Group Blog
 
All blogs
 

7 สุดยอดอาหารผิว



1. ผลไม้สีเหลือง
ผักผลไม้กลุ่มนี้มีวิตามินเอตามธรรมชาติ หรือกลุ่มแคโรทีนอยด์ ซึ่งที่เรารู้จักกันในกลุ่มนี้คือ เบต้าแคโรทีนนั่นเอง สารกลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวเราจากแสงยูวี ป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด และมะเร็งทางเดินอาหาร และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดขาวอีกด้วยค่ะ ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ได้แก่ แครอท ส้ม มะละกอ ฟักทอง แอพริคอต มะเขือเทศ แตงโม เป็นต้น

2. ผลไม้สีม่วง
ในผักผลไม้กลุ่มนี้จะมีสารแอนโทไซยานิน และโอพีซี ซึ่งเป็ฯสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดไขมันตัวไม่ดีคือ LDL ป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม ปอด และกระเพาะอาหาร ที่สำคัญช่วยชะลอการเหี่ยวของผิวหนังได้ค่ะ ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ได้แก่ องุ่นดำ ราสเบอร์รี่ผักกาดม่วง เชอร์รี่ มะเขือม่วง บลูเบอร์รี่ ซึ่งบลูเบอร์รี่นี้ยังสามารถช่วยเสริมสร้างการสื่อสารกันระหว่างเซลสมอง ซึ่งอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อมตามวัยได้อีกด้วยค่ะ

3. ผลไม้สีเขียว
ผักผลไม้กลุ่มนี้ได้แก่ คะน้า ผักบุ้ง บรอกโคลี่ ปวยเล้ง ถั่วงอกสด พริกหวานเขียว เป็นต้น ผักสีเขียวจะมีสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่สำคัญซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องสายตา ป้องกันการเกิดตาบอดในวัยชรา และยังมีเส้นใยอาหารสูง จึงมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ค่ะ

4. ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
เป็นเคล็ดลับความงามจากญี่ปุ่นค่ะ คือสาวๆ ญี่ปุ่นจะรับประทานอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองเป็นประจำ สังเกตได้จากอาหารญี่ปุ่นจะมีเต้าหู้ประกอบหลายเมนูค่ะ ในผลิตภัณฑ์จากถั่งเหลืองจะมีสารต้านมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังช่วยลดไขมันตัวไม่ดี LDL ในเลือดและพิ่มไขมันตัวดี HDL อีกด้วยค่ะ และยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ นอกจากนี้ถั่วเหลืองมีคุณสมบัติเป็น Phytoestrogen คือมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิง ถั่วเหลืองจึงช่วยชะลอการเหี่ยวแห้งของผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลอีกด้วยค่ะ

5. ปลาแซลมอน
นอกจากปลาแซลมอนแล้วยังมีปลาทูน่า ปลาโอ ที่มีโอเมกา 3 ซึ่งมีสารบำรุงผิวที่ต่างจากสารอนุมูลอิสระอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติเพิ่มความคงตัวของผนังเซล จึงช่วยให้ทนต่อการทำลายของอนุมูลอิสระ และช่วยเพิ่มการกระชับผิวอีกด้วยค่ะ

6. โยเกิร์ต
ในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียที่ดีกับร่างกาย จะช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ กำจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค ปรับภูมิคุ้มกันให้สมดุลแข็งแรงขึ้น ขับถ่ายคล่องขึ้น การดูดซึมสารอาหารต่างๆ ดีขึ้น และลดการอักเสบของร่างกาย ควรทานโยเกิร์ตที่พร่องมันเนยนะคะ จะได้ไม่อ้วน

7. เห็ดทุกชนิด
เห็ดจะมีสารอาหารที่จำเป็นเกือบครบทุกชนิดทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังมีไขมันต่ำ ไม่มีคอเลสเตอรอลปน การทานเห็ดจึงช่วยให้อิ่มท้องได้นานและไม่อ้วนค่ะ นอกจากนี้เห็ดมีสารซิลิเนียม ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันมะเร็งและมีทองแดง ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวอีกด้วยค่ะ





 

Create Date : 23 มกราคม 2553    
Last Update : 23 มกราคม 2553 22:54:12 น.
Counter : 318 Pageviews.  

17 เรื่องน่ารู้ คู่ความงาม


1. ช๊อกโกแลตนี่แหละ ที่มาของใบหน้ามีสิว

จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาหรืองานวิจัยใดๆที่สนับสนุนว่าความเชื่อดังกล่าวเป็นจริง ในต่างประเทศได้มีการทดลองทฤษฎีนี้โดยแบ่งคนเป็นสิวที่มีความรุนแรงเท่าๆกันออกเป็นสองกลุ่ม ให้กลุ่มแรกงดกินช๊อกโกแลตเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ส่วนกลุ่มหลังให้กินช๊อกโกแลต 3 แท่งต่อสัปดาห์ติดต่อกันเป็นเวลานาน 4 สัปดาห์ ผลการทดลองพบว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการกินช๊อกโกแลตเป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นจริงเหมือนอย่างที่หลายคนเชื่อกัน...แต่ทำให้อ้วนได้แน่นอนเชียวค่ะ

2. ค่า SPF ในครีมกันแดดยิ่งสูงยิ่งกันแดดได้ดี

SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าที่บอกว่าผิวของคุณสามารถทนต่อแสงแดดได้นานเท่าไหร่โดยไม่เกิดผิวไหม้ เช่น ถ้าคุณไปตากแดดแล้วเกิดผิวไหม้ภายใน 15 นาที หลังใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 15 แล้วจะช่วยทำให้ผิวของคุณทนต่อการไหม้ของแดดได้นานขึ้นถึง 15x15=225 นาที SPF 30 กันแดดได้ 97% SPF 60 กันได้ 98-98.5%

