอนใจเฮือก
“เป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็เป็นอย่างที่คุณเห็นน่ะซิ ถามพิลึก”
“ฉันไม่ได้ไปด้วย จะเห็นได้ยังไง”
เตชิตชะงัก
“มิน่า ถึงได้สงบเงียบผิดปกติ”
เตชิตเดินไปไขกุญแจบ้าน
พอเข้ามาในบ้านเตชิตหันกลับมา เสียงหวานนั่งรออยู่เรียบร้อยแล้ว
“ผมนึกว่าคุณไปด้วย”
“ฉันอยู่เป็นเพื่อนลูกคุณค่ะ สงสารแก”
เตชิตอึ้งไปนิดหนึ่ง
“แก...เป็นยังไงบ้าง”
“ก็...คงเหงา ว้าเหว่”
“ทำไมผมถึงมองไม่เห็นแก ในเมื่อผมเห็นคุณได้” เตชิตถามอย่างสะเทือนใจ
“ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
“แล้ว...” เตชิตอึ้งอีก เสียงหวานจึงบอกอย่างอ่อนโยน
“ภรรยาคุณไปสวรรค์แล้ว” เตชิตเดินมาทรุดตัวลงนั่ง มองไปโดยรอบราวกับจะมองหาใครสักคน
“แกไม่…”
เตชิตลุกขึ้นเดินขึ้นไปข้างบนเงียบๆ
เตชิตเข้ามาในห้อง เด็กหญิงยืนมองพ่อด้วยสีหน้าเศร้าๆ เตมองหาลูกโดยรอบ
“พ่อ...หนูอยู่ตรงนี้ค่ะ” เตชิตยังคงเหลียวมองหา “พ่อค่ะ”
เตชิตถอนใจแล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่ง เด็กหญิงเดินช้าๆ มายืนใกล้ๆ น้ำตาคลอ
“พ่อค่ะ หนูรักพ่อ”
เตชิตฟุบหน้าลงกับฝ่ามือ เด็กหญิงยังคงมองพ่อน้ำตาไหล
เสียงหวานยังนั่งอยู่ข้างล่าง เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นเด็กหญิงก้าวลงบันไดมาช้าๆน้ำตาไหล
“พ่อมองไม่เห็นหนู”
เสียงหวานลุกเดินช้าๆ แล้วคุกเข่าลง อ้าแขนออก เด็กหญิงค่อยๆ เดินลงมาแล้วโผเข้าหาเสียงหวาน เสียงหวานกอดเด็กหญิงแน่นน้ำตาไหลด้วยความสงสารเต็มเปี่ยม
“พ่อไม่เห็นหนู... พ่อมองไม่เห็นหนู”

เด็กหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้นกับอกเสียงหวาน










Create Date : 31 มกราคม 2555
Last Update : 31 มกราคม 2555 21:41:58 น.
Counter : 357 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]