กระบือบาล ตอนที่ 2




สรนุชเดินก้าวฉับๆ มาที่ลานจอดรถของคอนโดสุบิน อรอนงค์เดินตามมาไม่ห่าง

“ไม่...ยังไงฉันก็ต้องให้สุบินไปที่สุรินทร์กับฉันให้ได้W
“ขนาดนี้แล้ว...แกยังไม่ยอมอีกรึไง” อรอนงค์ท้วงสีหน้าระอา
“ถึงฉันอยากจะยอมแต่ฉันก็ยอมไม่ได้...” อรอนงค์มองอย่างสงสัยในคำพูดของสรนุช “ตอนนี้ฉันเดินเครื่องไปแล้ว”
“เดินเครื่อง...? หมายความว่าไง” อรอนงค์สงสัยหนัก
สรนุชสีหน้าเครียดไม่อยากจะบอกว่าตัวเอง...ส่งบางอย่างไปที่สถานีเพาะพันธุ์กระบือแล้ว...นั่นก็คือจดหมายเอกสารที่อยู่ในมือใจเด็ด นั่นเอง...!

เจ้าหน้าที่ของสถานีเพาะพันธุ์กระบือทุกคนยืนอยู่หน้าเสาธงต่างร้องประสานเสียงออกมาด้วยความตกใจ
“ออกทีวี !!!”
ใจเด็ดอยู่หน้าเสาธงกำลังพูดกับทุกคนอย่างเป็นทางการ
“ละครเรื่องอะไรครับ” ภิรมย์ถามแทนใจทุกคน
“มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว”

เวลาเดียวกันนั้นอรอนงค์ตกใจในสิ่งที่สรนุชบอก
“แกส่งจดหมายไป!” สรนุชพยักหน้าแทนคำตอบ “แล้ว...แล้วแกส่งจดหมายไปว่าไง”
เป็นใจเด็ดกำลังตอบคำถามคาใจทุกคน
“จะมีคนมาถ่ายสารคดีควายที่นี่”
อรอนงค์ทั้งตกใจและไม่เข้าใจ
“แล้วแกส่งจดหมายไปทำไม”
“เชื่อฉันซิอร...ว่าพวกนั้นต้องดีใจแน่ๆ...พวกนั้นต้องคิดว่า...”
ใจเด็ดพูดต่อสอดรับกับคำถามของสรนุช
“ความพยายามของเรากำลังได้ผล...ถ้าสารคดีชุดนี้ออกไป...ชาวนาไทย...เกษตกรไทยจะต้องกลับมารักควายเหมือนเดิม”
เกริกไกรถามต่อทันที “แล้วพวกนั้นบอกหรือเปล่าว่าจะมาเมื่อไหร่”

เช้าวันใหม่ บนเส้นทางสายรังสิตมุ่งหน้าสระบุรี อรอนงค์ สุบินนั่งอยู่ภายในรถของสรนุชที่ทำหน้าที่คนขับ
“มันไม่ฉุกละหุกไปหน่อยหรือไง...นัดเมื่อวานเดินทางวันนี้นะ” สุบินบ่นออกมา
“ไม่ได้ซิ...ตอนนี้ทุกอย่างกำลังเป็นใจ...ดูอย่างแม่ดาราของนายซิ...อยู่ดีๆ ก็ขับรถไปเดี้ยงซะงั้น...ฉันว่าตอนนี้เทพีแห่งโชคกำลังหันหน้ามาทางฉันแล้ว”
“ไม่ใช่เทพีแห่งโชค...ที่ฉันมาด้วยก็เพราะว่าแกบอกว่าจะดูโลเคชั่นเฉยๆ”
ระหว่างนั้นสุบินหันไปเห็นอรอนงค์นั่งหน้าเครียดอยู่
“แต่ฉันว่าเทพีแห่งตัวเลขคงไม่อยากไปด้วย...” สุบินหันมาพูดกับอรอนงค์ “เป็นไร...คิดว่าไปเที่ยวน่า...สามวันก็กลับแล้วจะเครียดไปทำไม”
“ฉันไม่ได้เครียดที่ต้องไปสุรินทร์...แต่ฉันเครียดเพราะยัยนุชดันบอกปุ้ปปั้บอย่างนี้ฉันเลยไม่รู้ว่าฉันเอากกน.มาพอหรือเปล่าต่างหาก”
“นึกว่าเรื่องอะไร...เอางี้ถ้าไม่พอฉันให้ยืมก็ได้” สุบินสัพยอก
“ว้าย..! ใครจะบ้าไปใส่ของแก”
สรนุชกับสุบินก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

สายมากแล้วสรนุชขับรถมุ่งหน้าไปตามทาง สุบินถ่ายรูปตามรายทางเก็บข้อมูลสถานที่ ส่วนอรอนงค์นั่งสวดมนต์อยู่ในรถ สรนุชขับรถด้วยความมุ่งมั่นในภารกิจครั้งนี้
หลักกี่โลเมตรเส้นทางมุ่งสู่อีสานผ่านไปอย่างรวดเร็ว ป้ายบอกทางที่ถนนหลวงตามจังหวัดต่างๆ ก่อนจะเห็นป้ายมุ่งหน้าเข้าจังหวัดสุรินทร์
ตอนนี้สุบินกับอรอนงค์ต่างคอพับคออ่อนหลับกันเป็นตาย ขณะที่สรนุชยังคงมุ่งมั่นเหมือนเดิม

ภายในรถของสรนุช...อรอนงค์ที่นั่งคู่กับสรนุชค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้น แล้วทันใดนั้นอรอนงค์ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรถคันหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามา
“ว้าก”
เสียงของอรอนงค์ทำให้สุบินสะดุ้งตื่น ก่อนที่สุบินจะเห็นภาพเดียวกันคือรถกำลังพุ่งเข้ามา ทั้งสองตกใจร้องเสียงหลงพร้อมๆ กัน
“เฮ้ย”
เท้าของสรนุชค่อยๆ ถอนคันเร่งออก จึงเห็นว่าที่จริงแล้วสรนุชกำลังขับจี้ไปที่รถพ่วงคันหนึ่งที่กำลังลากรถอีกคันแบบยกหลังไป
สรนุชหัวเราะชอบใจ “นี่...ตื่นได้แล้ว”
“เล่นบ้าอะไรเนี่ย”
“เอ้า...ก็ฉันกลัวว่าจะพาพวกแกมาเบื่อก็เลยหาอะไรตื่นเต้นให้ทำไง”
อรอนงค์หันมองไปรอบๆ ที่มีแต่ท้องทุ่ง
“ถึงไหนแล้ว”
“เข้าเขตสุรินทร์แล้ว...ไงหายงัวเงียพร้อมที่จะซ้อมแผนของฉันแล้วใช่มั้ย”
“ซ้อม..?”
อรอนงค์หันไปมองทางสุบิน แต่สุบินส่ายหน้าทำนองว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

เวลาเดียวกันนั้นเกริกไกรเดินตามใจเด็ดที่กำลังดูความเรียบร้อยของซุ้มต้อนรับ รวมถึงป้ายที่เขียนเพื่อต้อนรับที่หน้าสำนักงาน
“ใช่...เพราะฉันไม่อยากให้อะไรมันผิดพลาดเมื่อคณะถ่ายทำสารคดีมาถึง”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินไปดูความเรียบร้อยของซุ้ม เกริกไกรเดินตาม
“นี่แกยอมลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ...มันไม่มากไปเหรอวะ”
“เขาเรียกว่าเฟิร์สอิมเพรสชั่น...ฉันอยากให้พวกนั้นเขาประทับใจเมื่อเห็นว่าควายของเราแสนรู้ขนาดไหน”
ระหว่างนั้นเจนจิรา ภิรมย์ และสมหญิงเดินเข้ามา
“ฝ่ายต้อนรับพร้อมมั้ย” ใจเด็ดถาม
“พร้อมค่ะ...เด็กๆเราทุกตัวพร้อมแล้ว...ตอนนี้เจนให้พักกินหญ้ากินน้ำกันไปก่อน” เจนจิราบอก
“แล้วฝ่ายเรือนรับรองละ”
“พร้อมค่ะหัวหน้า...สมหญิงเตรียมน้องๆเอาไว้ให้พวกทีมงานนั่งเวลาไปที่เรือนรองด้วยค่ะ”
“นี่...พวกนั้นก็คนเหมือนกัน..ทำกันซะนึกว่าเป็นเทวดา...มีราชรถมาเกยถึงที่” เกริกไกรประชด
“แต่ถ้าให้ถูกผมว่าน่าจะเรียกว่าราชควายนะครับหมอ” ภิรมย์แซว
เกริกไกรไม่ขำด้วย ใจเด็ดเห็นท่าทางซีเรียสของเกริกไกรก็หันไปบอกทุกคน
“งั้นแยกย้ายกันทำหน้าที่ของแต่ละคนแล้วกัน...อย่าลืมว่า...งานครั้งนี้สำคัญมาก”
ทุกคนคำพร้อมกัน “ค่ะ” / “ครับหัวหน้า”
หลังจากนั้นทุกคนแยกย้ายกันไป เหลือใจเด็ดกับเกริกไกร ใจเด็ดจึงเอ่ยขึ้น
“ตกลงแกไม่สบายใจเรื่องอะไร...หรือว่าแกเจอรายชื่ออยู่ในพวกบาคาตี้หรือไง”
“เปล๊า...แต่ฉันก็ยังรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้” เกริกไกรยังเป็นกังวล
ใจเด็ดเข้าไปตบบ่าเพื่อน “คิดมากน่าหมอ...ไม่มีอะไรหรอก...ในเมื่อไม่ใช่พวกบาคาตี้ก็จบ...ฉันว่าแกมาทบทวนความจำฉันดีกว่าว่าพวกเขาชื่ออะไรบ้าง...ฉันไม่อยากเรียกชื่อพวกเขาผิดตั้งแต่มาถึง”