3. วิตามินและอาหารเสริมเพิ่มความสวย

การรับประทานวิตามินและอาหารเสริมกลายเป็นกระแสนิยมไปแล้วในขณะนี้ เนื่องจากมีโฆษณาชวนเชื่อมากมาย อ้างว่าสามารถทำให้ผิวสวยสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกได้ หากคุณอยู่ดีกินดีไม่ได้อดมื้อกินมื้อ วิตามินและอาหารเสริม ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะการรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่และผักผลไม้สดๆย่อมได้คุณค่าทางอาหารมากกว่าอยู่แล้ว แถมราคายังถูกกว่าอีกด้วย จริงไหมคะ


4. ย้อมผมอย่างไรให้ปลอดภัย

ยาย้อมผมเป็นเครื่องสำอางที่มีสารเคมีบางชนิดซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากใช้ผิดวิธี เพื่อความปลอดภัยควรทดสอบอาการแพ้โดยทาบนท้องแขนก่อนใช้ 24 ชั่วโมง หากไม่มีอาการคัน บวม แดงจึงย้อมได้ ห้ามใช้ถ้ามีผื่นผิวหนังอักเสบ แผลเปิดหรือรอยถลอกบนหนังศรีษะ ไม่ควรเกาหรือนวดศรีษะก่อนและระหว่างย้อม อย่านำไปย้อมขนที่อื่น เช่น ขนตา ขนคิ้ว ระวังไม่ให้น้ำยาย้อมกระเด็นเข้าตาเด็ดขาด หากมีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน มีผื่นแดงให้หยุดใช้ทันทีแล้วล้างออกด้วยน้ำปริมาณมากๆก่อนไปพบแพทย์

5. ทำอย่างไรดีเมื่อเล็บเปราะบาง

เล็บเปราะเกิดจากการขาดความชุ่มชื้นซึ่งมักพบในคนที่ล้างมือบ่อยๆหรือขาดแร่ธาตุบางชนิด เช่น ไบโอติน แคลเซียม การใช้ครีมบำรุงผิวเข้มข้นหลังล้างมืออาจทำให้ดีขึ้นบ้าง ควรตัดเล็บให้สั้นเพื่อป้องกันเล็บฉีกเมื่อต้องหยิบจับของแข็ง หมั่นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงเล็บ เช่น ตับ เนื้อสัตว์ ข้าวกล้อง และถั่ว ถ้ายังไม่ดีขึ้นลองรับประทานไบโอตินขนาด 2.5 มิลลิกรัมกต่อวัน จะช่วยให้เล็บแข็งแรงขึ้นได้

6. สนไหม..สมุนไพรพอกหน้าให้ด่างดำ

การใช้สมุนไพรพอกหน้าจากสถานเสริมความงามหรือทำด้วยตัวเองต้องระวังมากเป็นพิเศษ เพราะหากโชคไม่ดีแทนที่จะได้หน้าขาวใสกลับได้รอยด่างดำแทน เพราะพืชสมุนไพรบางชนิด เช่น มะนาว มะกรูด มีสารที่ทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบและรอยดำหลังจากสัมผัสสารนั้นแล้วไปตากแดด ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงดีกว่าค่ะ

7. ที่มีของปัญหาผิวแตกลาย

ผิวแตกลาย เป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยรุ่นที่โตเร็ว นักกีฬาเล่นกล้าม หญิงตั้งครรภ์และโรคที่มีความผิดปกติของฮอร์โมน การที่ร่างกายมีขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ผิวหนังขยายตัวยืดตามไม่ทันจึงเกิดเป็นรอยแผลย่นขึ้น ระยะแรกผิวแตกลายมีสีแดงและจะกลายเป็นสีขาวออกวาวๆในระยะหลัง การทายาในกลุ่มกรดวิตามินเออาจทำให้ดีขึ้นได้บ้าง ส่วนการรักษาเลเซอร์ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

8. มอยส์เจอไรเซอร์จำเป็นมากขาดไม่ได้

มอยส์เจอไรเซอร์เป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณซึ่งมีหลากหลายชนิดให้เลือกใช้ โลชั่นเหมาะสำหรับคนที่มีผิวผสมหรือผิวแห้งในบางพื้นที่ ครีมเหมาะกับคนผิวแห้งซึ่งควรเลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวอุดตันภายหลัง ส่วนผิวแพ้ง่ายให้เลือกชนิดที่ไม่มีสี ไม่มีน้ำหอม และระบุว่าเป็น Hypoallergenic ใครที่หน้ามันอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เลยก็ได้ เพราะผิวมีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว


9. เหงื่อออกมากผิดปกติที่รักแร้

ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ เป็นภาวะที่ระบบประสาทซึ่งควบคุมการหลั่งของเหงื่อทำงานมากกว่าปกติ ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ รักแร้ ฝ่ามือและฝ่าเท้า คนประสบปัญหานี้จะมีซอกรักแร้เปียกชื้นตลอดเวลาและอาจทำให้มีกลิ่นตัวได้ บางคนไม่กล้าใส่เสื้อผ้าสีอ่อนๆเพราะกลัวจะเห็นเป็นรอยเปียกเหงื่อ การรักษามีหลายวิธี เช่น การทายา Aluminium chloride 20% การรับประทานยาที่มีผลระงับเหงื่อ การฉีดโบท๊อกซ์ และการผ่าตัดต่อมเหงื่อ

10. ยาสีฟันใช้ทาแผลน้ำร้อนลวกได้จริงหรือ
ยาสีฟันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาดฟันซึ่งมีส่วนประกอบของสารขัดสี สารควบคุมความเป็นกรด-ด่าง สารที่ทำให้เกิดฟองและสารกันบูด ยังมีคนอีกมากที่ปฐมพยาบาลแผลน้ำร้อนลวกเบื้องต้นด้วยการทายาสีฟัน ความจริงแล้วไม่มีส่วนผสมใดๆในยาสีฟันที่สามารถช่วยรักษาหรือสมานแผลได้เลย แต่อาจทำให้เกิดแผลลุกลามจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนยากต่อการรักษาและทิ้งรอยแผลเป็นมากกว่าปกติได้

