กระบือบาล ตอนที่ 4 (ต่อ)




ช่วงตอนกลางวันที่บ้านผู้พันชาญณรงค์ ในมือของผู้พันเลือดเดือดเวลานี้ อุ้มหมาพุดเดิ้นชูขึ้นมาพูดด้วยอย่างอารมณ์ดี โดยมีช่อผกา และสมคิด คนงานชายอยู่ข้างๆ

“อีหนูได้ยินมั้ย ไอ้พวกถ่ายสารคดีมันกลับกันไปหมดแล้วฮ่ะๆๆ”
“ได้ยินแล้วค๊าบ” สมคิดคนรับใช้บอก
“ฉันถามหมาฉัน”
สมคิดจ๋อย!
“หึ ไอ้พวกกระบือบาลมันคงคิดสินะว่า แค่สารคดีกระจอกๆเรื่องเดียว จะทำให้ควายดูมีค่าสูงส่งขึ้นมาได้ ไอ้พวกฝันเฟื่อง ไดโนเสาร์ ไร้บูรณาการ
“หนูก็เบื่อๆๆๆๆ พ่อช่วยทำให้พี่เด็ดเลิกสนใจแต่ควาย แล้วหันมาสนใจหนูเสียทีซี” ช่อผกาตีอกชกตัว
“นั่นน่ะสิครับ คุณช่อผกาออกจะสวยที่สุดในซอยขนาดนี้ นายใจเด็ดทำไม๊...ถึงไม่มองสักที หรือว่า...เพราะคุณช่อผกาฉีดจมูกโด่ง ไปทำตา 2 ชั้นลึกไป หรือว่าคุณใจเด็ดดันรู้ว่าอึ๋มนั่นของปลอม” สมคิดว่า
“ไอ้บ้า...ปากไม่มีหูรูด เอาเงินนี่ไปซื้อกล้วยแขกเลยไป๊” ช่อผกาควักแบงค์ 20 ยื่นให้
“อึ๋ย คุณผกาจะกินเหรอครับ”
“ให้แกนั่นแหละกิน กินหมดเมื่อไหร่ค่อยกลับมา”
“คร๊าบ” สมคิดเดินคอตกออกไป
“หึ ฉันเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าตราบใดที่ไอ้ใจเด็ดมันยังมีหวัง จะทำให้มันเลิกยุ่งกับควายไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ต้องเจาะยางมันซะก่อนทำให้มันหมดหวัง เสียกำลังใจ” ชาญณรงค์เอ่ยขึ้น
“ทำไงล่ะพ่อ”
“ฉันก็จะแย่งที่นาที่มันซื้อจากตาน้อย กลับมาเป็นของฉันให้ได้นะสิไม่ว่ามันจะไปซื้อที่ซื้อนาจากใครที่ไหนในตำบลนี้ ฉันก็จะไปตามซื้อคืนมาเป็นของฉันให้หมด ไอ้ใจเด็ดมันจะได้รู้ว่า ถึงชาวบ้านจะนับถือมัน แต่ก็บูชาเงินเป็นพระเจ้าของผู้พันชาญณรงค์มากกว่า เอิ้กๆๆ”
ในขณะที่ชาญณรงค์กำลังหัวร่อชอบใจ อยู่นั้น เสียงมือถือของผู้พันดังขึ้นพอดี
“ฮัลโหล...กำลังนึกถึงแกอยู่พอดี เรื่องที่ให้ไปสืบเรื่องลูกชายตาน้อยที่กรุงเทพฯ น่ะ ได้เรื่องมาหรือยัง?”

ค่ำวันนั้น ภายหลังเดินทางกลับจากสุรินทร์โดยสวัสดิภาพ สรนุชยืนมองแสงสีของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนที่ระเบียงห้องในคอนโดของสุบิน
สรนุชตะโกนก้องจากระเบียงนั้น “กรุงเทพแดนสวรรค์ ฉันกับมาแล้ว”
อรอนงค์เดินออกมาจากห้องน้ำมองไปที่สรนุช ในขณะที่สุบินกำลังจัดการเก็บสัมภาระตัวเองที่หิ้วขึ้นมา
“ดูเพื่อนแกสิ ยังกะจากกรุงเทพฯ ไปสัก 10 ปี” สุบินพยักเพยิดกับอรอนงค์
สรนุชยกเหยียด 2 มือขึ้นจนสุดแขน พลางสูดอากาศ “เฮ่อ...สดชื่นจริงๆ อากาศกรุงเทพฯ ไม่มีกลิ่นโคลนสาปควายเหมือนที่บ้านนอกนั่น”
“สดชื่นด้วยสารตะกั่วสอดไส้ควันพิษ สูดเยอะๆ เข้า แกจะได้เป็นมะเส็ง” สุบินแขวะ
สรนุชหันมายืนเท้าเอวจะเอาเรื่อง อรอนงค์รีบห้ามศึก
“นี่ๆ...อย่าเปิดศึกกันอีกได้มั้ย ฉันอยากกลับบ้านแล้ว แกจะเข้าห้องน้ำ ก็รีบๆ ไปจัดการซะยัยนุช จะได้ไปกันเสียที”
“จะกลับแล้วเหรอ แกจะไม่เปิดกล่องของขวัญของหมอเกริกไกรดูก่อนเหรอ”
สุบินหยิบกล่องของขวัญยื่นให้
อรอนงค์กรี๊ดใส่ “ว้าย...ฉันทิ้งไปแล้ว แกเก็บมาทำไม”
“ก็ฉันอยากจะรู้นี่ ว่าข้างในมันเป็นอะไร ไม่งั้นฉันนอนไม่หลับ แกะเลยๆๆ”
“ก็ไหนแกว่าเป็นขี้ควายงัย”
“ฉันมั่วเอา คนบ้าอะไรจะให้ขี้ควายผู้หญิง”
“ก็คนบ้าอย่างหมอเกริกไกรนั่นแหละ รีบแกะๆ ดูเหอะยัยอร ให้มันรู้กันไป” สรนุชยุส่ง
อรอนงค์รับมาแกะอย่างอิดออด “ฉันแกะนะ”
“เออ” สรนุชว่า
อรอนงค์แกะกระดาษห่อออก ตามด้วยแกะฝากล่องออก แล้วต้องเลิกคิ้วมองสิ่งที่อยู่ข้างใน
“หื๊อ...อะไรอ่ะ”
สุบินกับสรนุชเพ่งมอง แผ่นดินแห้งที่มีรอยประทับตีนควาย สุบินหยิบขึ้นมาดูแล้วขำก๊าก
“รอยประทับอุ้งตีนควาย ฮ่ะๆๆๆ”
สรนุชมองในกล่อง “เดี๋ยวๆ ยังไม่หมด ในกล่องยังมีอีก”
“รอยประทับอะไรอีกล่ะ?”
อรอนงค์หยิบแผ่นดินแห้งอีกอันขึ้นมา เห็นเป็นรอยประทับมือของเกริกไกรเป็นสัญญาลักษณ์ไอเลิฟยู
“คงจะเป็นอุ้งมือของนายเกริกไกรเอง ทำแบบนี้ไง” สรนุชทำมือตาม “ไอเลิฟยู”
“อี๋ คนอะไร บ้าเนอะ” อรอนงค์มองในกล่อง เห็นจดหมายวางอยู่ “มีจดหมายด้วย” รีบหยิบมาแกะอ่าน “แด่คุณอรอนงค์ด้วยดวงใจ จากผู้ชายคนหนึ่ง ที่อยากรักใครสักคนยิ่งกว่าควาย” อรอนงค์เซ็งสุดกู่ “บ้าๆๆ...บ้าที่สุด”
สุบินกับสรนุชหัวเราะขำก๊าก จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ภายในห้องของสุบินดังขึ้น สุบินหันไปยกหูรับสาย

“โหล! ว่าไง ขาน้องหายเดียร์แล้วเหรอ เยี่ยมเลย ผมอยากจะกลับไปถ่ายละครให้มันจบๆ จะได้ออกอากาศซะที จัดคิวเลย”
อรอนงค์หันมาถามสรนุช
“เออนี่...แล้วแกจะไม่โทรไปบอกวัตเค้าเหรอ ว่าแกกลับมาแล้ว”
“ไม่ล่ะ พรุ่งนี้ ฉันไปเซอไพร้สเค้าที่บริษัท”

