กระบือบาล ตอนที่ 3 (ต่อ)




ตอนเช้าวันต่อมา ใจเด็ดเดินออกมาจากบ้านพักกำลังจะไปทำงาน ระหว่างที่ใจเด็ดหันหน้ามาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสรนุชยืนรออยู่แล้ว

“มาทำอะไรแต่เช้า”
“ฉันมาทวงสัญญา”
“สัญญาอะไร”
“เอ้า...ก็เรื่องที่นายบอกว่าถ้าฉันผ่านการทดสอบนายจะบอกฉันเรื่องความรักควายของนายไง”
“ทำไม...พอฟังเสร็จคุณก็จะรีบเก็บกระเป๋าไปทำเรื่องความรักเครื่องการเกษตรของผู้พันต่อหรือไง” ใจเด็ดเยาะแกมหยัน
“อ๋อ...ที่แท้นายก็โกรธฉันเรื่องเมื่อคืนนี่เอง”
“ผมไม่ได้โกรธ”
“ไม่ได้โกรธแล้วทำไมนายไม่บอกฉัน”
“ก็เพราะว่าคุณ...ไม่ผ่านการทดสอบ”ใจเด็ดบอกเสียงเคร่ง
สรนุชปรี๊ดขึ้นทันทีเพราะอุตส่าห์เอาตัวเข้าแลก “อะไร...ฉันก็ทำตามที่คุณบอกหมดทุกอย่าง...ตัดหญ้า..ล้างคอก...ลอกปลัก”
“ไอ้สองอย่างแรกน่ะใช่...แต่เรื่องลอกปลัก...คุณแน่ใจเหรอว่าคุณทำ...ไม่ใช่ผกา”
สรนุชหลบตาก่อนจะทำเป็นพูดแถหนีเพื่อกลบเกลื่อน
“ฉันไม่ผิด...ผกาเขาขอฉันทำเอง”
“เรื่องนั้นผมไม่สนใจ...ในเมื่อคุณไม่ได้ก็ถือว่าคุณทำผิดกติกา”
“ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันขอแก้ตัว”
“ก็คงไม่ได้อีกเหมือนกัน...เพราะวันนี้ผมไม่อยู่”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินออกไป สรนุชไม่ยอมแพ้จะเดินตาม ใจเด็ดรู้ทันหันมาชี้หน้า
“ไม่ต้องตามผมมา...ผม...รำคาญ”
ว่าแล้วใจเด็ดก็เดินออกไปเลย สรนุชแทบจะตีอกชกหัวตัวเอง
“บ้า ! เผด็จการ...ฮึ่ยย์...แล้วนายนั่นจะไปไหนของเขานะ”

เวลาเดียวกันเกริกไกรกำลังตะโกนเรียกอรอนงค์อยู่หน้าเรือนรับรอง
“คุณอรครับคุณอร...คุณอรครับ”
มีเสียงอรอนงค์ตะโกนตอบกลับมา
“ค่ะ...ค่ะ”
ไม่นานอรอนงค์ก็ออกมาที่หน้าเรือนก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นเกริกไกร
“อ้าว...คุณหมอ...มีอะไรคะ”
“นึกแล้วว่าคุณอรต้องถามผมอย่างนี้...ถ้าผมไม่มีอะไร...ผมมาหาคุณอรไม่ได้ใช่มั้ยครับ”
เกริกไกรทำหน้าสลดลงจนทำให้อรอนงค์ต้องรีบพูด
“ไม่ใช่ค่ะ...อรไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“อุ้ย...เหมือนกันเลย” คำพูดของเกริกไกรเล่นเอาอรอนงค์สงสัย “พอดีผมฟังละครวิทยุมาน่ะครับ...ไม่น่าเชื่อว่าคุณอรจะตอบเหมือนในวิทยุเลย”
“เอ่อ...งั้นเหรอคะ” อรอนงค์อยากรู้ขึ้นมา “แล้วทำไมเขาถึงตอบอย่างนั้นล่ะคะ”
“ก็เพราะว่านางเอกชอบพระเอกแล้วกลัวพระเอกเสียใจไงครับ”
เจอมุกนี้อรอนงค์ทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะไปทางไหนเลย
“แล้วคุณหมอมาหาอรแต่เช้านี่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ยังไม่ทันที่เกริกไกรจะตอบ เสียงสรนุชก็ดังขึ้น
“อ้าวหมอ”
เกริกไกรกับอรอนงค์หันไปก็เห็นสรนุชเดินเข้ามา
“มาทำไมแต่เช้าคะ...หรือว่าจะชวนอรไปไหนเหรอคะ”
“แหม...คุณนุชรู้ได้ยังไงครับ...คือผมจะมาชวนคุณอรไปวัดด้วยกันน่ะครับ”
“ไปวัดเหรอคะ...เอ่อ...นุชไปด้วยมั้ยอ่ะ”
“ตามสบายเลยค่ะคุณ...” สรนุชว่า
“แหม...ค่อยโล่งอกหน่อย” เกริกไกรบอก
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ “ทำไมหมอต้องโล่งอกด้วย”
“เอ่อ...ก็...พอดีไอ้เด็ดมันไปด้วยน่ะครับ...ผมก็กลัวว่าเขตอภัยทานมันจะไม่ศักดิ์สิทธิ
สรนุชฟังแล้วนิ่งไป สีหน้าของเธอครุ่นคิดขึ้นมาทันที

ไม่นานหลังจากนั้น เกริกไกรนั่งพนมมือ โดยอรอนงค์นั่งอยู่ข้างๆ เกริกไกรเอาแต่มองอรอนงค์จนตาเยิ้ม ระหว่างนั้นเสียงของใจเด็ดดังขึ้น
“ไม่น่าชวนแกมาเลยว่ะ”
อีกฝั่งจึงเห็นใจเด็ดนั่งพนมมืออยู่ข้างๆ
“ฉันไม่รู้นี่หว่าว่าคุณนุชเขาจะตามมาด้วย”
สรนุชนั่งอยู่ข้างหลังใจเด็ด
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะหัวหน้า” หลวงพ่อเอ่ยทักทาย
“ครับ...พอดีช่วงนี้มีเรื่องยุ่งๆที่สถานีเยอะน่ะครับ”
“เอ้าๆ...ไม่เป็นไร...แล้วนังหนูสองคนนั่นใคร...เมียเอ็งสองคนเหร๊อ” คราวนี้หลวงพ่อถาม
อรอนงค์กับสรนุชถึงกับสะดุ้ง สรนุชรีบปฏิเสธ
“เอ่อ...ไม่ใช่คะ...พวกเราเป็นทีมงานสารคดีมาถ่ายทำที่สถานีของคุณใจเด็ดเขาน่ะค่ะ”
“ดีๆ”
“แต่ผมว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกครับ...ไอ้ผมน่ะเลี้ยงควายของผมก็ดีอยู่แล้ว...อยู่ดันมีนกมาให้เลี้ยง...ไม่ใช่นกธรรมดาน่ะครับ...นกสองหัวด้วย” ใจเด็ดกัดเข้าให้
สรนุชรู้ตัวว่าโดนกัด รีบสวนกลับ “อุ้ย...อยู่ที่ไหนคะ...ฉันอยู่มาก็หลายวันยังไม่เห็นเจอ...ถ้าจะเจอก็เจอแค่หัวเดียว...แต่หัวมันจะโตซักหน่อย...ดิฉันว่าหัวมันคงโตเพราะความคิดลบๆ ของมันเต็มหัวน่ะค่ะ”
“แต่ผมว่าไม่ใช่หรอกครับ...ผมว่าที่หัวมันโตคงเป็นเพราะมันใช้ความคิดเยอะ...คิดว่าไอ้นกสองหัวที่มันเห็นจะมีลิ้นสองแฉกด้วยหรือเปล่า” ใจเด็ดไม่ลดละ
“นี่...!” สรนุชชักฉุน
ใจเด็ดมองหน้ากวนๆ “มีอะไรเหรอครับ...เอ...หรือว่าลิ้นคุณจะสองแฉก...ไหนแลบลิ้นดูซิครับ”
เกริกไกรเห็นท่าไม่ดี จึงรีบไกล่เกลี่ยก่อนจะเลยเถิดเป็นสงครามกลางเขตอภัยทาน “เอวังก็จบด้วยประการละฉะนี้...แหม...นิทานชาดกอะไรก็ไม่รู้สนุ๊กสนุก” หันไปทางอรอนงค์ “นะครับคุณอร”
อรอนงค์ตอบพาซื่อ “มีนิทานชาดกเรื่องนกสองหัวด้วยเหรอคะ”
ใจเด็ดกับสรนุชต่างปรายตามองกัน ฟาดฟันด้วยสายตา เกริกไกรกระเถิบตัวเข้าไปหาหลวงพ่อ
เกริกไกรเข้าเรื่องของตน เข้าไปกระซิบกับหลวงพ่อ “หลวงพ่อพอจะมีบทสวดอะไรที่สวดแล้วจะเกิดด้วยกันทุกๆชาติไปมั้ยครับ”
“ไม่มีหรอก...เรื่องนั้นมันอยู่ที่วาสนา...อยู่ที่กรรมที่ทำร่วมกันมา...แต่ให้ดีที่สุดเนี่ยก็คือการไม่ต้องเกิด...ไม่รู้เหรอว่าการเกิดน่ะเป็นทุกข์”
“แต่ผมว่าไม่เกิดมันทุกข์กว่านะครับ...เกิดขาอื่นน๊อคไป...เราโดนหลาย K เลยนะครับ” เกริกไกรไปโผล่วงไพ่ซะงั้น
ใจเด็ดปราม “หมอ”
“แหม...นี่มันในวัดนะโยมหมอ...ล่อไปซะเรื่องรัมมี่ได้ยังไง” หลวงพ่อเย้า
“ผมล้อเล่นขำๆ น่ะครับ”
ระหว่างนั้นมีเสียงดังมาจากด้านนอกอุโบสถ
“หลวงพ่อ...หลวงพ่ออยู่มั้ยครับ”
ทุกคนหันมองไปทางเสียงด้วยความสงสัย