11. ถ้าไม่อยากแก่เร็วอยู่ให้ไกลจากบุหรี่

ทราบไหมคะว่าการสูบบุหรี่นอกจากจะเป็นสาเหตุของโรคถุงลมโป่งพองและมะเร็งปอดแล้ว ยังมีผลกระทบต่อระบบผิวหนังอีกด้วย สารนิโคตินในบุหรี่จะทำให้เส้นเลือดเกิดการหดตัวจึงส่งผลให้การหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงผิวหนังลดลง แถมยังมีสารอะซีตาลดีไฮด์ซึ่งถูกปล่อยออกมากับควันบุหรี่ไปรบกวนทำให้ผิวหนังอ่อนแอลง นานๆเข้าสีผิวจะกลายเป็นสีเหลืองอมเทา เกิดรอยย่นและแก่ก่อนวัยได้


12. ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการต่อเล็บ

การต่อเล็บต้องใช้กาวเป็นตัวเชื่อมระหว่างเล็บจริงกับเล็บปลอม สารประกอบที่สำคัญของกาวเชื่อม คือ เอทธิลไซยาโนอะคริเลท มีคนจำนวนหนึ่งซึ่งมีปฎิกิริยาแพ้สารตัวนี้ทำให้ผิวหนังรอบเล็บเป็นผื่นแดง บวม คันมาก และยากต่อการรักษา ดังนั้น การต่อเล็บจึงเป็นทางเลือกของความสวยที่มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน

13. ครีมกันแดดสำหรับวันที่มีแดดเท่านั้น

เป็นที่ทราบกันดีว่ารังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดสามารถทำให้ผิวหนังไหม้ เกิดริ้วรอย กระ ฝ้าและมะเร็งผิวหนังได้ มีคนจำนวนไม่น้อยคิดว่าถ้าแดดไม่ออกหรือเวลาไปเที่ยวต่างประเทศที่มีเมฆครึ้มหิมะตกก็ไม่ต้องทาครีมกันแดดซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะถึงแม้ว่าเมฆจะหนาทึบเพียงใด 80% ของรังสีอัลตร้าไวโอเลตยังคงลอดผ่านลงมาอยู่ดี หรือแม้แต่แสงจากไฟในห้องก็ตามค่ะ

14. ขนคุด ที่มาและวิธีกำจัด

ขนคุดเกิดจากเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้ขนไม่สามารถงอกออกมาได้อย่างปกติ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเม็ดเล็กๆ คลำแล้วรู้สึกสากๆ บริเวณที่พบบ่อยคือต้นแขนและต้นขา ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ บางครั้งอาจมีการอักเสบร่วมด้วยทำให้เห็นเป็นตุ่มแดง พบว่ามีความสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้ การทายาประเภทอนุพันธ์ของกรดวิตามิน AHA หรือ BHA จะทำให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าหยุดก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก


15. นอนผิดท่าใบหน้ามีริ้วรอย

เคยไหมคะว่าที่คุณพบว่าใบหน้ามีรอยย่นหลังตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าหรือว่าร่องแก้มด้านหนึ่งมีรอยลึกมากกว่าอีกด้าน ริ้วรอยที่เกิดขึ้นนี้มีผลมาจากการนอนในท่าที่มีการกดทับติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมงที่เรียกว่า ' สลีฟ ลายน์' คนที่ชอบนอนคว่ำหรือนอนตะแคงอาจเกิดรอยแบบนี้ได้มาก หากคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งประสบปัญหานี้ให้ลองฝึกนอนหงายดูนะคะ เพราะการนอนหลับในท่านอนหงายจะดีที่สุดสำหรับผิวหน้าของคุณค่ะ

16. จุดซ่อนเร้นสะอาดเกินจำเป็น...อันตราย

จุดซ่อนเร้นหรือช่องคลอดของผู้หญิงจะมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจากเชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ซึ่งมีผลดีต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฉพาะที่เป็นประจำอาจทำให้สมดุลของความเป็นกรดด่างนี้เสียไป ส่งผลให้เชื้อราเติบโตขึ้นมาแทน บางรายอาจเกิดการแพ้และระคายเคืองจากน้ำหอมที่ผสมอยู่ โดยทั่วไปการทำความสะอาดช่อ่งคลอดด้วยน้ำเปล่าและสบู่ธรรมดาก็เพียงพอแล้ว

17. เรื่องของส้นเท้าแตก แห้งและเจ็บ

ส้นเท้าแตกเป็นอาการของผิวหนังที่แห้งและขาดความชุ่มชื้นอย่างมากทำให้ผิวหนังส่วนนอกหนาและแตกเป็นร่องคล้ายกับผิวดินที่แตกระแหง บางคนพยายามจะดึงหนังที่แข็งๆออก แต่กลับทำให้หนังฉีกลึกลงไปถึงเนื้อด้านในซึ่งจะเจ็บมากเวลาเดิน การรักษาต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้นร่วมกับยาทาที่มีส่วนผสมของยูเรียและกรดซาลิไซลิกทาเป็นประจำทุกวันจึงจะดีขึ้น

//www.click2chiangmai.com/discuzboard/bbs/viewthread.php?tid=148&extra=page%3D1




 

Create Date : 23 มกราคม 2553    
Last Update : 23 มกราคม 2553 10:54:30 น.
Counter : 407 Pageviews.  

อึ...ไม่ใช่เรื่อง... ขี้ๆสังเกตอึดีๆ ทำให้หน้าใส อ่อนกว่าวัย

กากอาหารที่ร่ายกายไม่ต้องการ แล้วขับถ่ายออกมาทางทวารหนัก คือคำจำกัดความของคำว่า

ขี้ อึ มูล หรืออุจจาระ

เชื่อหรือไม่ว่าการสังเกตลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสี กลิ่น ปริมาณ ฯลฯ ของเจ้าสิ่งปฏิกูลที่ใครต่อใครต่างขยะแขยงนี้จะสามารถบ่งบอกถึงสุขลักษณะของร่างกายเราได้เป็นอย่างดี และยังเป็นกระจกช่วยสะท้อนถึงระบบสุขภาพว่า เรากินอะไรเข้าไปและร่างกายดูดซับได้มากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญลักษณะของอึยังช่วยส่งผลต่อความอ่อนวัยของใบหน้าคนเราได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ

ว่าแต่คุณผู้อ่านเคยสังเกตอึของตัวเองบ้างหรือเปล่า... มีใครเคยปล่อย "ระเบิด" แล้วหันกลับไปมองมันอย่างพินิจพิจารณาบ้าง
ถ้าไม่เคย เช้านี้ เวลาเข้าห้องน้ำปลดทุกข์ ลองสังเกตุ "ของเสียที่คุณไม่เคยเหลียวแลดูสักครั้ง ตามแบบทดสอบคุณภาพอึต่อไปนี้"

1. อึของคุณจมน้ำหรือลอยน้ำ
ลอยน้ำ (1 คะแนน)
จมน้ำ (2 คะแนน)
2. ลักษณะอ่อนนิ่มหรือเป็นก้อนแข็ง
อ่อนนิ่มเหมือนยาสีฟัน (1 คะแนน)
เป็นก้อนแข็ง (2 คะแนน)
3. น้ำหนักและขนาดอึกต่อครั้ง (กะด้วยสายตา)
200 กรัมขึ้นไป (1 คะแนน)
ต่ำกว่า 200 กรัม (2 คะแนน)
4. รูปร่าง ลักษณะของอึ
ลักษณะเหมือนกาวอ่อน(1 คะแนน)
ลักษณะเหมือนกล้วย (1 คะแนน)
ลักษณะเป็นก้อนแข็ง (2 คะแนน)
5. จำนวนที่ถ่าย ครั้ง/วัน
1 วัน/ ครั้ง (1 คะแนน)
หลายวัน / ครั้ง (2 คะแนน)
6. ลักษณะสี
เหลืองทอง (1 คะแนน)
น้ำตาลแก่ (2 คะแนน)
7. กลิ่น
ไม่ค่อยมีกลิ่น (1 คะแนน)
น้ำตาลแก่ (2 คะแนน)

ผลคะแนนการประเมินจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดอดใจรอคำเฉลยท้ายเรื่อง ......ตอนนี้เรามาดูกันก่อนว่า อึของคุณนั้นอยู่ในประเภทไหนกันแน่
อัจฉราพร ไพศาลสกุล โภชนากรผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทได้แนะเคล็ดลับในการสังเกตอึ ซึ่งแยกแยะตามลักษณะรูปร่างของมันไว้ 3 แบบ คือ

ชนิดแรก คือ อึลอยฟ่อง เพราะกินของดี คืออึชนิดที่ลอยน้ำ บานตัว อาจมีสีเขียวขี้ม้าหรือเหลืองทอง เนื่องจากเจ้าของอึกินผัก ผลไม้ ข้าวกล้องที่ให้ไฟเบอร์สูง อึก็จะลอย มีสีอ่อน แตกกระจายตัว ไม่เป็นก้อนยาวๆ ถ่ายง่าย ไม่ต้องออกแรงเบ่งมาก ไม่มีกลิ่นเหม็นเพราะตกค้างในลำไส้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง และจะถ่ายได้ถึงวันละ 1-3 ครั้ง ที่สำคัญมักจะถ่ายเป็นเวลา
อึแบบนี้ถือว่าเยี่ยมที่สุด แสดงว่าลำไส้ใหญ่สะอาด ไม่มีคราบตะกอนหมักหมม ถือเป็นคนที่เลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้องและมีสุขภาพดี

แบบที่สอง คือ อึชนิดเหนียวหนับจับเป็นก้อน อึแบบนี้จะเหม็นมาก จนถึงเหม็นตลบอบอวล ชนิดที่คนที่เข้าคิวรอเข้าห้องน้ำเป็นคนต่อไปต้องเบ้หน้าและเอามืออุดจมูก ลักษณะอึประเภทนี้มีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ บางครั้งอาจเป็นครีมติดชักโครก เพราะตกค้างในลำไส้มากนานกว่า 2-3 วัน ซึ่งสิ่งที่ถ่ายออกจะไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งรับประทานเข้าไปเมื่อวาน โดยมากแล้วพบว่าคนที่ถ่ายเป็นลักษณะนี้ จะถ่ายแค่วันละ 1 ครั้ง หรือไม่ก็หลายวันถ่ายที และใช้เวลาถ่ายค่อนข้างนาน
อึลักษณะนี้บอกถึงการกินที่แย่มากๆ ของเจ้าของที่มักชอบกินแต่แป้งขัดขาว อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารจังค์ฟู้ด ไขมัน เนื้อสัตว์ที่ย่อยยากจึงอยู่ในท้องได้นาน

ชนิดที่สาม จะเป็นการผสมผสานคุณลักษณะของอึสองแบบแรก คืออึเป็นก้อน จมน้ำ สีค่อนข้างคล้ำ ถ่ายวันละครั้ง ใช้เวลาถ่ายนานประมาณ 10 นาที มีกลิ่นเหม็น แต่ไม่รุนแรง บ่งบอกได้ว่าเจ้าของเป็นพวกินผักบ้างแต่ยังมีปริมาณไม่มากพอ ถือว่าเป็นคนมีสุขภาพปานกลาง ซึ่งควรจะรับประทานอาหารที่มีเส้นใยและกากให้มากกว่านี้
สรุปคือ อึที่แตกตัว ลอยฟ่อง สีออกเขียวขี้ม้า แสดงว่าเจ้าของอึทานอาหารเพื่อ สุขภาพที่มีประโยชน์ มีวิตามินสูง ส่วนอึที่จมน้ำแน่นิ่งสนิท กลิ่นเหม็น บางครั้งเป็นคราบติดชักโครก บอกถึงการกินแต่เนื้อสัตว์ ไขมันและแป้งขัดขาว เช่น พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ ไก่ทอด ฯลฯ ซึ่งค้างอยู่ในลำไส้นานนับ 65-100 ชั่วโมง และเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบบคทีเรียอีโคไล (เชื้อก่อมะเร็ง)

อึ ที่เข้าข่ายวิกฤตและต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพราะอาจก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้ คือ อึที่ พ.ญ.เรขา กลลดาเรืองไกร แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ แผนกประกันสังคม โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ได้อธิบายว่า
อึที่เหนียวข้น สีดำเข้ม มีเลือดออกมากับอุจจาระ มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูกบ่อยๆ น้ำหนักตัวลดเร็วและเบื่ออาหาร
"ในบางรายที่อึแข็งมากๆ บางทีตอนอึเลือดไม่ออก แต่มันจะออกอยู่ในลำไส้ได้ ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบข้างในได้มากเช่นกัน ถ้าใครเห็นว่าอึออกมาเป็นเลือด แสดงว่าลำไส้ของเราทำท่าว่าจะแย่แล้ว....."

