All Blog
ปางเสน่หา ตอนที่ 6



ขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่บ้านและกำลังกระสับกระส่าย ผุดลุกผุดนั่งด้วยความกระวนกระวายใจ ในที่สุดศักดิ์สิทธิ์ก็เดินไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก เห็นแต่เงาตะคุ่มๆ ของหมู่ไม้และเทือกเขา ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจเฮือก แล้วหันกลับมา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่กลับจากบ้านหมอผี

อ้อยผินหน้ามาทางศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีสีหน้าขมวดมุ่น เธอแตะแขนศักดิ์สิทธิ์เบาๆ
“ไม่ต้องกลัวนะศักดิ์ อ้อยจะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเอง”
ศักดิ์สิทธิ์ชำเลืองมองแว่บหนึ่ง
“จัดการยังไง”
“ก็จัดการเอานังเกษไปไว้ที่อื่นน่ะซิ”
“ศักดิ์กลัว ต่อให้มียันต์ของลุงหมอไปสะกด ศักดิ์ก็กลัว”
“กลัวก็ไม่ต้องไปกับอ้อยหรอก อ้อยจะไปกับคนอื่น”
“ใคร”
“พี่ทศ”
“มันคงยอมละ”
“อ้อยมีวิธีก็แล้วกัน”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ศักดิ์สิทธิ์เดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งแล้วบ่นพึมพำออกมาเบาๆ
“แล้วถ้าไอ้ทศมันรู้ว่า โครงกระดูกที่ฝังอยู่เป็นของเกษริน มันจะยอมให้เรื่องเงียบเรอะ โง่ชะมัด”
ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจเฮือก ลุกเดินกลับไปกลับมาแล้วตัดสินใจเดินออกไป
ขณะนั้นเตชิตกำลังนอนหลับสนิท แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงหมาหอนดังขึ้นมาพร้อมๆ ใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาช้าๆ ตรงมาที่เตชิต มีลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามาผมเตชิดสะบัดนิดๆ ขณะที่ใครคนนั้นค่อยๆ ก้มหน้าลงมา เตชิตรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาแล้วร้องลั่นพลางลนลานคลานไปอีกมุม
“เฮ้ย” เสียงหวานนั่งอยู่ตรงปลายเตียง เสียงหมายังคงหอนกระชั้นชิด “เมื่อกี้คุณไม่ได้อยู่ตรงนั้นนี่”
“ค่ะ...ฉันกำลังจะปลุกคุณ แต่คุณลืมตาขึ้นเสียก่อน”
เตชิตมองเสียงหวานอย่างไม่ไว้ใจ
“เดี๋ยว...เดี๋ยวนี้...คุณมาพร้อมกับเสียงหมาหอนแล้วเรอะ”
“เปล่าค่ะ”
“แล้ว...แล้วทำไม...” เสียงหมาหอนกระชั้นอีก
“เพื่อนฉันเขารออยู่ข้างนอก”
เตชิตสะดุ้งเฮือก
“รอใคร”
“รอคุณ”
เตชิตส่ายหน้าทันที
“ไม่ต้องเลย”
“มีคนกำลังจะไปรบกวนเขา เขาเลยมาขอให้คุณไปช่วย”
“เสียใจ ผมเป็นตำรวจก็จริง แต่รับแจ้งความเฉพาะมนุษย์ไม่ใช่ผี”
“น่า นะคะ ช่วยเขาหน่อย”
“ไม่” เตชิตตอบอย่างเด็ดเดี่ยว เสียงเคาะประตูดังขึ้นช้าๆ เป็นจังหวะ เตชิตสะดุ้งเฮือกถอยไปจนสุดมุมห้อง “ใคร”
“อ๋อ เพื่อนฉันไงคะ เขาคงจะมาขอร้องคุณเอง”
“ไม่ต้อง”
ลูกบิดค่อยๆ บิด เหมือนมีคนกำลังจะเปิด เตฃิตเบิกตากว้างมอง พร้อมพูดเสียงสั่นเทา
“ตกลง ช่วยก็ช่วย ขออย่างเดียวอย่าเข้ามา”
เสียงเคาะประตูหยุดลงทันที เสียงหวานหันมายิ้มหวาน
“เขาไม่เข้ามาแล้วค่ะ”
เตชิตเดินมาหยิบโทรศัพท์
“นั่นคุณจะโทร. หาใครคะ”
เตชิตโทรหาศรีตรัง ศรีตรังรับโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“ไอ้เต...แก”
ศรีตรังเตรียมด่า เตชิตรีบชิงพูดขึ้นก่อน
“อย่าเพิ่งด่า”
“เฮ้ย ไอ้...”
“แกขับรถมารับฉันเดี๋ยวนี้”
“อะไรวะ ไอ้บ้าเต”
ศรีตรังโวยวายแต่สุดท้ายก็ขับรถมารับเตชิตีที่บ้าน ขณะนั้นเตชิตยืนรออยู่แล้ว ศรีตรังจอดรถแล้วชะโงกหน้าออกไปพูด
“ไอ้เต ถ้าหากแกหลอกฉันให้มาขับรถพาแกเที่ยวเล่นในยามดึกอย่างนี้ละก็...”