เป็นโชคชัยยืนอยู่กับชิดชัยผู้จัดการบาคาตี้สาขาสุรินทร์ และลูกน้อง กำลังตะโกนเรียกหลวงพ่ออยู่หน้าอุโบสถ์
“หลวงพ่อ...หลวงพ่อ”
โชคชัยพยายามห้าม “ผมว่าพอแล้วก็ได้ครับ...หลวงพ่อท่านคงได้ยินแล้ว”
“ไม่ได้หรอกนายก...เวลาผมเป็นเงินเป็นทอง...หลวงพ่อ...หลวงพ่อ” ชิดชัยว่า
หลวงพ่อค่อยๆ เดินออกมาจากอุโบสถ
“ได้ยินแล้ว...วัดนะโยมไม่ใช่สถานบันเทิง...เรียกครั้งเดียวก็ได้ยินแล้ว”
โชคชัย ชิดชัยและลูกน้องต่างยกมือไหว้ ระหว่างที่เงยหน้าขึ้นทั้งสองก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใจเด็ดและเกริกไกรเดินออกมา โดยมีสรนุชและอรอนงค์เดินตามออกมาอีกที
“ไอ้พวกบาคาตี้” เกริกไกรอุทาน
สรนุชกับอรอนงค์ต่างก็สะดุ้งเช่นเดียวกัน
“อะไรเหรอคะ”
“พวกนั้นน่ะเป็นคนของบาคาตี้” เกริกไกรบอก
สรนุชกับอรอนงค์ต่างตกใจต่างก็รีบหันหลังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จนเกริกไกรงง
“เป็นไรเหรอครับ”
“เอ่อ..เปล่าค่ะ...คืออรเขารู้สึกว่ามีปัญหาชีวิตก็เลยต้องหันหน้าเข้าหาวัดน่ะคะ...ใช่มั้ยอร” สรนุชบอก
“เอ่อ...ใช่ค่ะ”

ด้านชิดชัยและลูกน้องพอเห็นใจเด็ดก็ตั้งป้อมทันที
“อ้าว...ว่าไงละโยม...ตกลงมาหาอาตมานี่มีเรื่องอะไรเหรอ”
“คือ...พวกเราจะมาบอกบุญหลวงพ่อน่ะครับ” ชิดชัยบอก
หลวงพ่อฟังแล้วสะดุ้ง
“ไม่ใช่คุณ...บอกบุญน่ะหลวงพ่อต้องพูดกับคุณ” โชคชัยท้วง
เกริกไกรเยาะ “เฮ้อ...อยู่ดีไม่ว่าดี...สงสัยอยากจะลงนรก”
“อ้าว...ถ้าพวกฉันลงคงต้องถามทางไปจากพวกแก”
ระหว่างนั้นเองสรนุชกับอรอนงค์ค่อยๆ หันมา ชิดชัยกับลูกน้องแอบมองก็รู้สึกคุ้นหน้า
“เอ...คุ้นหน้าผู้หญิงสองคนนั้นน่ะ...แกว่ามั้ย” ชิดชัยหันไปทางลูกน้อง
ใจเด็ดชะงักหันไปมองสรนุชกับอรอนงค์ ทั้งสองสาวรีบก้มหน้าก้มตา ชิดชัยรู้สึกแปลกใจจึงเดินเข้ามามองหน้าให้ชัดๆ
“คุ้นหน้าจริงๆ ด้วย”
ผู้จัดการชิดชัยทำท่าจะก้มมองสรนุชกับอรอนงค์ เกริกไกรเห็นว่าเกินไปจึงเข้ามาขวาง
“ทำอะไร...ถอยไปเลยนะเว้ย”
“อะไรวะ” ชิดชัยงงแกมฉุน
หลวงพ่อรีบเข้ามาหย่าศึก “เอ้าๆ...อาตมาว่าโยมทั้งสองรีบพูดธุระของโยมมาดีกว่า”
“ได้ครับหลวงพ่อ...คือ...ผมเห็นว่าที่ท้ายวัดมันเป็นพื้นที่รกร้าง...ก็เลยจะมาถามหลวงพ่อว่า...ถ้าต้องการเกลี่ยกลบหน้าดินเรียกใช้บริการพวกเราได้นะครับ”
“ไม่น่าเชื่อว่าพวกบาคาตี้ก็จะทำอะไรดีๆ กับเขาเป็นเหมือนกัน” ใจเด็ดเยาะหยัน
“อ้ะ...แน่นอน...ในฐานะที่หลวงพ่อเป็นที่นับถือของชาวบ้าน...พวกผมคิดราคากันเองชั่วโมงละห้าร้อยพอครับ” ชิดชัยบอกธุระที่มาหา
หลวงพ่ออึ้ง “อ้าว...”
ใจเด็ดลอบมองพวกนั้นก่อนจะคิดแผนขึ้นมาได้
“ไม่เป็นไรครับหลวงพ่อ...เดี๋ยวผมให้ควายของผมมาทำให้ก็ได้...ผมคิดแค่ชั่วโมงละสามร้อยพอ”
“ห๊า...นี่หัวหน้าก็คิดเงินกับอาตมาเหมือนกันเหรอ”
ใจเด็ดขยิบตาให้หลวงพ่อเหมือนว่ามีแผนบางอย่าง แต่หลวงพ่อไม่เข้าใจ
พอได้ยินใจเด็ดว่า ชิดชัยกลัวแพ้เลยดัมพ์ราคาลง “ถ้าอย่างนั้นผมคิดชั่วโมงละร้อยห้าสิบพอครับ”
“งั้นผมคิดแค่ชั่วโมงละห้าสิบบาทครับ”
“งั้น...ผม...ผมทำให้ฟรีเลยแถมเงินให้ด้วยอีกห้าร้อยเอ้า”
ทันใดนั้นใจเด็ดและเกริกไกรต่างก็พนมแล้วพูดออกมาพร้อมกัน “สาธุ”
“พวกคุณพูดแล้วนะ...แล้วก็ถ้าโกหกพระมันบาปรู้มั้ย” ใจเด็ดสำทับ
เกริกไกรทำแลบลิ้นหลอกพวกบาคาตี้เป็นการเยาะเย้ย
“อ้าวเฮ้ย ! ทำไมพวกแกไม่เกทับละ...เฮ้ย..บ้าเอ๊ย ! ไป” ชิดชัยฉุนขาด เดินออกไปทันที
“อ้าว...เดี๋ยวก่อนซิครับ” โชคชัยอึ้ง รีบท้วงเอาไว้
แต่ผู้จัดการชิดชัย กับลูกน้องรีบเดินออกไปอย่างเจ็บใจ โชคชัยรีบตามไป สรนุชมองตามอย่างครุ่นคิดบางอย่างในใจ
“สะใจเว้ย ! ไงละ...แค่นี้ก็เห็นแล้วว่ารถไถสู้ควายไม่ได้”
สรนุชมองอย่างไม่พอใจ และอยู่ดีๆ สรนุชก็ร้องซะดัง “อูย”
อรอนงค์ สงสัย “เป็นไรนุช”
“ปวดท้องน่ะ...เอ่อ...เดี๋ยวฉันมานะ”
สรนุชรีบวิ่งออกไปโดยที่ทุกคนยังไม่ได้พูดอะไรเลย ทุกคนมองตามงงๆ ว่าสรนุชเป็นอะไร
“เมื่อคืนคุณนุชกินอะไรผิดสำแดงหรือเปล่าครับ”
เกริกไกรถาม แต่อรอนงค์ส่ายหน้าไม่รู้