รถสรนุชแวะพักที่ปั๊มข้างทาง เป็นปั๊มแบบถังหลอดเดียวซึ่งอยู่ตามรายทางไปจังหวังแถบภาคอีสาน ทั้งสามคนเปลี่ยนชุดพร้อมปฏิบัติภารกิจ ระหว่างนั้นสุบินก้าวออกมา พร้อมกับเสียงของสรนุชดังขึ้น
“สุบิน...นายรับหน้าที่เป็นคนสัมภาษณ์พวกนั้น”
สุบินเดินออกมามาดราวกับนางแบบ ในขณะอรอนงค์เดินเข้ามาในมาดใหม่ ใส่กางเกงยีนส์มัดผม เสื้อยืดดูทะมัดทะแมง พร้อมกับเสียงบรรยายของสรนุช
“อร...เธอเป็นผู้ช่วยตากล้อง...ส่วนฉัน”
สรนุชใส่กางเกงยีนส์ ผมรวบตึง สวมเสื้อกั้ก ยืนโพสอยู่
“ฉันเป็นตากล้อง”
“นุช...พวกเราต้องถ่ายสารคดีจริงๆ เหรอ” อรอนงค์ยังกังวลไม่หาย
“อย่าเพิ่งถามเรื่องนั้นเลย...ตอนนี้ที่ฉันอยากรู้ก็คือ...ทำไมต้องมาเดินโพสท่าทำติงต๊องกันด้วย”
สุบินคาใจ เพราะเวลานี้ทั้งสามยืนโพสท่าอยู่ในปั้มน้ำมันหลอด โดยมีชาวบ้านต่างมองมาที่ทั้งสามเหมือนตัวประหลาด
“เอ่อ...” สรนุชหันไปกับชาวบ้าน “เรียบร้อยแล้วนะคะ..ไปกันเถอะพวกเรา”
ทั้งสามรีบเดินไปขึ้นประจำตำแหน่งเดิมทันที ก่อนจะเห็นรถของสรนุชวิ่งออกไปจนฝุ่นตลบ

เวลาต่อมาสุบินขับรถแทน ส่วนสรนุชนั่งข้างสุบินก็กำลังอธิบายถึงที่มาที่ไป
“ที่พวกเราต้องปลอมตัวเป็นคณะถ่ายทำสารคดีก็เพราะว่า...เมื่อสองวันก่อนพวกนั้นจับได้ว่าเราส่งคนเข้าไปสืบข้อมูล”
อรอนงค์ที่นั่งอยู่ข้างหลังได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มใจคอไม่ดี
“พอพวกนั้นจับได้...แล้วทำยังไงกับคนของเรา”
“อยากรู้จริงๆเหรอ” สุบินเห็นอรอนงค์กลัวเลยคิดจะแกล้ง หันมาบอกด้วยเสียงน่ากลัว “พวกมันก็ซ้อมเขา” ออกท่าประกอบ อรอนงค์สะดุ้งตามจังหวะ “ให้รับสารภาพ...พอคนของนุชรับสารภาพพวกมันก็จัดการเขาโดยวิธีอะไรรู้มั้ย”
อรอนงค์ส่ายหน้าอย่างกลัวๆ
“พวกมันใช้ควายห้าตัวผูกไว้ที่แขนสอง...ขาสอง...แล้วก็...” สุบินบอก
“นี่พอเลย...ทำไมนายชอบพูดอะไรให้อรมันกลัวอยู่เรื่อย...” สรนุชดุสุบินแล้วหันไปบอกกับอรอนงค์ที่สีหน้าตื่นๆ “อย่าไปเชื่อสุบินมันนะ...ไม่มีอะไรหรอก”
สุบินมองกระจกส่องหลังยิ่งเห็นอรอนงค์ซีดก็ยิ่งหัวเราะขำ
“ควาย” อรอนงค์อุทาน
“ใช่...ควาย...พวกมันใช้ควายแยกร่างของเขา”
“นี่...” สรนุชตีแขนสุบินดังเผียะ !!! “พอได้แล้ว”
อรอนงค์ยังคงละเมออยู่อย่างนั้น “ควาย”
“เห็นมั้ยว่ายัยอรยังอยากฟังอยู่เลย” สุบินว่า
“ไม่ใช่...ควายอยู่ข้างหน้า” อรอนงค์บอก
ทั้งสามมองไปข้างหน้าแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นภาพควายฝูงหนึ่งกำลังข้ามถนน
ทั้งสามร้องออกมาพร้อมกัน “ว้าก”

เวลาเดียวกันใจเด็ดชะเง้อมองไปที่ประตูหน้าสถานีเพาะพันธุ์กระบือ อย่างใจจดใจจ่อ เกริกไกรใส่แว่นกันแดดแบบกวนๆ เดินเข้ามาหา
“หรือว่าพวกนั้นไม่ได้มาวันนี้วะ”
ใจเด็ดเริ่มใจไม่ดี “บางที...เขาอาจจะหลงทางก็ได้”
“หลงทาง..? ! เฮ้อ...นี่...สถานีเรานี่...คนทั้งสุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียงรู้จักหมด...ถ้าพวกนั้นยังหลงอีก...ฉันว่าแกต้องคิดแล้วละว่าจะฝากอนาคตของควายไว้กับพวกเขาดีมั้ย”
ระหว่างนั้นมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น ใจเด็ดกับเกริกไกรหันไปก็เห็นว่าควายตัวหนึ่งกำลังพยศเพราะอากาศที่ร้อน ภิรมย์กับสมหญิงกำลังช่วยกันทำให้มันสงบ เจนจิราวิ่งเข้ามา
“หัวหน้า...ควายมันทนร้อนไม่ไหวแล้วนะ...เอาไงดี”
ใจเด็ดมองไปที่ควายเหล่านั้นก่อนจะตัดสินใจ
“งั้นพาไปแช่ที่ปลักก่อนแล้วกัน...ถ้าพวกนั้นมาเมื่อไหร่...เดี๋ยวพี่ให้คนไปตาม”
เจนจิราพยักหน้ารับทราบก่อนจะเดินออกไปช่วยภิรมย์กับสมหญิง ระหว่างนั้นใจเด็ดนึกขึ้นมาได้ รีบดึงจดหมายที่เก็บไว้กับตัวขึ้นมาดู
“ทำไรของแก...จะดูวันให้แน่ใจหรือไง” เกริกไกรท้วง
“ไม่ใช่...ฉันจะดูว่ามีเบอร์ติดต่อหรือเปล่า...เผื่อจะเกิดอะไรระหว่างทาง”

