All Blog
ปางเสน่หา ตอนที่ 11 (ต่อ)


เช้าวันรุ่งขึ้นเดนนิสและปรกเดือนกำลังคุยกันด้วยเรื่องสบายๆ เฮงเดินเข้ามาหาเดนนิสพร้อมกับส่งหนังสือพิมพ์บันเทิงให้อย่างนอบน้อม แล้วถอยไปยืนประสานมือห่างเดนนิสไม่มากนัก

“ข่าวคืบหน้าเรื่องคุณเจนจิราครับ”
เฮงบอก ปรกเดือนขยับตัวจะลุกขึ้น
“ไม่ต้องไปไหนหรอก ฉันไม่ได้ให้ไปตามมันกลับมา”
“เดือนจะไปพักผ่อนน่ะค่ะ”
“เฮ่ย! อุดอู้อยู่แต่ในบ้านทั้งวัน อยู่นี่แหละ”
ปรกเดือนจำใจนั่งลง เดนนิสเปิดหนังสือพิมพ์ดู ไล่สายตาเลยเรื่อยไปจนเห็นภาพเจนจิราอยู่ท่ามกลางแฟนคลับ
“ปากช่อง มันไปทำอะไรที่ปากช่อง” เดนนิสพึมพำออกมา
“คิดว่าไอ้ผู้กองคงจะเอาไปฝากแฟนมันที่ไร่สุขศรีตรังครับ”
“แล้วแฟนมันก็โง่รับฝาก แถมไม่เข็ดเสียด้วย...คราวที่แล้วเผาไร่ คราวนี้จะเอาไงดี”
ปรกเดือนเม้มปาก สีหน้าสลดหดหู่
“เผาตัวมันเลยดีมั้ยครับ”
เดนนิสหัวเราะ
“เข้าท่า”
ปรกเดือนรีบลุกเดินออกไปทันที เดนนิสมองตาม
ปรกเดือนกลับมาที่ห้องทรุดตัวลงนั่ง นิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาพอล
“ครับเดือน”
“เดี๋ยวฉันจะไปเยี่ยมยัยดาว คุณไปพบฉันที่นั่นหน่อยได้ไหมค่ะ”
“ได้เลยครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ปรกเดือนวางโทรศัพท์ลงสีหน้ายังไม่คลายกังวล
ส่วนที่ห้องรับแขกขณะนั้นเดนนิสลุกขึ้น บิดตัวเล็กน้อย
“ไปทำตามนี้ก็แล้วกัน อย่าให้เหลวล่ะ”
“ครับ”
เฮงเดินออกไป
เดนนิสกลับขึ้นห้องขณะนั้นปรกเดือนกำลังแต่งหน้าเตรียมออกไปข้างนอก
“จะไปเยี่ยมดาวหรือ”
“ค่ะ เสี่ยจะไปด้วยมั้ยค่ะ”
“ไม่ล่ะ..เดี๋ยวจะเข้าฟิตเนสสักหน่อย รู้สึกว่าพุงชักจะเริ่มอืดๆ แล้ว”
“งั้นเดือนไปละค่ะ”
เดนนิสพยักหน้า ปรกเดือนหยิบมือถือใส่กระเป๋าแล้วเดินออกไป เดนนิสมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ส่วนที่โรงพยาบาลประตูห้องปรายดาวเปิดออก พอลเดินเข้ามา เสียงหวานพลิกหน้ามามอง พอลเดินเข้ามาหาปรายดาวแล้วก้มลงจูบหน้าผากปรายดาวอย่างอ่อนโยน เสียงหวานเหลือบตามองตามไปจนพอลทรุดตังลงนั่ง พอลนิ่งมองเสียงครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นเดินมาที่เตียงพอลหยิบหมอนขึ้นมาเสียงเหลือกตามอง พอลเอาหมอนลงมองดูจากสายตาเสียงหวานเหมือนพอลจะเอาหมอนกดหน้าเสียงหวานจึงหลับตากรี๊ดร้องลั่น แต่พอลกับเอาหมอนนั้นมาจัดวางแขนให้ปรายดาวนอนสบาย เสียงหวานถอนใจอย่างโล่ง พอลจัดวางหมอนให้จนเรียบร้อยแล้วเดินมานั่งที่โซฟา
เดนนิสรอจนปรกเดือนออกจากบ้านไปแล้วจึงก้าวขึ้นรถการ์ดที่เปิดประตูให้ปิดประตูแล้วขึ้นนั่งคู่คนขับ
“ไปโรงพยาบาล”
“ครับ”
คนรถขับออกไป
เมื่อปรกเดือนมาถึงโรงพยาบาลเธอเปิดประตูห้องปรายดาวเข้ามา พอลลุกขึ้นยืนเดินมารับปรกเดือน ปรกเดือนเดินมาที่เตียงแล้วเสยผมปรายดาวอย่างอ่อนโยน
“เมื่อไหร่ดาวจะตื่นมาเสียที พี่รอดาวมา 2 ปีกว่าแล้วนะ”
“ก็ตื่นอยู่นี่ไงคะ แต่ทำไมไม่มีใครได้ยินเสียงดาวเลย”
เสียงหวานบอกแต่ไม่มีใครได้ยิน พอลโอบไหล่ปรกเดือน
“เขาอาจจะฟื้นหรือไม่ฟื้นก็ได้ เราต้องทำใจ”
ปรกเดือนถอนใจยาวแล้วหันมา
“ฉันมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง” พอลแตะไหล่ปรกเดือนมานั่งที่โซฟา “เดนนิสสั่งเฮงไปฆ่าศรีตรัง” พอลชะงัก เช่นเดียวกับเสียงหวานที่อ้าปากค้าง ปรกเดือนน้ำตาคลอ “เขารู้ว่าศรีตรังให้ที่พักเจนจิรา”
“ รู้ได้ยังไง”
พอลถามหน้าเครียด
“เฮงเอาหนังสือบันเทิงดารามาให้ดู เป็นภาพเจนจิราถ่ายรูปกับแฟนคลับที่ปากช่อง เสี่ยก็เลยปะติดปะต่อเอาเองว่าเจนจิราต้องอยู่ที่นั่น” ปรกเดือนยิ่งพูดน้ำตายิ่งไหล พอลขบกรามแน่น ปรกเดือนเอนไหล่พิงพอล “ ทำไมเขาถึงได้ใจดำมหิตขนาดนี้ ...ไม่เกรงกลัวบาปบุญคุณโทษเลยสักนิด” พอลโอบกอดปรกเดือนไว้อย่างปลอบโยน “เดือนจะทำยังไงดี เดือน...”
