กระบือบาล ตอนที่ 8




ไม่นานหลังจากนั้นผู้พันชาญณรงค์ก็พาตัวเองมาเดินเมียงๆ มองๆ ส่องสายตาหาอรอนงค์ในสถานี โดยมีสมคิดหิ้วถุงหมูย่างตามมาข้างหลัง มองอยู่นานสองนานก็ไม่เห็นใครสักคน

“มันหายหัวไปไหนกันหมดวะ”
สมคิดหันไปเห็นเกริกไกรกับอรอนงค์กำลังเดินคุยกันกลับมาจากที่ฝึกซ้อมหลังสถานี
“ผู้พันครับ อยู่โน่นครับ”
ชาญณรงค์หันมาเห็นทั้งคู่ยิ้มหัวเราะกันอย่างสนิทสนมก็ควันออกหู
“ไอ้หมอควาย... หนอยคิดจะมาสอยนางฟ้าของฉันเหรอ”
ผู้พันชาญณรงค์เดินอาดๆเข้าไป เหมือนว่าจะไปลุย สมคิดตกใจ รีบตามไปห้าม
“เย้ย...เดี๋ยวครับผู้พัน”
ชาญณรงค์เข้าไปยืนขวางหน้าเกริกไกรกับอรอนงค์ ทั้งสองชะงักหันไปมองหน้า
“อุ้ย ผู้พัน ตกใจหมดเลย อยู่ๆ ก็โผล่มา”
ผู้พันมองหน้าเกริกไกรเขม็ง
สมคิดตามมาทัน “อย่าวู่วามนะครับผู้พัน ผมขอร้อง”
“ขอร้องอะไรเล่า” ชาญณรงค์ตบหัวสมคิดผัวะ “เอาหมูย่างมานี่” พลางคว้าถุงหมูย่างไปยื่นให้อรอนงค์ “หนูอรจ้ะ ดูสิโถๆๆๆ มาอยู่สถานีเลี้ยงควายนี่ไม่ทันไร ดูสิผอมลงเป็นกอง คงไม่ค่อยได้กินอะไรดีๆ ฉันก็เลยซื้อหมูย่างมาให้”
“โธ่เอ้ย...คิดว่าจะลุย”
ชาญณรงค์ดีดส้นหลังใส่สมคิด จนร่างสมคิดกระเด็นไป
“ขอบคุณมากนะครับผู้พัน แหม...เกรงใจจริงๆ”
เกริกไกรคว้าถุงหมูย่าง แล้วจูงมืออรเดินไปเลย
“เฮ้ย...เกรงใจอะไรของแกวะ คว้าไปหน้าตาเฉย เอาคืนมานะ ฉันซื้อมาให้หนูอร”

เวลาต่อมาสมหญิงเทหมูย่างลงในจาน “โอ้โห...หมูย่าง”
ชาญณรงค์แอบกัด “ก็หมูย่างน่ะสิ ไม่ใช่ควายย่าง!” หันมายิ้มให้อรอนงค์ “ฉันคิดว่าหนูอรคงจะซ้อมเตรียมตัวลงประกวดเทพีหนองระบือหนักน่ะ ก็เลยซื้อมาให้กิน จะได้มีแรง”
“แหม...ขอบใจมากครับผู้พัน พวกเรากำลังหิวอยู่พอดี มา...สมหญิง นั่งๆ มากินด้วยกัน วันนี้ลาภปาก”
เกริกไกรชวน ภิรมย์ สมหญิงนั่งล้อมวงกิน
“นี่ๆ...ไม่ได้ยินหรือไง ผู้พันบอกว่าซื้อมาให้คุณอรกินนะ โซ๊ยกันใหญ่”
“ก็ทานด้วยกันแหละค่ะ ตั้งเยอะแยะ อรทานคนเดียวไม่หมดหรอก” อรอนงค์ว่า
เกริกไกรแทะกระดูกหมูเต็มปาก “ฮื้อหือ...อร่อยจริงๆหมูย่างเงินผู้พันนี่” หยิบหมูชิ้นหนึ่งโยนไปให้หมา “เอ๊า...ไอ้แดง...ช่วยชิมหน่อย”
“ไอ้คิด”
ชาญณรงค์ขบกรามกรอด แล้วขยิบตาแอบยื่นนิ้วไปให้สมคิดด้านหลัง สมคิดล้วงขวดน้ำมันพรายออกมา แอบเหยาะๆ น้ำพรายออกมาใส่นิ้วผู้พัน ขณะที่สายตาผู้พันจับจ้องไปยังอรอนงค์ที่นั่งละเลียดหมูย่างเหมือนไม่อยากกิน
สมคิดแอบกระซิบ “ตอนนี้แหละผู้พัน ดีดเลย”
ผู้พันทำท่าจะดีดใส่ แต่อรอนงค์หันขวับมา
“ไม่ทานด้วยกันเหรอคะผู้พัน”
ชาญณรงค์รีบซ่อนนิ้ว แล้วเอ่ยคำหวาน “อ๋อ...ไม่ล่ะจ้ะ แค่ฉันเห็นหน้าหนู ก็เหมือนได้น้ำทิพย์ชะโลมใจ ไม่ต้องกินอะไร ก็อิ่มใจแล้ว”
“โอ๊ก....ขอน้ำหน่อยสมหญิง รู้สึกว่ากินมากไป มันชักจะเลี่ยน”
ระหว่างนั้นผู้พันเล็งนิ้วจะดีดน้ำมันพรายไปใส่อรอนงค์ ภิรมย์เดินสูดกลิ่นหอมๆ หมูย่างตามเข้ามาข้างหลัง
“กลิ่นอะไรหอมๆ วะ” ภิรมย์มองไปเห็นหมูย่างที่โต๊ะ “เฮ้ย...หมูย่าง ลาภปาก”
ภิรมย์ถลาเข้ามาที่โต๊ะ ไหล่เฉี่ยวเข้ากับหลังผู้พันชาญณรงค์ในจังหวะที่กำลังดีดน้ำมันพรายพอดี
“ชะเอ้ย”
ชาญณรงค์ผงะ ทำให้น้ำมันพรายกระเด็นไปตามแรง หยดน้ำมันพรายพุ่งแหมะไปเข้าตาสมหญิง
“อ๊าย...อะไรเข้าตา”
ชาญณรงค์ช็อก ตาเหลือก “เย้ย”
“ว้ายตายแล้ว...แสบๆๆๆ” สมหญิงร้องลั่น
“ไหนให้ฉันดูสิสมหญิง อะไรเข้าตา?” อรอนงค์ดู “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
ภิรมย์เยาะ “คงจะกินมูมมาม น้ำจิ้มหมูย่างเข้าตาน่ะซิ๊ ไปล้างที่ห้องน้ำโน่นไป๊”
“ฉันว่าเป็นน้ำลายแกมากกว่าไอ้ภิรมย์ มาถึงก็พูดมาก หึ”
สมหญิงฉุนขาดลุกเดินออกไป
สมคิดแอบกระซิบนาย “ซวยแล้วผู้พัน”
“แล้วจะอยู่ทำอะไรล่ะ รีบเผ่นสิ เอ่อ...พอดีฉันมีธุระ ต้องรีบไปก่อนนะหนูอร” ชาญณรงค์บอก
“อ้าว จะกลับแล้วเหรอคะ ขอบคุณมากนะคะสำหรับหมูย่าง”
ชาญณรงค์กับสมคิดไม่รีรอ รีบจ้ำอ้าวไปแล้ว เกริกไกรมองตามอย่างแปลกใจ
“เอ้...วันนี้มาแปลก ทุกทีไม่ไล่ไม่กลับ”
“มีคุณอรอยู่ด้วยนี่ดีๆจริงๆนะครับ มีคนส่งเสบียงถึงที่ อิๆๆ” ภิรมย์ว่า

ผู้พันชาญณรงค์เดินหัวเสียกลับมาที่รถพร้อมกับสมคิด
“อี่ย์...เสียเส้นๆจริงๆโว้ย ดันดีดพลาด ไปโดนนังสมหญิงได้ เพราะไอ้ตะกละภิรมย์นั่นคนเดียว”
“แต่นังสมหญิงมันโดนน้ำมันพรายเหน่งๆ กระฉูดถึงเบ้าตา ไม่เห็นมันจะปึ๋ง ชอบผู้พันขึ้นมาเลย”
ชาญณรงค์เขกหัวสมคิดดังโป๊ก
“โธ่...ไอ้ปลวก! แล้วแกจะพูดทำไมวะ ฉันยิ่งเสียวๆ อยู่ ถึงได้รีบเผ่นนี่ไง”
สมคิดลูบกระบาลยิ้มแหย ถึงรถรีบเปิดประตูรถให้ “เชิญผู้พัน ครับพ้ม”
ผู้พันชาญณรงค์ก้าวเข้าไปนั่งปั้บ สมคิดปิดประตูปัง แต่แล้วชาญณรงค์ถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปเห็นสมหญิงนั่งยิ้มตากระพริบปริบๆ ยั่วยวนอยู่แล้ว
“เอิ้ก...นังสมหญิง”
“ขา...เรียกสมหญิงทำไมก๊ะผู้พัน”
สมหญิงพูดพลางยื่นมือจับไปที่อกผู้พัน
“เย้ย! เอามือกระดำกระด่างของแกออกไปจากอกฉันเดี๋ยวนี้”
“ถึงข้างนอกจะกระดำกระด่าง แต่ข้างในตะติ๊งโหน่งนะก๊ะผู้พัน ไม่เชื่อ...มามะ...มาสนุกกัน”
ว่าแล้วสมหญิงก็ปล้ำกอดผู้พัน
“อ๊ากก...ไอ้คิด ช่วยฉันด้วย”
สมคิดเพิ่งเปิดประตูเข้ามานั่ง
“ช่วยอะไรครับพ้มผู้พัน” สมคิดมองกระจกหลังเห็นสมหญิงกำลังปล้ำกอดผู้พันอยู่ “เย้ย...นังสมหญิง แกโผล่มาได้ยังไงเนี่ย”
“จะมัวถามทำไมวะ ช่วยฉันซี”
“จะ...จะ ให้ช่วยยังไงล่ะครับ”
“ก็ช่วยทำอย่างงี้ไงไอ้โง่”
ผู้พันชาญณรงค์ยกเท้าถีบสมคิดหน้าหงาย
“อ๋อ...เข้าใจแล้วครับพ้ม”
ไม่นานต่อมาร่างสมหญิงถูกถีบกระเด็นตกลงมาจากนอกรถ ร้องเสียงหลง
“อ๊าย”
“เร็วซีวะ...มันมาแล้ว...รีบออกรถเร็วๆๆ”
สมคิดรีบขับรถออกไป ขณะที่สมหญิงลุกวิ่งตามรถไปติดๆ
“ผู้พันขา...ผู้พันของสมหญิงจะทิ้งกันไปไหน...กลับมาก่อน...ไอเลิฟยู”
ภายในรถเวลานั้นผู้พันชาญณรงค์หันไปมองกระจกหลัง เห็นสมหญิงวิ่งตามรถที่ทิ้งห่างออกมาแล้ว ผู้พันชราถึงกับเป่าปากทิ้งตัวลงกับเบาะราวกับรอดตายหวุดหวิด