วันรุ่งขึ้น สรนุชอยู่ในชุดกระโปรงสวย เดินหิ้วกระเป๋าเอกสารที่มีข้อมูลจากการไปสืบที่หนองระบือเดินมาด้วยสีหน้าเบิกบานที่จะได้เจอณวัต ผ่านเหล่าพนักงาน สรนุชยิ้มทักทาย แต่พอคล้อยหลังเหล่าพนักงานพากันแอบซุบซิบๆ บางอย่าง
จนกระทั่งสรนุชมาถึงหน้าห้องทำงานของณวัต สรนุชจะเคาะประตู แต่แล้วก็ชะงักมือ คิดจะแอบเปิดเข้าไปเงียบๆ เพื่อเซอร์ไพร้สณวัต สรนุชจับลูกบิดประตูค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป
“นุชกลับมาแล้วณวัต”
ภายในห้องณวัตเวลานั้น ณวัตกำลังมองเลขาสาวคนใหม่ตาเยิ้ม และกำลังทำท่าจะโผเข้ากอดเลขา แต่ต้องเบรกเอี๊ยดหันมา เห็นสรนุช แทบช็อก รีบหดมือแทบไม่ทัน
“นุช”
สรนุชเองก็หุบยิ้ม เมื่อเห็นณวัตอยู่กับผู้หญิงแปลกหน้า “ใครน่ะวัต”
“ใคร? อ๋อ...นี่น่ะเหรอ” ณวัตชี้ที่เลขา
“ก็จะใครซะอีก ฉันไม่อยู่แค่ไม่กี่วัน คุณถึงกับควงผู้หญิงมาทำงาน ด้วยเหรอห๊ะ”
“ปัดโธ่นุช...ควงผู้หญิงอะไร นี่เลขาคนใหม่เพิ่งมาทำงานวันนี้เอง”
“อ๋อ นี่ถึงกับพามาเป็นเลขาส่วนตัวเลยเหรอ”
“ไม่ใช่ เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว นี่ท็อฟฟี่เลขาคนใหม่ของพ่อผมต่างหาก ผมน่ะ ไม่เอาหรอกเลขงเลขา น่ารำคาญ มีคุณเป็นเลขาส่วนตัวคนเดียวก็พอแล้วจ้ะ”
ณวัตพูดพลางเข้ามาโอบไหล่สรนุช แต่สรนุชขยับไหล่หนี
“เลขาของพ่อคุณ มาทำอะไรในห้องคุณ นุชไม่เชื่อ”
สรนุชเสียงกร้าว สีหน้าณวัตเจื่อน แย่แล้วตรู

ไม่นานหลังจากนั้น สมพลหัวเราะมั่วนิ่มช่วยณวัต “อ๋อ หนูคอฟฟี่น่ะเหรอ เลขาพ่อเอง ฮ่ะๆ”
“เอ่อ ชื่อท็อฟฟี่ครับพ่อ” ณวัตบอก

“เอ่อ...แต่พ่อชอบเรียกค็อฟฟี่มากกว่า เพราะพ่อชอบกินกาแฟ รสชาติมันกลมกล่อมดี เอิ้กๆๆ”
ณวัตหัวเราะผสมโรง “เอิ้กๆๆ ที่นี้นุชเลิกเข้าใจผิดวัตหรือยังล่ะ คนอุตส่าห์ คิดถึง รอแล้วรอเล่าว่าเมื่อไหร่นุชกลับมา ดูสิเนี่ยะ...พอเจอหน้า ก็หาว่าวัตพากิ๊กมาเป็นเลขาซะแล้ว น้อยใจนะเนี่ย”
สมพลฟังแล้วแอบทำหน้าหมั่นไส้ลูกชาย
“นุชขอโทษ ก็จะไม่ให้เข้าใจผิดได้ไงล่ะ อยู่ๆ ก็มาเจอคุณอยู่ในห้องกับผู้หญิงสองต่อสองแบบนั้น”
“อ๋อ พ่อสั่งให้หนูท็อฟฟี่เอาเอกสารไปให้เซ็นเองแหละ พ่อดูอยู่ทั้งคน หนูไม่ต้องเป็นห่วง ไอ้วัตมันไม่กล้านอกใจหนูหรอก”
“ขอบคุณมากค่ะคุณพ่อ”
“เอ่อว่าแต่ เรื่องที่ให้ไปทำ เรียบร้อยแล้วเหรอ”
“ค่ะ นุชได้ล้วงลึกข้อมูลทุกอย่างจากพวกกระบือบาลมาเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลพวกนี้จะช่วยให้เราเจาะตลาดขายรถไถที่หนองระบือได้แน่นอนค่ะ”
“มันต้องอย่างงี้สิ ถึงจะสมกับที่เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของสยามบาคาตี้” สมพลถูกใจนัก
“งั้น...หนูขอตัวไปเตรียมตัวพรีเซ็นต์ข้อมูลในที่ประชุมก่อนนะคะ”
ณวัตรีบบอก “รีบไปเถอะจ้ะ เสร็จแล้ว ผมจะรอทานข้าวเที่ยงนะจ๊ะ”
“ค่ะ”
พอสรนุชเดินออกไป สมพลเปลี่ยนมาตีหน้ายักษ์ใส่ คว้าแฟ้มฟาดไปที่หัวณวัตทันที
“นี่แน่ะ”
“โอ๊ย...เจ็บนะพ่อ”
“น้อยไปสิ มันน่าถลกหนังหัวแกออก แล้วเอากะโหลกมาเปิดดูว่ายังมีสมองอยู่มั้ย คิดได้ไงเนี่ยะ พาแม่คนนั้นมาเป็นเลขา”
“ก็บริษัทโน่น ไล่เธอออก ผมเห็นตกงานเลยสงสาร”
สมพลดักคออย่ารู้ทัน “เค้าไล่ออก หรือแกให้ออก”
“เอาน่าพ่อ จะถามให้มากเรื่องทำไม ไหนๆผมก็ให้มาทำงานแล้ว พ่อก็ช่วยโกหกว่าเป็นเลขาพ่อหน่อยน่า เดี๋ยวผมเบื่อ ผมก็ให้ออกเองแหละ”
“นี่ฉันพ่อแกนะเว้ย ไม่ใช่คนดูแลกิ๊กให้แก”
ณวัตไม่มนใจฟัง มัวแต่มองไปเห็นเลขาสาวเดินอยู่มุมไกล เลยรีบเดินตามไป
“ดูมัน”
สมพลยืนกลุ้ม

วันเวลาผ่านไป...เกริกไกรอยู่ที่กลางทุ่งนาภายในสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ และกำลังดีดกีตาร์ขี่ควายร้องเพลงคิดถึงอรอนงค์ หากใครได้ยินก็รู้ได้ทันทีว่า เกริกไกรร้องด้นไปเรื่อย ไม่เป็นเพลง
“รักแล้วรักเลย...รักไม่เคยโกหก...มันเหมือนจิ้งจก...หลงรักฝาบ้าน เหมือนม้าหลงรักอาน...เหมือนจานหลงรักช้อน...เหมือนฆ้อนหลงรักตะปู เหมือนตุ๊ดตู่หลงรักผู้ชาย...ผมต้องขาดใจตาย...ถ้าไม่ได้รักคุณอรงอนงค์”
สมหญิงยืนเกาหัวฟังอยู่กับใจเด็ด
“คุณหมอแกร้องเพลงอะไรของแกน่ะ มันฟังไม่เป็นเพลงเอาซะเลย”
ใจเด็ดขำ “จะไปเอาอะไรกับคนเพ้อ คงคิดถึงคุณอรอนงค์จนเพี้ยนไปซะแล้ว”
“แล้วคุณสรนุชกับคุณอรนงค์เธอจะกลับมาอีกรึปล่าวก็ไม่รู้นะคะ ก่อนไป ไม่เห็นบอกอะไรไว้เลย ปล่อยให้คนทางนี้ต้องรอ”
“สมหญิงก็ปัดกวาดเช็ดถูเรือนรับรองไว้ก็แล้วกัน” ใจเด็ดสั่ง
“แปลว่าพวกนั้นจะกลับมาอีกเหรอคะหัวหน้า”
“ก็ถ้าเค้าเห็นคุณค่าของควายอย่างที่เราเห็น เค้าก็ต้องกลับมาอีกจนได้”
“สมหญิงว่า เค้าต้องกลับมาอีกแน่ๆ เลยค่ะ งั้นสมหญิงไปทำความสะอาดเรือนรับรองก่อนนะจ๊ะ”
สมหญิงเดินไป ทิ้งให้ใจเด็ดยืนกอดอกพิงกองหญ้าแห้ง คิดถึงวีรกรรมเมื่อยามที่สรนุชมาที่นี่ ทั้งตอนที่สรนุชตัดหญ้า วิดน้ำในปลักควาย และจบที่สรนุชกลัวผีโผเข้ากอดใจเด็ด
ใจเด็ดยืนยิ้ม เหมือนตกอยู่ในภวังค์
ภิรมย์เดินเข้ามาหาเห็น แกว่งมือที่หน้า ทว่าใจเด็ดไม่มีอาการตอบรับใดๆ
“หัวหน้าคร๊าบ” ภิรมย์ร้องเรียกเสียงดังลั่น
ใจเด็ดสะดุ้งโหยง “เฮ้ย...อะไรภิรมย์”
“หัวหน้าไม่สบายบ่ครับ ยืนตาลอยๆ ยิ้มอยู่คนเดียว”
“เปล่านี่ ฉันสบายดี แล้วมาเรียกฉัน มีอะไรรึเปล่า”
“อ๋อ...นายกโชคชัยกับตาน้อยมาหาหัวหน้าครับ มีเรื่องอะไรรึเปล่าไม่รู้ ดูหน้าตาท่าทางตาน้อยแกไม่ค่อยเสบยเลย”