“นี่มันโรงพยาบาลไม่ใช่โรงแรม”
เสียงเดนนิสดังขึ้นพอลกับปรกเดือนถึงกับสะดุ้ง พอลยังไม่ปล่อยปรกเดือนราวกับจะแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“เสี่ยกำลังเข้าใจผิด” พอลบอก
“เอามือของแกออกไหล่เมียฉัน”
“เดือนเป็นห่วงเสี่ย”
พอลบอก เดนนิสแค่นหัวเราะเยาะ
“ก็เลยหลบมากอดกับแกงั้นซิ”
“คุณดูถูกเดือนมากไปแล้ว”
“จะดูผิดได้ยังไง ในเมื่อฉันเห็นเต็ม 2 ตา”
“ช่างเถอะค่ะ พอลไม่ต้องไปเสียเวลาอธิบายหรอก ถ้าคนมันจะไม่ยอมเข้าใจ ต่อให้อธิบายจนคอแตกตายมันก็ไม่เข้าใจ เดือนกลับละค่ะ”
ปรกเดือนหยิบกระเป๋าเดินออกไป พอลขยับจะตาม เดนนิสกระชากพอลมาต่อยจนเซถลา
“ไม่ต้องไป”
เดนนิสเดินออกไป พอลจับแผลเลือดซึมที่มุมปาก พอลเดินกลับมานั่งขณะที่เสียงหวานอ้าปากค้างด้วยความตกใจตั้งแต่เดนนิสเข้ามาแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะพี่พอล หากดาวฟื้น ดาวจะเป็นพยานให้อย่าเสียใจนะคะ”
พอลเอนตัวลงนอนก่ายหน้าผาก เสียงหวานเบือนหน้ามามองอย่างเห็นอกเห็นใจ
ขณะนั้นเตชิตและศรีตรังเดินคุยกันมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
“ไอ้เตเอ๊ย รักใครไม่รัก ดันไปรักผี”
“ก็ผู้หญิงที่ฉันใกล้ชิดด้วยมีแค่ 2 คนคือแกกับผี ซึ่งฉันคิดว่าฉันน่าจะรักผีมากกว่า”
ศรีตรังหยุดเดินทันที
“ไอ้บ้า รู้งี้ฉันไม่มาด้วยหรอก”
ขณะที่สองคนเดินคุยกันมาเดนนิสและปรกเดือนเดินออกมา ปรกเดือนเดินจ้ำนำหน้า เดนนิสพยายามตามง้อ
“เฮ้ย เฮ้ย ดูโน่น”
เตชิตมองตามที่ศรีตรังบอก
“ไอ้เดนนิสกับเมียมัน”
เดนนิสและปรกเดือนไม่ได้มองมา เพราะมัวแต่ทะเลาะกัน ศรีตรังและเตชิตหยุดมอง
“แกว่าคุณนายปรกเดือนจะรู้มั้ยว่าสามีตัวเองรวยเพราะอะไร”
“ผัวเมียนอนเตียงเดียวกัน มันก็ต้องรู้บ้างแหละน่า”
“เท่าที่เห็น ฉันว่าแกดูซื่อๆ”
“เคยได้ยินมั้ยที่โบราณว่า “หน้าซื่อใจคด” ไป๊”
ทั้งคู่เดินกันต่อ
ขณะนั้นพอลยังนอนก่ายหน้าผากหลับตาอยู่บนโซฟา ประตูห้องปรายดาวค่อยๆ แง้มออก แล้วศรีตรังฃก็โผล่หน้าเข้ามา
“คุณศรีตรัง ฉันอยู่นี่ค่ะ”
เสียงหวานร้องเรียกเมื่อเห็นศรีตรัง ศรีตรังกวาดตามองแว่บหนึ่งเห็นพอลนอนอยู่ ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจแล้วรีบผลุบออกไป
ศรีตรังปิดประตู คว้าแขนเตชิตเดินออกไปทันที
“ไป”
เตชิตขืนตัวไว้
“เฮ้ย ฉันยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเลยนะเว้ย”
“ก็ฉันเข้าไปเยี่ยมให้แล้ว”
“โผล่หัวเข้าไปแว่บเดียวเนี่ยนะ”
“เออ แค่นี้พอแล้ว ถึงเข้าไปแกก็คุยกับคุณหนูเผือกไม่ได้ ดีไม่ดีพยาบาลเข้ามาเห็นจะคิดว่านอกจากแกจะเป็นโรคจิตแล้วแกยังเป็นบ้าอีก ไป...ไป๊”
ศรีตรังลากแขนเตชิตออกไป เตชิตสะบัดแขนออก
“แกเป็นอะไรวะ ไอ้ศรีอุตส่าห์มาจนถึงที่แล้ว”
พยาบาลเดินผ่านมาแล้วชะงัก เดินย้อนมาอีก คราวนี้เตชิตเป็นฝ่ายดึงแขนศรีตรัง
“ไป”
“เฮ้ย อะไรวะ”
“แกบอกให้ไป ฉันก็ไปแล้วไง”
เตชิตรีบลากแขนศรีตรังออกมา
เตชิตกับศรีตรังกลับมาบ้าน พอเข้ามาในบ้านทั้งคู่ต่างคนต่างนั่งด้วยอิริยาบถเดียวกัน
“ถามจริง เมื่อกี้ทำไมแกถึงไม่เข้าไป” เตชิตถามขึ้นมา
“แกอย่ารู้เลย”
“ยิ่งพูดแบบนี้ฉันยิ่งอยากรู้”
“รู้แล้วเดี๋ยวแกจะหงุดหงิดจิตฟุ้งซ่าน”
“เฮ่ย ฉันน่ะสุขุมคัมภีรภาพนะเว้ย ใจงี้เย็นเป็นน้ำแข็ง มีเหตุมีผล”
“ฉันเจอตาพอลอยู่ในห้อง”
“พอลก็พอลซิ” เตชิตยักไหล่แบมือแล้วชะงัก “หา ไอ้แวมไพร์พอลน่ะเรอะ มันเข้าไปเยี่ยมเสียงหวานได้ยังไง แล้วอยู่กันสองต่อสองหรือเปล่า แล้ว...”