ด้านใจเด็ดกับสรนุชกำลังขับรถกลับจากบ้านครูสีดา สรนุชนั่งอมยิ้ม
“สนุกจังเลยนะคะ ที่ได้มาช่วยชาวบ้านทำอะไรแบบนี้”
สรนุชมองพวงมะโหดอันเล็กๆ ที่ติดมือมาด้วย ใจเด็ดหันมามองแล้วขำ เพราะหน้าสรนุชที่เลอะสียังไม่ได้ล้างออก
“ฮ่ะๆๆ”
“หัวเราะอะไร ฉันพูดขำตรงไหนเหรอ”
“ขำหน้าคุณ”
“ฉันก็ขำหน้าคุณเหมือนกัน เลอะเทอะมอมแมมที่สุด ฮ่ะๆๆ”
สรนุชชี้หน้าใจเด็ดที่ยังไม่ได้ล้างเหมือนกัน
“ก็ผมจะล้าง คุณก็รีบ”
“จะรีบล้างออกทำไม นานน๊านจะได้มีโอกาสทำอะไรสนุกๆ แบบนี้ซะที แม้แต่ตอนสมัยเรียนวิศวะ ฉันก็เรียนหนักเสียจนไม่ค่อยได้ไปสนุกเฮฮากับเพื่อน”
“คุณเรียนจบวิศวะเหรอ แล้วทำไมมาทำงานด้านสารคดี”
สรนุชแอบทำหน้าตกใจคิดหนักในใจ...เวรกรรม...ดันเผลอหลุดปาก
“คือ...มันไม่รุ่งไง ฉันก็เลยเบนเข็มมาทำงานด้านนี้ ซึ่งฉันค้นพบว่า มันเหมาะกับฉันมากๆ เลยล่ะ แหะๆ”
“แต่มันก็น่าเสียดายความรู้ทางด้านวิศวของคุณนะ คุณจะเป็นวิศวกรสาวเก่งๆ ได้”
สรนุชอึดอัดอัดหาทางเปลี่ยนเรื่อง หันไปเห็นป่าข้างทาง
“ตรงนั้นใช่มั้ยที่เราไปเจอลำธารกลางป่ากัน”
“ใช่...”
ใจเด็ดพูดพลางชะลอความเร็วลง สรนุชกดกระจกลงพิงคางกับขอบกระจกรถ มองออกไป
“ฉันประทับใจสะพานนั่นมากเลยนายรู้มั้ย สักวันหนึ่ง...ฉันจะมาอีก”
ใจเด็ดมองไปที่เสี้ยวหน้าของสรนุช ภายในใจบอกว่าเขาก็ประทับใจเช่นกัน
รถค่อยๆ แล่นผ่านไปช้าๆ โดยมีมือของสรนุชยื่นออกมาโบกกับสายลมอย่างมีความสุข

ผู้พันชาญณรงค์กับสมคิดกลับเข้าบ้านมา...สีหน้าเหนื่อยอ่อนทั้งคู่ จู่ๆ ก็มีไอ้โม่งคนหนึ่งโผล่ออกมา
“เฮ้ย! แกเป็นใคร เข้ามาในบ้านฉันทำไม”
“ใส่หมวกเป็นไอ้โม่งแบบนี้ ยังจะถามอีก โจรชัดๆ ครับผู้พัน”
ไอ้โม่งได้แต่ยืนโบกมือส่ายหัว พูดอะไรไม่ทัน
“เข้ามาปล้นบ้านฉันเหรอ แกตาย”
ผู้พันชาญณรงค์คว้าไม้กอล์ฟมาตี แต่ไอ้โม่งหลบทัน เลยฟาดผิดไปโดนข้าวของบนโต๊ะกระจาย
“อ๊าย” ช่อผการ้องลั่น
“เป็นโจรผู้หญิงซะด้วยครับผู้พัน” สมคิดออกความเห็น
“ผู้หญิงสมัยนี้ มันหากินกันไม่ได้แล้วเหรอ ถึงต้องมาเป็นโจรขโมยเค้ากิน จับตัวมันไว้สิวะไอ้คิด อย่าให้หนี”
“แบบนี้มันต้องจับมาเป็นเมียซะให้เข็ด แหะๆๆๆ ซ๊วบ...จับได้แล้ว” สมคิดเข้ารวบตัวไว้ได้
“ปล่อยฉันนะไอ้บ้า ปล่อย!”
“ไหนขอดูหน้าโจรสาวหน่อยสิ”
ชาญณรงค์ดึงหมวกไอ้โม่งออกแล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นเป็นหน้าช่อผกาที่มีตุ่มแดงขึ้นเต็มใบหน้า แถมปากก็บวมเป่ง
“หา...แกเองเหรอนังผกา!”
“ก็ฉันน่ะสิ นี่แน่ะ...มาจับฉันทำไมไอ้บ้า”
ช่อผกาโมโหกระทืบเท้าใส่สมคิดเต็มแรง สมคิดร้องลั่นปล่อยมือ
“อ๊ากกก”
“แล้วทำไม นะๆ หน้าแกเป็นอย่างงี้ล่ะ” ชาญณรงค์แปลกใจ
“ก็ไอ้อาหารเสริมความงามหม้อนั้นน่ะสิ มันทำพิษ” ช่อผกาโวย
“โฮ้ย...ฉันก็เตือนแกแล้ว แกก็ไม่เชื่อ แล้วทีนี้จะทำไงล่ะ งานทำบุญขวัญควายก็ใกล้เข้ามาแล้ว มันจะหายทันลงประกวดเทพีมั้ยเนี่ย?”
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงพ่อก็ต้องช่วยฉัน ฉันจะต้องเป็นเทพีหนองระบืออีกสมัยให้ได้ เพื่อพี่เด็ดของฉัน!”
“แกนะแก...หาแต่เรื่องมาให้ฉัน” ชาญณรงค์ระอาใจ
ช่อผการ้องไห้โวยวายลั่นบ้าน

เจนจิรายืนชะเง้อรอใจเด็ด เดินไปเดินมา ก่อนจะยืนพิงต้นไม้ก้มหน้าเศร้าๆ ระหว่างนั้นมีเสียงรถแล่นเข้ามาในสถานีเจนจิราเงยหน้ามองทันที
ใจเด็ดขับรถเข้ามาที่หน้าสถานี เจนจิราเห็นรีบเดินเข้ามาหา แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นใจเด็ดลงจากรถพร้อมสรนุชด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสนุกสนาน ใจเด็ดหันมาก็เจอเข้ากับเจนจิรายืนรออยู่
“อ้าวเจน”
“ไปทำอะไรกันมาคะเนี่ย?”
เจนจิราพูดพลางมองไปที่หน้าของทั้ง 2 ที่ยังเลอะเทอะอยู่ ใจเด็ดจับไปที่หน้าตัวเอง
“อ๋อ...ไปช่วยครูสีดาทำพวงมะโหดที่จะใช้ตกแต่งในงานขวัญควายน่ะ”
“คงสนุกมากสิคะ หน้าตาถึงกลับมาแบบนี้”
เจนจิราพยายามทำเป็นฝืนยิ้ม
“สนุกมากเลยค่ะ ดูหน้าหัวหน้าคุณซิคะ ฉันขอตัวไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะคะ”
สรนุชเดินไปทันที
“วันนี้ฝึกควายไถนาเป็นไงมั่งเจน?”
“หัวหน้าไม่อยู่ช่วย มันจะดีได้ยังไงล่ะคะ” เจนจิราตัดพ้อ
“ก็พอดีคุณสรนุชเค้า...”
“เจนเข้าใจค่ะ แต่คราวหน้าอยากให้หัวหน้าอยู่ด้วย จะได้ช่วยกันดูไงคะ”
“จ้ะ รับรองคราวหน้าพี่จะอยู่ช่วย พี่ไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะ”
เจนจิรายิ้มให้ ใจเด็ดเดินไป สีหน้าเจนจิรากลับมาเศร้า

ใจเด็ดเดินมายังก๊อกน้ำ เปิดน้ำกำลังจะก้มล้างหน้า สายตามองเห็นกระจกบานเล็กๆ ที่ภิรมย์เอามาแขวนไว้เสริมหล่อ ใจเด็ดหยุดมองหน้าตัวเอง
นึกถึงเหตุการณ์วันนี้ใจเด็ดยิ้มน้อยๆ กับสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้ประทับใจ