เตชิตหันไปพูดกับความว่างเปล่า
“จะล่วงหน้าไปก่อน หรือจะไปพร้อมกัน”
เตชิตถามเสียงหวาน ศรีตรังทำหน้าเลิ่กลั่กขณะที่เตชิตพยักหน้ากับคนที่พูดด้วย แล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูขึ้นไปนั่งคู่ศรีตรัง ศรีตรังหันมามองเตชิตแล้วพูดเบาๆ แต่หนักแน่น
“ไอ้เตแก...”
ศรีตรังชะงัก เมื่อเสียงหมาหอนดังแว่วมา เตชิตและศรีตรังสะดุ้งเฮือก แล้วค่อยๆ หันไปมอง ศรีตรังเห็นเบาะหลังว่างเปล่า ในขณะที่เตชิตเห็นเสียงหวานนั่งอยู่เบาะหลัง
“ฉันขี้เกียจเดินน่ะค่ะ”
เสียงหวานบอก ศรีตรังชักผวา ถามเตชิตเสียงสั่น
“ไอ้เต อย่าบอกนะว่า คุณหนูเผือกเสียงหวานมาด้วย”
เตชิตอ้าปากจะพูด แต่หวานเสียงชิงพูดขึ้นก่อนอย่างยิ้มแย้ม
“บอกเธอว่าไม่ต้องกลัวฉันหรอกค่ะ”
เตชิตเบือนหน้ากลับมาทางศรีตรัง แล้วตบไหล่เบาๆ อย่างปลอบใจ
“เสียงหวานบอกว่าไม่ต้องกลัวเขา”
“ไม่ต้องกลัวฉันด้วยค่ะ”
เกษรินบอกเสียงแผ่ว เยือกเย็น เตชิตหันขวับไปมองแล้วร้องลั่น เปิดประตูรถพรวดออกมา หายใจหอบ นัยน์ตาเบิกค้างมองไปที่เบาะหลัง ในขณะที่ศรีตรังร้องตามแล้วกระโดดพรวดลงจากรถมายืนข้างหลังเตชิต
“ไหน...ไหน...แก...แก บอกฉันว่าไม่ต้องกลัวไง…ไง”
เตชิตยังคงพูดไม่ออกเมื่อเห็นเกษรินนั่งคู่กับเสียงหวานที่เบาะหลัง
“เพื่อนฉันขอนั่งไปด้วยคนค่ะ” เสียงหวานบอก
“ไม่ได้นั่งรถมานานแล้ว...ว...”
เตชิตกลืนน้ำลาย
“ฉัน...ฉันว่าฉันกลับดีกว่า ...” เตชิตพูดพลางหันหลังกลับจะเดินไป แต่เตชิตดึงคอเสื้อไว้ทันที
“ไม่ได้...ไหนๆ ก็ไหนๆ แกต้องไปกับฉัน”
“ไม่ ฉันยกรถให้แก ส่วนฉันจะเดินกลับเอง”
“บอกเธอว่าเราต้องไปด้วยกัน” เกษรินบอก
“คุณเสียงเย็นบอกว่า แกต้องไปด้วย” เตชิตบอกศรีตรัง
“สะ...สะ...เสียง...เสียงเย็น...”
“เออ! เสียงเย็นกับเสียงหวานมากันครบเลย”
ศรีตรังเบือนกลับไปมองเบาะหลังด้วยสีหน้าลังเลแกมหวาดๆ
ขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์มาที่บริเวณฝังศพเกษริน ศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ชะเง้อมองผ่านพุ่มไม้ออกไปจึงห็นตรีทศกำลังยกแขนปาดเหงื่อ หลังจากขุดดินไปได้ระยะหนึ่ง
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
ตรีทศหันมาถามอ้อย อ้อยทำเป็นมองโดยรอบด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ต้องมีสิคะ”
“อ้อยอาจจะคิดไปเอง”
“คิดไปเองว่า เจอผีเนี่ยนะคะ ไม่มีทาง”
“แล้วทำไมถึงขุดไม่เจอล่ะ”
“อ้อยอาจจะจำผิด อาจจะไม่ใช่ตรงนี้”
“พี่ว่าเรากลับกันเถอะ”
“แล้วพี่ไม่สงสารแฟนพี่หรือคะ”
แววตาตรีทศเป็นประกายแว่บหนึ่ง
“เกษไม่ใช่แฟนพี่แล้ว เขาทิ้งพี่ไป”
“แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นแฟนพี่” อ้อยเหลียวมองหาแล้วชี้ไปที่อีกมุม “น่าจะเป็นตรงนั้น ใช่แล้ว ตรงนั้นแน่ๆ”
“อ้อย”
“นะคะ ถ้าไม่พบอีกก็กลับ”
ตรีทศนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วเดินไปบริเวณอ้อยชี้ อ้อยมองตามด้วยสีหน้ายิ้มๆ
ศรีตรังขับรถมายังท้ายไร่ข้าวโพด ระหว่างทางมีเงาไม้ตะคุ่มสองข้างทาง เมื่อถูกลมพัดก่อให้เกิดเงาน่ากลัว