สรนุช สุบินปีนขึ้นมาจากคันนามาเห็นว่าทั้งคู่ตัวเปียกไปครึ่งตัว
“ฮือ...รถ...รถฉัน” สรนุชมองไปทางควายตัวนั้นอย่างฉุนๆ “ไอ้ควายบ้า..!”
ว่าแล้วสรนุชทำท่าจะเดินไปที่ควายตัวนั้น สุบินรีบดึงเอาไว้
“เฮ้ย ! แกจะไปไหน”
“ฉันจะไปหาคนรับผิดชอบ...ควายพวกนี้มันต้องมีคนเลี้ยงอยู่แล้ว” สรนุชอารมณ์เสีย
“แล้วแกจะไปถามมันเหรอว่าเจ้าของแกชื่ออะไร...ฉันว่าตอนนี้เรามาคิดกันก่อนดีกว่าว่าเราจะไปกันยังไงต่อ”
“แล้วรถฉันละ”
“ก็ใช่ไง...เราต้องไปถึงสถานีควายนั่นก่อน...แล้วค่อยให้เขาพาคนมาช่วยกันลากรถเธอขึ้นมา” สุบินนึกได้ “มือถือไง...มือถือ”
สุบินรีบควานหามือถือก่อนจะพบว่ามือถือของเขาอยู่ในกางเกงที่เปียกโชก
“เฮ้ย ! ของเธอละ”
สุบินถามยังไม่ทันขาดคำ สรนุชก็ยื่นโทรศัพท์ที่มีน้ำโคลนไหลจ๊อกๆ ออกมาให้ดู
“ฮือๆๆ แล้วอย่างนี้จะทำยังไง...ฮือๆ”
ทันใดนั้นสรนุชกับสุบินก็นึกขึ้นมาได้พร้อมกัน
สรนุชกับสุบินร้องขึ้นพร้อมกัน “อร”
พอนึกถึงอรอนงค์เสียงอรอนงค์ก็ดังขึ้น
“ช่วยด้วย...ฉันขึ้นไปไม่ได้”
สรนุชกับสุบินรีบวิ่งไปดูในที่นาใกล้กันแล้วก็พบว่าอรอนงค์ขาติดอยู่ที่โคลน เห็นรถของสรนุชเป็นแบ๊คกราวด์ด้านหลัง
“อร...มือถือเธออยู่ไหน” สรนุชถามเสียงร้อนรน
“มือถือ...?”
อรอนงค์นึกได้รีบควานหาไปที่กางเกง แล้วอรอนงค์ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ว้าย”
สรนุชกับสุบินถึงกับตกใจเพราะคิดว่ามือถือของอรอนงค์อยู่ในกางเกงที่เปียกน้ำเหมือนกัน แต่อรอนงค์กลับตะโกนออกมาว่า
“แล้วมือถือของฉันอยู่ไหน”
สรนุชหันขวับ เริ่มมีความหวังขึ้นมา “หาดูดีๆ ซิ...อยู่ในกระเป๋าเสื้อกั๊กหรือเปล่า”
อรอนงค์รีบควานหาที่เสื้อกั๊กตามช่องต่างๆ สรนุชกับสุบินลุ้นจัด อรอนงค์ควานหาไปเจอมือถือที่หน้าอกก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“เจอแล้ว...อยู่...อยู่นี่”
อรอนงค์รีบล้วงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แต่ด้วยความรีบเลยดึงออกมาเต็มแรง มือถือของอรอนงค์ค่อยๆลอยละลิ่ว สรนุชกับสุบินตาโต ก่อนจะเห็นมือถือของอรอนงค์หล่นลงไปในน้ำเสียงดังจ๋อม!
สรนุชกับสุบินถึงกับอ้าปากค้างกุมขมับคิดในใจเหมือนกันว่า...หมดกัน !!!

ใจเด็ดกำลังโทรศัพท์อยู่ในสำนักงานก่อนจะวางสายลง
“ไม่มีคนรับ..?” เกริกไกรถาม
ใจเด็ดพยักหน้ารับ สีหน้าเครียดครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจเดินหยิบกุญแจรถก่อนจะเดินออกไป
“อ้าว...นั่นแกจะไปไหน”
“ฉันจะลองออกไปดูแถวๆ นี้ซักหน่อย”
ใจเด็ดพูดแล้วก็เดินออกไป เกริกไกรคิดไปคิดมาว่าจะเอายังไงก่อนจะตัดสินใจ
“ฉันไปด้วย”
“แต่ฉันอยากให้แกอยู่ที่นี่...เผื่อพวกเขามาแล้วจะสวนกัน”
“แล้วถ้าพวกนั้นเกิดอุบัติเหตุอย่างที่แกกลัวละ...มีหมอไปด้วยอุ่นใจนะเว้ย” เกริกไกรแถ
“หมอควาย...”
“ยังไงก็หมอเหมือนกันแหละน่า...อย่างน้อยปฐมพยาบาลเบื้องต้นฉันก็ทำเป็น”
ใจเด็ดพยักหน้าสีหน้าเครียดด้วยความกังวล

ด้านทั้งสามเพื่อนซี้ ยังคงนั่งจุมปุกอยู่ที่ริมทุ่งท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงตอนกลางวัน มีกระเป๋าเสื้อผ้าขนเอามากองรวมกันไว้
อรอนงค์ เริ่มบ่น “ฉันหิวน้ำ”
“ถ้าเธอไม่ทำมือถือตกน้ำ...ป่านนี้คงได้ดื่มน้ำอัดลมสดชื่นซาบซ่าไปแล้ว” สุบินว่า
“อ้าว...แล้วนายมาโยนความผิดให้ฉันเนี่ยนะ...ถ้านายไม่มัวแต่ทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะเล่านิทานหลอกฉัน...นายก็หลบควายพ้นไปแล้ว...ทั้งหมดเป็นความผิดของนายต่างหาก”
“ของเธอ” สุบินบอก
“ของนาย” อรอนงค์เถียง
อรอนงค์กับสุบินเริ่มเถียงกัน ของเธอ...ของนาย จนในที่สุดสรนุชที่อยู่ข้างๆก็ตะโกนออกมาอย่างสุดจะทน
“หยุด... ! จะทะเลาะกันทำไมเนี่ย...แค่นี้ชีวิตยังเศร้าไม่พออีกหรือไง” สรนุชตัดพ้อกับชะตาตัวเอง “นี่ฉันทำอะไรผิด...พระเจ้าถึงได้ลงโทษฉันให้เสียทั้งรถ...ให้เสียทั้งโทรศัพท์” แล้วสรนุชก็ก็ตะโกนออกมาสุดเสียง “ฉันเกลียดควาย.....”
สุบินกับอรอนงค์กระแทกเสียงกลับ “หยุด.....”
สรนุชชะงักไปเมื่อเห็นสุบินกับอรอนงค์ว่าเธอกลับ
“ก็มันจริงๆ นี่...ถ้าไม่ใช่เพราะควายแล้วจะเป็นเพราะอะไร”
สุบินกับอรอนงค์ประสานเสียงประชด “ก็เพราะใคร”
สรนุชชะงัก ก่อนจะรับเพราะเป็นเพราะตน “เออๆ ฉันยอมรับว่าฉันผิด...แต่ตอนนี้เราน่าจะหาทางไปที่สถานีควายก่อน” แต่แล้วสรนุชก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงด้วย!!”
“อะไร...ร้องซะตกใจ” สุบินงง
“เมื่อกี้เราเจอควายใช่มั้ย...เพราะฉะนั้นก็ต้องมีคนเลี้ยงควาย...ใช่...ต้องมีชาวนาอยู่ใกล้ๆ แถวนี่แน่ๆ” สรนุชบอกเพื่อนๆ
“แล้วยังไง...จะไปขอข้าวเขากินหรือไง”
“นี่...เลิกกัดฉันซักแป๊ปได้มั้ย...บางทีที่บ้านเขาอาจจะมีรถอีแต๋น...จะได้เอามาลาก รถฉันขึ้นมาไง...ไป...” สรนุชลุกขึ้น “พวกเราไปกันเถอะ”
ว่าพลางสรนุชลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นสุบินกับอรอนงค์ไม่ลุกตาม
“พวกเราจะรออยู่ที่นี่...เธอไปเองแล้วกัน” สุบินบอก
“อ้าว...ไหงงั้นละ...ไป...อร”
อรอนงค์ เริ่มเพ้อ “แม่...แม่จ๋า” สรนุชเห็นอาการก็ทำหน้าเหนื่อยใจ
“เธอเป็นคนที่อยากมาที่นี่...ถ้าอยากให้พวกเราไปต่อ...เธอก็ไปเรียกคนมาช่วยแล้วกัน” สุบินบอก
“ไอ้พวกเพื่อน...ตาย”
สรนุชเน้นเสียงตรงท้ายประโยค แล้วสะบัดก้นออกไปอย่างหงุดหงิด

ครู่ต่อมาสรนุชเดินถือร่มแดงแป๊ดใส่แว่นกันแดดราวกับมาเดินชายหาด สรนุชหยุดก่อนจะหันมองไปรอบๆ ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
“วู๊...มีใครอยู่แถวนี้มั้ย...วู๊”
ทุกอย่างเงียบสนิท...ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่คุณเรียก
“ชิ...คิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้คนอย่างสรนุชยอมแพ้หรือไง”
สรนุชจะเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่นและหมายมาด