ไม่ต่างใบหน้าสรนุชเองก็กำลังเท้าคางด้วยประทับใจเช่นกัน อรอนงค์กับสุบินเดินเข้ามา
“เหม่ออะไรอยู่ยัยนุช?” อรอนงค์ถาม
สรนุชสะดุ้งรีบแก้ตัว “เหม่ออะไร เปล๊า! ฉันกำลังคิดเรื่องงานของฉันอยู่”
“เล่นหายไปกับนายใจเด็ดทั้งวัน ได้อะไรมามั่ง” สุบินถาม
“เพียบเลย...โดยเฉพาะความลับของนายใจเด็ด”
“ความลับอะไรวะ?” สุบินสงสัย ไม่ต่างจากอรอนงค์
“สถานะการเงินของสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์นี่น่ะสิ กำลังง่อนแง่น ทุกวันนี้ สถานีนี้อยู่ได้ก็ด้วยเงินของนายใจเด็ด ทางราชการไม่มีงบประมาณมาช่วยเหลือเลย” สรนุชพูดอย่างภูมิใจ
“คุณพระช่วย! น่าเห็นใจคุณใจเด็ดจริงๆ เลย” อรอนงค์ทั้งตกใจทั้งเห็นใจ
“ช่วยไม่ได้ ก็อยากดันทุรังจะอนุรักษ์ควาย แอนตี้รถไถ ก็เลยต้องพบกับชะตากรรมแบบนี้” สรนุชเยาะแกมหยัน
“ถ้าสภาพการณ์เป็นยังงี้ แกไม่ต้องเหนื่อยทำอะไรนายใจเด็ดหรอกนุช เดี๋ยวสถานีนี้ ก็คงอยู่ไม่ได้เอง” สุบินว่า
“แต่บริษัทเค้าไม่มานั่งรอหรอก เค้าต้องการให้เปิดตลาดรถไถที่นี่ให้ได้วันนี้ เดี๋ยวนี้ แล้วฉันก็มีเวลาแค่ 1 เดือนเท่านั้นเอง ฉันเดินทางมาไกลแล้ว อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว พวกแก 2 คน ต้องเดินหน้าต่อไป ช่วยฉันนะ!”
สุบินกับอรอนงค์ได้แต่มองหน้ากันอย่างเซ็งๆ

ครู่ต่อมาสรนุชดึงสุบินที่สลึมสะลือออกมาจากห้อง
“ขออีกหน่อยไม่ได้หรือไง” สุบินต่อรอง
“ไม่ได้...นกที่ตื่นเช้าก็จะหาหนอนได้ก่อน”
“หือ...แล้วแกไม่คิดว่าหนอนมันจะตื่นสายบ้างหรือไง”
สุบินล้มเผละลงที่โซฟา
“ก็ได้...ฉันจะไปอาบน้ำก่อน...ถ้าฉันออกมานายต้องลุกเดี๋ยวนี้...โอเค๊”
สุบินส่งนิ้วเป็นสัญญาณว่าโอเค สรนุชส่ายหน้าเซ็งก่อนจะเดินออกไป

ระหว่างนั้นครูสีดาก็เดินขึ้นมาบนเรือนรับรอง แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสุบินนอนอยู่ สุบินได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็คิดว่าเป็นอรอนงค์
“อรที่รัก...นวดมือให้หน่อยนะ”
สุบินส่งมือให้โดยไม่รู้ว่าเป็นครูสีดา ครูสีดาอมยิ้มได้แตะเนื้อต้องตัวผู้ชายจึงค่อยๆ บีบนวดให้
สุบินสบายจนเคลิ้ม “มือเธอใหญ่ขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”
“แล้วไม่ชอบเหรอ”
สุบินได้ยินเสียงครูสีดาก็ลืมตาขึ้นทันที แต่แล้วสุบินก็ต้องตกใจเมื่อเห็นครูสีดาอยู่ตรงหน้า
“เฮ้ย !!! แกเป็นใครวะ...ถอยไปนะเว้ย”
สุบินกระโดดผึงลุกขึ้นชี้หน้าโวยวาย อรอนงค์รีบวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ
“มีอะไร !” พอเห็นครูสีดาก็ตกใจเหมือนกัน “หือ !...ใครอ่ะ”
“โอ้ว...นี่ต้องเป็นคุณอร...ที่จะลงประกวดเทพีแน่ๆ เลย” ครูสีดาเข้าไปจับมือก่อนจะดึงขึ้นมาจูบ “ยินดีที่ได้รู้จั...”
ครูสีดายังไม่ทันได้แนะนำตัวเสร็จ สุบินก็ผ่ากลางวงเข้ามาแล้วเอาตัวขวางอรอนงค์เอาไว้
“ไอ้ฝรั่งชีกอ...ผู้หญิงไทยไม่ได้ง่ายทุกคนนะเว้ย” สุบินของขึ้น
“เหรอ...แล้วชายไทยละ” ครูสีดากวนกลับ
“ก็ว่าไปอย่าง” สุบินนึกได้ “อ้าวเฮ้ย ! ไอ้ฝรั่งนี่กวนซะแล้ว..!”
ระหว่างที่สุบินจะเข้าไปเอาเรื่องครูสีดา เสียงของสรนุชก็ดังขัดจังหวะขึ้น
“ครูสีดา”
ครูสีดาหันมาทักทาย “อรุณสวัสดิ์จ้ะ”
สุบินรีบกระโดดเข้ามาหารวมกลุ่ม
“เมื่อกี้เธอเรียกไอ้ฝรั่งนี่ว่าอะไรนะ”
“ครูสีดาไง” สรนุชหันมาทางครูสีดา “ครูสีดามาได้ไงคะ”
สรนุชเดินเข้าไปหาครูสีดา สุบินหันไปบ่นกับอรอนงค์
“ครูบ้าอะไรวะ...กล้ามใหญ่กว่านักมวยปล้ำอีก”
“ก็คราวที่แล้วเธอยังไม่ได้ผ้ามาตัดชุดประกวดให้เพื่อนไม่ใช่เหรอ” ครูสีดารีบส่งผ้าให้ “นี่จ้ะ...นี่เป็นผ้าผืนที่สวยที่สุดเลยนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ...แต่แค่นี้ครูไม่น่าต้องลำบากมาเองเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ...ที่จริงแล้ววันนี้ฉันต้องมาตกแต่งต้นไม้อธิษฐาน...ก็เลยติดไม้ติดมือมาให้น่ะ”
สรนุชหูผึ่ง “ต้นไม้อธิษฐานเหรอคะ”
“จ้ะ...ไปด้วยกันมั้ย...ปีนี้ท่าทางงานขวัญควายจะจัดใหญ่กว่าทุกปีเจ้าพวกภิรมย์...สมหญิงดูยุ่งๆ...ฉันก็เลยไม่อยากกวน...”
“ก็เลยมากวนพวกเราแทน” สุบินประชดส่ง
“อย่าเรียกว่ากวนซิ...เรียกว่ามาบอกบุญมากกว่า...รู้มั้ยว่าต้นไม้อธิษฐานนี่เป็นจุดศูนย์รวมชาวบ้านเลยนะ...นะ...ไปด้วยกันนะ”
สรนุชนิ่งไปสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ในเวลาต่อมาครูสีดากับสรนุชก็เดินมาที่ต้นไม้อธิษฐานภายในวัด สรนุชมองไปรอบๆ เห็นชาวบ้านกำลังช่วยกันตกแต่งพวงมะโหดที่เคยทำที่บ้านครูสีดา
“นี่น่ะเหรอคะต้นไม้อธิษฐาน”
ครูสีดากำลังพินิจพิเคราะห์ดูความสวยงามของต้นไม้อธิษฐาน
“ตอนที่ฉันมาอยู่ที่นี่แรกๆ...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่หนองระบือจะมีเรื่องต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อะไรนี่...จนชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าต้นไม้ต้นนี้มีอายุนับร้อยปีแล้ว...ชาวบ้านที่นี่เชื่อกันว่าที่หมู่บ้านนี้อยู่รอดปลอดภัยมาได้ก็เพราะเทวดาที่อยู่ในต้นไม้นี้คอยปกปักรักษา”
สรนุชแอบบ่นเบาๆ “งมงายจริงๆ...” แล้วหันมาพูดกับครูสีดา “แล้วครูจะให้ฉันทำอะไรเหรอคะ”
ครูสีดายิ้มแทนคำตอบให้สรนุช

เวลาเดียวกันชาวบ้าน 3 คน นั่งทำตาปริบๆ อยู่ภายในห้องทำงานของชิดชัย ผู้จัดการบริษัทสยามคาบาตี้สาขาหนองระบือ ระหว่างนั้นลูกน้องเอาแผ่นพับโบชัวร์รถไถมาแจกให้ทั้งสาม
ชิดชัยเดินเข้ามาด้านหลังของทั้งสามเริ่มขายของทันที
“ที่เราเชิญพวกนายมาในวันนี้...ก็เพราะพวกนายได้รับสิทธิพิเศษจากคาบาตี้...แล้วที่ทุกคนเห็นอยู่ในมือก็คือรถไถรุ่นใหม่ล่าสุดของคาบาตี้”
“เรียกพวกข้ามาบอกแค่นี้เรอะ” ชาวบ้าน 1 ใน 3 ถาม
“อะไร...ฉันบอกแล้วว่าพวกนายคือคนที่รับสิทธิพิเศษจากเรา...เพราะฉะนั้นรถไถที่เห็นอยู่ในมือตอนนี้...ราคาแค่สามแสนนิดๆ...แต่ถ้าพวกนายอยากได้ฉันลดให้เลยสามแสนถ้วน...แล้ว...พวกนายก็สามารถเป็นเจ้าของได้ทันทีแค่เงินดาวน์เพียงห้าพัน...เท่านั้น”
“แล้วไอ้สามแสนที่ว่าละ” ชายชาวบ้านคนเดิมถาม
“ก็ผ่อนง่ายๆ สบายๆ แค่สี่ปีเอง” ชิดชัยบอก
“นี่พวกข้าต้องเป็นหนี้เพราะไอ้รถไถนี่สี่ปีเลยเร๊อะ” ชายคนที่ 2 ถาม
ชิดชัยชะงัก “เอ่อ...อย่าเรียกว่าเป็นหนี้...เขาเรียกว่าการลงทุน...คิดดูซิ...ถ้ามีไอ้รถไถนี่...พวกนายก็สามารถเก็บผลผลิตเร็วขึ้น...จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นกันไง”
คราวนี้ชายชาวบ้านคนที่ 3 สงสัย “ทำอะไร”
ชิดชัยอึ้งไป “เอ่อ...”
“ให้พวกข้าเสร็จเร็วก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร...แล้วอีกอย่างข้าว่านะ...เงินที่ได้แต่ละปีมันก็ไม่ได้มากมายอะไร...แล้วนี่ข้าต้องเอาเงินมาใช้หนี้รถไถนี่อีกหรือไง” ชายคนเดิมว่า
ชายชาวบ้านคนแรกเห็นด้วย “เออ...แล้วไหนจะค่าน้ำมันอีก” หันมองพรรคพวก “เอาไง”
ชาวบ้านทั้งสามมองหน้ากัน พยักหน้าให้กัน ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นทันที
ชิดชัยทำใจดีสู้เสือเอาไว้ “แหม...อยากไปดูของจริงกันใช่มั้ย”
“ข้าว่าพวกข้ากลับไปใช้ควายเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว...ค่าน้ำมันก็ไม่ต้องเสีย...แถมยังมีเงินเก็บอีก” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ว่าแล้วชาวบ้านก็เดินออกไปเลย ชิดชัยพยายามเดินตามพร้อมข้อเสนอพรั่งพรูออกจากปาก
“ถ้าอย่างนั้น...ฉันให้ใช้ฟรีหกเดือนเลย” ชาวบ้านยังเดินไม่หยุด “หนึ่งปีก็ได้ !!!
สุดท้ายชาวบ้านก็เดินออกไปจากห้องจนหมด โดยไม่สนใจเงื่อนไขชิดชัยเลยสักคนเดียว ชิดชัยโมโหถึงกับตะโกนไล่หลัง
“ไอ้พวกโง่...!” ชิดชัยสบถ
“แล้ว...แล้วเราจะทำยังไงดีละพี่...นี่ก็หลายเดือนแล้วนะที่เราขายไม่ได้เลย”
ลูกน้องถามจี้จุด ชิดชัยถึงกับสติแตก “โว้ย..! จะมาถามอะไรตอนนี้วะ...ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ยอมโดนไล่ออกแน่”
ชิดชัยสีหน้าเครียดร้อนรนในใจ