ศรีตรังลุกเอาหนังสือพิมพ์ฟาดหัวเตชิต
“ไอ้เต ไอ้สุขุมคัมภีรภาพ หน๊อย! ใจเย็นเป็นน้ำแข็ง มีเหตุมีผล”
“แต่ไม่ใช่กับไอ้พอล ไอ้ศรีนะไอ้ศรี แกกลัวว่าฉันจะต่อยแฟนแกใช่มั้ย”
“โว้ย บอกว่าไม่ใช่แฟน แกนี่พูดไม่รู้ฟัง” เตชิตลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอย่างพลุ่งพล่าน แล้วเดินไปที่ประตู “เฮ้ย เฮ้ย จะไปไหน”
“ไปโรง’บาล”
“พอแกไปถึง รับรองว่าไม่เจออีตาพอลแล้ว”
เตชิตพยักหน้าช้าๆ
“คิดอีกที ไอ้พอลมันเป็นลูกน้องไอ้เดนนิส เจ้านายอาจจะใช้มันไปคอยดูแลน้องเมียก็ได้”
“แล้วทำไมไม่ใช้ลูกน้องผู้หญิง”
“เออ นั่นซินะ ไอ้ศรี นี่แกจะให้ฉันเย็นหรือร้อนกันแน่วะ” ศรีตรังลุกขึ้น “จะไปไหน”
“กลับบ้าน” ศรีตรังบอกแล้วเดินออกไป
“อ้าว เฮ้ย”
อีกด้านหนึ่งที้บ้านจุรีขณะนั้นอ้อยกำลังเตรียมข้าวของใช้สำหรับพิธีไล่ผี
“หัวหมู...ครบ...เป็ดไก่...ครบ ...”
จุรีเดินเข้ามามอง
“อะลั๊ดตั๊ดต๊า นั่นจะขนซื้อมาให้ต้นตระกูลแกกินเรอะ”
“ซื้อมาบูชาเจ้าที่เจ้าทางเพื่อขอความร่วมมือในการปราบนังหน้าเขียว”
“เฮ้ย มันบาปกรรมนะลูก”
“ก็แล้วที่มันมาหลอกหลอนอ้อยล่ะ ความจริงจะลงมือตั้งแต่วันก่อนแล้วพอดีลุงหมอแกไม่ว่างก็เลยเลื่อนมาวันนี้”
“อ้อย อ้อย อยู่หรือเปล่า” เสียงเจนสจิราร้องเรียก
“อยู่ค่ะ เชิญข้างในซิคะ”
เจนจิราเดินเข้ามา
“คุณจะเอากับมันด้วยหรือคะ” จุรีถามเจนจิรา
“สนุกดีออก”
“สนุกกับผีอะไรล่ะคะ”
“ก็ผีนังเกษมันไงแม่ ต้องสนุกแน่ๆ เลย แม่จะเข้าร่วมพิธีด้วยมั้ย”
“ไม่เด็ดขาด เพราะฉันไม่ใช่เป็นคนนอนดึก”
“กลัวละซี้...อ้อ แม่อย่าบอกใครนะ เราจะไปทำพิธีกันเงียบๆ ในไร่ เดี๋ยวนายศรีตรังเขาจะมาโวยวายแกยิ่งสั่งห้ามอยู่”
“ไปเถอะป้า มีกันหลายๆ คน ผีจะได้งงไม่รู้จะหลอกใครดี” เจนจิราชวน
“ทำเป็นพูดดีไปเถอะค่ะ แล้วจะหาว่าป้าไม่เตือน”
อ้อยทำหน้าพยักเพยิดกับเจนจิราล้อเลียนจุรี
ที่หน้าออฟฟิศหมอผีขณะนั้นเฮงและลูกน้องนั่งอยู่ในรถปิ๊กอัพ สอดส่ายสายตามองออกไปข้างนอก
“ยังไม่เห็นมาเลย”
“ใช่แน่นะเว้ย”
“มาโน่นแล้ว”
เฮงบอกเมื่อเห็นหมอผีขี่จักรยานมาจอด เฮงและพวกเปิดประตูลงมา เฮงยกมือไหว้หมอผี ทุกคนไหว้ตาม
“เออ ไหว้พระเถอะ” หมอผีบอก
“พวกผมไหว้หมอครับ คือนับถือมาก” เฮงบอก
“จะให้ข้าไปปราบผีละซิ”
“เปล่าครับ คือ พวกเราแค่แปะชื่อหมออำนาจไว้หน้าบ้านผีมันก็ไม่กล้าเข้าบ้านแล้ว”
“คือพวกผมทราบมาว่าดาวระดับนางเอกคนนึง ก็เป็นลูกศิษย์ของหมอด้วย”
“ไม่ใช่คนเดียว แต่มีหลายคนนี่แน่ะ พูดแล้วไม่มีหลักฐานเดี๋ยวจะว่าโม้ คืนนี้ข้าจะไปปราบผีที่ไร่สุขศรีตรัง”
เฮงและลูกน้องทำหน้าตื่นเต้น
“ฮ้า”
“จริ๊ง พวกเอ็งจะตามไปดูเป็นขวัญตาก็ได้”
เฮงมีสีหน้าเจ้าเล่ห์ทันที
“ไปอยู่แล้วครับ โอกาสแบบนี้ไม่ใช่หาง่ายๆ”
เตชิตตามศรีตรังมาที่ไร่สุขศรีตรังด้วย เมื่อศรีตรังและเตชิตมาถึงจุรี ตรีทศและสมต่างพากันดีใจ
“ด้วยความเคารพ ผมดีใจจังเลยครับที่คุณเตกลับมาค้างที่นี่อีก” สมบอก
“เอ้อ ...คุณเตได้พบคุณหนูเผือกเสียงหวานบ้างหรือเปล่าคะ” จุรีถาม
“ก็ที่มาวันนี้ก็เพราะจะมาตามหาคุณหนูเผือกนี่ละ”
“เมื่อหลายคืนก่อนป้าก็เห็นเธอค่ะ”
“นานหรือยังครับ” เตชิตถามทันที
“โฮ้ย ก็เขาเพิ่งบอกว่าเมื่อหลายคืนก่อน คุณทศล่ะนั่งเงียบอยู่คนเดียว จะไม่ออกความเห็นอะไรบ้างหรือค่ะ” ศรีตรังถาม
“แต่ก่อนผมไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ แต่หลังจากวันนั้น...”