ควรแก้ไขโดยการกินผัก ผลไม้เยอะๆ รวมถึงธัญพืชที่มีเส้นใยสูงซึ่งจะช่วยดูดซึมและขนถ่ายโปรตีน คาร์โบไฮเดรตไปใช้ประโยชน์มากขึ้น ช่วยเพิ่มเนื้ออุจจาระ ทำให้ขนาดพอเหมาะกับการบิดตัวของลำไส้ ลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งและการท้องผูก
อาหารที่เรากินไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดไหน และมีคุณสมบัติดีเพียงใด ล้วนมีความสำคัญต่อชีวิต อาหารที่มีคุณค่านั้น นอกจากจะไปทำหน้าที่ในการซ่อมแซมเซลล์ และเนื้อเยื่อเพื่อทำให้เราดำรงชีวิตอยู่เป็นปกติแล้ว ยังคงเป็นอาหารที่มีส่วนเหลือจากการย่อยแล้วสามารถขับออกไปนอกร่างกายได้โดยง่ายเพื่อป้องกันไม่ให้อาหารเกินอาหารบูดเน่าเสียอยู่ในร่างกาย เมื่อใดที่อุจจาระ คั่งค้างในร่างกาย หรือเกิดอาหารท้องผูก ก็จะมีผลต่อระบบการทำงานของระบบอื่นๆ ในร่างกาย


ระบบทางเดินอาหาร เริ่มจากอาหารทุกคำที่เรากินกัน จะเริ่มต้นที่ปาก ซึ่งต้องเคี้ยวให้ลิ้นคลุกเคล้าอาหารนั้นเป็นก้อนก่อนกลืนลงหลอดอาหารที่มีความยาว 9-10 นิ้ง มาจนถึงกระเพราะอาหารที่คลุกเคล้าอาหารกับน้ำยอ่ยก่อนจะส่งผ่านไปยังลำไส้เล็กขนาดประมาณ 6 เมตร ที่ขดอยู่ในท้องและมี Villi เป็นนิ้วที่คอยดูดซึมสารอาหารด้วย ด่านสุดท้ายของอาหารคือ ลำใส้ใหญ่ประมาณ 1.5 เมตร ที่จะดูดซึมน้ำจากกากอาหารตลอดเวลา ก่อนกระบวนการสุดที่จะย่อยสลายกลายเป็นอึออกมาก
ใครที่มีอาการท้องผูกบ่อยๆ และมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ถูกต้องเป็นประจำสะสมนานนับ 10 ปี จะต้องรีบปรับพฤติกรรมโดยด่วน ไม่เช่นนั้นลำไส้จะสะสมอาหารที่ย่อยยากและปล่อยไว้ให้ตกค้างเอาไว้นาน จนเกิดคราบสกปรกและเป็นพิษต่อเลือด เมื่อทิ้งไว้นานอาจส่งผลให้เจ็บป่วยง่าย เป็นสาเหตุของโรคปวดหัวเรื้อรัง ปวดข้อ ภูมิแพ้ ท้องอืดบ่อย ท้องเสียสลับท้องผูก ริดสีดวงทวาร และอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ฯลฯ


การดูแลสุขภาพไม่ให้ตัวเองท้องผูกควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ลักษณะของอึในแต่ละรูปแบบว่า เจ้าของอึเลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้องหรือไม่ เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทุกคน ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่โดยการหันมาใส่ใจดูของเสียที่คุณขับถ่ายว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร ถ้าปฏิบัติได้ทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตร เป็นนิสัยได้ยิ่งดี คิดเสียว่าทนดูสิ่งที่น่าขยะแขยงเพื่อสุขภาพที่ดีกว่าของตัวคุณเอง
ทั้งนี้ หากใครอยากรู้ว่าอาหารมื้อที่กินจะถูกขับถ่ายออกมาเมื่อไร ให้ลองกินงาดำหรือเมล็ดทานตะวันโดยไม่ต้องเคี้ยวพร้อมหาารนั้นๆ ไปด้วย แล้วลองสังเกตอึดูว่าเมื่อไหร่จะมีเมล็ดงาหรือทานตะวันออกมาพร้อมกับอึ เพราะมันจะไม่สามารถถูกย่อยเพื่อดูดซึมสารอาหารได้ จึงถูกขับออกมาพร้อมอึ และอาหารมือที่กิน


เริ่มสำรวจอึของคุณเสียแต่วันนี้ แล้วลองทำแบบทดสอบคุณภาพอึข้างต้นดู ถ้าคุณรวมคะแนนแล้วได้ 7-9 คะแนน ขอแสดงความยินดีว่าคุณมีสุขภาพที่แข็งแรงดีเลิศ
รวมคะแนนแล้วได้ 10-12 คะแนน คุณจะต้องคอยระวังและดูแลสุขภาพให้มากขึ้น โดยต้องพยายามรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงกว่าเดิม
รวมคะแนนแล้วได้ 13-14 คะแนน ระบบการขับถ่ายของคุณเริ่มเตือนภัยทางสุขภาพแล้ว ทางที่ดีควรตรวจสุขภาพหรือปรึกษาแพทย์ได้แล้ว
ก็อย่างที่บอกไว้แต่แรกแล้วไง

อึนะ ไม่ใช่เรื่องขี้ๆ

ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก บ.ก.ปลา หนังสือคู่สร้างคู่สม ฉบับที่ 474 ประจำเดือนกันยายน ปักษ์หลัง 2547




 

Create Date : 23 มกราคม 2553    
Last Update : 23 มกราคม 2553 1:55:03 น.
Counter : 415 Pageviews.  