ส่วนใจเด็ดเดินเข้ามาภายในวัด เจอเข้ากับลุงแช่มพอดี
“ขยันจังนะหัวหน้า...จัดงานคนเดียวทุกปีอย่างนี้ไม่เบื่อหรือไง”
“ไม่เบื่อหรอกลุง...ถ้าเราเบื่อแล้วงานขวัญควายของเราจะดังไปทั่วประเทศได้ยังไง”
“ก็จริงของหัวหน้า...เอ้าๆ...ถ้าหัวหน้าอยากให้ผมช่วยอะไรก็บอกนะ” ลุงแช่มทอดไมตรี
“ไม่ต้องช่วยอะไรหรอกลุง...แค่เอาควายมาทำขวัญวันงานก็พอแล้ว”
ลุงแช่มโบกไม้โบกมือให้ใจเด็ดก่อนจะเดินออกไป จังหวะนั้นมีเสียงผ่านเครื่องขยายเสียงดังขึ้น
“อยากขายจ๊ะอยากขาย...ทุกอย่างยี่สิบจ้า”
ใจเด็ดเดินเข้ามาที่รถขายของ
“หวัดดีค่ะหัวหน้า...มาทำอะไรคะวันนี้” ป้าคนขายทักทายอย่างคุ้นเคย
“นับควายที่จะไปงานขวัญควายน่ะป้า” ใจเด็ดมองไปที่เสื้อที่วางอยู่ “ตัวเท่าไหร่น่ะป้า”
ใจเด็ดหยิบเสื้อลายลูกไม้สีขาวที่เหมือนกับเสื้อของคนแก่ใส่ไปวัดขึ้นดู ในใจนึกถึงสรนุชว่าถ้าใส่แล้วจะเป็นยังไง
“สามร้อยจ้ะหัวหน้า...” ป้าคนขายชักสงสัย “หัวหน้าจะซื้อไปให้ใครใส่”
ใจเด็ดร้อนตัว “เอ่อ...จะซื้อไปใส่เองน่ะครับ” เห็นสีหน้าป้าตกใจก็เริ่มคิดได้ “เอ๊ย...เอ่อ...เปล่าครับ...ผมแค่อยากถามดูน่ะครับ...ผมไปก่อนน่ะครับ”
ใจเด็ดยกมือไหว้ลาป้าก่อนจะรีบเดินออกมา ป้ามองตามด้วยความสงสัย
ใจเด็ดเดินมาได้สักระยะก็แอบหลบหลังต้นไม้ถอนหายใจ
“พูดอะไรออกไปวะเรา”
ใจเด็ดหันกลับไปมองที่รถขายของอีกครั้ง สายตาจดจ้องที่เสื้อตัวนั้นด้วยความลังเล

ด้านสรนุชเอาพวงมะโหดอันสุดท้ายติดไว้กับต้นไม้เสร็จเรียบร้อย ตามคำแนะนำของครูสีดา
“นี่เสร็จแล้วเหรอคะ”
ครูสีดาเดินเข้ามาหาสรนุชพร้อมกับกระดาษที่มีเชือกผูกเอาไว้ ครูสีดาก้มลงหยิบลูกยางขึ้นมาก่อนจะมัดกระดาษติดไว้กับลูกยาง
“เอาซิ...อธิษฐานเลย” ครูสีดาบอก
“ฮ้า ! เอ่อ...”
“ขอแค่เชื่อ...แล้วคำอธิษฐานของเธอจะเป็นจริง” ครูสีดายัดลูกยางใส่มือสรนุช “เดี๋ยวฉันไปหาหลวงพ่อก่อน”
ครูสีดายิ้มให้สรนุชอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป สรนุชมองลูกยางในมืออย่างงงๆ
“คิดว่าฉันเชื่อเรื่องไร้สาระอย่างนี้หรือไง”
สรนุชกำลังจะโยนลูกยางทิ้งแต่แล้วก็ชะงัก ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา
“แต่...ลองหน่อยก็ได้”
ว่าแล้วสรนุชก็เอาปากกาขึ้นมาเขียนคำอธิษฐานลงในกระดาษก่อนจะยกมือขึ้นพนม หลับตา
“ถ้าต้นไม้อธิษฐานศักดิ์สิทธิจริง...ขอให้การทำงานของลูกในครั้งนี้สำเร็..” สรนุชจะพูดคำว่า ‘สำเร็จ’ แต่ก็ค้างคำพูดนั้นไว้ เพราะนึกลังเล จิตใจเริ่มโน้มเอียง และเริ่มรู้สึกผิด “เอ่อ...เปลี่ยนใหม่นะเจ้าคะ...ขอให้ลูกมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิตก็แล้วกันค่ะ”
สรนุชอธิษฐานแบบครอบคลุมไม่อยากอธิษฐานเจาะจง ว่าพลางสรนุชยกมือขึ้นจบศีษะแล้วเหวี่ยงลูกยางขึ้นไปบนต้นยางเต็มแรง
“ไปเลย”
สรนุชมองตามลูกยางที่ลอยละลิ่วไปตามแรงเหวี่ยง ก่อนจะเห็นว่าลูกยางลอยข้ามต้นยางไป
“อ้าว...”
สรนุชเซ็งที่ลูกยางดันเลยต้นไม้ไป แต่แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงใครบางคนร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด
“โอ๊ย”

สรนุชตกใจขึ้นมาทันที

สรนุชวิ่งมาอีกด้านหนึ่งของต้นไม้อธิษฐาน ก่อนจะเห็นคนหนึ่งกุมหน้าอยู่ด้วยความเจ็บปวด
“เป็นไรมั้ยคุณ”
พอชายดวงซวยหันมา สรนุชก็ต้องอึ้งไปทันที เพราะชายคนนั้นคือใจเด็ดนั่นเอง
“นาย”
“คุณ ! ...คุณมาทำอะไรที่นี่” ใจเด็ดเองก็งง
“ฉันก็มาช่วยครูสีดาแต่งต้นไม้อธิษฐานนี่...แล้วนายล่ะมาทำอะไร”
“ผมรับผิดชอบในการทำคอกที่วัดนี่..มาดูความเรียบร้อยมันแปลกมากเหรอคุณ”
ขณะพูดใจเด็ดมองไปที่ลูกยางที่มีกระดาษคำอธิษฐานของสรนุชตกอยู่ ใจเด็ดเดินไปหยิบขึ้นมา
“นี่คุณเล่นอะไรของคุณ”
สรนุชตกใจรีบวิ่งเข้าไปแย่งลูกยางจากใจเด็ด ใจเด็ดไม่ยอมให้ ต่างสองต่างยื้อแย่งกันไปมา
“นี่...อย่าอ่านนะ”
ใจเด็ดชูลูกยางขึ้นเหนือหัว สรนุชเข้าใกล้ในระยะประชิดเพื่อที่ต้องการจะแย่งลูกยาง
“เอามานี่”
แต่แล้วสรนุชกับใจเด็ดก็ต้องชะงักไปเมื่อใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
ใจเด็ดยื่นคืนให้ “เอาไปซิ”
สรนุชรับมาในอาการงอนนิดๆ “คนไม่มีมารยาท”

ทั้งสองคนต่างเชิดใส่กัน ทำหน้าไม่ถูก เพราะรู้สึกวาบหวิวภายในใจ

เวลาผ่านไป...รถกะบะของใจเด็ดแล่นมาตามถนน ส่วนภายในรถ สรนุชกำลังดูลูกยางและกระดาษคำอธิษฐาน
“หึ...พบสิ่งดีๆ ในชีวิตน่ะเหรอ” สรนุชเหล่มองใจเด็ด “สิ่งเลวร้ายมากกว่า”
ใจเด็ดได้ยินที่สรนุชบ่นก็เหล่กลับ ”บ่นอะไรของคุณ”
“เปล๊า!”
“คนที่บ่นน่าจะเป็นผมมากกว่าหรือเปล่า...อยู่ดีๆ ก็เหมือนมีใครมาตีหัว...สงสัยคุณคงอธิษฐานขอให้ลูกยางนี่ไปตกใส่หัวคนที่คุณเกลียดละซิ”
“ใครบอก...ฉันอธิษฐานว่า” สรนุชชะงักไป เกือบหลุดปาก “หึ...คิดว่าฉันเชื่อเรื่องอย่างนี้หรือไง”
ใจเด็ดยิ้มเยาะ สรนุชไม่ชอบใจรอยยิ้มนั้น “ยิ้มอะไร”
“เปล๊า”
จู่ๆ รถของใจเด็ดเกิดอาการกระตุกขึ้น
“รถเป็นอะไรน่ะคุณ”
ใจเด็ดมองไปที่หน้าปัด สีหน้าเครียดขึ้นมาทันที