ส่วนทางด้านโชคชัยรีบเดินตามชิดชัยกับลูกน้องที่หัวเสียมาติดๆ “เดี๋ยวก่อนซิครับ”
“มีอะไรอีกละนายก”
“ก็ไหนพวกคุณบอกว่าอยากสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชาวบ้านที่นี่ไม่ใช่เหรอครับ”
“แล้วนายกเห็นพวกมันมั้ย...หลวงพ่อก็อีกคน” ชิดชัยเซ็ง
“คุณชิดชัย...ระวังปากคุณหน่อย” โชคชัยปราม จนชิดชัยอ่อนลง “ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคุณคิดจะหาประโยชน์จากทางวัดต่างหาก...ถ้ายังเป็นอย่างนี้อีก...ผมก็ไม่อยากจะเป็นตัวกลางอีกต่อไป”
ชิดชัยไม่แคร์ “ไม่เป็นก็ไม่ต้องเป็น...ไป”
ชิดชัยกับลูกน้องเดินออกไปอย่างหัวเสีย โชคชัยส่ายหน้าเหนื่อยใจ ระหว่างนั้นสรนุชวิ่งเข้ามา
“คุณ...คุณ”
โชคชัยหันมาเห็นสรนุช “ครับ”
“นี่...นายเป็นผู้จัดการที่สาขาสุรินทร์เหรอ”
โชคชัยงง “ห๊า”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น”
“เอ่อ...ผมเป็น” โชคชัยพยายามอธิบาย
“นี่...รู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นใคร” สรนุชถาม
“รู้ครับ” โชคชัยตอบ
“ดีแล้ว...” เห็นโชคชัยงงก็เข้าใจผิด “งงใช่มั้ยว่าฉันเป็นใคร...ฉันคือ...”
ระหว่างที่สรนุชกำลังจะบอกความจริง เสียงของชาวบ้านก็ดังทักทายขึ้นก่อน
“มาทำอะไรเนี่ยนายก”
“มาหาหลวงพ่อน่ะครับ”
ชาวบ้านยิ้มแล้วโบกไม้โบกมือก่อนจะเดินไป พอโชคชัยหันมาคราวนี้กลับเห็นหน้าของสรนุชงงแทน
“นายก..? นายกอะไร”
“ก็นายกอบต.ไงครับ...ผม...โชคชัย...เป็นนายกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นแห่งบ้านหนองระบือแห่งนี้ครับ”
สรนุชถึงกับอ้าปากหวอ “เอ่อ...”
“แล้ว..เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณเป็นใครน่ะครับ”
“เอ่อ...เอ่อ” สรนุชรู้สึกตัว คิดในใจว่าแย่แล้ว
“ผมรู้ครับว่าคุณเป็นใคร” สรนุชยิ่งตกใจ “คุณคือ...คุณสรนุช...ที่มาถ่ายสารคดีที่สถานีของใจเด็ดใช่มั้ยครับ”
“เอ่อ...คะ...ใช่คะ...” สรนุชแอบเป่าปากฟู่...
สรนุชยิ้มแหยให้โชคชัยแค่ครั้งแรกที่เจอก็ปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเริ่ม ดีนะที่ไม่เผยความลับออกไป

ครู่ต่อมาใจเด็ด เกริกไกร และอรอนงค์พากันเดินมาที่รถ เกริกไกรยังสะใจไม่หาย
“แหม...อยากเห็นหน้าไอ้พวกบาคาตี้อีกจริงๆ...ดูซิ...คราวนี้จะกล้าอีกมั้ย”
อรอนงค์ไม่พอใจที่เกริกไกรว่าบริษัทของตน
“ที่สู้ไม่ได้เพราะพวกหมอโกงต่างหาก”
“อ้าว...ทำไมคุณอรพูดอย่างนี้ละครับ”
ระหว่างนั้นสรนุชวิ่งเข้ามา “มาแล้ว...ทำไม...มีอะไรหรือไง”
“ผมนึกว่าคุณเลื่อมใสพระพุทธศาสนาจนยอมบวชชีล้างห้องน้ำวัดไปตลอดชีวิตแล้วซะอีก” ใจเด็ดว่า
“ปากนายเนี่ยกลิ่นคุ้นๆ เหมือนห้องน้ำที่ฉันเข้ามาเมื่อกี้เลยรู้มั้ย”
ใจเด็ดกำลังจะอ้าปากเถียง ระหว่างนั้นเสียงชาวบ้านก็ดังขึ้น
“หัวหน้าใจเด็ด...!”
ทุกคนหันไปก็เห็นชาวบ้านเดินถือของทำบุญเข้ามา แล้วสรนุชกับอรอนงค์ต่างก็อึ้งไปเมื่อเห็นกลุ่มชาวบ้านต่างกรูกันเข้ามากอดใจเด็ด
“โห...คิดถึงหัวหน้าจัง” ป้าคนหนึ่งในกลุ่มยิ้มแย้ม
“อะไรยายม่อม...ก็เจอไอ้เด็ดมันเกือบทุกวันยังคิดถึงอะไรมันอีก” เกริกไกรแซว
“คนเราถ้าไม่เห็นหน้าลูกแค่ครึ่งวันก็คิดถึงใจจะขาดแล้ว...ใช่มั้ยหัวหน้า”
ใจเด็ดยิ้มให้อย่างอบอุ่น “ว่าไงก็ว่าตามกันอยู่แล้ว...” ชาวล้านทุกคนเฮลั่น “แต่ตอนนี้ผมว่าต้องรีบขึ้นไปแล้วละ...เดี๋ยวพระจะฉันเพลก่อนนะ”
“อุ้ย...ตายจริงฉันก็ลืม...งั้นไปก่อนนะหัวหน้า”
ป้าม่อมกับกลุ่มชาวบ้านต่างร่ำลาใจเด็ดก่อนจะรีบเดินไปที่ศาลา ใจเด็ดมองตามด้วยความเคารพนับถือ ใจเด็ดหันมา
“เดี๋ยวพวกคุณรอที่รถก่อนแล้วกัน...เดี๋ยวผมมา”
ใจเด็ดรีบเดินออกไป สรนุชมองตามสงสัย
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่หัวหน้าเหรอหมอ”
“ไม่ใช่หรอกครับ...คนที่นี่น่ะต่างนับญาติกับไอ้เด็ดมันหมดแหละ...ก็มันน่ะอาสาทั้งงานบุญงานบวชงานเบียดงานเฉียดตาย...งานวุ่นวายอะไรไอ้เด็ดมันช่วยหมด...แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ชาวบ้านรักมันได้เหรอคุณนุช” เกริกไกรร่าย
สรนุชเหยียดปากไม่เชื่อ
“แล้วคุณใจเด็ดไปไหนเหรอคะ” อรอนงค์ถาม
“อ๋อ...ไปไหว้นังสายใจมันน่ะครับ”
สรนุชสงสัย “สายใจ..?”