“ด้วยความเคารพ เชื่อสนิท” สมพูดต่อให้
“สนิทเลยครับ แต่ผมไม่กลัวนะ ตอนแรกอาจจะมีบ้างแต่พอได้คิดก็เริ่มเข้าใจพวกเขา”
“คุณทศเข้าใจผี อะลั๊ดตั๊ดต๊า” จุรีขำกลิ้ง
“ด้วยความเคารพ นี่ผมยังไม่เห็นคุณนางเอกเลยนะครับ”
“อ๋อ เขาเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำค่ะ เห็นบอกว่าไม่ค่อยสบาย ยัยอ้อยก็เหมือนกัน ... เจนจิราไม่สบายตัวเองก็ดันไม่สบายไปด้วย”
“ค่ะ เปรียบเสมือนคอหอยกับลูกกระเดือกเลย”
ขณะนั้นเจนจิราอยู่ในห้องรับอ้อย
“พวกเขาจะสงสัยมั้ยอ้อยที่เราเข้านอนแต่หัวค่ำ” เจนจิราถามอ้อย
“ไม่หรอกค่ะ จะนอนดึกหรือหัวค่ำมันก็แล้วแต่เราคนที่นี่เขาจะไม่ค่อยจะสนใจกันอยู่แล้ว”
“เราจะออกไปกี่ทุ่ม”
“สองยามค่ะ”
“ทำไมจะต้องสองยาม”
“เพราะมันดีกว่า 5 ทุ่มกับตีหนึ่งมั้งคะ อย่ามัวแต่ซักเลย เราต้องรีบนอนแล้ว” อ้อยบอกแล้วดึงผ้าห่มคลุมโปง เจนจิราล้มตัวนอนบ้าง “ขออย่างเดียว อย่ามาหลอกกันก่อนสองยามเล้ย”
ที่บ้านศรีตรัง เตชิต ตรีทศและสมพากันลุกขึ้นเพื่อแยกย้ายกันไปนอน
“ด้วยความเคารพ นี่ก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว คงต้องลาไปนอนกันเสียที คุณเตจะนอนบ้านผมหรือว่านอนบ้านคุณทศครับ” สมถามเตชิต
“นอนบ้านลุงสม คุณทศคงจะชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ มากกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ไปตกลงกันเองกลางทางก็แล้วกัน”
“เออ ฉันไปละ”
ทั้งหมดร่ำลากัน แล้วเตชิต ตรีทศ สมก็พากันเดินออกไป
“ป้าจุนอนคนเดียวได้มั้ยคะ” ศรีตรังถามจุรี
“ไม่ได้ค่ะ บอกตามตรงเลยนะคะว่ากลัว”
“งั้นปิดบ้านแล้วขึ้นไปนอนห้องศรีก็แล้วกันค่ะ”
ศรีบอกแล้วเดินขึ้นบันไดไป จุรีรีบปิดประตูหน้าต่างอย่างหวาด ๆ
ระหว่างทางกลับบ้านพัก เตชิต ตรีทศและสมเดินกันมาเงียบๆ ลมเย็นๆ พัดมาต้นไม้ใบไม้แกว่งไกว
ทั้งหมดเดินมาถึงบริเวณรีสอร์ทที่ถูกไฟไหม้ เตชิตหยุดเดิน
“ลุงสมกับคุณทศเดินล่วงหน้าไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมตามไป”
สมและตรีทศมองหน้ากัน
“ด้วยความเคารพ แถวนี้ออกจะวังเวงอยู่นะครับ”
“เสียงหวานอาจจะอยู่ที่นี่”
“เสียงหวาน ...”
สมและตรีทศทำหน้างงๆ
“ไปก่อนเถอะครับ ไม่ต้องรอผม” เตชิตตัดบท
“ถ้าคุณเตชิตมั่นใจ ลุงสมกับผมก็ไปนอนละครับ”
ตรีทศและสมเดินออกไป เตชิตหันไปมองโดยรอบ
ส่วนที่บ้านศรีตรัง จุรีตามศรีตรังเข้ามาในห้องแล้วรีบปิดประตูล็อค
“ไอ้เตเขามาตามหาคุณหนูเผือกเสียงหวานที่นี่ค่ะ” ศรีตรังบอกจุรี
“เออ ... แปลกนะคะ หมู่นี้ป้าก็ไม่เห็นคุณหนูเผือกเหมือนกัน เห็นแต่คุณหนูเขียว เห็นบ่อยๆ เข้าก็จะชักจะเคยชิน วันไหนไม่เห็นก็เหมือนขาดอะไรไปอย่างนึง”
“ขอบใจ”
เสียงเกษรินดังขึ้น ศรีตรังและจุรีรีบคลุมโปงทันที
ทางด้านเตชิต เขาทรุดตัวลงนั่งบริเวณรีสอร์ที่ถูกไฟไหม้ แล้วมองไปโดยรอบอย่างรอคอยท่ามกลางบรรยากศที่ดูวังเวง
“เสียงหวาน ผมรู้นะว่า คุณอยู่แถวนี้”
“เธอไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกคะ” เสียงเกษรินดังขึ้น เตชิตรีบผุดลุกขึ้นทันที แล้วทำหน้าเลิ่กลั่ก “เธอหายไปได้สักพักนึงแล้ว”
“สะ...สะ...เสียง...เสียงเย็น” เกษรินเดินออกมาจากเงามืด “รา ...รา...ราตรีสวัสดิ์”
เตชิตรีบเดินไปจากที่นั้นทันที เกษรินมองตาม
เตชิตรีบเดินมาบ้านสม สมเปิดประตูรับเตชิตที่เดินหน้าตาเลิ่กลั่กเข้ามา
“เจอคุณหนูเสียงหวานแล้วซิครับ”
“ไม่ใช่ครับ”
สมพยักหน้าช้าๆ
“ด้วยความเคารพ ผมเข้าใจแล้วครับ”
“เสียงหวานไปอยู่ที่ไหน” เตชิตบ่นขณะเดินมานั่ง
“ด้วยความเคารพ ที่ชอบไงครับ”
กลางดึกคืนนั้นขณะที่เตชิตกำลังนอนหลับ เตชิตก็ฝันว่าตัวเองกำลังเดินตะโกนตามหาเสียงหวาน
“เสียงหวาน...คุณอยู่ที่ไหน! เสียงหวาน”
“ฉันอยู่ที่นี่ ทางนี้”
เตชิตยกมือปัดหมอกควัน แล้วเดินไปตามเสียง พลางเหลียวมองหา
“เสียงหวาน ผมมาแล้ว”
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
เตชิตชะงักเมื่อเห็นเสียงหวานถูกควันสีดำยึดตัวเอาไว้แน่น
“เสียงหวาน”
เสียงหวานยื่นมือออกมา
“ช่วยด้วย”
เตชิตยื่นมือออกไปรับ แต่แล้วจู่ๆ ควันสีดำก็กลืนร่างเสียงหวานหายเข้าไป
“ช่วยด้วย”
เสียงหวานตะโกนเสียงก้อง...เตชิตสะดุ้งตื่นแล้วผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
“เสียงหวาน”
ทุกอย่างเงียบวังเวง เตชิตลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างมองออกไปด้านนอก เตชิตเห็นแต่เงาตะคุ่มๆ ของต้นไม้ใหญ่น้อย เตชิตผละเดินมาทรุดตัวลงบนโซฟาตามเดิม
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ...”