ใจเด็ดพุ่งไปยังบ้านตาน้อยทันที ไม่นานหลังจากนั้นโชคชัยที่นั่งข้างตาน้อยหันมาพูดกับใจเด็ด
“ตาน้อยแกต้องการใช้เงินน่ะครับ ก็เลยให้ผมพามาเจรจาเรื่องที่นา ที่คุณซื้อกับแกไว้”
“ทำไมเหรอครับลุง ผมก็ผ่อนชำระให้ลุงตามสัญญาทุกงวดนี่ครับ ทุกสิ้นเดือน พอได้รับเงินเดือน ผมก็จะเอาไปให้ลุงที่บ้านตรงเวลาทุกครั้ง”
“แต่มันไม่พอครับหัวหน้า ผมจำเป็นต้องใช้เงิน 3 แสน” ตาน้อยบอก
ใจเด็ดตกใจ “3 แสน! แต่ที่นาที่ผมซื้อจากลุง มันแค่แสนกว่าเองนะครับ”
“ก็เพราะอย่างงี้ไงครับ แกถึงอยากให้ผมมาช่วยพูดให้คุณช่วยเหลือแก”
“ถ้าผมมี ผมยินดีจะช่วยนะครับ แต่นี่ผมไม่มีจริงๆ เงิน 3 แสนมันไม่ใช่ น้อยๆ นะครับลุง”
“แต่ถ้าลุงไม่มีเงิน 3 แสนไปช่วยไอ้จ้อย มันต้องตายแน่ๆ”
“ลูกชายลุงป่วยเหรอครับ ลุงถึงต้องหาเงินไปรักษา”
ตาน้อยส่ายหน้า “มันไม่ได้ป่วยหรอก แต่มันติดหนี้พนันบอล”
ใจเด็ดอึ้งไปเลย ตาน้อยได้แต่นั่งก้มหน้า เงียบไป น้ำตาตก โชคชัยต้องหันไปลูบหลังปลอบ
“ทำใจให้สบายเถอะลุง ยังไงหัวหน้าใจเด็ดก็ต้องช่วยลุงจนได้”
ใจเด็ดหนักใจ “จะให้ผมช่วยยังไงล่ะครับ ผมไม่มีเงินจริงๆ ลำพังค่าใช้จ่ายใน สถานี ผมก็แทบจะหาไม่พอใช้อยู่แล้ว”
“คือตาน้อยแกไปคุยกับผู้พันแล้วครับ ทางผู้พันยินดีจะซื้อที่นาตรงนั้น ในราคา 3 แสนบาท”
ใจเด็ดตะลึงงัน ฟังแค่นี้ เขาก็มองออกทะลุปรุโปร่งแล้ว
“หมายความว่า...ลุงจะขอซื้อที่นาคืนจากผม”
โชคชัยพยักหน้า ด้วยความลำบากใจ “ครับ”
ว่าแล้วตาน้อยควักเงินก้อนหนึ่งออกมายื่นให้ใจเด็ด
“นี่เป็นเงินค่าที่นาที่หัวหน้าผ่อนให้ผมมาทั้งหมด หัวหน้าช่วยกรุณารับคืนไปเถอะนะครับ” ตาน้อยยกมือไว้ท่วมหัว “ผมไหว้ละ”
“โธ่...ลุงอย่าไหว้ผมเลยครับ”
“ผมต้องเอาเงินไปช่วยไอ้จ้อยจริง มันอยู่กรุงเทพ มันยังเรียนไม่จบ ถ้ามันไม่มีเงินไปใช้หนี้เค้ามันต้องหมดอนาคตแน่ๆ ผมขอโทษหัวหน้า ผมรู้ว่าผมทำอย่างงี้ ผมทำไม่ถูก”
ตาน้อยสะอึกสะอื้น ใจเด็ดจับมือตาน้อย
“ลุงไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมยินดีที่จะช่วยลุง”
“ขอบพระคุณอย่างที่สุดครับหัวหน้าใจเด็ด”
โชคชัยรู้สึกโล่งอก มองใจเด็ดกับตาน้อยจับมือตกลงกันได้

เวลาต่อมาผู้พันชาญณรงค์ยืนดูโฉนดที่นาในมือ
“จุ๊ๆๆๆ ฉันไม่เคยเห็นที่นาแปลงไหน สวยเท่าแปลงนี้มาก่อนเลย ฮ่ะๆๆๆ” ชาญณรงค์ร่าเริงสุดขีด
“หัวหน้าใจเด็ดกรุณากับผมมาก ที่ยอมขายคืนให้”
“นี่ตาน้อย คนที่แกควรจะขอบใจคือพ่อฉันต่างหาก คิดดูซี ว่าพ่อฉัน ใจกว้างขนาดไหน ที่ยอม ควักเงินซื้อที่นาแพงกว่าพี่เด็ด ก็เพื่อที่จะช่วยลูกแก”
“น่านน่ะสิ ที่ท่านผู้พันช่วยแก ไม่ได้หวังอะไรเลยนะเนี่ย” สมคิดสอพลอผสมโรง
โชคชัยสุดจะทนฟัง ตัดบท
“เอาล่ะครับ ไหนๆ ก็ได้โฉนดที่ดินมาแล้ว ท่านผู้พันก็รีบจ่ายเงิน 3 แสนให้ ตาน้อยแกเถอะครับ แกจะได้รีบไปโอนเงินส่งไปให้ลูกชายแกที่กรุงเทพฯ”
“แหม...ที่จะเอาเงินล่ะก็รีบกันนักเชียว ฉันบอกท่านนายกแล้วใช่มั้ย ว่าไม่มีใครหรอกที่ไม่รักเงิน ไอ้คิด...หยิบกระเป๋ามาให้ฉัน”
“ครับพ้ม...ผู้พัน”
สมคิดหยิบกระเป๋าหนังใบขนาดหนีบรักแร้ส่งให้ผู้พัน ผู้พันหยิบเงินออกมาปึกหนึ่งส่งให้ตาน้อย
“อ่ะนี่ 2 แสนห้า”
“อ้าว...3แสนทำไมเหลือแค่2แสนห้าล่ะผู้พัน อีก5หมื่นหายไปไหน?” โชคชัยฉุนนิดๆ
“ที่มันหายไป ก็เพราะมันเป็นค่าเสียเวลาที่ฉันต้องตามต่อรองขอซื้อที่ จากตาน้อยไง ถ้าแกยอมขายให้ฉันเสียแต่ทีแรก ก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“ผู้พันทำอย่างงี้ มันเอาเปรียบกันชัดๆ” โชคชัยต่อว่าทันที
“อ้าว มาต่อว่าต่อขานกันแบบนี้ ฉันเปลี่ยนใจไม่ซื้อก็ได้นะ”
ตาน้อยรีบคว้าเงินมา “เอ่อ...2 แสนห้าก็ 2 แสนห้าครับ”
โชคชัยอึ้ง “ตาน้อย”
“ไม่เป็นไรครับท่านนายก ที่ผู้พันยอมช่วยผม ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ขาดไป 5 หมื่น ผมยังพอหาได้ครับ” ตาน้อยบอกเสียงอ่อยๆ
โชคชัยถอนใจอย่างอ่อนใจ ขณะที่ผู้พันชาญณรงค์ยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ

เวลาต่อมาใจเด็ดยืนอยู่ในที่นาของตัวเองที่มีอาณาเขตติดกับที่นาของตาน้อย ด้วยสีหน้าปลงๆ
ระหว่างนั้นมีเสียงรถแล่นเข้ามาจอด ใจเด็ดหันมองไป เห็นสมคิดรีบลงจากรถไปเปิดประตูให้ผู้พันชาญณรงค์
“เชิญ ครับพ้ม ผู้พัน”
ผู้พันใส่หมวกก้าวลงจากรถ มองอย่างเย้ยหยันมาที่ใจเด็ด
“หึๆๆๆ มีที่นาแค่แมวดิ้นตายแค่นั้น ดูสิ จะทำอะไรได้”
“เท่านั้นยังไม่พอ ที่ตรงโน้นก็เป็นของผู้พัน ที่ตรงนั้นก็ใช่ นู้นก็ใช่ แถมที่ตรงนี้ก็เพิ่งได้มาใหม่เอี่ยมอ่องอีก ถูกที่ของผู้พันรอบกรอบไปเสียทุกด้าน อึกอัดแย่เลย” สมคิดสอพลอ
“ฮ่ะๆๆๆๆ แกพูดถูกใจฉันที่สุดเลยไอ้คิด ไหน...แกรีบเอาป้ายไปปักสิคนแถวนี้จะได้เห็น”
“ครับพ้ม”
ว่าแล้วสมคิดก็รีบคว้าป้ายไม้ออกมาจากท้ายรถ แล้วเดินไปตอกไว้กลางที่นา
ใจเด็ดมองไปที่ป้ายเห็นข้อความหรา “เขตปลอดควาย”
“ไอ้คิด ไหนช่วยอ่านให้ข้าฟังดังๆชัดๆสิ ป้ายมันเขียนว่ายังไง”
ใจเด็ดสวนออกมา “เขตปลอดควาย ไม่ต้องอ่านให้ฟังหรอก ผมอ่านหนังสือออก”
“อ่านออกก็ดี แล้วคอยดูต่อไป ฉันจะทำนาแถวนี้ทั้งหมดด้วยเครื่องจักร ไถหว่านด้วยรถไถนา ให้ไอ้พวกชาวบ้านหน้าโง่ทั้งหลายมันเห็น ว่าระหว่างฉันที่ใช้รถไถนา กับพวกมันที่ยังเก่าคร่ำครึใช้ควายไถนากันอยู่ ใครมันจะทำนาปลูกข้าวได้เร็วและรวยกว่ากันฮ่ะๆๆ” ชาญณรงค์ ทั้งเย้ย ทั้งหยัน
ใจเด็ดขบกรามแน่น ไม่ยอมแพ้
“ผู้พันจะทำอย่างงั้นก็เรื่องของผู้พัน แต่ผมนี่แหละ จะเอาควายมาช่วยชาวบ้านทำนาเอง”
ใจเด็ดกับผู้พันชาญณรงค์ยืนเผชิญหน้ากัน!

เวลาเดียวกันสรนุชกับอรอนงค์กำลังเข้าฟังการประเมินผลงานที่สรนุชไปสืบข้อมูลที่หนองระบือจากทีมผู้บริหาร ซึ่งมีภิภพกำลังอธิบาย
“พวกเราทั้ง5คนได้อ่านข้อมูลต่างๆที่คุณไปสืบจากหนองระบือมาอย่างละเอียดแล้ว พวกเราทั้ง 5 ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่างานของคุณ...ไม่ผ่าน”!!!
“หา ไม่ผ่านได้ยังไงกันคะ”
สรนุชกับอรอนงค์ไม่อยากจะเชื่อหู ภิภพพูดต่อ
“พวกเราเห็นว่า สิ่งที่คุณไปล้วงตับไตไส้พุงของไอ้พวกต่อต้านรถไถที่สถานีพันธุ์สัตว์มา มันไม่มีตรงไหนเลยที่จะช่วยให้เราเจาะตลาดที่หนองระบือได้”
สรนุชแย้งออกมาทันที “ก็ต้องจุดอ่อนต่างๆของพวกต่อต้านรถไถ ที่ฉันเขียนอธิบายไว้ทั้งหมดนี่ไงคะ ให้พวกทีมขายเอาไปใช้ วางแผนการขาย เจาะตลาดเข้าไปหาพวกชาวบ้าน”
“คุณพูดง่ายนี่ คุณเขียนๆ รายงาน แล้วบอกให้คนอื่นเอาไปทำงาน หึ ใครมันจะไปทำได้ ไม่ได้มีเส้นมีสาย เป็นแฟนของเจ้าของบริษัทอย่างคุณนี่...” ภิภพประชด จบด้วยการแขวะ
สรนุชปรี๊ด ของขึ้นทันที
“ว่าไงนะ...นี่คุณดูถูกฉันเหรอ ที่ฉันเข้ามาทำงานในบริษัทนี้ ฉันใช้ความ สามารถล้วนๆ ไม่เคยใช้เส้นใคร”
“ใจเย็นๆ นุช” อรอนงค์ปราม
“ถ้าคุณมีความสามารถจริงๆ คุณก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นซี ไม่ใช่นั่งเทียนเขียนรายงานแบบนี้”
“ก็ได้ ฉันจะขอรับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายขายที่หนองระบือนั่นเอง” สรนุชบอกอย่างไม่ยอมแพ้
อรอนงค์ ตกใจ รีบสะกิด “นุช...แกพูดอะไรออกไปรู้ตัวมั้ย”
“ฉันจะเปิดตลาดขายรถไถ บาคาตี้401รุ่นใหม่ของบริษัทที่หนองระบือให้ได้ ขอเวลาให้ฉันแค่1เดือน 1เดือนเท่านั้น”
สรนุชพูดต่ออย่างมุ่งมั่น ต่อหน้าทีมบริหาร

สมพลรู้เรื่องนี้เข้ารู้สึกหนักอกหนักใจ “จะดีเหรอหนูนุช”
“คุณพ่ออนุญาตเถอะนะค่ะ นุชตัดสินใจไปแล้ว” สรนุชบอก
ระหว่างนั้นณวัตแอบดีใจ ตาเหล่มองไปที่เลขาสาว สบตากันปิ๊งๆ
“แต่มันตั้งเดือนนึงนะ”
“โธ่คุณพ่อครับ เดือนนึงเอง ให้นุชเค้าไปพิสูจน์ตัวเองเถอะครับผมก็เบื่อไอ้พวกที่ชอบซุบซิบนินทาว่านุชใช้เส้นผมเข้าทำงานที่นี่ ทำให้มันเห็นไปเลย มันจะได้เลิกๆ พูดไปซะที” ณวัตทำเป็นอวย
สมพลเหล่มองณวัตกับเลขาสาว รู้ไต๋ลูกชายแสบดี
“อ๋อเหรอ แกอยากให้แฟนแกไปเต็มแก่ล่ะสิท่า”
“เอ่อ...โธ่คุณพ่อ...พูดอย่างงี้นุชก็เข้าใจผมผิดแย่สิครับ ใครจะอยากให้ แฟนตัวเองไปลำบาก แต่มันจะทำไงได้ล่ะครับ” ณวัตหันไปจับมืออ้อนสรนุช คุณไปตั้งเดือนนึง ผมคงคิดถึงคุณแทบบ้าเลย โธ่..นุชของผม”
ณวัตหวานเว่อร์ ตั้งท่าจะโผเข้ากอดสรนุช แต่ถูกสรนุชดันอกไว้
“ไม่เอาน่าวัต ต่อหน้าคุณพ่อ ทำงี้ได้ไง คุณไม่อาย ฉันอายนะ”
สมพลแอบทำปากขมุบขมิบด่าลูกตัวเอง
“มันได้เชื้อตอแหลมาจากใครวะเนี่ยะ เอ่อ...ถ้าหนูนุชมั่นใจว่าจะทำได้ ก็ลองดู ว่าแต่หนูจะไปกับใครล่ะ”
“ทีมเดิมค่ะคุณพ่อ! แต่คราวนี้ หนูต้องขอค่าเหนื่อยให้เพื่อนหนูหน่อยนะคะ” สรนุชว่า
“ถ้าสามารถขายรถไถที่หนองระบือนั่นได้ จะเอาเท่าไหร่ พ่อทุ่มไม่อั้น!” สมพลตกลงทันที