เวลาเดียวกัน ใจเด็ดยืนอยู่หน้าโกฐิ สีหน้าเศร้านัก ระหว่างนั้นใจเด็ดค่อยๆ หยิบตุ๊กตาไม้รูปควายออกมาก่อนจะค่อยๆ ก้มลงวางไปที่หน้าโกฐิ เห็นว่ามีตุ๊กตาไม้รูปควายเล็กๆ วางกันอยู่เต็ม
“ฉันกลัวว่าแกจะเหงาเลยทำเพื่อนมาให้นะสายใจ”
ระหว่างนั้นเรื่องราวสมัยเด็กก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของใจเด็ด

เหตุการณ์วันนั้น ใจจอมกับหทัยกำลังช่วยกันจับเด็กชายใจเด็ดที่พยายามดิ้นให้หลุดจากการจับ
“สายใจ...สายใจ” ใจเด็ดตะโกนลั่น
คนกลุ่มหนึ่งกำลังต้อนควายขึ้นรถบรรทุก สายใจคือควายตัวนั้น มันหันกลับมามองเด็กชายใจเด็ดด้วยแววตาอาลัย
“พ่อ...พวกเขาจะพาสายใจไปไหน...พ่อ”
ใจจอมกับหทัยนิ่งเงียบ...ไม่มีคำตอบให้กับลูก เด็กชายใจเด็ดหันมองไปที่สายใจอีกครั้งก่อนที่เขาจะอึ้งไปเมื่อเห็นว่าสายใจกำลังร้องไห้ ถึงหทัยไม่บอกแต่แค่เห็นลักษณะของคนงานก็รู้ว่ามาจากโรงฆ่าสัตว์
รถบรรทุกค่อยๆ เคลื่อนตัวออก สองสายตาระหว่างเด็กน้อยกับควายสบตากันจนลับตา
“สายใจ..!!!” หันมาทางหทัย “แม่...พวกเขาพาสายใจไปไหน”
หทัยไม่รู้จะพูดยังไง ระหว่างนั้นก็มีเสียงปู่ดังขึ้นมา
“ที่กรุงเทพฯ เราเลี้ยงมันไม่ได้”
ใจจอมกับหทัยหันไปก็เห็นปู่เดินเข้ามา
“พ่อ...” ใจจอมอุทาน
“ทำไมไม่ได้...ก็ไหนบอกว่าบ้านใหม่เราที่กรุงเทพฯมันใหญ่ไง” ใจเด็ดไม่ยอมท่าเดียว
“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้”
ด.ช.ใจเด็ดสะอึกที่โดนปู่ตวาดก่อนจะสะบัดตัวออกจากการกอดของหทัยก่อนจะวิ่งตามสายใจ ปากก็กู่ก้องร้องตะโกน
“สายใจ...สายใจ”

นึกมาถึงตรงนี้ใจเด็ดกำลังปักธูปลงที่โกฐิเบื้องหน้า เยื้องไปทางด้านหลังไม่ไกลนัก เกริกไกร สรนุชและอรอนงค์ยืนแอบดูใจเด็ดอยู่ที่มุมหนึ่ง
“เป็นธรรมดาที่ไอ้เด็ดมันจะช็อก...เพราะสายใจก็เหมือนพี่น้องที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เกิด”
สรนุชกับอรอนงค์ต่างนิ่งเงียบไปเมื่อได้รู้ความจริง
“ตั้งแต่นั้นไอ้เด็ดมันก็จะช่วยควายทุกตัวที่ช่วยได้...เพราะทดแทนที่ตอนนั้นมันไม่สามารถช่วยสายใจได้”

ทุกคนมองไปที่ใจเด็ดด้วยความรู้สึกหดหู่ สรนุชเองก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ในใจขึ้นมา เมื่อได้รู้ความจริง

เหตุการณ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ เจนจิรากำลังนั่งทำงานอยู่ในสำนักงาน เจนจิรากำลังจดบันทึกข้อมูลของลูกควาย ระหว่างนั้นสุบินเปิดประตูเข้ามา
“อ้าว...”
“ทำไมต้องตกใจด้วยคะ” เจนจิราสงสัย
“ก็ผมไม่เห็นใครตั้งแต่เช้า...รู้มั้ยครับว่าไปไหนกันหมด”
“นั่นซิคะ...ฉันเองก็ยังไม่เจอใครเหมือนกัน”
เจนจิราก้มหน้าลงทำงานต่อ
“เอ่อ...แล้ววันนี้ไม่ต้องไปจับลูกควายอีกใช่มั้ยครับ”
“ทำไมคะ...หรือว่าคุณสุบินอยากจับ”
สุบินรีบบอก “โน...” เจนจิราอมยิ้ม “โนที่ผมพูดนี่ไม่ได้แปลว่าไม่นะครับ...ผมหมายถึงหัวผมยังโนอยู่เลย”
เจนจิราขำๆ “ไม่หรอกค่ะ...วันนี้ฉันต้องจดข้อมูลให้ตรงกับเลขที่เราตอกไป” แล้วเจนจิราก็พูดอย่างแปลกใจ “อืม...หนึ่งสองห้าศูนย์นี่ลูกใครน้า”
เจนจิราลุกขึ้นก่อนจะมองไปที่ชั้นวางแฟ้มที่เรียงกันอยู่เต็มตู้ “นั่นไง”
เจนจิราค่อยๆ ปีนเก้าอี้ขึ้นไปเพื่อหยิบแฟ้ม แต่เพราะมันสูงเกินเอื้อมทำให้เก้าอี้ที่เธอยืนเสียหลัก !!!
“ระวัง” สุบินร้องเตือน
แต่ไม่ทันซะแล้วเมื่อร่างของเจนจิราร่วงลงมา
“ว้ายยย”
ไวเท่าความคิดสุบินพุ่งเข้ามารับร่างของเจนจิราเอาไว้ได้ทัน สุบินกับเจนจิราต่างอึ้งมองหน้ากันและกัน
ระหว่างที่ทั้งคู่ยังไม่ทันได้สำรวจความรู้สึก อยู่ๆ ภิรมย์ก็เปิดประตูพรวด ! เข้ามา
“คุณเจน...คุณเจน”
เจนจิรากับสุบินพอเห็นภิรมย์เข้ามาต่างก็ผละออกจากกันทันที
“มีอะไร”
“ไอ้เด็ดครับ...ไอ้จะเด็ดท่าทางจะแย่ครับ”
“อะไรนะ” เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็รีบพุ่งออกไปทันที
สุบินมองตามก่อนจะรีบตามออกไปเช่นกัน

เจนจิรากับภิรมย์รีบวิ่งเข้ามาหาจะเด็ด ควายพ่อพันธุ์ตัวใหญ่ที่นอนอ้าปากพะงาบๆกับพื้น โดยมีสมหญิงคอยดูแลอยู่ข้าง
“หัวหน้าอยู่ไหน”
“เห็นบอกว่าออกไปวัดตั้งแต่เช้าน่ะค่ะ” สมหญิงบอก
“แล้วหมอละ”
“ก็ออกไปกับหัวหน้าค่ะ”
เจนจิราสีหน้าเครียดลงทันที
สุบินวิ่งตามเข้ามา ก่อนที่สุบินจะชะงักไปเมื่อมองเห็นป้ายชื่อหราว่า คอกพ่อพันธุ์
“อยู่ตรงนี้เอง”
สุบินหันมองไปรอบๆ พยายามจำทิศทางก่อนจะรีบเดินเข้าไปภายในคอก สุบินเข้ามาก็เห็นเจนจิรากำลังดูแลควายจะเด็ดที่ล้มนอนอยู่กับพื้น
“ควายเป็นไรครับ” สุบินถาม
เจนจิราพยายามสำรวจอาการของจะเด็ด
“ไม่ทราบเหมือนกันต้องให้หมอมาดู...หัวหน้าก็ไม่อยู่หมอก็ไม่อยู่...ฮึ่ยย์...ทำไมต้องไปกันวันนี้ด้วย”
ระหว่างนั้นเสียงรถดังเข้ามา ทุกคนหันมองหน้ากันด้วยความดีใจ ภิรมย์เอ่ยขึ้น
“เสียงรถหัวหน้านี่ครับ”