เตชิตพึมพำออกมาด้วยสีหน้าเศร้าๆ
กลางดึกคืนนั้นท่ามกลางบรรยากาศวังเวงของบริเวณไร่ข้าวโพดที่ถูกเผาผลาญไปแล้ว รถคันหนึ่งแล่นมาจอด อ้อยซึ่งเป็นคนขับเปิดประตูลงมา เจนจิราซึ่งนั่งคู่ก้าวตามลงมาเช่นกัน ส่วนหมอผีซึ่งอ้อยไปรับก็ลงมาพร้อมกับข้าวของ

เจนจิรามองไปรอบๆ ด้วยท่าทางหวาดๆ
“ปลอดภัยแน่นะ โธ่เอ๊ย! ฉันไม่น่าอยากรู้อยากเห็นขนาดนี้เลย”
“ถึงแล้วน่า บ่นไปก็ไม่มีประโยชน์”
“ฉันจะกลับทันมั้ยเนี่ย”
หมอผีจัดของพลางพูดพลาง
“จะกลับก็ได้ แต่ไม่รับรองว่าจะเจอผีระหว่างทาง” เจนจิราสะดุ้งจับแขนอ้อยแน่น หมอผีเงยหน้ามองโดยรอบ “เพราะป่านนี้ มันคงรู้ว่าหมอผีผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว”
“งั้นมันก็หนีกระเจิงไปแล้วนะซิ”
“เปล่า มันกำลังคอยดูท่าที”
“คุณหมอไม่มีผู้ช่วยหรือค่ะ”
“มี พวกกรุงเทพ 2-3 คน เขาศรัทธาข้ามากเลยขอตามมาดูด้วย”
“แล้วลุงก็ให้เขามา”
“ก็ใช่น่ะซิวะ”
“โธ่เอ๊ย...อ้อยยิ่งอยากจะให้เป็นความลับ”
“ลับกับผีอะไรละ” หมอผีตวาดสองสาวสะดุ้ง “ความลับไม่มีในโลก อย่าอยู่เฉยๆ ช่วยหยิบจับอะไรบ้าง”
สองสาวช่วยยกของตามคำสั่ง
ส่วนที่บ้านสมจู่ๆ ก็มีเสียงหมาหอนดังขึ้นเบาๆ เตชิตกำลังเคลิ้มหลับ รีบผุดลุกขึ้นทันที เสียงหมาหอนกระชั้นใกล้เข้ามาเตชิตเริ่มเลิ่กลัก
“เอาอีกแล้ว เจ้าประคู้ณคุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย ขอให้เป็นเสียงหวานเถอะ อย่าให้เป็นเสียงเย็นเลย” มีเสียงเหมือนใครปาก้อนอิฐมาที่หน้าต่าง เตชิตสะดุ้งเฮือก“ใครว่ะ”
เตชิตค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่าง แล้วสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่ เกษรินมองเห็นหน้าเตชิตแล้วค่อยๆ ชี้มือไปทางไร่ ขณะที่ตามองเตชิตเขม็ง
“อะ...อะ...อะไร” เกษรินชี้มือไปที่ไร่อีก “มะ...มะ...ไม่รู้เรื่อง” เตชิตตัดสินใจหันกลับมาแล้วตกใจแทบทรุดเมื่อเจอเกษรินยืนอยู่ “กะ...กะ...กลัว...กลัวแล้ว”
“ไม่ต้องกลัว”
“มา...มะ...มัน...มันพูดง่าย...ทะ...ทะ...ทำ...ทำยาก”
“ที่ไร่ ที่ไร่...”
ร่างเกษรินเลือนหายไป เตชิตแทบล้มทรุด
เตชิตรีบมาหาสมที่ห้องแล้วบอกเรื่องเกษริน
“ด้วย...ด้วย...ความ...ความเคารพ ผี...ผี หรือครับ”
“ไร่! เขาบอกผมให้ไปที่ไร่”
“เชิญ...เชิญ คุณเต...คน...คนเดียวเถอะครับ”
“ไม่ได้ ต้องไปด้วยกัน ไปชวนคุณทศด้วย ถ้าลุงสมไม่ไป เกษริน อาจจะมาเชิญด้วยตัวเองไม่รู้ด้วยนะครับ”
เตชิตบอกแล้วเดินออกไป
“รอด้วยครับ ผมไปด้วยคน”
สมรีบตามไป
เตชิตไปตามตรีทศที่บ้าน ตรีทศรีบเดินออกมาขณะนั้นเตชิตกับสมรออยู่หน้าบ้านโดยสมเหลียวซ้าย แลขวาด้วยความหวาดกลัว
“ไปครับ”
ตรีทศบอก ทั้งหมดเดินขึ้นปิคอัพของสมแต่แล้วเตชิตก็ต้องสะดุ้งเฮือก ผงะถอยหลังโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นเกษรินนั่งอยู่เบาะหลัง
“เฮ้ย”
ตรีทศกับสมเลิ่กลั่ก
“อะ...อะไรครับ...คุณเต...”