ในเวลาเดียวกันบรรยากาศในกองละครที่สุบินกำกับกำลังตึงเครียด เพราะทีมงานต้องรอให้นางเอกแสดงบทร้องไห้ให้ออก คนแสดงเป็นพระเอกนอนเสื้อเปื้อนเลือดเพราะในบทถูกยิง
อากาศก็ร้อนตับแลบ ทีมงานนั่งพัดวีรอกันจนเซ็ง สุบินต่อว่านางเอกเจ้าปัญหา
“นี่น้องเดียร์ เมื่อไหร่น้องจะทำอารมณ์ได้ซะที แค่ร้องไห้นิดเดียว พี่รอมา 2 ชั่วโมงแล้วนะ”
”ก็เดียร์ร้องไม่ออกนี่คะ ไม่ร้องไม่ได้เหรอพี่บิน?” เดียร์ว่า
“เฮ้ย...พระเอกถูกยิงอาการร่อแร่ขนาดนั้น น้องจะให้นางเอกหัวเราะขำกลิ้งหรือไงจ๊ะ เอาล่ะ พี่ไม่รอแล้ว เดี๋ยวแสงมันจะหมด เย็นลงไปทุกทีพอพี่นับ น้องต้องบีบน้ำตาออกมาให้ได้ เอาล่ะทุกคนพร้อม5...4...3...2....”
กล้องจับที่หน้านางเอก ทุกคนออกอาการลุ้นให้เธอร้องไห้ออกเสียที แต่เดียร์กลับสะบัดสะบิ้ง อิดออด
“ไม่อ่ะ เดียร์ร้องไม่ออก เดียร์เหนื่อย เดียร์ร้อนจะตายอยู่แล้ว ขอมาถ่ายวันหลังได้มั้ยคะ”
สุบินสุดจะทน เขวี้ยงวอร์ลงกับพื้นอย่างลืมตัว
“โว้ย! ทั้งวันถ่ายได้แค่ซีนเดียว เทคแล้วเทคอีกก็ร้องจะกลับบ้านแล้วทำงานก็เบาก็กว่าคนอื่น ค่าตัวก็มากกว่าคนอื่น ทำไมไม่รู้จักอดทนให้เหมือนกับควายห๊ะ”
ถูกสุบินด่าเปรียบกับควาย น้องเดียร์ตกใจอ้าปากค้าง “เฮิ้ก...”
“รู้จักมั้ยควายน่ะ ถึงมันจะมีเขา แต่มันก็ไม่โง่ มันไถนากลางแดดกลางฝน แต่มันก็ไม่เคยเหนื่อย ทำไมเธอถึงไม่อย่างมันบ้างห๊ะ” สุบินแผดเสียง
“คร่อก”
น้องเดียร์ตัวเกร็งช็อค เป็นลมล้มพับลงไปแล้ว ทีมงานทุกคนตกใจ สุบินยืนช็อก
ผู้จัดการแต๋วแตกของน้องเดียร์วิ่งหน้าตื่น รีบปรี่เข้ามาประคอง
“ว้ายตายแล้วน้องเดียร์ เป็นยังไงบ้างหนู” หันมาชี้ด่าสุบินกล้ามาด่านางเอกดาวรุ่งพุ่งแรงของฉันเป็นควายได้ไงยะ คอยดูนะ ฉันจะเอาเรื่องจนถึงที่สุด พรุ่งนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับจะต้องขึ้นหน้าหนึ่ง!”

คืนนั้นสุบินเดินเซ็งเป็ดเข้าร้านมาร้านก๋วยเตี๋ยวรอบดึกแห่งหนึ่ง ยกมือไหว้ชายคนที่กำลังลวกเส้นอย่างชิดเชื้อและคุ้นเคย
“หวัดดีพี่อุ๋ย”
“อ้าวไอ้บิน...เมื่อเช้าอ่านข่าว ขึ้นหน้าหนึ่งเลยนะเอ็ง ดังไปเลยว่ะฮ่ะๆๆ”
“ล้มดังน่ะสิเพ่ เซ็งเลย”
“ให้ฉันเดา เค้าไล่แกออก ไม่ให้กำกับแล้วใช่มั้ย”
“ก็ใช่น่ะเด่ ทางช่องเค้าโกรธที่ผมไปด่าเด็กปั้นเค้าว่าควายโฮ่ย...โลกนี้มีความยุติธรรมบ้างมั้ยเนี่ย”
“พี่ถึงเบื่อ ออกมาขายก๋วยเตี๋ยวมันสักพัก หารสชาติใหม่ๆ ให้กับชีวิต” ที่แท้อุ๋ยเคยเป็นผู้กำกับฯ มาก่อน
“แต่ผมทำก๋วยเตี๋ยวไม่เป็น คงมาทำอย่างพี่ไม่ได้หรอก ผมทำเป็นอยู่อย่างเดียว คือเป็นผู้กำกับ แต่ดันมาตกงานซะ จะเอาอะไรกินเดือนนี้” สุบินบ่นอุบ
“ถ้าเอ็งอยากทำละครอยู่ ก็หาเรื่องหาพล็อตมาซี เดี๋ยวพี่ช่วย”
สุบินหูผึ่ง “จริงเหรอพี่?”
“พอดีพี่ชายพี่เค้ากำลังจะเปิดบริษัทผลิตละคร ถ้าเอ็งมีพล็อตเรื่องแปลกๆ เค้าคงสนใจ” อุ๋ยบอก
“ได้เลยพี่ ก่อนอื่นขอเล็กแห้งพิเศษมา 1 ชามก่อนพี่”

ในวันต่อมาสุบินอยู่ที่คอนโด กำลังนั่งซัดม่ามาในชาม ขณะฟังเรื่องที่สรนุชเล่า
“หา...แกว่าไงนะนุช...นี่แกจะกลับไปที่หนองระบือนั่นอีกแล้วเหรอ?”
“ใช่ ทางบริษัทแต่งตั้งให้ฉันไปเป็นหัวหน้าฝ่ายขายคนใหม่ที่นั่น” สรนุชบอก
“แต่งตั้งที่ไหนกัน แกเป็นคนเสนอหน้าขอทำเองต่างหาก” อรอนงค์ว่าหน้าเซ็งๆ
“เพราะฉันรู้ไงว่าฉันทำได้ ฉันถึงเสนอตัว และแก 2 คน ก็ต้องไปช่วยฉัน”
“กลับไปตอแหลเค้าอีกน่ะเหรอ เฮ้ย...ไม่เอาอ่ะ” สุบินปฏิเสธ
“คราวนี้ไม่ไช่งานกุศลนะ ฉันให้ค่าแรงแก 1 แสน” สรนุชบอก
สุบินหันกลับมา “จ่ายสดงดเชื่อนะเว้ย”
สรนุชควักเงิน 1 แสนออกมาวาง สุบินคว้าไปหมับ “งั้นก็โอเค”
“เห็นเงิน ก็ตกลงกันง่ายๆ เหรอสุบิน” อรอนงค์กัดเอา
“แกไม่ตกงาน แกไม่รู้จักคำว่าตกนรกหรอก ฉันค้างค่าห้องเค้ามาหลายเดือนแล้ว ฉันต้องรีบเอาไปจ่ายก่อนที่เค้าจะมาไล่ฉันออกอีกอย่างหนึ่ง ฉันกำลังหาพล็อตละครแปลกๆ ไปเสนอทำละครบางทีฉันอาจจะไปปิ๊งไอเดียที่หนองระบือก็ได้ แล้วแกล่ะยัยอรไปด้วยมั้ย”
“ไม่ไป ฉันก็ตกงานน่ะดิ ฉันไม่อยากรู้จักคำว่าตกนรกอย่างแกหรอก” อรอนงค์บอกหน่ายๆ
สุบินชะงักมือที่กำลังนับเงิน หยุดคิดรู้สึกสงสัย
“ว่าแต่...การกลับไปที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ครั้งนี้ แกมีแผนการอะไรยัยนุชถึงได้ขอเวลาบริษัทตั้ง1เดือน”

สรนุชไม่ตอบ แต่ผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาทางใบหน้า เหมือนว่าในหัวมีแผนการใหญ่อยู่แล้ว
รุ่งเช้าวันต่อมาเสียงเพลงแตรวงดังใกล้เข้ามา คณะแตรวงที่กำลังเล่นเพลงสนุกสนานในงานบวช ภายในวัดของหมู่บ้านหนองระบือ พอคณะแตรวงเคลื่อนผ่านไปจึงได้เห็นว่าใจเด็ด และเกริกไกร เดินร่วมอยู่ในขบวนแห่นาคนั้นด้วย