รวมทั้งเสียงหมาหอนที่หอนรับกันตลอดทาง ศรีตรังขับรถตัวแข็งเช่นเดียวกับเตชิต โดยข้างหลังเสียงหวานและเกษรินนั่งกันเงียบๆ ต่างก็มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างพินิจพิจารณาทุกมุมที่ผ่าน ราวกับจะพยายามนึกให้ออกว่ามาที่นี่ทำไม และเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
“ผู้ชายคนนั้นไปไหนเสียล่ะคะ”
เสียงหวานถามเตชิตเมื่อนึกขึ้นได้
“คนไหน”
ศรีตรังเหลือบมองเตชิตแว่บหนึ่ง
“ก็คนที่ฉันบอกว่าเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง แต่จำไม่ได้ไงคะ”
“อ๋อ... เจ้าของไร่สุขศรีตรังเขาไล่ไปแล้ว”
“จริงซิ ฉันลืมไป”
“ไอ้เต เลิกพูดคนเดียวเสียทีได้มั้ย”
ศรีตรังบอกอย่างหมดความอดทน
“พูดคนเดียวที่ไหน ฉันพูดกับเสียงหวาน”
“ก็นั่นแหละ สำหรับฉันมันเหมือนแกพูดคนเดียว”
“หยุดตรงนี้” เกษรินบอก
“ทำไม”
“ฉันบอกให้หยุดตรงนี้”
เตชิตสะดุ้งกับเสียงแหลมเล็กโกรธๆ นั้น
“ไอ้ศรี หยุดตรงนี้” เตชิตบอกศรีตรัง
“ทำไม”
“เออน่า บอกให้หยุดก็หยุด”
ศรีตรังจอดรถ แล้วหันมาทางเตชิต
“ถามเพื่อนผีของแกซิว่า จะให้ทำยังไงต่อ”
เตชิตเบือนหน้ามาข้างหลัง แต่สองสาวหายไปแล้ว
“อ้าว” เตชิตหันกลับมาสองสาวลงไปยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่แล้ว เตชิตถอนใจเฮือก “ลงไปเมื่อไหร่ก็ไม่บอก”
เตชิตเปิดประตูลงไป ศรีตรังตามลงไป
“แล้วไงต่อ”
“แล้วไงต่อ” เตชิตถามเสียงหวาน เสียงหวานหันไปถามเกษริน
“แล้วไงต่อ”
“เดินไป”
เสียงหวานหันมาบอกเตชิต
“เดินไป”
เตชิตหันมาบอกศรีตรัง
“เดินไป”
เตชิตเดินตามสองสาว ศรีตรังเดินตามพลางบ่น
“ไม่น่าคบกับไอ้เตเล้ย”

ในขณะตรีทศกำลังตั้งหน้าตั้งตาขุดดินจนกระทั่งจอบไปกระทบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตรีทศจึงทรุดตัวลงนั่ง
“อะไรหรือคะ”
อ้อยแกล้งถาม ตรีทศค่อยๆ ใช้มือเกลี่ยปัดดินออกแล้วต้องผงะเมื่อเห็นโครงกระดูกถูกฝังอยู่ อ้อยทำเป็นตื่นเต้น
“โครงกระดูกจริงๆ ด้วย พี่ทศรีบเอายันต์ที่อ้อยให้แปะเลยค่ะ”
ตรีทศหยิบยันต์ออกมาแล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง
“เกษ นี่ใช่คุณจริงๆ หรือ”
“ต้องใช่แน่ๆ เลยค่ะ เหมือนกับที่เกษบอกอ้อยไม่มีผิดเอายันต์แปะซิคะ”
“ไม่ ทศอยากเจอเกษ เกษคุณอยู่ไหนออกมาหาผมหน่อย”
ตรีทศตะโกนเรียกเกษริน อ้อยตกใจ
“พี่ทศ”
ลมเย็นเยือกพัดมาอย่างแรง ตรีทศจับกระดูกขึ้นมา
“เกษ ถ้านี่ใช่คุณจริงก็ออกมาหาผม”
ลมพัดอื้ออึงอย่างน่ากลัว เสียงหมาหอน อ้อยมองซ้ายมองขวาแล้ววิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว โดยไม่ลืมดึงยันต์จากตรีทศมาด้วย อ้อยวิ่งหนีไปทางศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ดึงแขนอ้อยไว้
“อ้อย”
“ศักดิ์ รีบไปกันเถอะ”
ทั้งคู่รีบวิ่งออกไป ขณะที่เตชิตและศรีตรังวิ่งเข้ามาคลาดกันอ้อยและศักดิ์สิทธิ์เพียงนิดเดียว ศรีตรังและเตชิตถึงกับยืนตะลึง ขณะที่เกษรินมองตรีทศด้วยสายตาเศร้าหมองและประหลาดใจ เสียงหวานยกมือขึ้นอุดปากตัวเอง
อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์วิ่งหนีมาท่ามกลางลมแรง อ้อยหยุดวิ่งทำให้ศักดิ์สิทธิ์หยุดวิ่งไปด้วย
“หยุดทำไม เดี๋ยวมันก็หักคอหรอก”
“ศักดิ์ตามอ้อยมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“โฮ้ย จะมาซักถามอะไรตอนนี้ รีบไปเร็ว”
ศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดพล่ามทำเพลงดึงแขนอ้อยวิ่งต่อ