ใจเด็ดตบไฟรถเลี้ยวเข้าข้างทั้งคู่ลงมาจากรถ ใจเด็ดลงมาเปิดฝากระโปรงรถ สรนุชเข้ามาถามด้วยความกังวล
“ไม่เป็นไรมากใช่มั้ยอ่ะ”
ใจเด็ดเหล่มองสีหน้าเอือมก่อนจะก้มลงไปดูในห้องเครื่อง สรนุชยืนลุ้นอยู่ข้างๆ
“นี่...นี่”
“อะไรของคุณอีก”
“ให้ฉันดูให้มั้ย”
ใจเด็ดสงสัย “ทำไม...คุณซ่อมรถเป็นหรือไง”
“ใช่...เพราะฉันเป็น...เป็น” สรนุชชะงักคำพูดไป แต่ก็ต้องพูดต่อเพราะพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว “เป็นวิศวกรเครื่องยนต์ไง...แต่ว่า...มันคงไม่เหมือนกันหรอกเนอะ”
ใจเด็ดเครียดหนักกว่าเดิมก่อนจะก้มลงไปดูห้องเครื่องต่อ ไม่นานใจเด็ดก็ผลุบออกมาพร้อมกับสายยางดำ สรนุชดีใจ
สรนุชแกล้งโง่เพราะกลัวใจเด็ดสงสัย “โธ่...ที่แท้ก็มีเชือกเข้าไปติดนี่เอง...ไปต่อได้แล้วใช่มั้ย”
“ไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้ละ...ก็นายเอาออกมาแล้วนี่”
“อันนี้เขาเรียกว่าสายพาน...ตอนนี้มันสายพานขาด...รถก็ขับไม่ได้เข้าใจมั้ย”
สรนุชแอบพูดคนเดียว “รู้หรอกน่า” แล้วแกล้งทำเป็นตกใจ “แล้ว...แล้วทำไง...นายโทร.ตามใครมาลากได้มั้ย” สรนุชยิ้มเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ผมไม่มีโทรศัพท์”
สรนุชตกใจจริง “ฮ้า ! อย่าบอกนะว่าเราต้องเดินกลับสถานี”
“หรือคุณจะเดินกลับไปที่วัดก็ได้เพราะระยะทางมันพอๆ กัน”
“นี่...ไม่กวนฉันซักนาทีมันจะตายมั้ย” สรนุชเริ่มนึกออก “จริงซิ...นายก็เดินกลับไปที่สถานีเรียกคนมาลากรถ...ส่วนฉันก็จะนั่งรอตรงนี้ไง...ดีมั้ย”
แต่ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องดังครืนใหญ่
ใจเด็ดเหล่มองสรนุชแล้วเดินออกไป สรนุชอ้ำอึ้ง คิดใจในว่าเอาไงดี จังหวะนั้นก็เกิดฟ้าแลบแปล๊บขึ้น
“ว้าย ! เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน...รอฉันด้วย”
สรนุชรีบวิ่งตามใจเด็ดออกไป

ใจเด็ดเดินจ้ำอ้าวๆ มาตามทาง มีสรนุชกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาข้างหลัง
“นี่...รอฉันด้วยซิ”
จังหวะนั้นใจเด็ดหยุดกึก กะทันหันเพราะเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้สรนุชชนเข้ากับใจเด็ดเต็มๆ
“โอ๊ย ! จะหยุดทำไมไม่บอกเนี่ย”
ใจเด็ดไม่ได้สนใจคำพูดสรนุช เพราะตามองไปยังสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า “กระท่อม...ผมว่าเราเข้าไปหลบฝนในนั้นก่อนดีกว่า”
สรนุชมองเข้าไปที่กระท่อมแล้วก็เกิดกลัวขึ้น “ไม่...ยังไงฉันก็ไม่ไป”
ทันทีที่จบคำพูดของสรนุช ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ใจเด็ดไม่รอให้สรนุชพูดอะไร คว้ามือดึงร่างสรนุชวิ่งไปที่กระท่อมทันที
“ว้าย” สรนุชร้องเสียงหลง

ใจเด็ดกับสรนุชปัดเนื้อปัดตัวที่เปียกปอนเพียงนิดหน่อย ขณะที่ได้ยินเสียงฝนตกลงมาเฉียดฉิวหวุดหวิด
“ไงละ...เกือบไม่ทันเห็นมั้ย”
“ทำไม...นายกำลังจะบอกว่าความผิดฉันหรือไง...ถ้าจะมีคนผิดก็คือนาย ที่ไม่ดูแลรักษารถให้มันดี”
“อย่างนี้แหละผมถึงเบื่อพวกเครื่องจักร”
“แต่ถ้านายขี่ควายกลับก็ไม่ทันฝนเหมือนกัน”
ใจเด็ดเหล่มองสรนุช สรนุชนึกได้ว่าออกตัวปกป้องพวกรถไถมากไปเลยเฉไปเรื่องอื่น
“แล้วเราต้องติดอยู่ในกระท่อมนี่อีกนานแค่ไหนเนี่ย”
ใจเด็ดมองประเมินลักษณะฝนที่อยู่ด้านนอก “ตกหนักขนาดนี้ไม่น่าจะนาน”
“ก็ดี...”
“แต่ผมว่าคุณลองติดฝนอยู่ที่นี่ซักคืนก็ดีเหมือนกัน”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็รีบจับคอเสื้อขึ้นปิดคอ แล้วเหล่มองใจเด็ดแปลกๆ ขณะที่ใจเด็ดไม่รู้เลยว่าสรนุชคิดอะไรเพราะเอาแต่มองสายฝนนอกกระท่อม
“อยู่ที่กรุงเทพฯ คุณคงไม่เคยนอนฟังเสียงฝน...ได้กลิ่นไอฝนเหมือนที่นี่...ผมว่าระหว่างที่เรารอฝนหยุดคุณจะนอนพักก็ได้”

ใจเด็ดมองออกไปเบื้องหน้าอย่างสบายๆ ไม่กังวลใดๆ ในขณะที่สรนุชเหล่มองใจเด็ดอย่างไม่วางใจนัก
ส่วนเหตุการณ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ เจนจิรากำลังยืนเหม่อมองสายฝนที่เริ่มตกโปรยปรายและในใจก็ยิ่งนึกเป็นห่วงใจเด็ดครามครัน ระหว่างนั้นเสียงสุบินก็ครวญเป็นเพลงดังขึ้น

“เขาบอกว่าฟ้าร้องไห้ออกมาเป็นสายฝน...อยากรู้นักฟ้าที่เบื้องบน...ต้องมาร้องไห้เพราะใคร”
“นาย..!” เจนจิราฉุนนัก
“รอคุณใจเด็ดอยู่เหรอครับ” สุบินใส่อีกดอก
“ถ้านายไม่มีอะไรจะพูดก็หุบปากไปเลย”
“อะไรกันคุณ...ผมอุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนคุณเพื่อตอบแทนที่คุณสอนผมไถนานะเนี่ย”
“ฉันไม่ได้อ้อนวอนซะหน่อย...นายอยากจะไปไหนก็ไป...ฉันอยากอยู่คนเดียว”
พูดจบเจนจิราก็หันหนีไปมองความมืดเบื้องหน้า สุบินแอบมองแล้วอมยิ้มอย่างรู้ทัน

เวลาเดียวกันภายในกระท่อมกลางนา สรนุชนั่งมองสายฝนที่ตกหนักกว่าเดิมอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ฉันไม่เห็นว่ามันจะหยุดอย่างที่นายว่าเลย”
สรนุชหันไปมองก็เห็นใจเด็ดนอนคุดคู้อยู่ สรนุชยี้ปากหมั่นไส้
“นอนได้นอนดี...หึ !”
สรนุชหันกลับไปมองสายฝนต่อ ระหว่างนั้นมีแมงมุมตัวหนึ่งค่อยๆ ไต่มาตามพื้นก่อนจะไต่มาที่ขาของสรนุช
สรนุชสะดุ้งนิดหนึ่งแยกเขี้ยว
“ฉันนึกแล้วว่านายมันไอ้พวกลา...”สรนุชจะพูดคำว่าลามกออกมา
สรนุชคว้าหมับไปที่แมงมุมเพราะคิดว่าเป็นมือของใจเด็ด ทันใดนั้นสรนุชก็ต้องตกใจตาเหลือเพราะแมงมุมติดอยู่ที่มือของตน
“อ๊าย”
สรนุชตกใจกรีดร้องลั่นก่อนจะวิ่งพรวดออกจากกระท่อมไป ใจเด็ดสะดุ้งตื่นเห็นสรนุชวิ่งออกไปพอดี
“คุณ! คุณ!”
ใจเด็ดกระโดดพรวดวิ่งตามสรนุชออกไปทันที

สรนุชวิ่งตกใจออกมากลางทุ่งนาโดยไม่สนใจว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง ด้วยอารมณ์ตกใจกลัวสุดชีวิต ใจเด็ดวิ่งตามมาติดๆ จนมาทันก่อนจะคว้าแขนสรนุชเอาไว้ได้
“เป็นไรคุณ”
“มะมะมะแมง...แมงมุม”
“แมงมุม”
ใจเด็ดทำหน้าเอือม ก่อนจะดึงแขนสรนุช
“เข้าไปได้แล้ว...ตากฝนอย่างนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี”
“ไม่...ยังไงฉันก็ไม่เข้าไป”
ใจเด็ดไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา จึงคว้าตัวสรนุชขึ้นบ่า
“อ๊าย ! ทำบ้าอะไรของนาย...ปล่อย...ปล่อยฉัน”
ใจเด็ดไม่สนใจแบกสรนุชกระเตงๆ เดินฝ่าสายฝนกลับไปที่กระท่อมท่ามกลางเสียงโวยวายของสรนุช