โพรไบโอติกและพรีไบโอติก (Probiotics and Prebiotics)

ปัจจุบันมีการวิจัยเพื่อพัฒนาอาหารที่มีบทบาทไม่ใช่เพียงให้ได้สารอาหารที่เหมาะสมกับวัยเท่านั้น แต่ผลิตอาหารที่มีส่วนประกอบสมบูรณ์ขึ้นเป็นอาหารที่ทำหน้าที่ในการป้องกันโรค กระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ทางเดินอาหารและนอกทางเดินอาหาร ส่งผลให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น. ในการนี้นักวิชาการได้หันมาให้ความสนใจกับธรรมชาติแวดล้อมในทางเดินอาหารพบว่า จุลินทรีย์ และอาหารจุลินทรีย์ มีบทบาทดังกล่าว.

โพรไบโอติกคืออะไร ?
คำจำกัดความกำหนดโดย International Life Science Institute 1998 คือ จุลินทรีย์ที่มีชีวิตเมื่อได้รับจำนวนมากพอ จะก่อประโยชน์ที่พิสูจน์ได้ต่อผู้ที่กินและมีเชื้อนี้อยู่ในทางเดินอาหาร.

โพรไบโอติกไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนไปถึง 76 ปีก่อนคริสตกาล ในประวัติศาสตร์โรมัน Plinio เป็นผู้หนึ่งที่สนับสนุนให้ใช้นมหมัก หรือนมเปรี้ยวรักษาโรคติดเชื้อทางเดินอาหารต่างๆ. นมหมักนิยมกินกันในหมู่ชาวอียิปต์ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในตะวันออกกลาง พวกคูมิสในมองโกเลีย ลัสสีในอินเดีย ในคนเอเชียบริเวณบอลคาน และในสหรัฐอเมริกา. ประชาชนในทิเบตและบัลแกเรียรู้คุณค่าของโยเกิร์ตและนมหมักมานานหลายศตวรรษ จนกระทั่ง Elie Metnikoff นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย แห่งสถาบันหลุยส์พลาสเตอร์ ได้สังเกตว่าคนที่อาศัยในประเทศบัลแกเรียแข็งแรง อายุยืน เขาได้ทำการค้นคว้าพบว่าน่าจะเป็นผลจากการกินนมหมักเป็นประจำ จึงได้ทำการเพาะเชื้อหาจุลินทรีย์ในอุจจาระพบว่าเป็นเชื้อที่ใช้ทำนมหมักหรือโยเกิร์ต. เขาเชื่อว่าเมื่อกินนมซึ่งหมักโดยจุลินทรีย์ที่ดี เกิดผลผลิตเป็นกรดแล็กติก ลดการบูดเน่าและลดสารที่เป็นพิษจากอาหารลง เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่น้อย. ท่านผู้นี้ยังได้รายงานว่าจุลินทรีย์ที่ดีสามารถป้องกันการเกิดโรคอหิวาต์ได้ ผลงานได้ตีพิมพ์เป็นที่ยอมรับ. ท่านได้รับรางวัลโนเบลในปี พ.ศ. 2451. ต่อมาอีกเกือบ 80 ปี มีการศึกษาชนิดและสายพันธุ์ของประชากรจุลินทรีย์พบว่ามีจุลินทรีย์มากถึง 1014 บนผิวของร่างกายและในทางเดินอาหาร (Savage DC. Microbial 1977;31:107-33.). จากพฤติกรรมของจุลินทรีย์ในลำไส้สามารถแบ่งจุลินทรีย์ตามพฤติกรรมของมันได้ 4 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มแรก เป็นกลุ่มก่อโรค ซึ่งปกติมักไม่อยู่ในทางเดินอาหาร แต่ถ้าเข้ามาในทางเดินอาหารมาก พอจะก่อโรค เช่น V. cholerae, Shigella, Salmonella.

กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มฉวยโอกาสก่อการอักเสบ หากมีการเสียดุล เช่นได้ยาปฏิชีวนะทำลายเชื้อดีๆให้ลดลง เชื้อกลุ่มนี้กลายเป็นเชื้อหมู่มากก็จะฉวยโอกาสก่อโรค ได้แก่ pseudomonas, staphylococci, protease, clostridium, veillonellae. เชื้อกลุ่มนี้ใช้โปรตีนเป็นอาหาร.

กลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มที่อยู่กลางๆ อาจฉวยโอกาสก่อโรค หรือทำหน้าที่ป้องกันได้ ได้แก่ E. coli, streptococci, bacteroides และ enterococci. กลุ่มนี้ใช้ทั้งแป้งและโปรตีนเป็นอาหาร.

กลุ่มที่สี่ เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่ปกป้องทางเดินอาหาร ถือว่าเป็นจุลินทรีย์สุขภาพได้แก่ เชื้อ bifidobacteria, lactobacilli และ eubacteria. กลุ่มนี้หมักใยอาหารที่ไม่ย่อยที่ลำไส้ส่วนบน เช่นพวกแป้งย่อยยาก (resistant starch), โอลิโกแซ็กคาไรด์ (oligosaccharides) และ อินูลิน (inulin).