ใจเด็ด เกริกไกร สรนุชและอรอนงค์เดินมาตามทาง ต่างคนต่างก็นิ่งเงียบหลังจากได้รู้ความหลังของใจเด็ด
“เป็นไร...หรือว่าความหลังตานั่นแล้วเกิดซาบซึ้งขึ้นมากระทันหันจ๊ะ”
“แต่ฉันว่ามันน่าเศร้ามากกว่านะ...ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงได้รักควายมากขนาดนี้”
สรนุชเองนิ่งไป แต่ก็รีบเปลี่ยนความรู้สึกก่อนที่จะมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ
“หยุด...พอได้แล้วฉันได้ยินเรื่องนายนั่นมามากพอแล้ว”
อรอนงค์นิ่งไปก่อนจะลองเลียบๆ เคียงๆ ถามสรนุช
“เอ่อ...แล้วตอนนี้เราก็รู้ว่าความหลังเขาเป็นยังไงแล้ว...จะเอาไงต่อ”
สรนุชกระซิบตอบ “ชุบชีวิตแม่สายใจขึ้นมามั้ง”
“ห๊า!”
อรอนงค์ตกใจ เลยทำให้ใจเด็ดกับเกริกไกรหันมอง สรนุชกับอรอนงค์ต่างยิ้มให้ทั้งคู่แบบไม่ได้นัดหมาย
“หาอะไรเหรอครับคุณอร”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ...คือ” อรอนงค์อึกอัก
สรนุชได้โอกาสปลีกตัว “คือ...เราหาของไม่เจอน่ะค่ะ...ว่าจะกลับไปหาที่เรือนรับรองน่ะค่ะ”
“อะไรเหรอครับ...ให้ผมช่วยหามั้ยครับ”
ใจเด็ดสวนขึ้นมาทันที “ว่างมากหรือไงหมอ...”
“เอ้า...ไม่ว่าง” เกริกไกรสบตาอรอนงค์ “แต่อยากช่วย”
ระหว่างนั้นเจนจิราวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“หัวหน้าคะ...จะเด็ดล้มค่ะ”
“อะไรนะ”
ใจเด็ดกับเกริกไกรได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจก่อนที่ทั้งคู่จะรีบวิ่งนำออกไปทันที สรนุชกับอรอนงค์มองตามด้วยความสงสัยก่อนจะรีบวิ่งตามไปเช่นกัน

สุบิน ภิรมย์และสมหญิงกำลังช่วยกันดูแลเจ้าจะเด็ดที่นอนอยู่กับพื้น ใจเด็ด เกริกไกร และเจนจิรา วิ่งเข้ามา
“ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด” ใจเด็ดร้องลั่น
สุบิน ภิรมย์ สมหญิงพอเห็นใจเด็ดกับเกริกไกรวิ่งเข้ามาก็รีบหลีกทาง ใจเด็ดกับเกริกไกรรีบดูจะเด็ดอย่างร้อนใจ
“ทำไมถึงล้ม”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะหัวหน้า...เมื่อเช้าสมหญิงเอาหญ้ามาให้มันก็เห็นมันล้มอยู่อย่างนี้แล้วค่ะ”
ใจเด็ดหันไปถามเกริกไกร “เป็นไงหมอ”
เกริกไกรไม่ตอบเพราะกำลังใช้มือคลำไปที่ท้องที่พองใหญ่ก่อนจะเอาหูแนบตามลงไป
ระหว่างนั้นสรนุช และอรอนงค์ตามเข้ามาแล้วรีบถามสุบิน
“มีเรื่องอะไร”
“มานี่”
สุบินรีบลากสรนุชกับอรอนงค์ออกไป ทุกคนไม่ได้สนใจว่าทั้งสามจะทำอะไรเพราะมัววุ่นวายกับจะเด็ดนั่นเอง

สุบินลากสรนุชกับอรอนงค์ห่างออกมาจากคอก
“มีอะไร”
สุบินมองไปทางคอกพ่อพันธุ์เมื่อเห็นว่าระยะปลอดภัยจึงรีบบอกข้อมูล
“แกจำเรื่องน้ำเชื้อพิเศษนั่นได้มั้ย”
“เออ...ทำไม” สรนุชถามส่งๆ
สุบินฟังน้ำเสียงแล้วขัดใจนัก
“แกนี่ฉลาดเรื่องอื่นทำไมโง่เรื่องนี้วะ...น้ำเชื้อต้องมาจากไหน...ต้องมาจากควายตัวผู้ใช่มั้ย”
“ฉันว่าแกอยากพูดอะไรก็รีบพูดเถอะ”
“นี่ไงที่ฉันกำลังจะบอก...เธอสองคนไม่สังเกตเหรอว่าตั้งแต่มาที่นี่...เราเห็นมาหมดทุกคอกแล้ว...ยกเว้นคอกพ่อพันธุ์นี่” สุบินบอก
สรนุชคิดแล้วเห็นจริงตามสุบินว่า “ก็จริงนะ”
“ที่พวกเขาไม่อยากให้เราเห็นแสดงว่าต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่”
สรนุชฟังแล้วถึงบางอ้อ “แสดงว่า...น้ำเชื้อพิเศษนั่นต้องมาจากควายตัวใดตัวหนึ่งที่อยู่ในนั้น”
สุบินพยักหน้าให้สรนุช สรนุชนิ่งไปอย่างครุ่นคิด

นายกอบต.โชคชัย อยู่ที่บ้านตัวเอง กำลังบอกกับชาวบ้านที่มาเซ็นชื่อ
“ลงชื่อกันไว้ก่อน...แล้วเดี๋ยวผมจะเอารายชื่อพร้อมกับเรื่องขอทำสะพานส่งไปทางปลัดอีกที”
“เรากำลังจะมีสะพานใช้แล้วใช่มั้ยนายก” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม
“มันก็พูดลำบาก...แต่ยังไงผมรู้สะพานนั่นมันจำเป็นสำหรับพวกเรา...ผมคงจะผลักดันให้ถึงที่สุด”
ชาวบ้านต่างก็พยักหน้าก่อนจะขอตัวกันกลับ โชคชัยลุกขึ้นมาส่งชาวบ้าน ระหว่างนั้นโชคชัยก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นผู้พันชาญณรงค์เดินเข้ามา
“ผู้พัน...”
“หวัดดีนายก...นายกพอมีเวลาให้ผมคุยเรื่องสำคัญซักแป๊ปมั้ย”
โชคชัยขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเรื่องอะไร

โชคชัยแปลกใจ “ผู้พันอยากได้ที่ของตาน้อยเหรอครับ”
“ผมเห็นว่าที่ตรงนั้นมันสวย...แล้วไอ้น้อยมันก็ไม่ได้ทำอะไร...ผมก็เลยอยากให้นายกเป็นพ่อสื่อให้หน่อย”
“แล้วผู้พันจะเอาไปทำอะไรครับ”
“ผมจะเอามาทำนาของผมไง..แต่นาของผมจะทำด้วยเครื่องมือการเกษตรสมัยใหม่ทั้งหมด...ให้ชาวบ้านเห็นกันเลยว่ายังไงของของผมก็ดีกว่าไอ้พวกควายนั่น”
โชคชัยนิ่งไปอย่างไตร่ตรอง
“เห็นทีว่าผู้พันคงต้องมองหาที่แปลงใหม่แล้วละครับ”
“ทำไม...มีใครซื้อไปแล้วเหรอไง”
“ครับ...ตาน้อยเขาขายให้ใจเด็ดไปแล้ว” โชคชัยบอก
“ว่าไงนะ!” ชัยณรงค์ยิ่งแค้น “ไอ้นี่...ไอ้มารขวางทางรวย..” หันไปพูดกับโชคชัยต่อ “ไม่รู้...ยังไงนายกก็ต้องทำให้ไอ้น้อยมันขายที่ให้ผมให้ได้...ไปบอกมันว่าผมให้ราคามากกว่าไอ้เด็ดมันสองเท่า”
โชคชัยถอนหายใจ “จะกี่เท่าตาน้อยก็ไม่ขายให้ผู้พันหรอกครับ...ที่ตาน้อยมันขายให้ใจเด็ดเขาก็เป็นเพราะเขารักใคร่นับถือกันมานาน...เรื่องอย่างนี้ผมคงไปบังคับเขาไม่ได้”
“ไม่จริง ! ผมไม่เชื่อว่าใครมันจะกล้าปฏิเสธเงิน”

ชาญณรงค์ตบโต๊ะเสียงดัง โชคชัยหน้านิ่วลงด้วยความเครียด

ใจเด็ดร้อนใจอยากฟังการวิเคราะห์อาการจากเกริกไกร

“เป็นไงไอ้หมอ”
เกริกไกรผละจากจะเด็ดขึ้นมาสีหน้าเครียด
“ท้องอืดน่ะ...ตอนนี้คงต้องลองให้มันกินพาราฟีนดูก่อน...ถ้าไม่หายอาจจะต้องเจาะท้อง”
“เจาะท้องเลยเหรอหมอ” เจนจิราตกใจ
“ใช่...แต่เดี๋ยวฉันจะลองล้วงเข้าไปดูก่อนว่ามันกินอะไรผิดเข้าไปหรือเปล่า...” เกริกไกรรู้ว่าใจเด็ดเป็นกังวล “เป็นไร...ฉันเคยรักษาควายท้องอืดมาตั้งเท่าไหร่แล้ว...ไปๆ...แกออกไปรอข้างนอกก่อนดีกว่า”
“มีใครเปลี่ยนอาหารหรือเปล่า”
“เปล่านะคะ...สมหญิงก็ให้มันกินหญ้าเหมือนทุกวัน” สมหญิงรีบบอก
“แล้วเอาหญ้าจากไหน”
“ก็หญ้าที่หัวหน้าให้คุณนุชตัดเมื่อวานไงคะ”
ใจเด็ดเริ่มเอะใจก่อนจะรีบเดินไปดูที่รางอาหารของจะเด็ด ใจเด็ดคุ้ยดูกองหญ้าแต่แล้วใจเด็ดก็ชักสีหน้าทันที เมื่อเห็นใบไม้อย่างอื่นปะปนอยู่ในหญ้า
ใจเด็ดนิ่วหน้า สีหน้าเครียดขึ้นมาทันที