ใจเด็ดเหลือบไปเห็นเกริกไกรสีหน้าไม่ค่อยแจ่มใส
ใจเด็ดจึงหยอกเพื่อนซี้ “โกรธที่มีคนแย่งถือหมอนเหรอหมอ”
เกริกไกรพยักหน้าแกนๆ ไปอย่างนั้น ใจเด็ดรู้ว่าเกริกไกรยังไม่หายจากอาการอกหัก
“งานบวชนะหมอไม่ใช่งานศพ...ทำหน้าอิ่มบุญหน่อย”
“คนมันเศร้าจะให้มีความสุขได้ไงวะ”
“เอ้า...ไม่เคยได้ยินเหรอว่างานบวชนี่กุศลแรงนะ...ถ้าหมอมีใจอนุโมทนาบุญกับนาคชิต...บางทีบุญกุศลนี้อาจทำให้คุณอรเขากลับมาหาหมอก็ได้นะ”
ได้ยินอย่างนั้นเกริกไกรก็ยิ้มหน้าแป้นแร้นขึ้นมาทันที
เกริกไกรยิ้มไปพูดไป “แค่นี้พอยัง”
ใจเด็ดส่ายหัวเซ็งกับอารมณ์ล้นของเกริกไกร
ระหว่างที่ขบวนแห่นาคเคลื่อนตัวผ่านประตูโบสถ์ ทุกๆ คนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถตู้เคลื่อนเข้ามาจอดที่หน้าประตูวัด ก่อนจะเห็นรถอีกคันแล่นเข้ามาจอดต่อท้าย ใจเด็ดกับเกริกไกรมองด้วยความสงสัย เช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่นๆ
เป็นสุบินที่ก้าวลงมาจากรถตู้อีกคัน พร้อกับขนอุปกรณ์กองถ่ายลงมา พอใจเด็ดกับเกริกไกรเห็นสุบินก็อึ้งไป แล้วยิ่งอึ้งอีกเมื่อรถคันหลังเปิดประตู เห็นอรอนงค์ก้าวลงจากรถ เกริกไกรถึงกับอ้าปากค้างไม่เชื่อสายตา
“คุณอร”
ใจเด็ดเองก็อึ้งไปเช่นกัน เมื่อเห็นอรอนงค์ก็แสดงว่า...ใจเด็ดเคลื่อนสายตาไปที่ประตูฝั่งคนขับ ก่อนจะเห็นสรนุชลงจากรถเช่นกัน
พอลงจากรถ สรนุช อรอนงค์และสุบินก็หันมาคุยกัน
“แผนอะไรของแกถึงได้พามาที่วัดนี่” สุบินยังงงไม่หาย
“แกนี่ไม่รู้อะไร...นุชเขาก็พามาไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัย...ใช่มั้ยนุช” อรอนงค์หันไปทางสรนุช
“เปล่า...ที่นี่แหละที่จะทำให้แผนฉันสำเร็จ”

ด้านเกริกไกรกำลังขยี้ตาให้แน่ใจว่าตนไม่ได้ตาฝาด ในที่สุดเกริกไกรก็แน่ใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคืออรอนงค์จริงๆ ทันใดนั้นเกริกไกรก็ลืมทุกสิ่งรีบวิ่งฝ่าขบวนแตรวงจนขบวนแตรวงจนแตกกระเจิง ฉิ่ง ฉาบหล่นกระจาย เสียงดังวุ่นวาย
สรนุช อรอนงค์ และสุบินได้ยินเสียงวุ่นวายก็หันไปมองก่อนจะเห็นเกริกไกรวิ่งเข้ามา
“คุณอร...คุณอรกลับมาหาผมแล้วเหรอครับ” เกริกไกรร้องทัก
“หมอ..!” อรอนงค์ตกตะลึง
สรนุชเองก็อึ้งไปก่อนจะหันไปมองด้านหลังเกริกไกรเห็นใจเด็ดเดินเข้ามา ทั้งใจเด็ดและสรนุชต่างสบตากันนิ่งและเนิ่นนาน

หลวงพ่อยกน้ำชาขึ้นจิบก่อนจะถามขึ้น
“มาถ่ายละครเหรอ”
สรนุช อรอนงค์ สุบิน ใจเด็ดและเกริกไกรนั่งอยู่บนศาลา
“ค่ะ...ที่พวกเรากลับไปก็เพราะไปเขียนบทมาค่ะ”
“อืม...ดีๆ...แล้วใครเล่นมั้งละ”
สรนุชเหลือบไปมองใจเด็ดก่อนจะมองไปที่ชาวบ้านที่ฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อว่าจะได้พบกับดาราคนโปรดหรือเปล่า
“ก็ลุงป้าน้าอาแถวนี้ล่ะค่ะ”
พอสรนุชพูดอย่างนั้น ก็มีเสียงอื้ออึงเม้าท์มอยของชาวบ้านดังขึ้น ใจเด็ดมองสรนุชด้วยความสงสัยว่าจะเอาชาวบ้านเล่นได้ยังไง
สรนุชสะกิดสุบินให้พูดรายละเอียดต่อจากเธอ
“คือละครเรื่องนี้เป็นละครกึ่งสารคดีน่ะครับ...พวกเราเลยต้องการวิถีชีวิตจริงๆ ของคนที่นี่น่ะครับ”
“แหม...เสียดายเนอะที่อาตมาไม่ได้ชื่อเอก” หลวงพ่อหยอดมุก
เกริกไกรงง “ทำไมเหรอครับ”
“เอ้า...อาตมาก็จะได้เป็นพระเอกไงละ” หลวงพ่อบอก
ทุกคนถึงกับเซถลากันไป ส่วนชาวบ้านต่างหัวเราะชอบใจ
“แหม...หลวงพ่อนี่มุกเยอะจังเลยนะคะ...คือ...พวกเราเห็นว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่นี้”
ใจเด็ดแย้งขึ้นอย่างขัดใจ “นี่คุณ...หลวงพ่อนะไม่ใช่เจ้าพ่อ”
สรนุชแอบมองค้อนที่ถูกขัดจัดหวะ “เอ่อ...พวกเราเห็นว่าหลวงพ่อเป็นที่พึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนที่นี่...ก็เลยอยากให้หลวงพ่อบอกกับชาวบ้านให้หน่อยน่ะค่ะ”
“ไม่มีปัญหาหรอกโยม...ทุกคนเขายินดีช่วยโยมกันทั้งนั้นแหละ...จริงมั้ยพวกเรา”
หลวงพ่อหันไปถามชาวบ้านที่นั่งอยู่ ก่อนจะได้ยินเสียงเฮดังลั่นจากชาวบ้าน
“แหม...ชาวบ้านที่นี่มีน้ำใจจังเลยนะคะ”
“มีน้ำใจอะไรคุณ...เขาอยากเป็นดารากันต่างหาก” เกริกไกรว่า
ทุกคนถึงกับหันมองเกริกไกรเป็นตาเดียว
“แหม...หมอก็แซวพวกเราเล่นน่ะ”
“แล้วนี่จะพักกันที่ไหนละ...นอนที่วัดนี่มั้ย...กุฏิตรงท้ายป่าช้ายังว่างอยู่” หลวงพ่ออกปากชวน
สรนุช สุบิน อรอนงค์ถึงกับสะดุ้ง
“ถ้ามันจำเป็นก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ” สรนุชยิ้มแห้งๆ
“โอ๊ย...จะไปนอนตรงนั้นทำไมครับ...ผมหมอเกริกไกรในฐานะตัวแทนของชาวบ้าน...ขอรับอาสาที่หนักหน่วงนี่เองครับ” เกริกไกรอาสาทันควัน
“ไอ้หมอ...แกเป็นตัวแทนชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่...แล้วไม่ต้องพูดเลยว่าหนักหน่วง...ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไร” ใจเด็ดว่า
“ทำไม...ไม่หนักตรงไหน...รู้มั้ยว่าการแอบรักใครคนนึงมันหนักหน่วงแค่ไหน”
ว่าแล้วเกริกไกรหันไปส่งสายตาปิ๊งๆให้กับอรอนงค์ อรอนงค์หลบตาอายๆ
“ไม่เป็นไรหรอกคะหลวงพ่อ...ดูจากที่คุณใจเด็ดพูดแล้ว...พวกเราเองตั้งใจกลับมาที่นี่เพื่อทำประโยชน์ให้...แต่ถ้ามันรู้สึกว่าเป็นภาระก็ไม่ต้องหรอกค่ะ” สรนุชเหน็บใจเด็ด
“ผมยังไม่ได้ปฏิเสธซักคำว่าไม่ให้คุณกลับไป”
อรอนงค์ เกริกไกรและสุบินต่างงงกับท่าทีของใจเด็ด
“ถ้าคุณมาทำประโยชน์ให้ชาวบ้านอย่างที่คุณว่า...สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์พร้อมที่จะต้อนรับเสมอ”
สรนุชทำหน้าเฉยไม่รู้สึกอะไร ก่อนจะลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