ทางด้านศรีตรังหลังจากหายตกตะลึงเธอดึงปืนออกมา
“ตรีทศเป็นฆาตกร”
เตชิตหันมามอง แล้วสะดุ้ง
“เฮ้ย เอาปืนมาด้วยเรอะ”
ศรีตรังพยักหน้ารับ
“เพื่อความไม่ประมาท แล้วก็ได้ใช้จริงๆ ด้วย” ศรีตรังเดินตรงไปที่ตรีทศ เตชิตรีบตามไป “คุณทศ”
ตรีทศเงยหน้ามองศรีตรังทั้งน้ำตา
“โครงกระดูกเกษ ...”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“อ้อยบอก...” ตรีทศเหลียวมองหาอ้อย “อ้อยหายไปไหน”
“ฉันไม่เห็นมีใคร นอกจากคุณ ไปขึ้นรถเถอะวางโครงกระดูกลงอย่างเดิม”
ตรีทศค่อยๆ วางโครงกระดูกลง ศรีตรังพาตรีทศซึ่งยังเหมือนเบลอๆ เดินไปที่รถ
“ทศ จะเอาทศไปไหน”
เกษรินถาม เตชิตหันมามองเกษริน
“เขาฆ่าคุณ”
“ไม่จริง” เกษรินกรีดร้องโหยหวน
“แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าคุณถูกฝังอยู่ตรงนี้”
เกษรินเบือนหน้าไปมองโครงกระดูก
“นั่นไม่ใช่ฉัน”
“ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร ลองคิดให้ดีๆ ซิ”
เสียงหวานถามเสียงอ่อนโยน ศรีตรังบีบแตรเรียกเตชิตหันไปมองแว่บหนึ่งแล้วหันมาทางเสียงหวาน
“คุณช่วยปลอบโยนเธอหน่อยนะ”
“ค่ะ”
เตชิตเดินไปขึ้นรถ ศรีตรังขับรถออกไปโดยที่ตรีทศยังร้องไห้เศร้าโศก
อ้อยมาส่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้าน
“ค่อยๆ เข้าไปล่ะ เดี๋ยวลุงพงษ์ตื่นขึ้นมาแล้วจะยุ่ง” อ้อยบอก
“รู้แล้วน่า”
“อ้อยไปละ”
“อ้อย” อ้อยหันมามอง “กลับคนเดียวได้เหรอ”
“ถ้าบอกว่าไม่ได้แล้วศักดิ์จะไปส่งมั้ยล่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มแห้งๆ
“อ้อยก็รู้ว่าศักดิ์กลัว”
“แล้วจะถามทำไม”
อ้อยเดินไป ศักดิ์มองซ้ายมองขวาแล้วรีบเดินเข้าบ้าน
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านศรีตรัง... อ้อยเสิร์ฟกาแฟและน้ำผลไม้ โดยจุรียกอาหารเช้าออกมาวาง ในขณะที่แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมเครียดและหดหู่กันไปหมด อ้อยปั้นสีหน้าเศร้าแบบน้ำตาจะหยดไม่หยดแหล่
“อะลัดตั๊ดต๊า เช้านี้ดูหดหู่กันไปหมดนะคะ”
“ด้วยความเคารพ ใครจะไปคิดล่ะครับว่าคุณทศผู้เอาการเอางานและเคร่งขรึมจะกลายเป็นฆาตกร”
ศรีตรังลุกเดินเข้าไปในบ้าน ทุกคนมองตาม อ้อยทำสะอื้นกระซิกๆ เตชิตลุกตามศรีตรังเข้าไปข้างใน
“เดี๋ยวผมจะไปเยี่ยมคุณทศ มีใครจะไปด้วยบ้าง” พงษ์ศักดิ์บอก
“ด้วยความเคารพ ผมครับ” สมบอก
“ฉันคงต้องอยู่เป็นเพื่อนนายศรีตรัง” จุรีบอก
“อ้อยยังใจไม่ค่อยดีเลยค่ะ คงไม่สามารถออกไปไหนได้ ไม่สามารถจริงๆ ขอโทษนะคะ”
อ้อยหยิบทิชชูเช็ดน้ำตา แล้วผวาวิ่งเหยาะๆ ออกไป ทุกคนหันไปมองตาม
“อะลัดตั๊ดตา แกมีจิตใจอ่อนไหวมากค่ะ เซ็นซิทีฟ”
พงษ์ศักดิ์และสมพยักหน้าช้าๆ
ศรีตรังนั่งกุมขมับ ขณะเตชิตนั่งมองอยู่ครู่หนึ่ง
“จะเอายาแก้ปวดหัวมั้ย”
“ใครบอกว่าฉันปวดหัว”
“ก็เห็นแกนั่งกุมขมับ”
“ฉันเซ็ง ใครจะไปคิดว่า คุณทศจะเป็นฆาตกร”
“แกไม่เคยดูหนังประเภทสืบสวนสอบสวนเหรอ ไอ้คนดีๆ ที่ไม่มีใครคาดคิดน่ะกลายเป็นฆาตกรทั้งนั้น”
ศรีตรังนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ไอ้เต”
“หือ”
“เราต้องเอาโครงกระดูกไปพิสูจน์ว่าใช่เกษรินแน่หรือเปล่า อาจจะเป็นโครงกระดูกคนอื่นก็ได้”
“ฉันก็คิดว่ายังงั้นเหมือนกัน ไป”
เตชิตลุกขึ้น ศรีตรังลุกเดินตาม