ใจเด็ดจะถอดเสื้อ สรนุชตกใจ รีบหันหลังให้
“เฮ้ย ! นายทำอะไรน่ะ”
“ผมหนาวจะตายอยู่แล้ว”
“แล้วทำไมต้องมาเปลี่ยนต่อหน้าฉัน” สรนุชโวยลั่น
“กระท่อมมันก็มีอยู่แค่นี้...จะให้ผมถอดที่ไหนล่ะ”
สรนุชพูดไม่ออก เห็นใจเด็ดเปลี่ยนเสื้อผ้า
“เสร็จยัง?”
“เสร็จแล้ว”
สรนุชหันมาแล้วตกใจรีบปิดตา “ไหนบอกว่าเสร็จแล้วไง...ทำไมยังแก้ผ้าอยู่”
“แก้ผ้าที่ไหน? ไม่เห็นจะโป๊ซักนิด”
“ทำไมไม่ใส่เสื้อ”
“ที่ผมไม่ใส่เสื้อก็เพราะว่าเสื้อมันเปียก...แล้วที่มันเปียกก็เพราะว่าผมวิ่งตามคุณ...เข้าใจ๊”
สรนุชนิ่งเงียบพูดไม่ออกเพราะมันเป็นความผิดเธอเต็มๆ ใจเด็ดมองสรนุชก่อนจะอ่อนลง
“ใส่เสื้อเปียกๆ น่ะมันจะไม่สบาย...คุณเองก็เหมือนกัน...ถอดเสื้อซะ”
“เฮ้ย ! นั่นไง...ฉันว่าแล้วนายมัน...”
ใจเด็ดต่อให้ทันที “...นายมันคนฉวยโอกาส...นายมันบ้าลามกโรคจิต...นี่คุณ...ถ้าผมจะทำอะไรคุณผมทำไปนานแล้ว...”
สรนุชยี้ปากหมั่นไส้

เวลาผ่านไป...ใจเด็ดกับสรนุชนั่งมองสายฝนอยู่ด้วยกัน สรนุชนั่งหันหน้าไปคนละทางเพราะใจเด็ดถอดเสื้อเลยทำให้สรนุชไม่กล้าหันมองมาแถมยังนั่งสั่นด้วยความหนาว
สรนุชเสียงสั่น “ทำไมไม่มีใครคิดจะออกมาตามหาเราเลยหรือไง”
“นี่คุณ...ไอ้ฝนตกนี่มันธรรมดาของที่นี่...” ใจเด็ดอยากให้สรนุชหายเครียด “รู้มั้ยว่าใครกลัวฝน”
“ใคร..?”
“เจ้าสาว” ใจเด็ดว่า สรนุชยิ่งทำหน้าสงสัย “ก็เจ้าสาวที่กลัวฝนไง...” ใจเด็ดร้องเพลงออกมา “หากเธอคิดพบรักที่ชื่นฉ่ำ...อย่ามัวทำตามความคิดเดิม”
สรนุชอมยิ้มแล้วหัวเราะ
ใจเด็ดยิ้มให้ “ขำละซิ”
“ใช่...แต่ฉันไม่ได้ขำมุขนายนะ...” สรนุชเน้นเสียง “แต่ฉันขำที่มันแป้ก”
ใจเด็ดจากหน้าที่ยิ้มอยู่เลยกลายเป็นหน้าเจื่อนลงสนิท
แล้วทุกอย่างก็เงียบงันลงอีก สรนุชเห็นว่าโอกาสเหมาะที่จะลองพูดคุยเรื่องควายเลยชวนใจเด็ดคุย
“นายไม่คิดจะมีชีวิตปกติธรรมดาอย่างคนอื่นเขาบ้างหรือไง”
“แล้วชีวิตผมมันไม่ธรรมดาตรงไหน”
“ก็ตรงที่มันมีแต่ควายไง”
ใจเด็ดนิ่งไปอย่างครุ่นคิดภายในใจ
“คุณไม่เข้าใจหรอก”
“ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ...ฉันรู้ว่านายรู้สึกผิดที่ตอนเป็นเด็กนายช่วยควายตัวเองไว้ไม่ได้”
ใจเด็ดชะงักหันมองสรนุช ทำเอาสรนุชชะงักไปก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดออกไป
“เอ่อ...หมอเกริกไกรเขาเล่าให้ฉันฟังน่ะ” สรนุชแล้วรีบเข้าประเด็น “ฉันแค่อยากจะบอกนายว่า...ถ้านายยังทิ้งเรื่องในอดีตไม่ได้...ชีวิตนายก็จะติดอยู่แต่ตรงนี้...นายต้องช่วยควายอีกกี่ร้อยกี่พันตัวมันถึงลบแผลในใจของนายได้”
ใจเด็ดจ้องหน้าสรนุชเขม็งเต็มไปด้วยความฉงน
“คุณเข้าใจว่าผมมาอยู่ตรงนี้เพราะเรื่องในอดีตหรือไง”
“หรือว่าไม่ใช่ละ”
“ผมยอมรับว่าตอนแรกมันก็เป็นอย่างที่คุณว่า...แต่ตอนนี้ไม่ใช่”
สรนุชแปลกใจก่อนจะอยากรู้เหตุผลของใจเด็ด
“คุณรู้มั้ยว่าคนกับควายต่างกันตรงไหน”
สรนุชส่ายหน้า
“ควายรักเราโดยไม่มีเงื่อนไข”
สรนุชนิ่งงันไปเมื่อรู้ความลับของใจเด็ดอีกอย่าง ระหว่างนั้นเสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เปรี้ยงงง!!!
“ว้าย”
อารามตกใจเสียงฟ้าร้องจนสรนุชเผลอกระโดดเข้าไปกอดใจเด็ด ครั้นพอทุกอย่างสงบลงสรนุชกับใจเด็ดก็สบตากันซึ้ง บรรยากาศทุกอย่างเป็นใจ หัวใจของทั้งคู่เต้นโครมคราม แต่ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังสบตากันซึ้ง จู่ๆสรนุชก็จามออกมาซะงั้น
“เช้ย”
ใจเด็ดสะดุ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำลายสรนุช เลยทำให้มู้ดโรแมนติกเสียหมดเลย ทั้งสองรีบเด้งผึง ! ออกจากกันทันที แล้วแยกไปนั่งเขินกันคนละมุม

ส่วนที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ เจนจิราเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย โดยมีสุบิน เกริกไกรและอรอนงค์นั่งรออยู่ด้วย
“หมอ...เจนออกไปตามหัวหน้านะคะ”
“จะออกไปหาทำไม...ไอ้เด็ดมันไม่ใช่เด็กสองขวบนะ” เกริกไกรบอก
“เอ...หรือว่าคุณห่วงยัยนุช” สุบินประชดเจนจิรา
อรอนงค์ไม่รู้เลยว่าสุบินเขาแค่พูดแหย่เจนจิรา แต่ดันเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ “จริงเหรอคะคุณเจน...คุณเจนเป็นคนดีจัง...พวกเรารู้จักกันไม่เท่าไหร่แต่คุณเจนก็ยังเป็นห่วงพวกเราขนาดนี้”
เจนจิราน้ำท่วมปากพูดไม่ออก “เอ่อ...”
สุบินโพล่งขึ้น “อ้าว...คุณใจเด็ด”
เจนจิราหันขวับไปทันที แต่ก็พบกับความว่างเปล่า สุบินกลั้นยิ้มขำ
“ผมลองเสียงน่ะครับ...เผื่อเวลาคุณใจเด็ดกลับมาจะได้รู้ว่าต้องตกใจคีย์ไหน”
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของนาย” เจนจิราฉุนขาด
สุบินมองไปด้านหลังอีกที “อ้าว...คุณใจเด็ด”
เจนจิรากำหมัดโกรธจนตัวสั่นขณะเดินเข้ามากระชากคอเสื้อสุบิน ทุกคนต้องกรูเข้าไปห้ามกันวุ่นวาย
“ถ้านายพูดอีกทีละก็...”
เจนจิราพูดไม่ทันจบ ระหว่างนั้นเสียงของใจเด็ดก็ดังขึ้นจริงๆ
“ทำอะไรน่ะทุกคน”
ทุกคนหันไปก็เห็นใจเด็ดกับสรนุชยืนอยู่ สุบินรีบดึงมือเจนจิราออกจากคอเสื้อ
“ไง...คิดว่าผมพูดเล่นหรือไง...อ้าว...นี่ไงคุณใจเด็ดเขากลับมาแล้ว...จะเป็นห่วงเป็นใยอะไรก็เชิญ”
สุบินพูดประชดประชันเจนจิราที่คิดว่าเขาโกหก แต่เจนจิรากลับหน้ามุ่ยด้วยความโมโห เพราะคิดว่าสุบินกำลังขายเธอ เจนจิราเดินหงุดหงิดออกไป ทุกคนมองตามด้วยความสงสัย

เย็นนั้นอรอนงค์จับเนื้อจับตัวสรนุชหมุนไปหมุนมาอย่างเป็นห่วง
“แกเป็นอะไรรึเปล่านุช...คุณใจเด็ดปล้ำแกรึเปล่า”
“พูดบ้าๆ น่าอร...ลองกล้าทำสิ...ฉันได้เอาหมัดกระทุ้งปากให้เป็นผีเฝ้ากระท่อมเลย”
“แต่ก็ไม่แน่นะ...เมื่อกี้เธอบอกว่า...เธอติดอยู่ที่กระท่อมกลางทุ่งนาใช่มั้ย” สุบินว่า
“ใช่” สรนุชรับคำ
“ท่ามกลางฝนที่โปรยปราย” สุบินถาม
“ใช่” สรนุชรับคำอีก
สุบินดีดนิ้วดังเปาะ! “แหม...นี่มันละครไทยชัดๆ...พระเอกนางเอกมันจะได้กันก็ฉากนี้แหละวะ”
สรนุชหมั่นไส้หันไปฉีกปากสุบิน “ได้อะไร...ได้อะไร...ฮ้า”
“โอ๊ย” สุบินร้องลั่น
“แล้วแกติดอยู่กับคุณใจเด็ดสองสามชั่วโมงทำอะไรกันมั่งน่ะนุช”
สรนุชนิ่งไปเรื่องความลับของใจเด็ด “เอ่อ...ก็ไม่ได้ทำอะไร...ต่างคนต่างนอน”
สุบินตกใจตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน “นอน”
“อยากโดนอีกใช่มั้ย” สุบินยิ้มแหย สรนุชพูดต่อ “พวกแกสองคนฟังนะ...ฉันกับนายใจเด็ดไม่ได้มีอะไร...ไม่ได้รักกันไม่ได้คุยกัน...ไม่ได้ๆๆๆๆ เข้าใจหรือยัง”
สรนุชรีบเดินจากไปเพราะเบื่อตอบคำถาม อรอนงค์กับสุบินมองตามอย่างสงสัย