ทางด้านอรอนงค์ทำท่าสะลึมสะลืออ่อนเพลียไม่หาย และเริ่มเพ้อหนัก
“คนที่เขาหลงทางในทะเลทรายเขาตายกันยังไง”
“นี่มันเมืองไทย...ไม่ใช่ทะเลทรายซาฮาร่า...อดน้ำแค่ไม่กี่ชั่วโมงไม่ตายหรอกน่า...เดี๋ยวยัยนุชก็ไปตามคนมาแล้ว” สุบินว่า
อรอนงค์ยังเพ้อต่อ “ทำไมมันถึงได้สวยงามอย่างนี้...นี่ฉันอยู่บนสวรรค์แล้วใช่มั้ย”
สุบินเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะตบหน้าเบาๆ เรียกสติ
“นี่...เธอเพ้อแล้ว...นั่นมันภาพลวงตา”
“ภาพลวงตา...หรือว่าเป็นนิมิตของคนใกล้ตาย” อรอนงค์เปรย
“ตายอะไร...” สุบินเริ่มตบแรงขึ้น “นี่...ตั้งสติหน่อยซิวะ”
อรอนงค์เจ็บ จนต้องกุมแก้ม แล้วพอมองไปด้านหลังสุบิน ก็อึ้งไป “รถ...รถมา”
สุบินคิดว่าอรอนงค์เพ้อหนักไม่เลิก เลยตบหนักขึ้น “รถอะไร...” ตบอีกทีแรงขึ้นกว่าเก่า “นี่”
ทันใดนั้นอรอนงค์ก็ตบสวนกลับสุบินเต็มแรงเหมือนกัน อย่างฉุน
“แล้วแกมาตบฉันทำไม...ฉันบอกว่าฉันเห็นรถ”
สุบินชะงักไปก่อนจะหันมองไปทางด้านหลังแล้วก็เห็นรถ ซึ่งเป็นกระบะของใจเด็ด วิ่งเข้ามาอย่างที่อรอนงค์ว่าจริงๆ
สุบินรีบลุกขึ้น “ช่วยด้วยครับ...ช่วยด้วย”
จังหวะนั้นรถกระบะคันเก่าของใจเด็ดแล่นเข้ามาจอด ก่อนจะเห็นใจเด็ดกับเกริกไกรลงมาจากรถ สุบินกับอรอนงค์รีบวิ่งเข้ามาหา
แล้วทันใดนั้นอรอนงค์ก็เบรกเอี้ยด! เมื่อเห็นหน้าใจเด็ด สุบินสงสัยว่าอรอนงค์เป็นอะไร
“มีอะไร”
“แกจำไม่ได้เหรอไง...นั่นมันนายใจเด็ดไง”
สุบินหันไปมองใจเด็ดที่กำลังเดินเข้ามากับเกริกไกร สุบินอ้าปากค้างไม่ทันได้ตั้งรับ แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ” ใจเด็ดเอ่ยทักทาย
“เอ่อ...เอ่อ” สุบินรีบทำเป็นใจดีสู้เสือ “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” สุบินเห็นใจเด็ดกับเกริกไกรทำหน้างง “ผมคือคนที่ติดต่อมาถ่ายสารคดีที่สถานีไงครับ”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาได้ ก่อนจะรีบเข้าไปจับมือเช่นกัน
“ยินดีเช่นกันครับ...ผมนึกว่าพวกคุณจะไม่มาซะแล้ว”
“พอดีเราเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับ” สุบินบอก
เกริกไกรแปลกใจที่อรอนงค์ไม่หันหน้ามาซะที
“เพื่อนคุณเป็นไรหรือเปล่าครับ”
สุบินได้ยินอย่างนั้นก็พยายามสะกิดเรียกอรอนงค์ให้หันมา อรอนงค์ค่อยๆ หันมาด้วยท่าทีหวั่นกลัว ครั้นเมื่อเกริกไกรเห็นอรอนงค์ก็ถึงกับตะลึงในความสวย
“ผมรู้แล้วครับว่าเพื่อนคุณเป็นอะไร...เพื่อนคุณเป็นนางฟ้านี่เอง” เกริกไกรหยอดหวาน
สุบินกับอรอนงค์หันมองหน้ากันไม่รู้ว่าเกริกไกรมามุมไหน
ใจเด็ดกระทุ้งท้องเกริกไกรเป็นเชิงบอกอย่าเสียมารยาท “สวัสดีครับ...คุณคงเป็นคุณสรนุช”
“เอ่อ...ไม่ใช่ค่ะ...ดิฉันชื่ออรอนงค์ค่ะ” อรอนงค์แนะนำตัว
ใจเด็ดแปลกใจ “แล้วคุณสรนุชละครับ”

สรนุชที่ใจเด็ดถามถึงกำลังเดินระโหยโรยแรงมาตามทาง
“ทำไมแถวนี้มันไม่มีคนเลยหรือไงเนี่ย...เฮ้อ”
ระหว่างนั้นสรนุชเกิดรู้สึกปวดฉิ๊งฉ่องขึ้นมา
“มาปวดอะไรตอนนี้เนี่ย”
สรนุชมองซ้ายมองขวาพอเห็นว่าไม่มีคนอยู่แถวนั้น ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปริมทางก่อนจะกางร่มออกพรึ่บ!
สรนุชมองซ้ายมองขวาอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวหลบไปหลังร่มที่บังเธอจนมิด

ใจเด็ดเดินมาตามทางหาสรนุช ระหว่างนั้นใจเด็ดเหลือบไปเห็นร่มกางไว้อยู่ริมทาง
“ร่มใครมาตกอยู่แถวนี้”
ใจเด็ดรีบเดินเข้าไปที่ร่มคันนั้นที่กางไว้อยู่ทันที สรนุชกำลังมีความสุขหน้าพริ้มอยู่หลังร่ม
ใจเด็ดเข้ามาที่ร่มไม่รู้ว่าสรนุชอยู่หลังร่มคันนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่สรนุชเสร็จภารกิจก่อนจะลุกขึ้นใส่กางเกง ทันใดนั้นทั้งใจเด็ดกับสรนุชต่างก็ต้องตกใจ
“เฮ้ย”
“ว้าย..! ไอ้บ้า...ไอ้โรคจิต”
แล้วเมื่อใจเด็ดกับสรนุชต่างเริ่มมีเวลาที่จะพิจารณาใบหน้าของกันและกันต่างก็ต้องตกใจ
“คุณ”

สรนุชอึ้งไป ในใจนึกหวั่น ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น!!!

ทางด้านเกริกไกร อรอนงค์ และสุบินยังคงนั่งรอกันอยู่ที่ริมทุ่งตามเดิม เกริกไกรเอาแต่จับจ้องไปที่อรอนงค์จนทำให้อรอนงค์รู้สึกกลัว จนแอบกระซิบกับสุบิน