เวลาต่อมาใจเด็ดเดินนำกลุ่มของสรนุชเข้ามาที่รถที่จอดอยู่ เกริกไกรเดินมากับอรอนงค์และสุบิน เกริกไกรเดินอ้อมหน้าอ้อมหลังอรอนงค์จนสุบินแปลกใจ
“สงสัยว่าหมอเขากำลังดูอาการเธออยู่น่ะ” สุบินกระซิบแซว
“ฉันไม่ใช่ควาย” อรอนงค์หันไปถามเกริกไกรอย่างอึดอัด “มีไรคะหมอ”
“คือ...วันที่คุณอรกลับกรุงเทพไป...ทำให้ผมรู้ว่าที่ผ่านมาผมจดจำภาพของคุณอรได้น้อยเหลือเกิน”
“โอ้โห...รุกฆาต” สุบิน ทึ่งกับมุกหวานของเกริกไกร
อรอนงค์ทำปากขมุบขมิบด่าสุบิน “อยากถึงฆาตมั้ยแกน่ะ”
สรนุชยังมองใจเด็ดที่เดินอยู่ด้วยความสงสัยว่า ทำไมใจเด็ดถึงได้ยอมให้เธอพักในสถานีฯอย่างง่ายดาย
“นายพูดแล้วห้ามคืนคำละ”
ใจเด็ดหันมา “เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่นายยอมให้พวกฉันไปพักที่สถานีนายไง”
“หึ...ถึงผมจะคืนคำ...แต่ถ้าคุณต้องการจะไปพักจริงๆ...คุณก็คงจะหาวิธีจนได้” ใจเด็ดดักคอ
สรนุชนิ่งไปก่อนจะนึกได้ว่าที่ใจเด็ดพูดเหมือนว่าเธอขอร้องเขานั่นเอง
“นี่...ฉันไม่ได้อยากไปอยู่กับพวกควายพวกนั้นซะหน่อย”
เกริกไกรรีบเข้ามาคั่นกลางทันที “ครับๆ เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่านะครับ...” หันไปกระซิบเอ็ดใจเด็ด “พอได้แล้ว...เดี๋ยวคุณอรก็เปลี่ยนใจหรอก”
ระหว่างนั้นทุกคนก็ต้องนิ่งไปเมื่อหันมาเห็นชาญณรงค์ยืนจังก้าขวางทางอยู่
“นี่พวกหนูจะกลับมาถ่ายพวกเครื่องมือการเกษตรฉันใช่มั้ย”
เกริกไกรรีบตอบเพราะอยากเกทับมานานแล้ว “ไม่ใช่ครับ...คุณนุชเธอกลับมาถ่ายละครที่สถานีเรา”
ใจเด็ดปราม ไม่อยากมีเรื่องในวัด “หมอ”
“ละคร..? ละครเรื่องอะไร...ทำไมผมไม่เห็นรู้...แล้วละครเรื่องอะไร” ชาญณรงค์สงสัย
เกริกไกรโพล่งขึ้น “กระบือทระนง...ตอนนี้ยังขาดพระเอกอยู่...ผู้พันสนใจมั้ย...เอ...แต่ถ้าผู้พันเป็นพระเอก..สงสัยต้องเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นกระบือชาญณรงค์”
“ไอ้หมอควาย..!” ชาญณรงค์ฉุนขาด
สรนุชเห็นว่าถ้าปล่อยไว้คงต้องมีเรื่องกันอีกแล้วนั่นก็จะเสียแผนของเธอ จึงรีบโผล่งกลางปล้อง
“หมอเขาพูดเล่นน่ะคะ...คือที่พวกเรากลับมานี่ก็เพราะว่าพวกเราจะมาถ่ายละคร...โดยให้ชาวบ้านอย่างผู้พันอย่างหลวงพ่อร่วมแสดงด้วยนะคะ”
ชาญณรงค์เก๊กขรึมขึ้นมาทันที “ให้ฉันแสดงด้วยเหรอ”
“แน่นอนค่ะ...ละครเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชาวบ้านที่นี่...ถ้าไม่มีผู้พันจะได้ยังไงล่ะคะ” สรนุชหยอดหวาน
“เหรอ..อืม...แล้วฉันต้องเล่นเมื่อไหร่” ชาญณรงค์ซักอย่างตื่นเต้น
เกริกไกรแอบกระซิบกับใจเด็ดอย่างหมั่นไส้
“โห...ไม่ค่อยเลยเนอะตาผู้พันนี่”
สรนุชอึกอักเพราะยังไม่ได้วางแผนเลยตอบส่งๆไป
“พรุ่งนี้เลยค่ะ...เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะไปหาผู้พันที่บ้านค่ะ”
“พรุ่งนี้ ! ที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากเล่นหรอกนะ...แต่เห็นว่าหนูขอร้อง...ถ้าอย่างนั้น” ชาญณรงค์ยกนาฬิกาข้อมือดู “พรุ่งนี้ฉันจะรอแล้วกัน”
ชาญณรงค์ย้ำกับสรนุชก่อนจะหันมองหน้าเอาเรื่องใจเด็ดแล้วเดินออกไปอย่างไว้เชิง
“วันนี้ไม่ชักปืนเว้ย” สุบินแปลกใจ
“สงสัยกลัวจะกลับไปซ้อมบทไม่ทันน่ะครับ” เกริกไกรบอก
สรนุชมองตามผู้พันชาญณรงค์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแผนการ ก่อนที่เธอจะหันมาเห็นใจเด็ดจ้องมองเธออยู่ สรนุชทำหน้านิ่งไม่ให้ใจเด็ดจับพิรุธได้

ภิรมย์ และสมหญิงกำลังช่วยกันทำความสะอาดคอกควายอยู่ในสถานี ภิรมย์ร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี ถูกสมหญิง
“มีความสุขจังนะ...ถูกหวยหรือไง
“คนเราน่ะนะ...ถ้าได้ทำงานที่ตัวเองรัก...มันมีความสุขยิ่งกว่าถูกหวยอีกนะเว้ย”
สมหญิงถามย้ำ “อย่างนั้นเลยเหรอ”
“เออเด่ะ”
สมหญิงฉุน เลยโยนไม้กวาด ถัง คราด ให้กับภิรมย์
“อ้าวเฮ้ย ! อะไรของแก”
“เอ้า...ก็อยากให้แกมีความสุขเยอะๆ ไง”
ภิรมย์รีบวิ่งมาขวาง “ไม่ต้องเลย...จะตามไปงานบวชละซิ...ถ้าหัวหน้ากลับมาแล้วไม่เสร็จ...แกจะบอกหัวหน้าว่าไง”
ระหว่างนั้นเห็นเจนจิราเดินเข้ามาโดยที่ภิรมย์กับสมหญิงไม่เห็น
สมหญิงหน้าเศร้า “นี่หัวหน้าไปแค่ครึ่งวัน...ฉันยังรู้สึกอะไรหายๆ ไป...ถ้าหัวหน้าไม่อยู่ที่นี่แล้วจะเป็นยังไงเนี่ย”
ภิรมย์ท้วง “ไม่มีทาง...ที่ไหนมีควายที่นั่นต้องมีหัวหน้า”
“แต่วันนึงหัวหน้าเขาก็ต้องมีครอบครัว...แล้วผู้หญิงที่ไหนจะยอมย้ายมาอยู่ที่นี่” สมหญิงรำพัน
“ก็จริงของแก..” ภิรมย์นิ่งคิด “ถ้างั้นเราก็ต้องหาคนที่นี่ให้หัวหน้าน่ะดิ...แล้วจะเป็นใครวะ...ฉันไม่เห็นว่าหัวหน้าจะมองใครเลย”
สมหญิงนึกแล้วนึกอีก “คุณเจนไง”
เจนจิราที่แอบฟังก็ชะงักไป
“ฉันว่าคุณเจนน่ะเหมาะสมกับหัวหน้าที่สุดแล้ว...สวยก็สวย...ลุยก็ลุย...แถมถ้าหัวหน้าได้แต่งกับคุณเจนละก็...ยังไงสองคนนั่นก็ไม่ไปไหน...แกว่ามั้ย”
เจนจิราแอบอมยิ้มฝันไปไกล ระหว่างนั้นเสียงรถกะบะใจเด็ดดังขึ้น เจนจิราหันขวับด้วยความดีใจ