ใจเด็ดกับเกริกไกรกลับเข้ามาภายในบ้านพัก เกริกไกรยังไม่หายสงสัย
“แกบอกฉันมาสักทีสิวะใจเด็ด...ตกลงแกกับคุณนุช...อืม...กันแล้วเหรอวะ”
ใจเด็ดตกใจ “หมอ !!...พูดอย่างนี้ใครมาได้ยินเข้า...ฉันเสียหายนะ”
เกริกไกรตะลึง สีหน้าขึ้งโกรธ “แก...แก”
ใจเด็ดรีบห้ามเกริกไกรเพราะคิดว่าเกริกไกรโกรธ
“ไอ้หมอใจเย็นๆ...ฉันกับคุณนุช…”
เกริกไกรพุ่งพรวดเข้ามาหาใจเด็ดพร้อมกับกอดขากอดแขน
“อาจารย์...!” ใจเด็ดงง เกริกไกรพ่นออกมา “อาจารย์ช่วยสอนไอ้วิธี...อืม...ให้ผมหน่อยนะ”
ใจเด็ดไม่เก็ท ทำหน้างง “ไอ้หมอ ! ฉันบอกว่าฉันกับคุณนุช...ไม่ได้มีอะไรกันเว้ย...แล้วฉันก็ไม่อยากให้แกคิดอย่างนั้นเพราะคุณนุชเขาจะเสียหาย”
ใจเด็ดดันหน้าเกริกไกรออก ก่อนจะเดินชิ่งหนีออกไปเลย
“อาจารย์...อาจารย์รอศิษย์ด้วย” เกริกไกรร้องตามหลัง

ใจเด็ดนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียงในห้องนอนที่บ้านพัก คิดไปถึงตอนที่อยู่ในกระท่อมกับสรนุช

เช่นเดียวกับสรนุชนั่งอยู่ที่แคร่ คิดถึงเรื่องที่อยู่ภายในกระท่อมกับใจเด็ดเช่นกัน ระหว่างนั้นสรนุชจามฟอดเบ้อเริ่ม
“ฮ้าดดเช้ยย” สรนุชเอามือยีจมูกฟุดฟิด “หรือว่านายนั่นกำลังคิดถึงเราเหมือนกัน” สรนุชสะบัดหัวไล่ความคิด “บ้าแล้วๆ...คิดอะไรบ้าๆเนี่ยเรา” แล้วก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมา “โอ๊ย...ทำไมมันมึนหัวอย่างนี้”
สรนุชพยายามจะยันตัวลุกจากแคร่เพื่อขึ้นเรือน จู่ๆ สายตาของสรนุชเห็นภาพเบื้องหน้าส่ายไปมาเหมือนโลกหมุน ทันใดนั้นสรนุชก็ฟุบเป็นลมหมดสติอยู่ที่ด้านหลังแคร่ สรนุชหายใจหอบโยนด้วยพิษไข้

รุ่งเช้าวันต่อมา อรอนงค์อยู่ในชุดนอนเดินงัวเงียออกมาจากห้องนอน ก่อนจะเจอสุบินที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ
“ยัยนุชละ”
“อยู่ด้วยกันทั้งคืน...เรื่องอะไรมาถามฉันละ”
อรอนงค์ทำหน้าแปลกใจ “เอ้า...ก็ถ้ายัยนุชอยู่ฉันจะถามแกทำไมละ”
“โอเคๆ...สรุปว่ายัยนุชไม่อยู่...ก็แค่นั้น”
สุบินจะเดินไป อรอนงค์เรียกเอาไว้
“แล้วนายไม่สงสัยหรือไงว่ายัยนุชหายไปไหนแต่เช้า”
“ทำไมต้องสงสัย...ยัยนุชมันโตแล้ว...จะไปไหนก็ปล่อยไปเถอะ” สุบินชะงัก “หรือว่า...ยัยนุชอาจจะติดใจคุณใจเด็ด...ก็เลยแอบย่องออกไปตอนกลางคืน”
“บ้า ! คิดได้แค่นี้หรือไง”
“เออ...ฉันคิดได้แค่นี้พอใจหรือยัง...เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องถามฉันอีก...เพราะฉันคิดได้แค่นี้...โอเค๊”
สุบินเดินเช็ดหัวออกไป อรอนงค์ได้แต่สงสัย
“ไปไหนแต่เช้านะยัยนุช”

เวลาเดียวกันนั้นผู้พันชาญณรงค์อยู่ในชุดวอร์มเตรียมพร้อมจะไปออกกำลังกาย
“แกคิดว่าวิธีนี้หนูอรเขาจะหันมาสนใจฉันจริงๆ เหรอวะ” ชาญณรงค์หันมาถามบ่าวคนสนิท
“อ้ะ...แน่นอนครับนาย...นายไม่เคยได้ยินเพลงของไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกรเหรอครับ...” สมคิดว่าพลางก็เอื้อนเพลงลูกทุ่ง “มีเมียเด็ก...ต้องหมั่นตรวจเช็คร่างกาย”
ชาญณรงค์หัวเราะชอบใจ “เออ...จริงของเอ็ง...แหมได้ยินเพลงแล้วเลือดลมมันสูบฉีด”
ระหว่างนั้นมีเสียงใครบางคนดังขึ้น “สวัสดีครับผู้พัน...”
ชาญณรงค์กับสมคิดหันไปก็เห็นชิดชัยเดินยกมือสวัสดีเข้ามา
“หวัดดีๆ...ไปข้างหน้าก่อนไป”
“เดี๋ยวซิครับผู้พัน...ผมไม่ได้จะมาขายรถไถให้ผู้พันซะหน่อย” ชิดชัยบอก
ชาญณรงค์เหล่มอง
“ในฐานะที่เราทั้งคู่เกลียดควายเหมือนกัน...ผมว่าเราน่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์ให้ไอ้พวกกระบือบาลในวันงานทำขวัญควายหน่อยดีมั้ยครับ”
ชาญณรงค์มองจ้องชิดชัยที่ยิ้มร้ายเหมือนมีแผนในใจ

อรอนงค์ เกริกไกร สุบิน และเจนจิราเดินเข้ามาภายในวัด เจนจิรามีหน้าตาดูไม่ค่อยอยากมาเท่าไหร่ สุบินเห็นอย่างนั้นก็แซวทันที
“เข้าวัดไม่ได้เหรอคุณ”
เจนจิราหันขวับ เหล่มองด้วยความหงุดหงิด “อะไร”
“เอ้า...ก็ดูคุณทำหน้าซิ...เหมือนร้อนๆ ยังไงไม่รู้...นี่...มันต้องยิ้มแบบนี้...” สุบินยิ้มแป้นโชว์ “ให้มันมีความสุข”
“แต่ฉันว่าหน้าคุณมันไม่เหมือนคนมีความสุขเท่าไหร่นะ” เจนจิรากัด
“แล้วเหมือนอะไร”
“เหมือนคนบ้า!” สุบินสะดุ้ง เจนจิราหันไปถามเกริกไกร “ทำไมหมอต้องบังคับให้มาด้วย งานเจนที่สถานียังไม่เรียบร้อยเลยนะคะ”
“ต้องขอโทษคุณเจนด้วยนะคะ...ที่พวกเรารบกวนให้พามาที่วัด” อรอนงค์รู้สึกผิด
“ถ้าจะโทษต้องโทษยัยนุช...ไม่รู้จะมาวัดทำไมแต่เช้า” สุบินบ่น
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณอร...ก็ดีเหมือนกัน พรุ่งนี้เป็นงานขวัญควาย...พวกเรามาไหว้ขอพรหน่อยก็ดี...เผื่ออะไรๆ มันจะได้ราบรื่น”
ระหว่างนั้นมีเสียงดังขึ้นด้านหลัง “สวัสดีครับทุกคน”
ทุกคนหันไปก็เห็นโชคชัยเดินเข้ามา
“หวัดดีครับคุณโชคชัย” สุบินเอ่ยทัก
“หวัดดีครับ” โชคชัยมองหาสรนุช “แล้วคุณนุชละครับ”
“อ้าว...ยัยนุชไม่อยู่ที่นี่เหรอคะ” อรอนงค์งง
“ไม่นี่ครับ...ผมมาช่วยหลวงพ่อท่านเตรียมงานตั้งแต่เช้าก็ยังไม่เห็นเลย” โชคชัยแปลกใจแกมเป็นห่วง “ทำไมครับ...คุณนุชหายตัวไปเหรอครับ”
“โอ๊ย...อย่าพูดให้ดูน่ากลัวอย่างนั้นเลยครับ...ถ้ายัยนุชไม่อยู่ที่นี่ก็ต้องอยู่ที่สถานี...บางทียัยนุชอาจจะอยู่กับคุณใจเด็ดก็ได้นะ” สุบินโพล่งออกมา
“บ้า ! คิดได้แค่นี้หรือไง” อรอนงค์ฉุน
คำพูดของสุบินทำให้ทั้งโชคชัยและเจนจิราต่างชะงักไป
“ทำไมคุณนุชต้องอยู่กับใจเด็ดครับ
“เอ้า...ก็เหมือนวานสองคนนั้นติดฝนด้วยกันมาไงครับ”
“นี่...แกไม่ต้องพูดเลยสุบิน...จะขายยัยนุชมากเกินไปแล้วนะ” อรอนงค์เอ็ดเอา
“ขายอะไร...คนเราติดอยู่ในกระท่อมด้วยกันนานสองนาน...มันก็ต้องมีพูดคุยกันบ้าง...ฉันไม่ได้คิดอะไรอย่างที่แกคิดหรอกน่า”
ฟังที่สุบินพูด ทำเอาโชคชัยมีสีหน้าเครียดกว่าเดิม อย่างใช้ความคิดหนัก
ภิรมย์เดินจูงควายสามตัวที่ช่วยกันลากรถใจเด็ดเข้ามาที่สถานี “เอ้า...ยอ...ยอ”
ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินออกมาพอดี
“ขอบใจมากนะภิรมย์...ไป...รีบพาเจ้าพวกนี้ไปแช่ปลักไป”
“หัวหน้าจะไม่ถ่ายรูปเก็บไว้หน่อยเหรอครับ”
“ถ่ายรูป..?”
“เอ้า...ก็ควายลากรถไงครับ...ชาวบ้านจะได้เห็นว่ายังไง๊ยังไงควายก็ดีกว่าพวกเครื่องจักร”
“ไม่ต้องหรอก...ฉันว่าชาวบ้านเขารู้เรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้ว...ไป...เดี๋ยวฉันดูทางนี้ต่อเอง”
ภิรมย์ปลดเชือกและพาควายทั้งสามไปแช่ปลัก ใจเด็ดเดินเข้ามาดูที่รถแล้วเปิดประตูรถ ทันทีที่ประตูรถเปิดออก ใจเด็ดก็ต้องชะงักเมื่อเห็นถุงเสื้อที่เขาซื้อมาฝากสรนุชยังวางอยู่ที่เบาะหลัง
ใจเด็ดรีบเดินมาที่เรือนรับรอง ระหว่างนั้นสายตาของเขาเหลือบไปเห็นสรนุชนอนหมดสติอยู่ที่พื้นหลังแคร่หน้าบ้านนั่นเอง
“คุณ..!” ใจเด็ดตกใจสุดขีด
สมหญิงเดินผ่านมา ได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งเข้ามาดู
ใจเด็ดสะดุ้งเพราะเนื้อตัวของสรนุชร้อนกว่าปกติ ลองเอามือขึ้นมาอังหน้าผากสรนุช จึงรู้ได้ทันทีว่าสรนุชเป็นไข้
“คุณนุช”