“ตานั่นทำไมเอาแต่มองฉันอ่ะ”
“สงสัยคงไม่เคยเห็นแม่ชีเปื้อนโคลนมั้ง” สุบินแซว
อรอนงค์ ตีเผียะเข้าให้ “บ้าเหรอ...เอาดีๆ ซิ”
“ก็ได้...หรือว่าเขาอาจจะชอบเธอก็ได้นะ” สุบินบอก
อรอนงค์ ตีเข้าให้อีกเผียะ “นี่...”
ระหว่างนั้นเกริกไกรมองอรอนงค์จนเคลิ้ม ขนาดรำพึงออกมา
“แหม...ถ้ารู้ว่าสวยขนาดนี้...ผมคงออกมารับด้วยตัวเองตั้งนานแล้วละครับ”
สุบินกับอรอนงค์ทำเสียงสงสัยในลำคอ ทำให้เกริกไกรนึกได้รีบแก้
“ถ้ารู้ว่าซวย...รถตกน้ำขนาดนี้น่ะครับ”
“เอ่อค่ะ...นี่คุณใจเด็ดไปตามเพื่อนอรตั้งนานแล้ว...แน่ใจนะคะว่าไม่เป็นไร” อรอนงค์เป็นห่วงสรนุช
“รับรองครับ...ไอ้ใจเด็ดเนี่ย...ขนาดควายหายข้ามอำเภอมันยังตามกลับมาได้เลย...นับประสาอะไรกับเพื่อนคุณ...รับประกันความปลอดภัยครับ”
จังหวะนั้นเกริกไกรมองไปก็เห็นใจเด็ดเดินจ้ำหน้าง้ำกลับมา
“นั่นไงครับมาแล้ว”
อรอนงค์กับสุบินหันมองไปก็เห็นใจเด็ดเดินเข้ามา แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นสรนุชวิ่งตามเข้ามา
“นี่...รอก่อนซิคุณ...นี่”
อรอนงค์ ดีใจที่เห็นเพื่อน “นุช...นุช !” รีบขอบคุณใจเด็ดที่เดินเข้ามาพอดี “ขอบคุณนะคะ”
ใจเด็ดเดินผ่านพร้อมกับพูดว่า
“กลับไปซะ...ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกคุณ”
ใจเด็ดว่าแล้วก็เดินเลยไปที่รถที่จอดไว้ทันที ทุกคนถึงกับงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“เฮ้ย ! ไอ้เด็ด...เป็นไรของแกวะ...ไอ้เด็ด”
ใจเด็ดไม่สนใจเดินบึ่งไปขึ้นรถ เกริกไกรต้องหันมาขอโทษอรอนงค์
“ต้องขอโทษจริงๆครับ...ไอ้เด็ด...รอด้วยเว้ย”
เกริกไกรรีบวิ่งไปที่รถก่อนที่ใจเด็ดจะออกรถไป เกริกไกรรีบกระโดดขึ้นรถไปทัน
“นี่...เดี๋ยวก่อน...นายอย่าใจแคบเกินไปซิ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอนุช”
“หึ...ไม่บอกก็รู้...นายใจเด็ดคงจะโกรธคนที่ทำให้เขาติดคุก...แถมยังโดนว่าเสียๆ หายๆ แล้วยังโดนทำร้ายร่างกายอีก” สุบินเดา...แต่ถูกหมด
“ก็ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่ว่าฉันจะต้องมาที่นี่แล้วก็มาเจอกับหมอนี่”
“แล้วนี่จะทำยังไง...พวกนั้นไม่ต้อนรับเรา...อย่างนี้เราต้องกลับกรุงเทพฯแล้วใช่มั้ย”
“ใครบอก...ฉันอุตส่าห์มาถึงแล้ว..คิดเหรอว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้คนอย่างสรนุชยอมแพ้” น้ำเสียงสรนุชมุ่งมั่นเอามาก
“เธอจะทำอะไร”
สรนุชไม่ตอบแต่ยิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้

ด้านเจนจิรากับสมหญิงชะเง้อมองไปด้วยความเป็นห่วงใจเด็ดกับเกริกไกร
“ไปนานขนาดนี้...ไม่รู้ว่ามีอะไรหรือเปล่านะคะคุณเจน” สมหญิงเอ่ยขึ้น
เจนจิรากังวล “ก็ขออย่าให้มีอะไรก็แล้วกัน”
ระหว่างนั้นภิรมย์เข้ามาสะกิดสมหญิง สมหญิงกับเจนจิราหันมาก่อนจะเห็นภิรมย์หน้ายิ้มแป้น
“ไอ้ภิรมย์...ตอนนี้เขากำลังเครียดกันอยู่...นี่แกยังมีกะจิตกะใจยิ้มอีกหรือไง”
ภิรมย์พูดทั้งๆ ที่ยังยิ้ม “ก็หัวหน้าสั่งให้พวกเรายิ้มเข้าไว้...แต่ตอนนี้หน้าฉันมันค้าง”
เจนจิรากับสมหญิงกุมขมับกลุ้มใจ
“มานี่...ฉันจะทำให้มันหายค้างเอง”
สมหญิงค่อยๆ จับหน้าภิรมย์เข้ามา ก่อนจะใช้สองมือตบเผียะ! เข้าทั้งสองแก้ม ภิรมย์ถึงกับสะดุ้งหน้าหายค้างทันที
“ฮู้...หายจริงๆ ด้วย” ภิรมย์เอามือคลึงหน้าด้วยความเจ็บแทน
ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินหน้าบึ้งเข้ามา หลังจากจอดรถแล้ว
“อ้าว...หัวหน้า...เจอพวกกองถ่ายมั้ยคะ” เจนจิราถาม
“เจอ” ใจเด็ดตอบสั้นห้วน
“ฮือๆๆ งั้นผมต้องยิ้มอีกแล้วใช่มั้ยครับ” ภิรมย์ว่า
“ไม่ต้องทำอะไรแล้ว...ทุกอย่างยกเลิก...แยกย้ายกันทำงานได้แล้ว”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินออกไป ทุกคนมองตามด้วยอาการงงเต๊ก ระหว่างนั้นเกริกไกรวิ่งตามเข้ามา
“ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ดเว้ย”
ทุกคนกรูกันเข้าไปถามเกริกไกร
“เกิดอะไรขึ้นเหรอหมอ...ทำไมอยู่ๆหัวหน้าให้เรายกเลิกทุกอย่าง”
เจนจิราถา เกริกไกรหน้าเครียดเพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร

ทุกคนรู้เรื่องการยกเลิกงานจากเกริกไกรหมดแล้ว แต่ไม่รู้สาเหตุจึงเดาไปต่างๆนาๆ
“หรือว่าผู้หญิงคนนั้นคือแฟนเก่าของหัวหน้าครับ” ภิรมย์ว่า
“ไม่มีทาง...ฉันรู้จักแฟนเก่ามันดี” เกริกไกรบอก
สมหญิงตั้งข้อสังเกต “เอ...ถ้าไม่ใช่...งั้นผู้หญิงคนนั้นต้องทำให้หัวหน้าโกรธแน่นอนเลยคะ”
ภิรมย์เอานิ้วจิ้มหัว “ใช้อะไรคิด...ห๊ะ ! ถ้าทำให้หัวหน้าอารมณ์ดีจะเป็นอย่างนี้หรือไง”
เจนจิราที่นั่งเครียดอยู่ก็บ่นขึ้น
“น่าเสียดายนะหมอ...โอกาสที่จะทำให้คนกลับมารักควายเหมือนเดิมเลยหมดกัน”
เกริกไกรพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่...โอกาสที่คุณอรจะมาอยู่ที่นี่ก็หมดไปด้วยเหมือนกัน”
ทุกคนถึงกับหันมองเกริกไกร เห็นเกริกไกรหน้าเศร้าก็สงสัยว่าเป็นอะไร

ส่วนสรนุช อรอนงค์ และสุบินกำลังช่วยกันขนกระเป๋าและเครื่องการถ่ายทำเดินมาตามทาง ท่าทางของอรอนงค์กับสุบินใกล้จะโคม่าเต็มที จะมีก็แต่สรนุชเท่านั้นที่ก้าวฉับๆ มีแรงล้นอยู่คนเดียว
อรอนงค์กับสุบินต่างสะกิดให้แต่ละฝ่ายเป็นคนพูด แต่ก็เห็นอรอนงค์กับสุบินต่างก็เกี่ยงกัน ระหว่างนั้นสรนุชหันกลับมาเช็ค แล้วก็สงสัย
“ซุบซิบอะไรกัน”
อรอนงค์กับสุบินต่างมองหน้ากันก่อนที่อรอนงค์จะเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“นุช...แล้วไอ้สถานีนั่นมันอยู่อีกไกลมั้ย...ฉันไม่ไหวแล้วนะ”
สรนุชเดินเข้ามาบอก “ไม่ไหวก็ต้องไหว”
“ฉันว่ากลับกรุงเทพฯเถอะ...แกจะไปทำไม”
“ไม่ได้ !” น้ำเสียงสรนุขยังแค้นใจเด็ดไม่หาย “ฉันจะทำให้นายนั่นรู้ว่าไม่เคยมีใครปฏิเสธคนชื่อสรนุชได้” หันมาสั่งสองเพื่อนซี้ต่อ “ไม่ต้องถามอะไรแล้ว...เก็บแรงไว้เดินไปให้ถึงที่นั่นดีกว่า”
ว่าแล้วสรนุชก็เดินออกไป อรอนงค์กับสุบินระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจในความรั้นของสรนุชสุดๆ