เกษรินยกนิ้วแตะปากเป็นสัญญาณไม่ให้พูด
“มา...มา...ไม่...ไม่มีอะไร ขึ้น...ขึ้นรถเถอะ”
สมขึ้นรถประจำที่คนขับ เตชิตขึ้นด้านหน้าในขณะที่ตรีทศขึ้นเบาะหลังข้างๆ เกษริน เตชิตค่อยๆเหลียวมองเกษรินแหยงๆ
“อะไรหรือ คุณเต”
ตรีทศถาม เกษรินมองเตชิตเขม็ง
“เปล่า ไม่...ไม่มีอะไร เหตุการณ์ปกติ”
ส่วนที่ไร่ขณะนั้นหมอผีเงยหน้ามองฟ้าแล้วนับนิ้วไป
“ทำอะไรหรือค่ะ ลุงหมอ” เจนจิราถาม
“กำลังคำนวนหาเวลาที่เหมาะสม อ๊ะ ได้แล้ว เอ็งสองคนเข้ามาอยู่ในวงสายสิญจ์นี่”
“ทำไมต้องวงสายสิญจ์ ตรงนี้ด้วยล่ะค่ะ”
“ลูกอีช่างซัก ก็ตรงนี้เป็นที่ฝังศพเกษรา เกษรินอะไรนั้นน่ะซิ”
เจนจิราสะดุ้ง
“อุ๊ย”
“ไปค่ะ เข้าไปอยู่ในนั้นกัน”
สองสาวกำลังจะเข้าวงสายสิญจ์ มีแสงจากไฟหน้ารถส่องมา ทั้งสามหันไปมอง
“มากันแล้ว”
“ใครค่ะ”
“อ๊ะ นังคนนี้ก็ช่างซัก นังคนนี้ก็ขี้ลืม ก็บอกแล้วไงว่า พวกลูกศิษย์ลูกหาที่กรุงเทพ เขาจะมาขอดูพิธี”
“อ๋อ”
รถแล่นมาจอด เฮงและสมุนตามกันลงมา เจนจิราเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ไอ้เฮง”
“พี่รู้จักด้วยหรือค่ะ”
อ้อยตามขณะที่เฮงกับสมุนตรงมาที่เจนจิรา เจนจิราหันหลังวิ่งหนีไปทันที
“เฮ้ย ตามไป”
เฮงกับสมุนวิ่งไล่ตามจับเจนจิรา
“อะไรกันน่ะ” อ้อยมองตามงงๆ
“ไอ้พวกบ้า อึกทึกครึกโครมกันยังงี้ ผีตกใจหนีหมด”
“ทำพิธีต่อเถอะลุง ให้เขาเล่นไล่จับกันไป”
“วะ เมื่อกี้ไม่ได้ยินเรอะว่าข้าพูดอะไร ป่านนี้ผีมันหนีไปหมดแล้ว”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ”
“ก็กลับน่ะซิว่ะ ไป ขับรถไปส่ง...นั้นใครอีกล่ะ”
หมอผีชะงัก อ้อยหันไปมองตามสายตาหมอผีจึงเห็นเกษรินยืนมองมา อ้อยเบิกตากว้างด้วยความตกใจกลัว
“เกษริน”
“เกษริน...ดูมัน ไปยืนทำหน้าทำตาซะเหมือนผีเลย”
“ก็ผีน่ะซิ” อ้อยบอกแล้ววิ่งหนีทันที
“ผี...มิน่า... ผีเรอะ”
หมอผีวิ่งกระเจิงตามไปอีกคน
ขณะนั้นกลุ่มเตชิตกำลังขับรถเข้ามาในไร่ เตชิตค่อยๆ หันไปมอง แล้วถอนใจที่ไม่เห็นเกษริน สม
คอยสังเกตตลอดจึงถามขึ้นมา
“ด้วย...ด้วย ความเคารพ ไป...ไปแล้วหรือครับ”
เตชิตพยักหน้ารับ
“ฮื่อๆ ลุงสมรู้ได้ยังไง”
“ก็...ก็ มันเย็นๆ ตรงท้ายทอยครับ”
“พูดถึงอะไรกันครับ”
ตรีทศถามอย่างแปลกใจเตชิตยังไม่ทันตอบเพราะเจนจิราวิ่งตรงมาท่ามกลางแสงไฟหน้ารถพอดี
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“นั่นคุณเจนจิรานี่”
“มาทำอะไร แถวนี้”
สมหยุดรถ เตชิตเปิดประตูก้าวลงไป เจนจิราผวาเข้ากอดเตชิต
“คุณเต ช่วยด้วย”
เฮงและสมุนตามมา ทุกคนถือปืน
“ส่งตัวนังนั่นมา ผู้กอง”
เฮงบอก เตชิตเบี่ยงตัวบังเจนจิราไว้ สมและตรีทศคว้าปืนยาวลงมา ตั้งลำเตรียมเหนี่ยวไก
“ผมโทรตามคนงานมาแล้วผู้กอง” ตรีทศบอก
“จับมันเลยค่ะ จับมันเลย”
“วางปืนลง” กลุ่มเฮงมองหน้ากันแว่บหนึ่ง แล้วถอยไป 2- 3 ก้าว “วางปืนลง”
“หนี”
เฮงและสมุนวิ่งหนีกันไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ตรีทศและสมรีบตาม
“คุณไปนั่งรอในรถก่อน”
“คุณจะไปไหน”
“จับไอ้พวกนั้น”
“เจนกลัว ขอเจนไปด้วยคนนะคะ”
“ไปนั่งรอในรถ”
พูดจบเตชิตก็รีบเดินไป
“คุณเต คุณเต กลับมาก่อน” เตชิตวิ่งหายไปในความมืด “คุณเต ไอ้เต”
ไม่มีใครจริงๆ เจนจิรามองรอบตัวหวาดๆ แล้วรีบเดินมาขึ้นรถหน้าตางอง้ำ
อีกด้านหนึ่งอ้อยวิ่งล้มลุกคลุกคลานหนีเกษรินมาเรื่อยๆ เสียงหมาหอนดังขึ้น อ้อยหยุดชะงักมองรอบๆ อย่างหวาดกลัว
“ฉันกลัวแล้ว อย่ามาหลอกหลอน ฉันเลยนะ”
ไม่ปรากฏร่างเกษริน อ้อยอยู่ในลักษณะนั้นครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาว
“อ้อย...ย...ย ...”
อ้อยกำลังขยับออกเดินแล้วสะดุ้ง
“คะ...คะ...ใคร...พี่...พี่เจนหรือคะ”
“อ้อย...ย...ย”
“ใครน่ะ เรียกอยู่ได้”
อ้ยยชักฉุน มีมือๆ หนึ่งเอื้อมมาดึงผมอ้อยกระชาก อ้อยโกรธจัดหันขวับไป แล้วเบิกตากว้างร้องกรี๊ดเมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่ อ้อยเซถลาถอยหลัง
“กลัวแล้ว ฉันกลัวแล้ว” เกษรินก้าวเข้ามาช้าๆ “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ขณะนั้นตรีทศและสมวิ่งตามกลุ่มเฮงมาแต่แล้วทั้งคู่ก๋ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องของอ้อย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“เสียงอ้อยนี่” เสียงร้องให้ช่วยดังขึ้นอีก “เสียงมาจากทางนี้”
ตรีทศและสมรีบวิ่งไปตามที่มาของเสียง
เฮงและสมุนวิ่งหนีมาที่รถ หมอผีวิ่งตามมา
“ไปคน” หมอผีเกาะรถเฮงจะขึ้นให้ได้แต่เฮงหันมาถีบ “ไม่ให้ไป”
หมอผีกลิ้งล้ม สมุนคนหนึ่งของเฮงสตาร์รถ หมอผีกระโดดหลังปิ๊กอัพจนได้อย่างหงุดหงิด