เจนจิราวิ่งเข้ามาที่หน้าสถานีเห็นรถของใจเด็ดเดินเข้ามา
“ หัวหน้า...”
แต่แล้วเจนจิราก็ต้องหุบยิ้ม นิ่งงันไปเมื่อเห็นเกริกไกร นำอรอนงค์ สรนุชและสุบินเดินตามเข้ามา
ระหว่างนั้นเสียงของภิรมย์กับสมหญิงดังขึ้น
“อ๊าย...”
สมหญิงและภิรมย์วิ่งตัดหน้าเจนจิราเข้ามาหาสรนุช อรอนงค์และสุบินด้วยความดีใจ
“นี่พวกคุณนุชคุณนงคุณสุบินจริงๆหรือเปล่าคะเนี่ย” สมหญิงบอก
สรนุชหัวเราะชอบใจ “ถ้าไม่ใช่แล้วจะเป็นใครล่ะจ้ะ...ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอที่ได้เจอพวกฉันอีก”
“ดีใจซิครับ...ตอนแรกผมน่ะคิดว่ายังไงพวกคุณก็คงไม่กลับมาแล้ว...ใครจะมาอยู่ที่อย่างนี้ได้...แต่หัวหน้าซิครับ...บอกว่ายังไงพวกคุณก็ต้องกลับมา” ภิรมย์ว่า
ใจเด็ดสวนขึ้นทันควัน “ฉันพูดตอนไหน” ภิรมย์กำลังจะอ้าปากบอก ใจเด็ดรีบตัดบท “พอละ...ฉันไม่อยากสนใจเรื่องพวกนี้มาก”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็หันมองใจเด็ดที่ทำหน้านิ่งไร้ความรู้สึก เจนจิราเองก็หันมองใจเด็ดเพราะเธอเพิ่งรู้ว่าใจเด็ดเชื่ออย่างนั้นมาโดยตลอด
“พวกเรามาถ่ายละคร...ยังไงรบกวนหน่อยนะสมหญิง” อรอนงค์เอ่ยขึ้น
สมหญิงดี๊ด๊าหน้าระรื่น “ได้เลยค่ะ...สมหญิงยินดีให้รบกวนเต็มที่เลยค่ะ”
“แล้วพวกคุณจะอยู่นานแค่ไหนคะ” เจนจิราถาม
ทุกคนหันไปก็เห็นเจนจิราเดินเข้ามา
เกริกไกรตอบแทนทันที “ตลอดไป”
“โห...ไม่ไหวมั้งหมอ...เอาแค่ละครเสร็จก็พอ” สุบินหันไปพูดกับเจนจิรา “ไม่ขัดข้องใช่มั้ยครับคุณเจน”
“ตามสบายเลยค่ะ...อยู่เท่าที่พวกคุณอยากจะอยู่...ฉันและทุกคนที่นี่ขอแค่พวกคุณทำสารคดีควายออกมาให้ดีที่สุดก็พอ” เจนจิราพูดเป็นทางการ
“ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกสมหญิงได้เลยนะครับ...ถ้าอย่างนั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
ใจเด็ดค้อมศรีษะให้ทุกคนก่อนจะเดินออกไป เจนจิรามองตามด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนเร้นภายในใจ เช่นเดียวกับสรนุชที่มองตามใจเด็ดไม่วางตา
สรนุชรู้สึกแปลกใจที่ใจเด็ดไม่ตั้งกำแพงใส่เธอเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน!!

ครู่ต่อมาสมหญิงยกกระเป๋าขึ้นมาบนเรือนรับรอง สรนุช สุบินและอรอนงค์เดินตามขึ้นมา
“กลับมาแล้วนะครับ” สุบินบอกกล่าว
“พูดเหมือนว่ากลับบ้าน” อรอนงค์ขำ
“ก็ใช่ไง...เธอไม่รู้สึกเหมือนว่ากลับบ้านหรือไง...หรือว่าบ้านเธออยู่ทางโน้น” สุบินบุ้ยใบ้ไปทางบ้านพักเกริกไกร
“บ้า...นั่นมันบ้านพักหมอเกริกไกร”
สรนุชเดินเข้ามาจับตามโต๊ะเก้าอี้แล้วสงสัย
“นี่สมหญิงทำความสะอาดทุกวันเลยเหรอ”
“ค่ะคุณ...หัวหน้าแกบอกให้สมหญิงทำน่ะค่ะ...แกบอกว่าต้องทำเอาไว้เผื่อคุณๆ กลับมาจะได้พักได้เลย”
“หึ...อารมณ์แปรปรวนจริงๆตานี่” สรนุชนึกได้จึงลองๆ ถามสมหญิงดู “เอ่อ...สมหญิงจ๊ะ...หัวหน้าสมหญิงนี่เขาสนิทกับพวกชาวบ้านมั้ย”
“โอ๊ย...ยิ่งกว่าสนิทอีกคะ...นี่ถ้าหัวหน้าลงสมัครสส.ละก็...รับรองได้ทุกสมัย” น้ำเสียงสมหญิงภูมิใจ
สุบินไม่อยากเชื่อ “เกินไปหรือเปล่า”
“จริงๆ นะคะ...อย่างเลือกตั้งคราวที่แล้วพวกสส.เขายังมาขอร้องให้หัวหน้าพูดกับพวกชาวบ้านให้เลย...แต่หัวหน้าแกบอกว่าการเลือกตั้งเป็นสิทธิของชาวบ้าน...ไม่มีใครจะสั่งให้ไปเลือกได้” สมหญิงร่ายยาว แล้วจึงนึกขึ้นได้ “แล้วคุณนุชถามทำไมเหรอคะ”
“อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ...” สรนุชตัดบท “ไม่ต้องเก็บกระเป๋าหรอกจ้ะ...เดี๋ยวพวกฉันทำเองได้”
สมหญิงอิดออด “แต่ว่า...”
“ไปพักผ่อนเถอะจ้ะ...ฉันรู้ว่าสมหญิงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“งั้นก็ได้ค่ะ...ถ้ามีอะไรก็เรียกสมหญิงได้ตลอดเวลานะคะ”
สมหญิงค้อมศรีษะก่อนจะลงจากเรือนไป สุบินกับอรอนงค์สงสัยมานานก็รีบเข้ามาถามสรนุช
“ฉันว่าจะถามแกที่วัดแล้ว...ทำไมแกถึงอยากเจอหลวงพ่อเจอนายใจเด็ดเจอผู้พันด้วย”
สรนุชนิ่งไป ไม่ยอมบอกในนาทีนั้น

ไม่นานหลังจากนั้น สุบินกำลังงงในสิ่งที่สรนุชบอก
“ยุทธศาสตร์ดาวเปื้อนดิน”
“ถูกต้อง”
“มันคืออะไรวะไอ้ยุทธศาสตร์ดาวเปื้อนดินอะไรของแกเนี่ย” สุบินสงสัยหนัก
“จากข้อมูลที่เรามาสำรวจคราวที่แล้วทำให้รู้ว่า...ถ้าเราจะทำให้ชาวบ้านเชื่อในสิ่งที่เราพูด...เราจะต้องใช้คนที่ชาวบ้านให้ความนับถือเป็นสื่อกลาง” อรอนงค์อธิบาย
“ผู้นำชุมชนก็เปรียบเหมือนดาวที่ส่องแสงมายังพื้นดิน” สรนุชเสริม
“โห...แกสองคนนี่ดูละครมากไปป่ะเนี่ย” สุบินเยาะ
“ทำไม”
“เปล๊า ! มิน่า...แกถึงอยากรู้เรื่องของคุณใจเด็ด”
“ถ้าฉันไม่ทำอย่างนี้...แกคิดว่าเวลาหนึ่งเดือนมันจะทันหรือไง”
“แล้วไอ้ผู้นำชุมชนที่แกจะทำให้เปื้อนมีใครบ้าง” สุบินสงสัยต่อไปอีก
สรนุชหันไปพยักหน้าให้กับอรอนงค์ อรอนงค์เดินไปที่กระเป๋าเดินทางก่อนจะหยิบแผ่นชาร์จที่เป็นกระดาษพับอยู่คลี่ออกมา
กระดาษชาร์ทเห็นว่ามีรายชื่อต่างๆ อยู่ห้ารายชื่อ อรอนงค์เริ่มพรีเซ็นต์
“ที่เรารู้จักกันอยู่แล้วก็คือคุณใจเด็ด...หลวงพ่อ...ผู้พัน...ส่วนอีกสองคนก็คือ...ครูสีดา...กับมหาเหม็น”
“คนบ้าอะไรวะชื่อมหาเหม็น...แล้วยังไง...แกจะไปตีซี้กับดาวดวงไหนก่อนจ๊ะแม่คุณ”

สรนุชยิ้มเจ้าเล่ห์ให้สุบินแทนคำตอบ







Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 4 เมษายน 2555 12:30:34 น.
Counter : 477 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]