คืนนั้นทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าว อารมณ์ของใจเด็ดเมื่อตอนกลางวันทำให้ทุกคนต่างมีท่าทางอึดอัด
ใจเด็ดมองทุกคนก็รู้ว่าทุกคนอยากรู้เหตุผลที่เขายกเลิกไม่ให้คณะสารคดีมาถ่ายทำที่นี่ ใจเด็ดวางช้อน
“ทุกคนจำตอนที่ฉันไปกรุงเทพฯ ครั้งล่าสุดนี่ได้มั้ย”
สมหญิงสอดขึ้นทันทีหลังจากที่อยากรู้มานาน
“แล้วหัวหน้าไปเจอผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ”
ทุกคนหันมองสมหญิง ทำให้สมหญิงต้องหลุบหน้าลง
ใจเด็ดเล่าต่อ “ฉันกลับไปที่บ้าน”
สมหญิง สอดขึ้นอีก “แล้วก็เจอผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ”
ทุกคนหันมองสมหญิงอีก ทำให้สมหญิงต้องหรุบหน้าลงอีกครั้ง
ใจเด็ดเล่าต่อ “แต่เกิดการเข้าใจผิด...ทำให้คนคิดว่าฉันเป็นขโมย...แล้ว...”
“อ๋อ...แล้วก็เจอผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ยคะ” สมหญิงต่อประโยคให้อีก
ภิรมย์เอานิ้วป้ายปากสมหญิงอย่างเซ็งๆ “เว้ย...แกสอดอยู่อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่หัวหน้าเขาจะได้ผู้หญิงคนนั้นเล่า”
“แล้วฉันก็เจอผู้หญิงคนนั้น”
สมหญิง ดึงจมูกภิรมย์เป็นการเอาคืน “เห็นมั้ย...นี่แน่ะ”
“อ้าว...แล้วทำไมแกไม่บอกไปละว่าแกไม่ใช่ขโมย” เกริกไกรถาม
“ฉันพูดจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว...แม่นั่นเชื่อที่ไหนละ”
“แกก็เลยไล่พวกนั้นกลับเป็นการแก้แค้น”
ใจเด็ดนิ่งไปทบทวนความรู้สึกตัวเอง
“ตอนแรกฉันก็คิดอย่างนั้น...แต่จริงๆแล้วที่ฉันไม่อยากให้พวกนั้นมาถ่ายก็เพราะ...”
ใจเด็ดพูดไม่ทันจบประโยค ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาดังขึ้น
“พี่เด็ด...พี่เด็ดกลับมาแล้ว”
ทุกคนหันไปก็เห็นช่อผกา...สาวมั่นทรงสะบึมแต่งตัวฉูดฉาดวิ่งเข้ามาก่อนจะโผเข้ากระโดดกอดใจเด็ด
“ผกา...” ใจเด็ดพยายามจะดันตัวออก “ทำอะไรน่ะ”
“ไม่รู้แหละ...ก็พี่เด็ดเล่นหนีไปกรุงเทพฯไม่บอกผกา...ผกาจะกอดให้หายคิดถึงเลยคอยดู” ช่อผกาว่า
“อย่าทำอย่างนี้ผกา...เราไม่ได้เป็นอะไรกัน...ถ้าพ่อผกามาเห็นมันจะไม่ดีนะ” ใจเด็ดเอ็ดเอา
“ไม่ต้องห่วงคะ...ผกาเอายานอนหลับให้พ่อกินแล้ว...พี่เด็ดอ่ะ...รู้มั้ยว่าตั้งแต่พี่เด็ดไปกรุงเทพ..ผกาก็กินไม่ได้...นอนไม่หลับ”
“สองวันเองเนี่ยนะ” เจนจิราอึ้ง
ช่อผกาหันขวับมองเจนจิราสายตาดุ เจนจิราทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้
ช่อผกาไม่สนใจ หันมาอ้อนใจเด็ดต่อ “เนี่ย...ผการู้สึกอ่อนแรง...สงสัยจะเป็นเพราะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะคิดถึงพี่เด็ด...อุ้ยๆ...ผการู้สึกเหมือนจะเป็นลมน่ะค่ะ”
ช่อผกาทำท่าโซซัดโซเซจะแกล้งโผเข้าหาใจเด็ด แต่แล้วเจนจิรากลับเอาตัวเข้ามารับช่อผกา ช่อผกาซบลงที่ไหล่ของเจนจิราหลับตาพริ้มคิดว่าเป็นใจเด็ด
“งั้นฉันโทร.เรียกผู้พันให้เอามั้ย”
ช่อผกาตกใจลืมตาตื่น “อ๊าย ! นังเจน”
“ก็ใช่น่ะซิ...อ้าว...จะเป็นลมไม่ใช่เหรอ”
“อ๊าย...! นังเจน...แก...แก”
ระหว่างที่ช่อผกากับเจนจิราจะมีเรื่อง เสียงของโทนก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“หัวหน้า...หัวหน้า”
ทุกคนหันไปก็เห็นโทนวิ่งเข้ามา
“มีคนมาที่หน้าสถานีครับ”
ใจเด็ดสงสัยว่าเป็นใคร ใจเด็ดและทุกคนรีบออกไป ช่อผกาเจ็บใจที่ไม่มีใครสนใจ
“อ๊าย ! พี่เด็ด...ผกาอยู่นี่...พี่เด็ดจะไปไหนไม่ได้นะ...อร๊ายย”