ไม่นานหลังจากนั้นใจเด็ดค่อยๆ วางสรนุชลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา ครู่ต่อมาใจเด็ดกำลังบิดผ้าขนหนูพอหมาด แล้วเริ่มเช็ดตัวให้กับสรนุช ก่อนจะเอาผ้าเช็ดหน้ามาวางอังที่หน้าผากด้วยความเป็นห่วง
ระหว่างนั้นสรนุชเริ่มรู้สึกตัว สายตาของสรนุชที่พร่ามัวเห็นชายคนหนึ่งกำลังดูแลเธออยู่

สมหญิงไปเอายาลดไข้ในออฟฟิศมาให้ใจเด็ด “ทำไมคุณนุชไม่สบายเหรอคะ”
ใจเด็ดพยักหน้าเครียดๆ “สงสัยจะเป็นเพราะตากฝนเมื่อคืน”
“แล้วทำยังไงดีล่ะคะ” สมหญิงนึกหวั่นวิตกไม่แพ้ใจเด็ด
ใจเด็ดคิดไปคิดมา “ไข้สูงขนาดนี้ฉันกลัวคุณนุชจะช็อก เดี๋ยวฉันจะไปตามหมอที่อนามัย...ฝากดูคุณนุชด้วยนะสมหญิง”
พูดจบใจเด็ดก็รีบวิ่งออกไป
ครู่ต่อมาใจเด็ดเดินมาที่รถอีกคันของสถานีแล้วรีบขับออกไปอย่างรวดเร็ว

เวลานั้นช่อผกาใส่แว่นดำ เอาผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาเดินเข้ามาที่สถานีอนามัย ก่อนจะเดินมาหาพยาบาลเวรตรงเคาน์เตอร์
“ที่นี่มีหมอผิวหนังมั้ย”
พยาบาลเงยหน้าขึ้นมอง เห็นช่อผกาที่ปิดหน้าปิดตาราวกับดาราก็แปลกใจ
“แล้วคุณเป็นอะไรมาคะ”
“ฉันถามเธอว่าที่นี่มีหมอผิวหนังมั้ย...ไม่ใช่ให้หล่อนมาถามฉันกลับ” ช่อผกาแว้ดกลับ
“ก็ถ้าคุณไม่บอกว่าเป็นอะไร...เราก็ไม่รู้ว่าจะรักษายังไงนะคะ” พยาบาลบอก
“เว้ย ! เรื่องมากจริง” ช่อผกาเหวี่ยงตามนิสัย
ระหว่างนั้นช่อผกาเห็นใจเด็ดกำลังลงจากรถ ช่อผกาจ้องเขม็งดึงแว่นกันแดดออกมอง
“พี่เด็ดนี่.. !!! ไม่ได้...ถ้าพี่เด็ดเห็นเราตอนนี้พี่เด็ดต้องเกลียดเราแน่ๆเลย”
ช่อผกาหันรีหันขวางก่อนจะเดินหลบออกไปด้านหลัง แต่แล้วช่อผกาก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“แต่ถ้าเราบอกพี่เด็ดว่าที่เราเป็นอย่างนี้เพราะพวกกรุงเทพฯแกล้งเรา...บางทีเราอาจชนะโดยไม่ต้องประกวดก็ได้”
ช่อผกาผุดยิ้มร้ายให้กับแผนที่คิดขึ้น แล้วรีบแถเดินตามใจเด็ดไปทันที
“พี่เด็ดขา...พี่เด็ด”

ใจเด็ดกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาตามทางด้วยความรีบร้อน โดยไม่เห็นว่าช่อผกาเดินตามมาทางข้างหลัง
“พี่เด็ด...รอผกาด้วย...พี่เด็ด”
ใจเด็ดชะงักไปเหมือนได้ยินเสียงคนเรียกจึงหันกลับไปมอง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นช่อผกา
“ผกา”
ใจเด็ดมองเห็นห้องตรวจอยู่ข้างหน้า จึงรีบหลบเข้าไปทันที

ช่อผกาเดินเข้ามาในห้องตรวจพร้อมกับร้องโหวกเหวกโวยวายหาใจเด็ด “พี่เด็ด...พี่เด็ด”
“อ้าว...คุณผกา...มีอะไรครับ...” หมอมองหน้าแล้วสงสัย “หน้าไปโดนอะไรมาครับ”
“หมอไม่ต้องยุ่ง...” ช่อผกไม่ใส่ใจ ในขณะที่หมอสะดุ้งที่โดนช่อผกาเอ็ดเข้าให้ “พี่เด็ดอยู่ไหน”
“หัวหน้าใจเด็ด..? หัวหน้าใจเด็ดเขาจะเข้ามาที่นี่ทำไม”
“โกหก...” ช่อผกาตวาดแว้ดหมอถึงกับผงะ “ก็ฉันเห็นกับตาว่าพี่เด็ดเข้ามาในนี้”
“คุณช่อผกาครับ...ผมคงต้องขอให้คุณออกไปก่อน เพราะมันรบกวนคนไข้ของผม”
หมอหันมองไปทางเตียงที่มีผ้าม่านปิดล้อมรอบ ช่อผกาหรี่ตาสงสัยก่อนจะเดินตรงไปที่ผ้าม่าน
“จะทำอะไรน่ะ”
สิ้นเสียงหมอ ช่อผกาก็กระตุกม่านบังเตียงเปิดออก ก่อนที่จะตกใจเมื่อเห็นชายคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง
“อุ้ย”
“ก็บอกแล้วไงว่าหัวหน้าเขาไม่ได้อยู่ในนี้”
ช่อผกาฮึดฮัดก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจไป
คล้อยหลังช่อผกาไปไม่นาน ใจเด็ดก็โผล่หน้าออกมาจากใต้โต๊ะที่ทำงานของหมอ
“ขอบคุณมากนะหมอ”
“ไม่เป็นไร...” หมอส่งถุงยาให้ “ทานยานี่ไปก่อนนะ...วันนี้คนไข้เยอะจริงๆ มีเคสหนักด้วย ผมทิ้งไปไม่ได้จริงๆ”
ใจเด็ดมองถุงยาในมือรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง

สรนุชนอนสงบนิ่งอยู่ที่เตียง สีหน้าเริ่มดีขึ้นหลังจากได้เช็ดเนื้อเช็ดตัว สมหญิงอยู่ที่หน้าต่างมองออกไปใจจดจ่อรอคอยใจเด็ด
“ไปเอายาถึงไหนเนี่ยหัวหน้า...เฮ้อ”
ระหว่างนั้นเสียงท้องของสมหญิงร้องขึ้นมา ดังจ๊อก
“อุ้ย...เอาไงดี” สมหญิงคิดไปคิดมา “ไปเอาข้าวแป๊บเดียวคุณนุชคงไม่เป็นไรมั้ง”
สมหญิงค่อยๆ ย่องออกไป ปล่อยให้สรนุชนอนหลับอยู่ที่เตียง

โชคชัยเดินมาเจอสมหญิงในสถานีพอดี “สมหญิง...ไปไหนกันหมด...ฉันไม่เห็นใครเลย”
“คนอื่นสมหญิงไม่รู้หรอกค่ะ...รู้แต่ว่าหัวหน้าไปเอายาที่อนามัยให้คุณนุช”
โชคชัยฟังแล้วตกใจมาก “คุณนุชเป็นอะไร”
เวลาต่อมาสรนุชยังอยู่ในอาการสะลึมสะลือ ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นฟื้นจากพิษไข้
“คุณนุช...คุณนุชครับ”
สายตาสรนุชค่อยๆ ปรับโฟกัสจนเห็นว่าเป็นนายกโชคชัยนั่นเอง
“คุณโชคชัย...”
เสียงของสรนุชแหบพร่า เธอพยายามจะยันตัวลุกขึ้น โชคชัยรีบเข้าช่วยประคอง
“ระวังนะครับ...ดื่มน้ำซะหน่อยดีกว่าครับ”
โชคชัยค่อยๆ ป้อนน้ำให้สรนุชดื่ม สรนุชมองโชคชัยด้วยความไม่แน่ใจ
“คุณโชคชัยเช็ดตัวให้นุชเหรอคะ”
โชคชัยนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจตอบ “ครับ...ทำไมเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ”
สรนุชนิ่งไปเพราะเธอคลับคล้ายคลับคลาว่าเงาที่เธอเห็นก่อนหน้านี้ไม่ใช่โชคชัย
โชคชัยกับสรนุชไม่รู้ว่าเวลานั้นใจเด็ดยืนอยู่หน้าห้อง และได้ยินที่ทั้งคู่คุยกัน

จังหวะนั้นใจเด็ดก้มมองถุงยาในมือที่ไปเอามาจากอนามัย แล้วนิ่งงันไปด้วยความปวดใจ






Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 4 เมษายน 2555 13:49:39 น.
Counter : 311 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]