เชื้อกลุ่มที่ 4 นี้เป็นเชื้อที่ทำหน้าที่เป็นอาหารที่ทำหน้าที่ปกป้องทางเดินอาหาร (function food) ส่งผลให้สุขภาพภายในทางเดินอาหาร และนอกทางเดินอาหารดี จึงเรียกกันว่าจุลินทรีย์สุขภาพ (health germs). ได้มีการนำจุลินทรีย์สุขภาพมาใช้ทางคลินิก เพื่อประโยชน์ด้านโภชนาการ การป้องกันและรักษา และการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยมีแนวคิดที่ทำให้ประชากรจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารเข้าสู่ภาวะสมดุล. Allen Walker ผู้เชี่ยวชาญทางระบบภูมิคุ้มกันด้านทาง เดินอาหารได้ตั้งสมมติฐาน "Hygiene hypothesis" ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและปัจจุบันมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของการเกิดโรค ที่เห็นได้คือมีโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้น โรคลำไส้ใหญ่เล็กและลำไส้ใหญ่อักเสบรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นเพราะมีการปรับปรุงด้านการสาธารณสุขดีขึ้น เป็นโรคติดเชื้อน้อยลง การได้รับเชื้อที่ดีตามธรรมชาติที่ช่วยปกป้องน้อยลง กับมีการใช้ยาปฏิชีวนะมากขึ้น เชื้อที่ไวต่อยาปฏิชีวนะเป็นเชื้อดีๆถูกทำลาย จุลินทรีย์สุขภาพลดลงทำให้เชื้อ ที่เป็นอันตรายเพิ่มจำนวนมากขึ้น เกิดการเสียดุลของระบบนิเวศในทางเดินอาหาร ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงและเกิดโรคดังกล่าว. เชื่อว่าการทำให้ระบบนิเวศในทางเดินอาหารสมดุลจะลดปัญหาดังกล่าวลงได้. วิธีทำให้จุลินทรีย์เข้าสู่ภาวะสมดุลคือการทำให้จุลินทรีย์สุขภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งทำได้ 2 วิธีได้แก่

วิธีแรก คือ เสริมจุลินทรีย์ในอาหาร (microbes for food).
วิธีที่สอง ให้อาหารกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพในโพรงลำไส้ (food for microbes) ให้เติบโตได้สมดุลกับเชื้อกลุ่มอื่นๆ.

กลไกการปกป้องทางเดินอาหารของจุลินทรีย์สุขภาพ มีดังนี้
1. เชื้อจุลินทรีย์สุขภาพเกาะบนผิวเยื่อบุลำไส้ไว้ก่อน ไม่ให้เชื้อก่อโรคเกาะจับที่ผิวเยื่อบุลำไส้.
2. การหมักใยอาหาร โอลิโกแซ็กคาไรด์โดยจุลินทรีย์สุขภาพ ได้ผลผลิตเป็นกรดอะเซติกและ แล็กติกซึ่งหยุดยั้งการเติบโตของเชื้อฉวยโอกาสก่อโรคอื่นๆ.
3. เชื้อจุลินทรีย์สุขภาพปล่อยสารแบคเทอริโอซิน (bacteriocin) ทำลายเชื้ออื่นๆ.
4. เชื้อจุลินทรีย์สุขภาพแย่งอาหารไม่ให้เชื้อฉวยโอกาสก่อโรคได้กิน จะได้ไม่เติบโต มีจำนวนเชื้อไม่มากเกิน.
5. เชื้อจุลินทรีย์สุขภาพกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยการสื่อสารกับเนื้อเยื่อน้ำเหลืองในชั้นใต้เยื่อบุลำไส้ (gut- associated lymphocyte tissue, GALT) ทำให้มีการสร้างสารป้องกันและกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เข้าสู่ภาวะสมดุลนำไปสู่การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แบบป้องกันมากกว่าการตอบสนองแบบก่อการอักเสบ หรือภูมิแพ้.

เชื้อจุลินทรีย์สุขภาพได้มาจากไหน?
ทารกในครรภ์มารดา เคยนับว่าเป็นบริเวณปลอดเชื้อ แต่ระยะหลังนี้มีการตรวจพบเชื้อในน้ำคร่ำได้ ซึ่งหมายถึงทารกได้รับไบฟิโดแบคทีเรียจากการกลืนน้ำคร่ำ ทำให้ทารกได้รับเชื้อที่ดีๆไว้บ้างเป็นการเตรียมพร้อม (better train) เพราะเมื่อทารกเกิดผ่านทางช่องคลอด ทารกจะกลืนเมือกจากช่องคลอดซึ่งมีเชื้อแบคทีเรียหลากหลาย หากไม่มีการเตรียมระบบความต้านทานไว้ก่อนอาจเกิดการติดเชื้อรุนแรง. ในบางประเทศเช่นสหรัฐอเมริกาสนับสนุนให้หญิงตั้งครรภ์ดื่มนมหมักจุลินทรีย์ เพื่อให้แม่มีเชื้อดีๆ ในทางเดินอาหาร. เชื้อดีๆ นี้จะมีอยู่ในช่องคลอดด้วย เมื่อทารกผ่านช่องคลอด กลืนเมือกเข้าไป ทำให้ทารกได้รับเชื้อดีๆ เมื่อได้รับเชื้อดีๆมีโอกาสเข้าไปเกาะยึดพื้นที่ลำไส้ไว้ได้ก่อน (window of opportunity) ทำให้เชื้อฉวยโอกาสก่อโรคมีโอกาสเข้าเกาะผิวเยื่อบุลำไส้ได้น้อย. ทารกที่เกิดจากการผ่าท้องคลอดจะขาดโอกาสนี้ไป แต่ยังมีโอกาสได้รับเชื้อดีๆ จากการกินนมแม่. ในนมแม่มีไบฟิโดแบคทีเรีย และอาหารจุลินทรีย์โอลิโกแซ็กคาไรด์ ได้ทั้งจุลินทรีย์และอาหารจุลินทรีย์ที่สมบูรณ์แบบ น้ำนมแม่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาเพื่อปกป้องทารกให้รอดจากการติดเชื้อโรค เมื่อทารกเกิดมาสู่สิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนไปด้วยเชื่อโรคต่างๆ.

ทารกที่กินนมแม่ซึ่งมีทั้งแล็กโทส โอลิโกแซ็กคาไรด์ และไบฟิโดแบคทีเรีย (bifidobacteria). อุจจาระมีจุลินทรีย์เป็นไบฟิโดแบคทีเรีย 99% มีภาวะเป็นกรด ( pH 5.0-5.7) มีกรดไขมันห่วงสั้นเป็นอะเซติก และแล็กติก ซึ่งมีส่วนทำให้เยื่อบุลำไส้เล็กแบ่งตัวเติบโตแข็งแรง ทำการย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ดี และมีกรดช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อที่อาจก่ออันตราย.