ทุกคนเดินกันออกมาเป็นพรวนที่หน้าสถานีนำโดยใจเด็ด เกริกไกรมองฝ่าความมืดไปที่กลุ่มคนที่หน้าสถานี แล้วทันใดนั้นเกริกไกรก็อึ้งไป
“คุณอร”
อรอนงค์ สุบินนั่งกองกันหมดแรงอยู่บนข้าวของสัมภาระ สรนุชได้ยินเสียงจึงหันมา แล้วนั่นจึงเป็นการประจันหน้าระหว่างใจเด็ดกับสรนุชอีกครั้ง
เกริกไกรตะโกนบอก “เปิดประตู”
“เดี๋ยวก่อนหมอ”
ใจเด็ดห้ามเกริกไกรไม่ทัน พอประตูเปิดออกเกริกไกรก็รีบวิ่งเข้าไปดูอรอนงค์ที่นั่งหมดแรงทันที สรนุชเดินเข้ามาหาใจเด็ด ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อสรนุชตบหน้าใจเด็ดดังเผียะ !!!
ทุกคนอ้าปากค้างเพราะไม่เคยมีใครทำอย่างนี้กับใจเด็ด อรอนงค์กับสุบินถึงกับใจเสียเพราะดันมาแหย่เสือถึงในถิ่น
ช่อผกาที่วิ่งตามมาพอดีเห็นเข้าก็ถึงกับร้องออกมา
“อ๊าย ! แกเป็นใคร...เรื่องอะไรมาตบพี่ใจเด็ดของฉัน”
ช่อผกาวิ่งเข้ามาขวางระหว่างสรนุชกับใจเด็ด สรนุชไม่สนใจผลักช่อผกาหลบออกไปจนช่อผกาแทบหัวคะมำ
“ว้าย”
สรนุชเดินเข้ามาหาใจเด็ดจ้องหน้าตาไม่กระพริบ
“ตบแรก...สำหรับการที่นายทิ้งพวกฉันเอาไว้โดยไม่สนใจว่าจะเป็นจะตาย...เผื่อแรงตบของฉัน...มันจะช่วยกระตุ้นความเป็นมนุษย์ของนายขึ้นมาบ้าง....แล้วนี่”
สรนุชเงื้อมือตบหน้าใจเด็ดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ใจเด็ดคว้าหมับไว้ได้
ใจเด็ดกระชากสรนุชเข้ามา “ผมไม่ใช่พระเอกในละครที่ยอมโดนตบแล้วไม่ทำอะไรเลย”
ระหว่างนั้นช่อผกาพลิกตัวกลับมาพอดี เห็นใจเด็ดจับมือสรนุชเอาไว้
“ดีค่ะ...พี่เด็ดจับมันไว้นะคะ...เดี๋ยวผกาจะตบล้างแค้นให้พี่เด็ดเอง...ย้ากกก”
ช่อผกาเงื้อมือมาแต่ไกล แต่แล้วเกริกไกรก็จับมือช่อผกาเอาไว้
“ปล่อยฉันนะหมอ”
“นี่...จะเข้าไปยุ่งทำไม..แค่นี้ก็ยุ่งอยู่แล้วนะผกา”
“ไม่...มันทำพี่เด็ดของผกา...ผกาไม่ยอม”
เกริกไกรเหนื่อยใจ “ภิรมย์...สมหญิง”
ภิรมย์กับสมหญิงรู้หน้าที่ดี จึงปรี่เข้ามาจับตัวช่อผกาก่อนจะรีบดึงออกไปท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของช่อผกาที่ดังลั่นสถานี
สรนุชมองตามช่อผกาไปพอเห็นว่าทุกอย่างสงบ สรนุชก็หันมาเฉ่งใจเด็ดต่อ
“นายมันไม่มีน้ำใจ” ทุกคนถึงกับอึ้งไปในความแรงของสรนุช “ฉันรู้ว่าฉันเคยทำไม่ดีกับนายไว้...แต่นั่นเป็นเพราะฉันไม่รู้...นายก็ควรจะให้อภัย”
“อยากให้ผมให้อภัยเหรอ...ได้...ผมให้อภัยคุณ” สรนุชและทุกคนฟังแล้วใจชื้น “ในเมื่อคุณได้สิ่งที่ต้องการแล้ว...ก็กลับไปซะ...” หันไปบอก “ปิดประตู”
ใจเด็ดทำท่าจะเดินเข้าไป สรนุชเหวอ...ให้อภัยตรงไหน ระหว่างนั้นเสียงของสรนุชดังขึ้น
“นายไม่ได้รักควายจริง”
ใจเด็ดชะงักแล้วหันมามองสรนุช
“สิ่งที่นายรักคือตัวนายเอง...นายกำลังปิดโอกาสการอยู่รอดของควายเพราะความเห็นแก่ตัว...ความไม่มีน้ำใจของนาย” สรนุชเริ่มหันไปบอกกับคนอื่นเหมือนกำลังหาเสียง “ทุกคนคิดดูนะคะ...มีคนดูโทรทัศน์กี่สิบล้านคนในประเทศไทย...แค่เพียงเราออกอากาศเพียงครั้งเดียว...จะมีคนที่รู้และหันมาสนใจเรื่องควายกันแค่ไหน...แล้วไหนเราจะทำเป็นดีวีดี...และอัพโหลดขึ้นยูทูป...แถมด้วย...”
“เลิกพล่ามได้แล้ว” ทุกคนชะงักไปเมื่อใจเด็ดเสียงดัง “เพราะผมรักควายของผมและควายทุกตัวต่างหาก...ผมจึงไม่ให้คุณมาทำสารคดีที่นี่”
ทุกคนสงสัยในคำพูดของใจเด็ด
“ผมไม่รู้ว่าคนที่มีความคิดในแง่ลบและทัศนคติร้ายๆอย่างคุณ...จะสื่อสารเรื่องความรักออกมายังไง...กลับไปซะ...คุณกับผมจะได้ไม่ต้องมีใครเสียเวลา”
“นายเองก็ไม่ต่างจากฉัน...นายยังไม่ได้เห็นในสิ่งที่ฉันทำแต่นายก็ตัดสินไปแล้วว่าฉันทำไม่ได้...ว่าแต่คนอื่น...ดูตัวเองซะก่อนเถอะนายใจแคบ” สรนุชเยาะ
จากนั้นใจเด็ดกับสรนุชต่างสบตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนต้องมีคนเข้ามาช่วยพูด
“นั่นซิ...แกน่าจะลองให้พวกเราทำออกมาให้ดูก่อน...ถ้าไม่พอใจอะไรตรงไหนก็ให้พวกเขาแก้ใหม่ได้...” ใจเด็ดพูดกับสรนุช “จริงมั้ยครับ”
สรนุชรีบสอดรับทันที “แน่นอนอยู่แล้วคะ...ทางเราคงต้องให้ทุกคนช่วยดู...เพราะลำพังที่จะให้คนมองโลกในแง่ลบอย่างฉันดูคนเดียว...ก็คงไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี”
ใจเด็ดรู้ว่าสรนุชแอบพูดกัดเขา เจนจิราเข้ามาช่วยพูดกับใจเด็ดอีกคน
“เจนว่าก็น่าจะลองดูนะคะหัวหน้า...เราไม่มีโอกาสอย่างนี้บ่อยๆ นะคะ”
“ทำไมจะไม่มี...ทีวีช่องอื่นก็ติดต่อเข้ามาขอถ่ายกันเยอะแยะ”
เกริกไกรพาซื่อ “อ้าว...ไหนแกบอกว่าไม่มีเลยไง”
ใจเด็ดชะงักกึกที่เกริกไกรดันทำให้เขาหน้าแหกซะแล้ว สรนุชเห็นว่าใจเด็ดเริ่มอ่อนลงจึงรีบยื่นข้อเสนอ
“ฉันขอเวลาสามวัน...แล้วฉันจะทำสารคดีควายที่ดีที่สุดในโลกให้นายดู”
“วันเดียว ! แค่วันเดียว...พวกเราก็จะรู้แล้วว่าคุณมันตัวจริงหรือตัวปลอม”
สุบินกับอรอนงค์ถึงกับสะดุ้ง
สรนุชนิ่งไปนิดหนึ่งเหมือนกัน “ได้...ไว้นายคอยดูพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
สรนุชสบตาใจเด็ดอย่างมุ่งมั่น

กระเป๋าสัมภาระของทั้งสามคน ถูกวางลงภายในเรือนรับรอง มีเจนจิรากับสมหญิงมาส่งและคอยดูแลให้
“ขอบคุณมากนะครับ...คุณ” สุบินเอ่ยขอบคุณเจนจิรา
“เจนจิราค่ะ...แล้วนี่ก็สมหญิง”
“สวัสดีค่ะ”
ทุกคนรับไหว้และขำในอาการนอบน้อมเกินเหตุของสมหญิง
“สมหญิงจะมาคอยดูแลพวกคุณ...ถ้าเกิดขาดเหลือหรืออยากจะเรียกใช้อะไรก็เรียกสมหญิงได้ตลอดเวลานะคะ”
“อุ้ย...ไม่ต้องหรอกค่ะ...คือ...พวกเราดูแลตัวเองกันได้”
“ไม่ได้หรอกค่ะ...หัวหน้าใจเด็ดสั่งไว้ให้สมหญิงคอยดูแลพวกคุณๆให้ดี”
“นายนั่น...” สรนุชนึกได้ “อุ้ย...หัวหน้าของสมหญิงน่ะเหรอจ๊ะ”
เจนจิรารับแทน “ใช่ค่ะ...หัวหน้าสั่งเอาไว้”
สรนุชเชิดหน้า “ไม่น่าเชื่อ”
“แต่สั่งเอาไว้ก่อนที่พวกคุณจะมาถึงนะคะ” เจนจิราบอก
สรนุชบ่นพึมพำคนเดียว “ว่าแล้ว”
อรอนงค์ที่ดูกลัวๆ ก็รีบถามเพื่อเป็นข้อมูลให้กับตัวเอง
“เอ่อ...ปกติคุณใจเด็ดเขาเป็นอย่างนี้หรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอกค่ะ...ปกติหัวหน้าใจเด็ดแกใจดีกับทุกคน...ลูกน้องหรือชาวบ้านทุกคนที่อยู่แถวนี้...รักหัวหน้ากันหมดทุกคนแหละค่ะ”
สรนุชทำหน้าไม่น่าเชื่อ “รักลงไปได้ยังไง” แล้วรีบเก็บข้อมูลทันที “เอ่อ...หัวหน้าของคุณเนี่ยเป็นคนยังไงคะ”
เจนจิรายิ้ม “เดี๋ยวพวกคุณก็จะรู้เองแหละคะ...ตอนนี้อากาศออกจะอ้าวซะหน่อย...แต่ตอนดึกๆรับรองว่าพวกคุณต้องหาผ้าห่มกันไม่ทันแน่นอน...พักผ่อนเถอะคะ...ถ้ามีอะไรเรียกฉันกับสมหญิงได้ตลอดเวลานะคะ”
ทั้งสามกล่าวขอบคุณเจนจิรากับสมหญิงก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไป อรอนงค์มองไปรอบๆ บ้านอย่างกลัว ก่อนจะยกมือไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทาง
“สวัสดีค่ะผีบ้านผีเรือนเจ้าที่เจ้าทาง...ถ้าลูกทำอะไรผิดพลาดไปก็โปรดอภัยให้ลูกด้วยนะคะ...แล้วพรุ่งนี้ลูกจะรีบกลับกรุงเทพทันทีเลยค่ะ”
“พรุ่งนี้อะไร...อีกสามวันเราถึงจะกลับกัน” สรนุชบอก
“สามวัน..! เหอะ...เอาพรุ่งนี้ให้รอดก่อนเถอะ...ท่าทางนายใจเด็ดนั่นไม่ยอมเธอเหมือนฉันสองคนแน่” สุบินแขวะ
สรนุชมองไปทางบ้านพักของใจเด็ด “ก็ดี...ให้นายนั่นขุดสิ่งร้ายๆ ออกมาให้หมด...ถึงเวลาสู้กันจริงๆ ระหว่างควายกับบาคาตี้จะได้รู้ว่าจุดอ่อนกับจุดแข็งนายนั่นคืออะไร”
สรนุชมองเขม็งไปทางบ้านของใจเด็ดด้วยความตั้งใจที่จะทำภารกิจให้สำเร็จให้ได้