อ้อยกลับมาบ้านโทรหาศักดิ์สิทธิ์ แต่ต้องรีบพูดเมื่อเห็นจุรีเดินกลับมา
“แค่นี้ก่อนนะ ศักดิ์ แม่กลับมาแล้ว” อ้อยปิดโทรศัพท์วาง “ไหนแม่ว่าจะอยู่เป็นเพื่อนนายศรีตรังไงคะ”
“นายศรีตรังเข้ากรุงเทพฯ กับคุณเต”
อ้อยเป็นกังวลทันที ตามประสาวัวสันหลังหวะ
“เอ๊ะ เข้าทำไมคะ”
“เห็นว่าจะไปเรื่องพิสูจน์อัตลักษณ์อัดตะแล็กอะไรนี่แหละ”
“ทำไมจะต้องพิสูจน์ให้วุ่นวาย ในเมื่อรู้แน่ๆ ว่าโครงกระดูกนั่นเป็นเกษริน”
“อะลัดตั๊ดต๊า! มันไม่ใช่ตายเฉยๆ แต่เป็นฆาตกรรม ยังไงตำรวจเขาก็ต้องพิสูจน์ แล้วยิ่งมาถูกฝังอยู่ในไร่แบบนี้ด้วย จะทำเป็นว่าเลยได้ไง” จุรีชะงัก “แล้วทำไมแกถึงได้แน่ใจว่าเป็นเกษริน”
“ก็...ก็...ใช่แล้ว คุณตรีทศเขาบอกไง”
อ้อยลุกเดินจะออกไป
“แล้วนั่นจะไปไหน”
“ไปสูดอากาศบริสุทธิ์” อ้อยบอกแล้วเดินออกไป
“อะลั๊ดตั๊ดต๊า แล้วอากาศในนี้มันไม่บริสุทธิ์เรอะไง”
ขณะนั้นเตชิตกำลังขับรถเข้ากรุงเทพด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เช่นเดียวกับศรีตรังซึ่งใช้ความคิดเช่นเดียวกัน จู่ๆ เสียงหวานก็ปรากฏขึ้น
“จะมาก็ไม่บอก”
เตชิตสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย”
รถเสียหลัก ศรีตรังร้องลั่นหลับตาปี๋ เตชิตตั้งสติรีบหมุนพวงมาลัยกลับ บังคับรถให้เข้าที่เข้าทาง เสียงหวานยกมืออุดปากตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเช่นกัน
“ขอโทษค่ะ” เสียงหวานบอกเสียงอ่อย
“ไม่ต้องมาขอโทษเลย”
“ฉันยังไม่ได้ขอโทษแกสักคำ แกนั่นแหละต้องขอโทษฉัน” ศรีตรังบอก
“ฉันไม่ได้พูดกับแก”
เตชิตบอก ศรีตรังสะดุ้งโหยงแล้วโวยลั่น
“งั้นแกก็พูดกับผี”
เตตกใจกับเสียงและท่าทีของศรีตรังถึงกับเสียหลัก รถปัดไปปัดมาอีกครั้งหนึ่ง
“เฮ้ย...”
“ว้าย”
“ว้าย”
เตชิตปรับสติและรถกลับเข้าที่เข้าทางอย่างเดิม แล้วเข้าจอดข้างทาง ก่อนจะหันขวับมามองศรีตรังและเสียงหวาน
“ลงไปให้หมดทั้ง 1 คนกับอีก 1 ตัว”
“แกนั่นแหละลงไป” ศรีตรังบอก
“ผี...เอ๊ย วิญญาณเขาเรียกว่าเป็นตนค่ะ ไม่ใช่ตัว กรุณาให้เกียรติผู้ที่ปราศจากสังขารหน่อย”
เสียงหวานบอก เตชิตกุมขมับแล้วถอนใจเฮือก
“ฉันจะขับเอง” ศรีตรังบอก
“ขอกด like” เตชิตหันขวับมามอง เสียงหวานหน้าจ๋อยขณะที่ศรีตรังกระโดดลงจากรถมาด้านคนขับ “ฉันกลัว...เสียชีวิตซ้ำซากน่ะคะ” เสียงหวานบอกเสีรยงอ่อย
“ลงมาเลย ไอ้เต...”
ศรีตรังเคาะประตูเรียกเตชิตส่ายหัวเซ็งๆ แล้วเปิดประตูรถลงไป ศรีตรังก้าวขึ้นมาแทน
เมื่อถึงกรุงเทพศรีตรังขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านเตชิต
“บ้านแกดูเหงาๆ ว่ะ”
“บ้านไม่มีคนอยู่มันก็เหงาน่ะซิ แกนี่พูดแปลก”
“มีค่ะ”
เสียงหวานสวนทันที เตชิตชะงักไปนิดหนึ่ง
“ขอโทษ ผมลืมไป”
ศรีตรังชักจะล่อกแล่กด้วยอาการหวาดๆ
“คุณหนูเผือก...ยังอยู่เหรอ”
เตชิตมองตามเสียงหวานซึ่งลอยเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
“ไปแล้ว”
“เฮ้อ ค่อยยังชั่ว” ศรีตรังถอยใจอย่างโล่งอก
“ไปในบ้าน” เตชิตบอกต่อ ศรีตรังชะงัก
“เขา...จะเปลี่ยน...มาสิงที่บ้านแกเรอะไง”
“เปล่า เขารีบเข้าไปหาลูกฉัน”
“แกมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียว...เอ๊ะ มีลูกแสดงว่ามีแม่ แกมีเมียใหม่แล้วเรอะ ทำไมไม่บอกฉัน อ้อ หรือว่า...”