ในขณะที่สรนุชเดินนำสุบินกับอรอนงค์มาที่คอก สุบินกับอรอนงค์ดึงสรนุชเอาไว้
“ยัยนุช...มันไม่ประเจิดประเจ้อไปเหรอ”
“ไม่หรอก...นี่แหละโอกาสดีแล้ว...ตอนนี้พวกนั้นคงวุ่นอยู่กับควาย”
ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินตรงเข้ามา สุบินกับอรอนงค์เห็นก็พยายามสะกิดเรียกสรนุชเอาไว้
“นุช” อรอนงค์เรียกเพื่อจะบอก
สรนุชยังพ่นแผนการที่คิดไว้อยู่ “แล้วเราก็แกล้งทำเป็นว่าเป็นห่วงควาย”
อรอนงค์ เรียกอีก “นุช”
“ไม่ต้องเร่ง...ฉันกำลังจะพูดต่อนี่ไง...แล้วพวกแกสองก็ช่วยกันดูว่าควายตัวไหนที่มันดูไม่เหมือนควายตัวอื่น”
ระหว่างนั้นใจเด็ดเข้ามายืนทางด้านหลังของสรนุช แต่ไม่ทันได้ยินแผนการ อรอนงค์กับสุบินเห็นอย่างนั้นก็กระโดดเข้าไปปิดปากพร้อมกัน สรนุชส่งเสียงอู้อี้ๆ
แล้วสุบินก็จับหน้าสรนุชหันไปทางใจเด็ด สรนุชเห็นใจเด็ดก็ตกใจ
“อุ้ย...เอ่อ...พวกเราก็จะเข้าไปดูอยู่เลยว่าควายคุณเป็นไงบ้าง”
ใจเด็ดฉะทันที “ทำไมคุณไม่ดูหญ้าที่ตัดก่อนว่ามันมีอะไรบ้าง”
สรนุชถึงกับงงที่อยู่ๆ ก็โดนใจเด็ดซัด เช่นเดียวกับสุบินและอรอนงค์ เจนจิรารีบเข้ามาพูด
“หัวหน้าใจเย็นก่อนซิคะ...คุณนุชเธออาจจะไม่รู้ก็ได้”
“รู้..? รู้อะไร” สรนุชสงสัย
“ก็รู้ว่าในหญ้าที่คุณตัดเก็บไว้มันมีลูกกระโดนติดมา” ใจเด็ดบอก
“อ๋อ...นี่นายกำลังจะบอกว่าที่ควายนายเป็นอย่างนี้เพราะฉันใช่มั้ย...ถ้าอย่างนั้นนายก็ผิดเป็นสองเท่าเพราะนายเป็นคนสั่งให้ฉันทำ”
“เรื่องผมไม่เถียง...แต่คุณก็น่าจะจิตสำนึกรู้ว่าอันไหนที่สัตว์มันกินได้กินไม่ได้”
“ไม่รู้...ฉันไม่ได้เรียนสัตวบาลมา...โอเค๊”
ใจเด็ดไม่อยากต่อล้อต่อเถียง “ผมไม่สน...ถ้าจะเด็ดเป็นอะไรไปละก็...ผมเอาเรื่องคุณถึงที่สุดแน่”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของใจเด็ดดังขึ้น ใจเด็ดมองเบอร์ก่อนจะรับสาย
“สวัสดีครับนายก” ใจเด็ดฟังแล้วตกใจ “งั้นเหรอครับ...ได้...ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” หันไปบอกกับเจนจิรา “ฝากบอกหมอด้วยว่าถ้ามีจะเด็ดทำท่าไม่ดีให้รีบโทร.บอกฉันด่วน”
“คะ...เอ่อ...แล้ว...”
เจนจิรายังถามไม่ทันจบประโยคก็เห็นใจเด็ดรีบเดินออกไปทันทีเหมือนมีเรื่องด่วน เจนจิราถอนหายใจ
“แค่ควายท้องอืดทำไมหัวหน้าคุณต้องโกรธขนาดนี้ด้วย”
“ใช่...หรือว่าไอ้เจ้าจะเด็ดมันมีอะไรพิเศษเหรอคะ”
สรนุชได้โอกาสเลยยิงตรงเข้าประเด็น เจนจิรานิ่งไม่แสดงอาการอะไร
“ไม่มีอะไรหรอกคะ...เวลาควายไม่สบาย...หัวหน้าก็เป็นอย่างนี้ทุกที...ยังไงก็ต้องขอโทษแทนหัวหน้าด้วยนะคะ”
เจนจิราพูดจบแล้วเดินออกไป สุบินกับอรอนงค์รีบเข้ามาถาม
“ทำไม...เธอสงสัยว่ามันจะเป็นจะเด็ดหรือไง”
“เปล่า...ฉันแค่อยากจะมั่นใจว่ามันมีควายตัวที่มีน้ำเชื้อพิเศษอยู่จริงๆ”
“แล้วแกจะเอาความมั่นใจมาจากไหน...ถามไปก็ไม่มีใครบอกแกหรอก”
“เรื่องนั้นมันไม่เกินมือสรนุชอยู่แล้ว”
สรนุชหรี่ตายิ้มเจ้าเล่ห์วาดแผนการในหัว

เวลานั้นสมหญิงกำลังนั่งตำส้มตำอยู่ที่แคร่ใต้ต้นไม้
“ถ้าเราจะดูควายตัวผู้ก็ให้ดูที่รูปร่างเป็นอย่างแรกก่อนคะคุณ...คือดูๆ แล้วมันจะต้องสมส่วน...บึกบึน...หน้าอกกว้าง...มีรูปตัววี...โคนหางใหญ่...หางยาวเลยข้อพับ...ปลายหางเป็นพวงสวยงาม...คุณถามทำไมเหรอคะ” สมหญิงถามย้อนกลับ
สรนุชพยายามนั่งตีสนิทอยู่กับสมหญิง
“อ๋อ...ก็เป็นข้อมูลในการเขียนบทสารคดีไง...เอ่อ...แล้วอย่างจะเด็ดนี่ถือว่าเป็นควายสวยมั้ย”
“ยิ่งกว่าสวยเลยคะคุณขา...ไอ้ตัวนี้น่ะเคยชนะการประกวดระดับประเทศมาแล้วนะ...เอ่อ...คุณกินปลาแดกเป็นมั้ยคะ” สมหญิงถาม
สรนุชทำหน้าเจื่อนแต่ต้องเล่นละคร “แซบอีหลีน้อ...เยอะๆ เลยก็ได้จ้ะ...เอ่อ...แต่ฉันไม่เห็นว่าหัวหน้าคุณจะใช้งานจะเด็ดอะไรเลย...หัวหน้าคุณกลัวควายเหนื่อยเหรอ”
“อูย...ใครบอกล่ะคะ...ไอ้จะเด็ดนี่เหนื่อยยิ่งกว่าไถนาอีกนะคะ...วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจาก” ทำท่าตีมือใส่กัน “ฮึซๆ กับตัวเมียอย่างเดียว”
“เหรอ...แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าตัวไหนเหมาะสำหรับเป็นพ่อพันธุ์” สรนุชซัก
“อยากรู้จริงๆ เหรอคะ...จะพูดไปก็กระดากปาก...คุณเอาหูมาดีกว่าค่ะ”
สรนุชค่อยๆ ยื่นหูให้สมหญิงกระซิบกระซาบ สรนุชทำหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