ใจเด็ดกับเกริกไกรเดินมาที่บ้านพักของใจเด็ด
“แกอยากรู้ไปทำไมว่าฉันจะเอาเป็นเกณฑ์ตัดสินสารคดีของพวกนั้น” ใจเด็ดสงสัย
“ก็ไม่มีอะไร...เผื่อแกจะมีอะไรให้ฉันช่วยไง”
“ช่วยฉันหรือช่วยคุณอร”
เกริกไกรถึงกับอ้าปากค้างที่ใจเด็ดรู้ทัน
“เอ่อ...ไม่มีอะไรจริงๆ”
“หมอ...แกไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้แกไม่รู้หรอกว่าเขาร้ายขนาดไหน”
“อ่ะ...ที่แท้ก็ยังแค้นเขาอยู่” เกริกไกรเหน็บ
“ฉันไม่ได้แค้น...แต่ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของควาย”
“เขาไม่มีแล้วใครมี...แกเหรอ”
ใจเด็ดชักฉุน “นี่แกอยากให้พวกเขาอยู่ให้ได้ใช่มั้ย”
“ไอ้เด็ด...ฟังฉันนะเว้ย...ฉันไม่ได้เข้าข้างใคร...แต่ที่พวกเขาพูดก็ถูก...นี่คือโอกาสที่ไม่ได้มีบ่อยๆ...ไม่เคยมีเลยด้วยซ้ำ...โอกาสที่ชาวนาจะหันกลับมาใช้ควายอยู่ที่แกแล้วนะเว้ย”
ใจเด็ดลังเล แต่ยังหัวแข็งดื้อดึง “ก็ได้...ถ้าแกคิดอย่างนั้น...” แล้วใจเด็ดก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่ฉันคงต้องทดสอบก่อน...ถ้าพรุ่งนี้พวกนั่นผ่าน...ฉันก็จะให้พวกเขามาถ่ายสารคดีได้
ว่าแล้วใจเด็ดก็ปิดประตูใส่หน้าเกริกไกรโดยไม่รอให้เกริกไกรรั้งเอาไว้
“เฮ้ย...ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด” เกริกไกรครุ่นคิด “พรุ่งนี้ไอ้เด็ดมันจะให้พวกคุณอรทำอะไรบ้างวะ”

อรอนงค์กับสุบินอาบน้ำทาบท่าเสร็จก็พากันปะแป้งเต็มหน้า แต่กำลังออกอาการงงอยู่
“บอกพวกเราหน่อยซิว่า...เธอมีแผนอะไรที่จะทำให้นายใจเด็ดยอมให้พวกเราอยู่ต่ออีกสามวัน”
สรนุชกำลังทดลองถ่ายกล้องวิดีโอให้ชำนาญมือ
“ไม่มี”
สุบินกับอรอนงค์ตกใจ
“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเธอจะไม่มีแผน”
“ที่ฉันไม่มีแผนก็เพราะว่าฉันไม่ได้ต้องการมาถ่ายวิดีโอควายอะไรนั่นจริงๆ ซะหน่อย...แกสองคนก็รู้ว่าฉันมาหาข้อมูลของนายใจแคบนั่น...ถ้าพรุ่งนี้พอ...พวกเราก็จะกลับกรุงเทพฯกันพรุ่งนี้เลย...แต่ถ้าไม่...แกสองคนคนใดคนหนึ่งก็แกล้งป่วยซะ...ฉันว่าอย่างน้อยคนที่นี่คงไม่ใจดำเหมือนนายใจแคบนั่นหรอก”
สรนุชหรี่ตาลงอย่างมั่นใจในแผนการของตน

รุ่งเช้าวันต่อมาใหม่สรนุชกับอรอนงค์นอนหลับกันอย่างสบายอารมณ์ ภายในห้องนอนที่เรือนรับรอง ส่วนที่ด้านนอกเห็นขาของผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนบ้านพร้อมกับไม้ในมือ ชายคนนั้นค่อยๆ เดินมาที่หน้าห้องนอน

ครู่ต่อมาสรนุชกับอรอนงค์ต้องสะดุ้งตื่นทันทีเมื่อได้ยินเสียงโคร้งเคร้งดังลั่น
“โอ๊ย...! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
เป็นใจเด็ดนั่นเองกำลังตีหม้อตีไหเสียงดังจนแทบจะตื่นไปทั้งสถานี สรนุชเดินงัวเงียผมกระเซิงออกมาจากห้อง
“ทำอะไรของนาย...พวกฉันนอนอยู่นะ”
“ถ้าอยากจะนอนก็กลับไปนอนที่กรุงเทพฯ...แต่ถ้าอยากทำงานก็ตื่นได้แล้ว”
ระหว่างนั้นสุบินงัวเงียออกมาอีกคน
“มันไม่เช้าเกินไปหน่อยเหรอ...นี่มันแค่...” สรนุชหันไปถามอรอนงค์ “กี่โมงแล้ว”
ใจเด็ดตอบแทน “หกโมง ! คนที่นี่เขาทำงานกันแต่เช้า...หกโมงของที่นี่เขาเรียกว่าสาย...ผมจะให้เวลาพวกคุณสิบนาที...ขอให้พร้อมกันที่คันนาข้างหน้าด้วย”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินออกไปโดยไม่รอคำทักท้วงจากสรนุช
“อ้าว...เดี๋ยวก่อนซิ...ฮึ่ยย์...ใจเด็ด...นายจอมเผด็จการ”

ใจเด็ดนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าอีกคัน กำลังมองดูนาฬิกาข้อมือ
“57...58...59”
ทันใดนั้นเสียงของสรนุชดังขึ้น
“ไม่ต้องนับถอยหลังก็ได้...พวกฉันมาถ่ายสารคดี...ไม่ใช่มาฝึกทหาร”
ใจเด็ดหันไปก็เห็นสรนุช อรอนงค์ และสุบินเดินหอบหิ้วอุปกรณ์ลงมาจากเรือนรับรอง พอสรนุชเดินเข้ามาใกล้ ใจเด็ดก็ทำหน้าฉุนขึ้นมาทันที
“ฮือ...”
“อะไร”
“นี่คุณไปอาบน้ำหรือไปให้อูฐเยี่ยวใส่กันแน่...”
“เขาเรียกว่าโรลออน”
“จะโรลออนหรือโรตีผมก็ไม่สน...ควายกับคนที่นี่ไม่ชอบน้ำหอม...ไปอาบน้ำใหม่ซะ”
“ไง...ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องใส่...แค่ครีมกันแดดก็พอแล้ว”
สรนุชค้อนสุบินหนึ่งขวับก่อนจะหันมาพยศใส่ใจเด็ดต่อ
“ไม่...นี่มันสิทธิส่วนบุคคล...นายไม่มีสิทธิมาสั่งให้ฉันทำหรือไม่ทำอะไร”
ใจเด็ดลงจากมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาสรนุช แล้วก้มลงหยิบก้อนโคลนจากคันนาขึ้นมา
“เฮ้ย ! ทำบ้าอะไรของนาย”
“ในเมื่อคุณไม่ล้างไอ้เยี่ยวอูฐนั่นออก...ผมก็จะเอาดินนี้ถูที่จักกะแร้คุณเพื่อดับกลิ่นให้ไง”
อรอนงค์สะดุ้งโหยง กลัวไว้ก่อน “อุ้ย...เอ่อ...ของอรก็ใส่มานิดนึง...งั้นเดี๋ยวมานะคะ”
อรอนงค์วิ่งจู๊ดออกไป สรนุชค่อยๆถอยกรูดและร้องเรียกให้สุบินช่วย
“สุบิน...ช่วยฉันด้วยซิ”
“เอ้า...เธอก็แค่ไปอาบน้ำใหม่ไง”
ระหว่างนั้นสรนุชที่มัวแต่ถอยหลังจนไม่ได้ดูทาง ทันใดนั้นสรนุชก็เหยียบเข้าไปที่คันนาก่อนที่โคลนจะยุบตัว ร่างของสรนุชค่อยๆ เซก่อนจะลอยละลิ่วลงท้องนาไปเสียงดัง ตูม !!!
ใจเด็ดมองแล้วอมยิ้มก่อนจะโยนโคลนในมือทิ้ง “ไม่จำเป็นแล้ว”

สรนุชตีโคลนด้วยความเจ็บใจ “บ้าๆๆๆ !!!”







Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 4 เมษายน 2555 11:29:33 น.
Counter : 239 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]