“เฮ้ย ...” ศรีตรังหุบปากทันที แล้วก้าวลงจากรถ “ลูกฉันเป็นแบบเดียวกับเสียงหวาน”
ศรีตรังนิ่วหน้าทวนคำ
“เป็นแบบเดียวกับคุณหนูเผือก ...” พอนึกได้ศรีตรังถึงกับตาเหลือก “ก็แปลว่าเป็นผีน่ะซิ ลูกแกเป็นผี”
เตชิตรีบอุดปากศรีตรังทันที
“อย่าเสียงดัง เดี๋ยวลูกฉันตกใจ”
“ลูกแกจะตกใจทำไมในเมื่อเขาเป็น ผี! ฉันนี่แหละสมควรจะตกใจมากกว่า” ศรีตรังหันกลับขึ้นรถ
“จะไปไหน”
“กลับ”
“ไอ้ศรี”
“แค่ผีคุณหนูเผือกคนเดียว ฉันก็จะแย่แล้ว นี่ยังพ่วงผีลูกแกขึ้นมาอีก มีหวังหัวโกร๋นกันพอดี”
“ฉันยังมองไม่เห็น แล้วแกจะเห็นได้ยังไง”ศรีตรังชะงักมองหน้าเตชิต “จริง ฉันมองไม่เห็นเขาหรอก”
สีหน้าเตชิตหมองลง
เตชิตค่อยๆ เปิดประตูเดินเข้ามา ติดตามด้วยศรีตรัง ซึ่งทั้งคู่ย่องแล้วเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดๆ
เตชิตเหลียวมองหาโดยรอบ
“เสียงหวาน เสียงหวาน”
“ฉันอยู่ข้างบนค่ะ”
เตชิตเดินไปที่บันได ศรีตรังถลาตามมาดึงเสื้อ
“แกจะไปไหน”
“เสียงหวานอยู่ข้างบน”
“งั้นเราก็อยู่ข้างล่างซิ”
“ฉันต้องขึ้นไป เพราะลูกฉันคงอยู่บนนั้นด้วยถ้าแกกลัวก็อยู่ข้างล่างนี่” ศรีตรังพยักหน้า
“เออ! แกขึ้นไปหาครอบครัวแกเถอะ ฝากความระลึกถึงด้วย”
เตชิตพยักหน้า แล้วเดินขึ้นข้างบน ศรีตรังเหลียวมองรอบตัวหวาดๆ
ประตูห้องนอนเตชิตเปิดออกช้าๆ แล้วเตชิตก้าวเข้ามา เตชิตหยุดยืนมองเสียงหวานท่ามกลางแสงหม่นๆ เศร้า เห็นเสียงหวานกำลังคุกเข่า สองมือเหมือนกำลังกอดเด็กตัวเล็กๆ พลางลูบหลังเบาๆ อย่างอ่อนโยน
“คุณพ่อไม่ได้ลืมหนูหรอกจ้ะ เพียงแต่ท่านมีภารกิจบางอย่าง ท่านไม่สามารถมาอยู่ที่นี่ได้นานๆ”
“พ่อได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้ไปอยู่ที่อื่นสักพัก แต่ต่อไป พ่อจะพยายามแวะมาหาลูกบ่อยๆ” เตชิตบอก
“จริงๆ นะคะ”
“แกอยากขอความมั่นใจค่ะ” เสียงหวานหันมาบอกเตชิต
“พ่อให้สัญญาลูก”
“คุณพ่อให้สัญญาแล้ว ยิ้มให้น้าดูก่อน” เด็กหญิงยิ้มหวานให้เสียงหวาน แล้วเบือนหน้ามายิ้มกับเตชิต
“แกยิ้มให้คุณแล้วค่ะ”
เตชิตยิ้มกับความว่างเปล่าตรงหน้าเสียงหวาน
“คุณพ่อยิ้มแล้วหล่อจัง”
“แกบอกว่าคุณพ่อยิ้มแล้วหล่อจังค่ะ”
“มาหาพ่อซิลูก”
เสียงพยักหน้ากับเด็กหญิง เด็กหญิงค่อยๆ ผละจากเสียงหวานแล้วเดินช้าๆ ตรงมาที่เตชิต เสียงหวานมองภาพนั้นด้วยสีหน้าตื้นตันใจ มีลมเยือกเย็นพัดเข้ามาที่เตชิตจนผมเตชิตสะบัดปลาย เด็กหญิงโอบกอดคอพ่อไว้ขณะที่เตชิตทรุดตัวลง เตชิตโอบกอดลูกแต่วืดเหมือนกอดลม เตชิตแขนตกลงแล้วจึงโอบใหม่หลวมๆ เสียงหวานมองภาพนั้นอย่างตื้นตันใจ