ด้านภิรมย์กำลังอาบน้ำให้ควาย เจอสรนุชถามอีกราย
“ที่นี่เขานอนกันดึกครับคุณ” ภิรมย์บอก
สรนุชหน้าเครียด “เอ่อ...ตีอะไรเหรอ”
“เฮ้ย ! ตีอะไรกันคุณ...สามทุ่ม ! สามทุ่มนี่ก็ถือว่าดึกสุดๆ แล้ว”
สรนุชดีใจขึ้นมาทันที แล้วจึงถามต่อ “แล้ววันนั้นฉันเห็นหัวหน้าคุณออกมาดูควายตอนกลางคืนด้วยเหรอคะ”
“ใช่ครับ...หัวหน้าชอบออกมาเดินเล่นดูไอ้พวกนี้น่ะครับ”
สรนุชนิ่งไปรับทราบข้อมูล แล้วตัดสินใจถาม
“แล้วหัวหน้าคุณชอบออกมาเดินเล่นตอนกี่โมง”

ชาญณรงค์อยู่ที่บ้านตาน้อย หันหน้ามาด้วยสีหน้าเข้มเหี้ยม ขณะถาม
“แกไม่ขายให้ฉันเหรอ”
ตาน้อยก้มหน้าก้มตาด้วยความกลัว
“ผมขอโทษครับผู้พัน...ผมขายให้หัวหน้าใจเด็ดไปแล้ว”
“แกก็ยกเลิกสัญญาซิวะ”
ชาญณรงค์ปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อตาน้อย อบต.โชคชัยรีบเข้ามาห้าม
“ผู้พัน...ไหนผู้พันบอกว่าจะมาคุยกันดีๆ ไง...ถ้าเป็นอย่างนี้ผมว่าผู้พันกลับไปดีกว่า”
“แล้วผมพูดไม่ดีตรงไหน...เนี่ยดีแล้ว...เพราะปกติผมจะใช้ลูกปืนพูด”
ระหว่างนั้นมีเสียงของใจเด็ดดังขึ้น
“ผู้พัน”
ทุกคนหันไปก่อนจะเห็นใจเด็ดเดินเข้ามา
“ใจเด็ด”
“ผู้พันจะขู่ตาน้อยไปก็ไม่มีประโยชน์...เพราะที่ผืนนี้เป็นของผมแล้ว” ใจเด็ดว่า
ชาญณรงค์โมโห “แก...ทำไมแกต้องคอยขวางทางฉันตลอด”
“ผมไม่เคยขวางทางใคร...ที่ผืนนี้ผมซื้อมาก่อนที่ผู้พันอยากจะได้”
“แต่ฉันเป็นคนที่อยากได้อะไรต้องได้” ชาญณรงค์บอก
“ถ้าอย่างนั้น ครั้งนี้ผมคงต้องทำให้ผู้พันผิดหวัง”
ชาญณรงค์โกรธจนตัวสั่น
“ไอ้ใจเด็ด...แกจำคำพูดแกไว้...ถ้าฉันไม่ได้คนอื่นก็ต้องไม่ได้”
“ผู้พัน...ผมถือว่าคำพูดเมื่อกี้เป็นคำขู่...ถ้าใจเด็ดเป็นอะไรไป...ผู้พันคือผู้ต้องสงสัยเป็นคนแรก” โชคชัยแทรกขึ้นมา
“นี่นายกก็เข้าข้างมันเหรอ” ชาญณรงค์หงุดหงิด
“ผมไม่ได้เข้าข้างใคร...ผมเข้าข้างความถูกต้อง...ผู้พันกลับไปเถอะครับ...ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้”
“ได้...แล้วพวกแกจะรู้ว่าเล่นผิดคน”
ชาญณรงค์ขู่แล้วเดินออกไปอย่างหัวเสีย ใจเด็ดเข้ามาหาตาน้อย
“ไม่ต้องกลัวนะตา...ถ้ามีเรื่องอะไรไปหาผมได้ตลอดเวลา” ใจเด็ดหันมาพูดกับโชคชัย “ขอบคุณมากนะนายก”
โชคชัยตบบ่าใจเด็ดแทนคำตอบว่าไม่เป็นไร
ในขณะที่ใจเด็ดหน้าเครียดขึ้นมา เพราะเขารู้ว่าชาญณรงค์ต้องกลับมาเอาคืนอีกในไม่ช้า

เวลาเดียวกันนั้น อรอนงค์กำลังยืนซวนเซไปมา ระหว่างนั้นได้ยินเสียงของสุบินดังขึ้น
“ไม่ใช่...ขึ้นมาอีก”
ที่แท้อรอนงค์กำลังเหยียบหลังให้สุบินอยู่ ในขณะที่สรนุชนั่งใช้ความคิดอยู่ด้วย
“นี่แกให้ฉันเหยียบอย่างนี้ไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีหรือไง” อรอนงค์ถามเย้ย
“โอ๊ย...ฉันกลัวแล้วจะให้เหยียบเหรอ...ขึ้นมาอีก...อีกนิด” สุบินบอก
อรอนงค์ค่อยๆ เดินขึ้นมาบนหลังของสุบิน แต่เพราะอรอนงค์ทรงตัวไม่อยู่เลยทำให้อรอนงค์เสียหลักก่อนจะเหยียบเข้าไปที่ตรงก้นส่งผลถึงจุดยุทธศาสตร์ทันที
“อ้าก” สุบินร้องลั่น
“ขอโทษ..ขอโทษ”
จู่ๆ สรนุชก็ส่งเสียงแทรกขึ้น “คืนนี้..! ต้องคืนนี้เท่านั้น”
สุบินยังจุก หน้าเขียวไม่หาย หันมาถาม “อะไรของแกยัยนุช”
“เราต้องหาควายพ่อพันธุ์ให้เจอภายในคืนนี้” สรนุชบอกซีเรียส
“แล้วแกรู้เหรอว่ามันเป็นตัวไหน”
“ถ้ามันจำเป็น...ฉันก็ต้องทำทุกตัว”
“ทำอะไร” อรอนงค์สงสัย
“ทำหมันพวกมันไง”
“เฮ้ย ! ไอ้โหด...ไอ้ซาดิสม์...นี่...ต้องอย่างนี้เขาถึงเรียกว่าหยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างแรง” สุบินว่า
“นั่นซินุช...มันทารุณสัตว์น่ะ”
สรนุชเมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่เห็นด้วยก็ต้องหาทางใหม่
“ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ...แกรู้เหรอว่าทำหมันควายยังไง”
“ถามทำไม...แกจะเอาไปทำให้แฟนแกเหรอ” สุบินแซว
“ปากเหรอที่พูดน่ะ” สุบินฉุน
“อ้าว...จริงนะ...ถ้าแกจะทำหมันควายนี่...ฉันว่าแกทำให้แฟนแกดีกว่า” สุบินเล่นไม่เลิก
“ไอ้นี่...ไม่หยุดใช่มั้ยแก”
“ฉันเตือนด้วยความหวังดีนะ...จะบอกให้ว่านายวัตน่ะหื่นยิ่งกว่าควายพ่อพันธุ์พวกนี้ไม่รู้กี่เท่า”
สุบินพูดแล้วก็ลุกขึ้นยังนั่งกุมเป้าอยู่แต่ก็ค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว แต่แล้วสรนุชที่โกรธอยู่ก็พุ่งเข้ามาแล้วเหยียบซ้ำ
“ไอ้บ้า...เรื่องไรเอาวัตไปเทียบกับควายพวกนั้น”
“เฮ้ย! ...ฉันพูดเล่น”
“ไม่ต้องเลย...มานี่...ฉันทำหมันให้แกดีกว่า”
สุบินรีบวิ่งจู๊ดออกไปเพราะเห็นสรนุชโกรธจริง
“อย่าไปถือมันเลย...ปากมันก็อย่างนี้แหละ”
สรนุชนึกหวั่นใจจึงหันไปถามอรอนงค์ “อร...แกว่าวัตเขาเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า”
อรอนงค์ไม่อยากให้เพื่อนคิดมาก “ไม่หรอกนุช...แกไม่เชื่อใจวัตเขาหรือไง”
สรนุชนิ่งไปแม้ว่าจะดูไม่มีอาการแต่ภายในกลับร้อนรุ่มขึ้นมา

สรนุชเปิดประตูเข้ามาในสำนักงาน กวาดตามองไปรอบๆ ไม่เห็นใครก็ลองเรียกดู
“สวัสดีค่ะ...มีใครอยู่มั้ยคะ”
เงียบ...ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา สรนุชได้ทีจึงค่อยๆ ย่องเข้ามาที่โทรศัพท์สำนักงาน
สรนุชมองไปนอกหน้าต่างอีกที “มีใครอยู่มั้ยคะ”
พอแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ สรนุชก็ค่อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.