“ก็กูจะไป”
รถแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว เตชิตวิ่งตามมาเห็นเพียงแสงไฟหายลับไป
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
เตชิตบ่นอย่างหงุดหงิด
ระหว่างนั้นเจนจิรานั่งหน้างออยู่บนรถสม เจนจิราสะบัดบิ้งพักหนึ่งที่กลุ่มเตชิตยังไม่กลับมาสักที
“ไม่รู้ไปตายที่ไหนแล้ว”
เจนจิราบ่นพึมพำพักหนึ่ง แล้วจึงเห็นทุกคนเดินตรงมา อ้อยมั่วกอดตรีทศแน่นด้วยความหวาดกลัว
เจนจิราถอนใจอย่างโล่งอก
“ได้ตัวมั้ยคะ คุณเตะ เอ๊ยคุณเต”
“ไม่ได้ครับ แต่ผมจำหน้าได้”
เตชิตบอก ทั้งหมดขึ้นรถ
“ตกลงเจอผีมั้ยอ้อย” เจนจิราถามอ้อย
“มีอะไร” เตชิต สม ตรีทศถามออกมาพร้อมกัน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” อ้อยรีบปฏิเสธ
“มีซิ อ้อยไปรับหมอผีมาปราบผีไง”
“จริงหรืออ้อย”
“จริงค่ะ ก็มันรบกวนหลอกหลอนทุกคนจนอยู่ไม่เป็นสุขแล้วอ้อยเลยต้องตามหมอผีมาปราบ”
“นายศรีตรังรู้ละเป็นเรื่องแน่”
สมบอก แล้วก็เป็นเรื่องจริงๆ เมื่อศรีตรังรู้เรื่องนี้จึงต่อว่าอ้อย
“ฉันสั่งแล้วใช่มั้ยว่าห้ามพาหมอผีเข้ามาทำพิธีไล่ผีไล่เปรตอะไรในรีสอร์ททั้งนั้น”
“ก็อ้อยไม่ได้ทำในรีสอร์ทนี่คะ อ้อยทำในไร่” อ้อยเถียง จุรีนึกฉุนลูกสาว
“ยังจะเถียงอีก มันน่านัก” จุรียกมือขึ้นจะฟาดแขน อ้อยหลบได้อย่างหวุดหวิด
“อ้อยไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะแม่ถึงจะได้มาตบมาตีกัน”
“แกทำตัวยิ่งกว่าเด็กอีก เด็กมันบางทียังพูดรู้เรื่องห้ามอะไรก็ฟังกันแต่นี่แกไม่เคยเชื่อไม่เคยฟังเล้ย แล้วเป็นไง ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน”
“อ้อยเปล่านะแม่ ไอ้พวกนั้นมันมาจับพี่เจนต่างหาก ไม่เชื่อก็ถามพี่เตดู”
“ก็ถ้าอ้อยไม่พาเจนไปติดต่อหมอผี พวกมันก็จะไม่เห็น”
“อ้อยไม่ได้อยากจะพาไปหรอกนะคะ นายศรีตรัง พี่เจนเขาจะไปให้ได้เขาเบื่อที่จะอุดอู้อยู่แต่ในไร่”
ศรีตรังเม้มปาก “ถ้าจะลงโทษก็ต้องลงทั้ง 2 คน ไม่งั้นอ้อยไม่ยอมด้วย”
ขณะนั้นเตชิตกำลังคุยกับเจนจิราอีกมุมหนึ่งของไร่
“ตกลงเป็นคุณเตใช่มั้ยคะ ที่เป็นคนจัดการให้เจนมาอยู่กับยัยศรีตรัง”
“จะเป็นใครก็ช่างเถอะ แต่ในเมื่อคุณอยู่แล้วก็ไม่ควรทำให้เจ้าของบ้านเขาเดือดร้อน”
“โธ่ ก็เจนเหงานี่คะ ทั้งเหงาทั้งเบื่อ เจนเคยอยู่กับแสงสี เจนไม่ได้ปิดบังว่าเป็นปาร์ตี้เกิร์ลแล้วอยู่ดีๆ จะให้เจนมาอุดอู้อยู่แต่ในไร่สัปปะรังเคนี่เจนทนไม่ไหวหรอกค่ะ”
“เจนจิรา” เตชิตเรียกอีกฝ่ายเสียงเข้ม
“ขา...”
“ศรีตรังเป็นเพื่อนสนิทผม เขาเป็นคนดีไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครเขาให้ที่พักที่หลบภัยคุณแต่คุณกลับทำให้เขาเดือดร้อน เพราะฉะนั้นผมจะพาคุณไปส่งที่คอนโด”
เจนจิราสะดุ้ง
“ไม่นะ”
“คุณต้องไป”
เจนจิราร้องไห้ออกมา
“เจนกลัวค่ะ ต่อไปนี้ เจนจะไม่ออกไปไหนอีกแล้วจะไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาขออย่างเดียว อย่าไล่เจนออกไปเลย ไอ้เสี่ยใจร้ายมันเอาเจนถึงตายแน่ๆ” เตชิตมองเจนจิราเคร่งเครียดจริงจัง ขณะที่เจนจิรายังร้องไห้คร่ำครวญ “นะคะ คุณช่วยพูดกับยัย เอ๊ย คุณศรีตรังให้ที... นะคะ ...Please”
เตชิตมาหาศรีตรังที่บ้านและเตรียมตัวกลับกรุงเทพโดยมีศรีตรังเดินออกมาส่ง
“ระวังตัวให้ดีนะ”
เตชิตบอกอย่างเป็นห่วง
“เออ ฉันสั่งให้คนงานคอยตรวจ อย่างเข้มงวดแล้ว ไว้ใจตำรวจเขาเถอะน่า”
เตชิตผลักหัวเพื่อน
“แกละประมาท ถ้ายังไงฉันจะย้ายเจนจิรา...”
“ยังไม่ต้องหรอก ท่าทางนางคงจะเข็ดแล้วละ อีกอย่างไอ้เดนนิสมันผูกอาฆาตพยาบาทฉันไปแล้วเจนจิราจะอยู่หรือจะไปก็ไม่มีผล แกไปเหอะ จะได้ช่วยคุณหนูเผือกเร็วๆ”
“ไปล่ะ”
เตชิตตบไหล่ศรีตรังแล้วขับรถออกไป ศรีตรังโบกมือให้
เฮงโทรศัพท์รายงานเดนนิสเรื่องทำงานพลาด เดนนิสพูดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เออ ไปซ่อนตัวแถวตะเข็บชายแดนนั่นแหละ อย่าได้สะเออะเสนอหน้าเข้ามาเด็ดขาด สมุนเอ็ง 2 คนนั่นจัดการปิดปากมันเสียเลย ฉันไม่ไว้ใจ”
“แล้วผมละครับ เสี่ยยังไว้ใจหรือเปล่า”
“เฮ้ย พอไอ้เจียงตาย ฉันก็มีแกนี่แหละ อย่าลืมจัดการพวกมัน 2 คน ให้เรียบร้อย ไม่งั้นเราอาจจะเดือดร้อน”
ขณะเดนนิสคุยโทรศัพท์ปรกเดือนเดินเข้ามาเธอแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกเพื่อไปเยี่ยมปรายดาว ปรกเดือนสีหน้าไม่สบายใจจากคำพูดของเดนนิส
“เท่านี้แหละ”
เดนนิสวางโทรศัพท์ ปรกเดือนจึงถามขึ้นมา
“ใครจะเดือดร้อนค่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่ะ”
“เสี่ยอย่าฆ่าใครอีกเลยนะคะ ขอให้เห็นแก่เดือนกับลูก...”