ขณะนั้นศรีตรังนั่งรอเตชิตอยู่ข้างล่าง เธอพยายามตั้งสติไม่ให้ว่อกแว่ก แต่ก็ไม่วายเหลือกตาขวาซ้าย ทันใดมีเสียงตุ๊กแกร้องดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบศรีตรังสะดุ้งโหยงแล้วมองไปตามเสียงจึงเห็นตุ๊กแกตัวใหญ่เกาะเพดานมองตรงมา แล้วร้องอีกด้วยแววตาไม่ค่อยเป็นมิตร ศรีตรังค่อยๆ ลุกขึ้นตายังคงสบตาตุ๊กแก
“โอเค. ออกไปข้างนอกก็ได้”
ศรีตรังค่อยๆ เดินถอยหลังออกไป โดยที่ทั้งคนทั้งตุ๊กแกต่างก็มองกันไม่ให้คลาดสายตา ศรีตรังค่อยๆ ดันประตู ออกไป
ระหว่างนั้นที่หน้าบ้านเตชิตเจียงกำลังแอบดูจากนอกอาณาเขตรั้วบ้าน เจียงเห็นศรีตรังกำลังเดินถอยหลังออกมา “นั่นมันเจ้าของไร่สุขศรีตรังนี่หว่า ทำไมตาต่ำมาเป็นแฟนไอ้เตชิต”
เสียงโทรศัพท์ศรีตรังดังขึ้น ศรีตรังหยิบขึ้นมารับโดยหันมาทางบริเวณที่เจียงแอบอยู่ เจียงรีบหลบหลังต้นไม้ แล้วค่อยๆ ยื่นหน้าออกมาเล็กน้อย
“ว่าไงคะ... ลุงสม...อ้าว...ทำไมล่ะคะ นั่นน่ะซิ...น่าเห็นใจแกเหมือนกัน...ลุงสมบอกแกด้วยว่า ศรีจะรับเป็นเจ้าภาพให้ทั้ง 3 วันเลย ขอบคุณนะคะ”
ศรีตรังเก็บโทรศัพท์ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด มือกุมพระที่คอแน่นแล้วตัดสินใจเดินกลับเข้าบ้านไป
เจียงโทรรายงานเดนนิสเรื่องศรีตรัง ขณะนั้นพอลอยู่กับเดนนิสพอดี
“ขอบใจ แกสะกดรอยตามดูซิว่า มันจะไปไหน” เดนนิสปิดโทรศัพท์วางลง “บังเอิญจริงๆ”
พอลเงยหน้าขึ้นมอง
“ไอ้เจียงมันกำลังจะเข้าไปสังเกตการณ์เตรียมเผาบ้านไอ้เตชิตคืนนี้ เลยเจอมันเข้าพอดี สงสัยจะมาฮันนีมูน”
พอลเหยียดมุมปากเป็นเชิงเยาะนิดๆ
“กับแม่เจ้าของรีสอร์ทนั่นน่ะซี”
“นายพูดยังกับหึงแม่นั่น”
“ผมจะไปหึงเขาทำไม รู้จักก็ไม่ได้รู้จัก” พอลบอกด้วยสีหน้าปกติ
“เฮ่ย ไม่รู้จักแต่อาจจะถูกใจก็ได้ ฉันจะจัดการให้” พอลชะงักนิดนึง
“จัดการ”
“ก็เอาตัวมันมาให้นายไง จะใช้วิธีไหนก็ได้ จะใช้เงิน ให้ของกำนัลหรือไม่ก็...”
พอลส่ายหน้า แววตาเหมือนจะมีรอยยิ้มขึ้นมาแว่บหนึ่ง
“ไม่มีทางสำเร็จสักวิธีหรอกครับ เขาไม่เหมือนคนอื่น”
เดนนิสมองพอลอย่างเพ่งพิศ
“ไหนบอกว่าไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้นมาก่อนไง”
พอลนึกได้แต่ทำสีหน้าปกติ
“ผมว่าคุณเองเห็นแวบเดียวก็อ่านเขาออกยิ่งกว่าผมอีก” เดนนิสหัวเราะ
“นายนี่สำคัญ ถ้าอยากให้ช่วยเมื่อไหร่ก็บอก”
“ขอบคุณครับ แล้วเรื่องเผาบ้านไอ้เตชิต ให้ผมจัดการดีกว่า”
“ไม่ต้อง ไอ้เจียงมันมีความแค้นส่วนตัวกับไอ้เตชิต ให้มันจัดการของมันเอง”
พอลมีสีหน้าเหมือนจะกังวลขึ้นมาแว่บหนึ่ง
เตชิตหันกลับมามองศรีตรังเมื่อรู้ว่ายายภาจะเผาศพเกษริน
“งั้นเราก็คงต้องรีบกลับ”
“แกพูดยังกับจะชวนฉันค้างยังงั้นแหละ”
“ใช่”
“ไอ้เต ฉันเป็นผู้หญิง แกเป็นผู้ชายนะเว้ย จะมานอนค้างอ้างแรมตามลำพังกันได้ไง”
“ใครว่าตามลำพัง ยังมีเสียงหวานกับลูกฉันอีก”
“ก็ฉันมองเห็นเสียที่ไหน”
“แปลว่าแกอยากเห็น ...”