มือถือของณวัตดังขึ้น ณวัตหันมองก่อนจะหยิบมาดู
ณวัตแปลกใจ “เบอร์ต่างจังหวัด...” ลองกดรับสาย “ฮัลโหล” พอฟังแล้วตกใจเล็กน้อย “นุช”

สรนุชนั่งอยู่ใต้โต๊ะแอบคุยโทรศัพท์
“มือถือนุชมันเสียตั้งแต่วันแรกที่มาเลย”
ณวัตเป่าปากอย่างโล่งอก
“วัตก็คิดว่านุชเป็นอะไรหรือเปล่า...โทรไปก็ติดต่อไม่ได้...รู้มั้ยว่าวัตเป็นห่วงนุชแค่ไหน”
สรนุชแอบอมยิ้ม “จริงเหรอ”
“จริงซิ...นี่วัตบอกพ่อว่าจะไปสุรินทร์เลยนะครับ”
สรนุชยิ่งดีใจใหญ่ “ไม่ต้องหรอกค่ะ...อีกวันสองวันนุชก็กลับแล้ว...วัต..นุชมีเวลาไม่มาก...แต่นุชฝากบอกพ่อคุณหน่อยว่านุชพบความลับของไอ้พวกกระบือบาลแล้ว”
“ความลับ..? ความลับอะไร” ณวัตงง
เวลาเดียวกันนั้นใจเด็ดเปิดประตูเข้ามาภายในสำนักงาน สรนุชที่มัวแต่จดจ่อกับโทรศัพท์จึงไม่รู้ตัว
“ตอนนี้นุชยังบอกไม่ได้...แต่กลับไปนุชจะมีข่าวดีให้กับบาคาตี้แน่ๆ”
ด้านใจเด็ดเดินมาที่โต๊ะก่อนจะเห็นสายโทรศัพท์ถูกดึงออกไป ใจเด็ดมองไล่ตามสายโทรศัพท์ไปก็เห็นสรนุชแอบคุยโทรศัพท์อยู่
“เอ่อ...วัตคิดถึงนุชมั้ย” สรนุชยิ้มแก้มปริ “ค่ะ...นุชก็คิดถึงวัตค่ะ”
สรนุชยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเพื่อวางโทรศัพท์ ทันใดนั้นสรนุชก็ใจหายวูบเมื่อเห็นใจเด็ดยืนอยู่
“ไม่น่าเชื่อ...”
สรนุชใจหายวาบ...คิดในใจว่าตานี่ต้องรู้แน่ๆ ว่าตนมาจากบาคาตี้
ใจเด็ดพูดต่อ “ว่าคนอย่างคุณจะมีแฟน”
สรนุชผิดคาด “ห๊า” จนเมื่อตั้งสติได้ “เอ่อ...ทำไม...ผู้หญิงที่ทั้งสาวทั้งสวยอย่างฉันจะมีแฟนมันแปลกตรงไหน”
“คุณอาจจะไม่แปลก...แต่คนที่แปลกคือแฟนคุณต่างหาก...ที่ชอบผู้หญิงอย่างคุณ” ใจเด็ดหยัน
“อ้าว...นี่...นายอย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันได้มั้ย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็อย่าเอาเรื่องส่วนตัวของคุณมายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของราชการ...เพราะผมมีสิทธิจับคุณติดคุกข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการได้”
“บ้าอำนาจ” สรนุชด่า
ใจเด็ดสวนกลับ “บ้าผู้ชาย”
“ฉันบ้าผู้ชายตรงไหน”
“แล้วไอ้ที่ขวนขวายแอบเข้ามาใช้ทรัพย์สินราชการ อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าบ้าผู้ชายแล้วเรียกว่าบ้าอะไร” พูดจบใจเด็ดก็เดินออกไปเลยทันที
“นี่”
สรนุชโกรธถึงกับตัวสั่น พูดไม่ออกก่อนจะเดินตึงตังออกไปด้วยความโมโห
ใจเด็ดมองตามส่ายหน้าอย่างเอือมระรา

สุบินกับอรอนงค์กำลังตั้งวงทานข้าว อรอนงค์มองไปนอกเรือนเป็นห่วงสรนุช
“ไม่รอนุชเหรอ”
สุบินส่ายหน้า “หือ...ไม่ล่ะ...ฉันกลัวมันกลับมาแล้วฉันจะกินไม่ลง”
“ทำไมล่ะ” อรอนงค์งง
“อ้าว...ก็ก่อนไปยัยนุชมันคุยเรื่องอะไรละ...ทำหมันควาย...เกิดกลับมาแล้วแม่นั่นถือตัวเดียวอันเดียวมาด้วย...เธอจะกินข้าวลงมั้ย”
อรอนงค์ทำหน้ายี้ก่อนจะคิดไปคิดมาแล้วรีบลงนั่งกินข้าวกับสุบินทันที
ระหว่างนั้นสรนุชเดินขึ้นบ้านมาพอดี อรอนงค์เห็นรีบถาม
“นุช...ไปไหนมา”
สรนุชยังโกรธใจเด็ดอยู่ “ไปโทร.หาวัตมา”
สุบินสังเกตจากสีหน้าแล้วแซวขึ้น “อารมณ์ไม่ดีอย่างนี้...หรือว่านายวัตมีกิ๊ก”
สรนุชคว้าผักลวกปาใส่ “เงียบไปเลย..! ฉันอารมณ์ไม่ดีเพราะนายใจเด็ดนั่นต่างหาก...” ยิ่งโกรธยิ่งเหมือนจะเป็นแรงขับให้สรนุชอยากเอาชนะ “คอยดูนะ...รถไถบาคาตี้ต้องชนะให้ได้...เธอสองคนพร้อมนะคืนนี้”
“หือ...อรคนเดียว...ฉันไม่เกี่ยว” สุบินว่า
“สุบิน...นี่เพื่อนขอร้องแกจะไม่ช่วยเพื่อนหน่อยเหรอ” สรนุชต่อว่า
“ช่วยเพื่อนทรมานสัตว์เหรอไง...ไม่ละ”
สรนุชรู้ว่าเพื่อนไม่ยอมตัวเองก็เลยต้องยอมไปก่อน “บ้าเหรอไง...คืนนี้ฉันแค่จะแอบเข้าไปถ่ายรูปเพื่อเก็บไปเป็นข้อมูลเท่านั้น”
สรนุชหรี่ตามุ่งมั่นกับภารกิจในคืนนี้

ค่ำคืนนั้น ที่บริเวณพุ่มไม้ข้างบ้านพักของใจเด็ด สรนุช สุบินและอรอนงค์ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด ทั้งสามมองไปที่บ้านพักของใจเด็ดเห็นว่าไฟชั้นสองของบ้านเปิดอยู่
“ไหนบอกว่าสามทุ่มก็นอนแล้วไง...นี่มันจะห้าทุ่มแล้วนะ” สุบินว่า
“ฉันจะรู้มั้ย...ก็พวกคนงานบอกฉันอย่างนี้นี่” สรนุชฉุน
ระหว่างนั้นไฟห้องนอนบนชั้นสองดับลง อรอนงค์รีบสะกิดเรียกสรนุชกับสุบินที่กำลังเถียงกันอยู่
“ดับแล้ว..!” อรอนงค์บอก
สรนุชกับสุบินหันไปก็เห็นไฟห้องนอนใจเด็ดดับไปแล้ว
“โอเค๊...งั้นทวนแผนกันก่อน...พอไปถึงคอกแล้ว...แยกย้ายกันถ่ายรูปควายพ่อพันธุ์ที่คิดว่าจะมีน้ำเชื้อพิเศษ” สรนุชจะลุกไป
อรอนงค์ดึงรั้งไว้ “แต่ฉันดูไม่ออกนี่...ควายมันก็เหมือนๆ กันหมดทุกตัว”
“ใช่...ฉันก็ดูไม่ออก
สรนุชไม่ได้ดั่งใจ “เออ...งั้นก็ถ่ายมาให้หมดทุกตัวแล้วกัน...” สรนุชพยักหน้า “ไป”
สรนุชก้มๆ เงยๆ แล้วค่อยๆ เดินนำออกไป สุบินกับอรอนงค์ตามหลังไป

คล้อยหลังสามคนเดินออกไปได้ไม่นาน ไฟชั้นล่างในบ้านของใจเด็ดก็สว่างขึ้น!!!








Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 4 เมษายน 2555 11:41:06 น.
Counter : 185 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]