“จะไปเยี่ยมดาวก็ไป...”
“เสี่ยค่ะ”
เดนนิสเดินเข้าไปข้างใน ปรกเดือนมองตามอย่างไม่สบายใจก่อนจะเดินออกไป
ทางด้านเฮงหลังจากคุยโทรศัพท์กับเดนนิสเสร็จเฮงก็เดินกลับมาหาลูกน้อง
“เสี่ยด่าใหญ่เลยสิพี่”
ลูกน้องคนหนึ่งถาม
“เปล่า แต่เขาให้งานใหม่”
“งานอะไร”
เฮงชักปืนออกมายิงสมุนทั้งสองคนจนล้มตายคาที่
“งานฆ่าพวกเอ็ง”
เฮงเดินขึ้นรถ ขับออกไป
ส่วนเตชิตระหว่างขับรถเข้ากรุงเทพ เตชิตมีสีหน้าแววตาใคร่ครวญครุ่นคิด เตชิตขับรถมาติดไฟแดงระหว่างนั้นเตชิตนึกถึงตอนสวมสร้อยคอให้เสียงหวาน แววตาของเตชิตกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“ใช่สิ สร้อยเส้นนั้นนั่นเอง หลังจากสวมสร้อยให้ เสียงหวานก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย”
เสียงบีบแตรไล่ดังลั่น เตชิตเหลือบมองเห็นไฟเขียวรีบตาลีตาลานขับออกไป รถคันอื่นด่ากันอย่างหงุดหงิด
“นึกว่าตัวเองขับอยู่คนเดียวรึไง”
“ไอ้บ้า”
“ไม่ใช่ถนนส่วนตัวนะโว๊ย ไอ้เบื๊อก”
เมื่อถึงกรุงเทพเตชิตรีบขับรถมาที่โรงพยาบาล
“รอเดี๋ยวนะเสียงหวาน ผมจะขอลองวิธีสุดท้ายดู”
เตชิรีบลงจากรถเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ขณะนั้นปรกเดือนกำลังยืนคุยกับพยาบาลอยู่ที่เคาน์เตอร์
“ดิฉันคิดว่า ควรจะปลอดภัยเอาก่อนค่ะ ถึงเราจะระวังอย่างดีแต่ไม่มีอะไรรับประกันได้...อีกอย่าง มันเป็นระเบียบของโรงพยาบาลด้วย”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมาก”
ปรกเดือนเดินไปที่ห้องปรายดาวแล้วเปิดประตูเข้าไป
เตชิตเดินออกมาจากลิฟท์พร้อมกับคนอื่นๆ เตชิตรีบเดินมาที่เคาน์เตอร์ พยาบาลหันมาพอดีแบบไม่ได้ตั้งใจเตชิตรีบหันไปอีกทางโดยอัตโนมัติ
ภายในห้องปรายดาวปรกเดือนยืนอยู่ข้างเตียงแล้วยกมือลูบผมน้องสาวอย่างอ่อนโยน
“ดาว...ทำไมเธอถึงไม่ยอมฟื้นเสียที”
“โธ่ ทำไมดาวถึงจะไม่อยากฟื้นค่ะ แต่มันไม่ยอมฟื้นเอง ยิ่งตอนนี้ดาวอึดอัดจะแย่” เสียงหวานบอก
“พี่ไม่อยากจะถอดสร้อยพระออกเลย อยากจะให้เธอสวมไว้เพื่อคุ้มครองรักษา แต่มันขัดกับระเบียบของที่นี่”
ปรกเดือนค่อยๆ แกะสร้อยออกมา ร่างเสียงหวานหมุนคว้าง
“โอ๊ย ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ร่างเสียงหวานเหมือนมีแรงต้านแรงเหวี่ยงยื้อกันอยู่ไปมา ที่จอมอนิเตอร์หัวใจเส้นหัวใจทำงานผิดปกติปรกเดือนเห็นแล้วตกใจ
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย” ในที่สุดดวงวิญญาณเสียงหวานก็หลุดออกมา เส้นหัวใจกล้ายเป็นเส้นเดียว
“ช่วยด้วย” ปรกเดือนรีบกดกริ่งเรียกพยาบาล “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
วิญญาณเสียงหวานลอยลับไป
วิญญาณเสียงหวานลอยเคว้งคว้างกลับมาที่รีสอร์ทศรีตรัง เสียงหวานมองรอบๆ อย่างตระหนก
“นี่ฉันอยู่ไหน ฉันอยู่ที่ไหน”
ขณะนั้นที่เคาน์เตอร์พยาบาลเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้น
“เร็วเข้า ตามอาจารย์หมอนิรันดร์ด่วน”
พยาบาลส่วนหนึ่งวิ่งไปที่ห้องปรายดาว ขณะที่อีกคนหนึ่งรีบตามหมอ เตชิตมองตามอย่างตระหนก
“เสียงหวาน เสียงหวานเป็นอะไร”
เตชิตรีบวิ่งตามไปจนถึงหน้าห้องจะเปิดเข้า จังหวะนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่แถวนั้นหันมาเห็นรีบหยิบรูปขึ้นมาดู
“เฮ้ย นั่นไอ้โรคจิต”
เจ้าหน้าที่วิ่งตรงมาที่เตชิต เตชิตรีบวิ่งหนีเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้น
ภายในห้องปรายดาว พยาบาลกำลังปั้มหัวใจให้ปรายดาว โดยมีปรกเดือนยืนตัวสั่นเทาด้วยความตระหนกสุดๆ บางจังหวะก็ยกมือที่กุมสร้อยพระสวดมนตร์ยุ่งไปหมด...ขณะที่พยาบาลกำลังพยายามช่วยชีวิตปรายดาวอยู่นั้นเตชิตก็กำลังวิ่งหนี รปภ.ที่วิ่งตามมา แต่สุดท้ายเตชิตก็หนีไม่รอดถูกจับได้
“ผมร้อยตำรวจเอก เตชิต เตชะวัฒนะครับ เป็นตำรวจ”
เตชิตรีบอธิบายแต่ รปภ.ไม่เชื่อ
“ตำรวจบ้าอะไร ไอ้โรคจิต”

รปภ. ช่วยกันล็อคตัวเตชิตไป








Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 2:06:02 น.
Counter : 1020 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]