ศรีตรังรีบขัดขึ้นทันที
“No. ไม่เด็ดขาด”
“ไอ้ศรีเอ๊ย ยังกับฉันอยากจะนอนกับแกนักนี่”
“ไอ้เต”
ศรีตรังจับกระเป๋าเขวี้ยงไปที่เตชิตทันที เตชิตเบี่ยงตัวหลบแล้วคว้าไว้ได้
“อย่ามาเล่นกับนักบาสฯ เก่า” สีหน้าเตชิตเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “ทำไมยายภาถึงเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากให้ส่งศพเกษรินมาชันสูตร”
“แกบอกว่าดวงวิญญาณหลานของแกต้องทนทุกข์ทรมานมานานแล้วอยากจะให้ไปผุดไปเกิดเสียที ... ก็น่าเห็นใจแกนะ”
เตชิตมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เจียงยังเฝ้าอยู่หน้าบ้านเตชิต เจียงรีบหลบเมื่อเตชิตขับรถพาศรีตรังแล่นผ่านไป เจียงมองตามจนเหลียวหลัง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
“พวกมันพากันออกไปแล้วครับนาย”
“ แกก็ตามมันไปซิวะ ไอ้โง่” เดนนิสวางโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิด “เพราะโง่ยังงี้น่ะซิถึงได้ถูกไอ้เตชิตมันจับได้
..ไอ้เตชิตมันพาแฟนมันออกไปแล้ว”
เดนนิสบอกพอล พอลค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
เตชิตขับรถพาศรีตรังเข้าไปจอดที่หนังสือพิมพ์ “ไทยก้าวหน้า” เจียงจอดรถอยู่มุมหนึ่งทางอีกฟากของถนน แล้วมองตามพลางกดโทรศัพท์รายงานเดนนิส
“มันเข้าไปในสำนักงานใหญ่ หนังสือพิมพ์ไทยก้าวหน้าครับเสี่ย เดี๋ยวผมจะโทร.ไปรายงานต่อครับ”
เจียงวางโทรศัพท์ลงแล้วเปิดเก๊ะหยิบหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา
เดนนิสวางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“มันไปที่ “ ไทยก้าวหน้า” พอลนิ่วหน้านิดๆ “มันไปทำอะไรที่นั่น”
“ตำรวจรู้จักกับพวกหนังสือพิมพ์เป็นเรื่องธรรมดาครับ”
“หรือบางทีก็ไม่ธรรมดา”
ธากรณ์เพื่อนของเตชิตรีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น เมื่อเตชิตและศรีตรังเดินเข้ามาดวงตาจับจ้องไปที่ศรีตรังบอกความรู้สึกชัดแจ้ง
“เชิญ...เชิญครับ...น้องศรีตรัง...เชิญนั่ง”
ธากรณ์กุลีกุจอออกมาเชื้อเชิญให้ศรีตรังนั่ง ด้วยความตื่นเต้นทำให้สะดุดขาเก้าอี้เกือบหกล้ม
“อุ๊ย เจ็บมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไร ทนได้ครับ น้องศรีตรังหิวหรือกระหายอะไรไหมครับ”
“ขอบคุณค่ะ แต่น้องศรีอิ่มแล้วค่ะ ไม่หิวหรือกระหายใดๆ ทั้งนั้น”
“เฮ้ย มองมาทางนี้บ้างซิวะ ไอ้กรณ์” ธากรณ์หันมามอง สีหน้าและท่าทางเปลี่ยนเป็นคนละคน “ฉันทั้งเมื่อย ทั้งหิวแล้วก็กระหาย ...” เตชิตบอก
“เมื่อยก็นั่ง หิวหรือกระหายก็ออกไปสั่งเอง แกเป็นลูกผู้ชายนี่”
“ไอ้ศรีมันก็เป็นทอม นั่งเองก็ได้วะ” เตชิตนั่งลง
“ทอมหวานๆ น่ะค่ะ”
ศรีตรังบอก ธากรณ์หัวเราะระรื่น
“แหม..ดีครับ ทอมหวานๆ น่ารักดี” เตชิตกระแอม แต่ธากรณ์ยังไม่หันไปมอง
“ไอ้เตมันกระแอมแล้วค่ะ” ศรีตรังบอก
“ช่างมันซิครับ จะกระแอมให้คอแตกตายก็เรื่องของมัน”
“แต่น้องศรีขอร้องให้พี่กรณ์ช่วยหันไปฟังมันหน่อยค่ะ เพราะนี่เป็นเรื่องด่วน”
“ก็ได้ครับ” ธากรณ์เบือนหน้ามาทางเตชิตด้วยสีหน้าปกติ “ แกมีธุระอะไร”
เตชิตค่อยๆ ล้วงม้วนกระดาษห่อพลาสติคออกมาจากอก แล้วค่อยๆ ดึงออกมา ส่งให้ธากรณ์ดู
“แม่เจ้า”
“ช่วยสืบให้หน่อยว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แล้วเกี่ยวข้องกับเจนจิรายังไง”
“เจนจิราไหน” ธากรณ์ถามทั้งที่ตายังไม่ละจากรูป
“ก็นางเอกละครไง”
ธากรณ์เลื่อนสายตามาที่เตชิตอย่างงงๆ
“ทำไม เขาเกี่ยวข้องอะไรกันเรอะ”
“ก็ถ้ารู้ ฉันจะท่อมาให้แกช่วยสืบทำไม”
ธากรณ์รับรูปจากเตชิตไปดูด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“แกเป็นตำรวจ ทำไมไม่ให้พวกเดียวกันสืบดู”
“เพราะมันกำลังจะถูกเขาไล่ออกอยู่แล้วค่ะ”
“นับว่าเขาคิดถูก”

เตชิตถอนใจเฮือกทำท่าเหมือนจะอยากชกธนากรณ์เต็มที่












Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 9:47:56 น.
Counter : 256 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]