ขณะที่ทารกกินนมวัวผสม มีเชื้อส่วนใหญ่เป็นแบคทีรอยดิส (bacteriodes) มีภาวะเป็นด่าง ( pH 7.0-7.5) กรดไขมันห่วงสั้นเป็นกรดอะเซติก โพรพริโอนิก (proprionic acid) และกรดบิวทีริก (butyric acid). กรดบิวทีริกนี้เชื่อว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่าง หนึ่งที่ทำให้เกิดลำไส้เน่าในทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย แต่เป็นพลังงานแก่ลำไส้ใหญ่อันเป็นประโยชน์ในเด็กและผู้ใหญ่ด้านการช่วยดูดซึมเกลือและน้ำในลำไส้ใหญ่ และอาจป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ.


บทบาทด้านป้องกันโรคและภูมิคุ้มกัน
Henri Tressier เป็นผู้แยกเชื้อไบฟิดัสได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2441 ท่านผู้นี้สังเกตว่าทารกที่กินนมแม่ไม่ ค่อยป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วง จึงแนะนำให้ใช้เชื้อไบฟิดัสรักษาทารกที่เป็นโรคอุจจาระร่วง.

ในโพรงลำไส้มีเชื้อแบคทีเรียหลากหลาย ซึ่งเซลล์จะต้องแยกแยะให้ออกว่าเป็นเชื้อดีหรือเชื้อร้าย. ใต้เซลล์เยื่อบุมีเยื่อน้ำเหลืองเรียกว่า Gut Associated Lymphoid Tissue (GALT) มีเซลล์ทำหน้าที่สอดแนม (sensor) สามารถบอกได้ว่าเชื้อนั้นเป็นเชื้อดี จะไม่สร้างความต้านทานมากำจัด แต่ถ้าเป็นเชื้อร้ายก็จะสร้าง secretory IgA ออกมากำจัด. เชื้อดีจึงเกาะฉาบบนชั้นเยื่อเมือกหยุดยั้ง แย่งการเกาะจับของเชื้อก่อโรค.

นอกจากนี้ยังมีกระบวนการสื่อสารกันระหว่างเชื้อจุลินทรีย์และเยื่อบุลำไส้ (bacterial-epithelial cross talk) มีผลดังนี้
♦ กระตุ้นการสร้างเยื่อเมือกให้ชั้นเยื่อเมือกหนาขึ้นและมีคุณภาพเฉพาะสำหรับล่อให้เชื้อไวรัส โรต้า (pseudoreceptor) จับแทน ที่จะจับที่เซลล์เยื่อบุ.
♦ กระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้เคลื่อนไหวมายังตำแหน่งที่เชื้อโรครุกล้ำเข้ามาสู่ร่างกาย.
♦ กระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้จับกินแบคทีเรีย.
♦ ทำให้เนื้อเยื่อที่อักเสบบรรเทาลง.
♦ ซ่อมแซมเซลล์ที่บาดเจ็บให้ฟื้นตัว
.
ในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา ได้มีการศึกษาผลของจุลินทรีย์ไบฟิโดแบคทีเรีย (bifidobacteria) และแล็กโทแบซิไล (lactobacilli) อย่างกว้างขวาง มีรายงานการศึกษามากกว่า 200 รายงานและได้มีผู้ทำวิเคระห์อภิมาน (meta-analysis) 9 ชิ้นจากข้อมูลที่ทำการศึกษาแบบมีกลุ่มควบคุมและผู้บริโภคและผู้วิจัยไม่ทราบว่าให้อะไร (randomized, controlled-double blind study). รายงานข้อมูลที่แสดงผลแน่นอนดังนี้

♦ จุลินทรีย์สุขภาพสามารถสร้างภูมิคุ้มกัน แก่ผู้ที่ได้รับจุลินทรีย์สุขภาพจำนวนมากพอ (106-109 ตัว) จะป้องกันการติดเชื้อโดยเฉพาะป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้าซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีได้.
♦ สารให้ภูมิค้มกันได้แก่ แกมมาโกลบูลิน เอ (IgA) พบว่าระดับเพิ่มขึ้นทั้งในเลือดและอุจจาระ ในเด็กที่ได้รับจุลินทรีย์สุขภาพเมื่อได้รับวัคซีน พบว่าระดับภูมิต้านทานสูงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ (เช่น โปลิโอ ไทฟอยด์) มีหน้าที่เป็นตัวทำให้วัคซีนได้ผลดี (vaccine adjuvant).
♦ ลดการเกิดอาการอุจจาระร่วงจากการได้รับยาฆ่าเชื้อ (antibiotic associated diarrhea).

ส่วนจุลิทรีย์ที่มีชื่อว่าสเตร็ปโตค็อกคัส เทอร์โมฟิสัส (Streptococcus thermophilus). ช่วยย่อย น้ำตาลแล็กโทสในนม ทำให้กินนมแล้วท้องไม่อืด ถ่ายง่าย และไม่เป็นผื่นผ้าอ้อม.

ในทารกแรกเกิดได้มีการศึกษาให้จุลินทรีย์สุขภาพแก่ทารกเกิดมาน้ำหนักตัวน้อยมาก พบว่าทำให้ทารกเหล่านี้รับนมได้มากขึ้น น้ำหนักตัวขึ้นดี และจากผลการวิเคราะห์อภิมาน 12 ชิ้นแสดงให้เห็นว่ามีผลด้านลดอุบัติการณ์ของภาวะลำไส้อักเสบเน่าซึ่งเกิดได้บ่อยในทารกกลุ่มนี้ได้ด้วย.

ส่วนผลต่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้านการป้องกันโรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้ มีรายงานว่าเมื่อให้เชื้อจุลินทรีย์สุขภาพในเด็กเล็กแล้วสามารถลดอุบัติการณ์และความรุนแรงของการติดเชื้อทางเดินหายใจ ลดการขาดเรียน การใช้ยาฆ่าเชื้อ และลดโรคภูมิแพ้ โดยศึกษาการสังเกตความรุนแรงของผื่นภูมิแพ้ผิวหนังพบว่าทำให้ทุเลาลงได้มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ และอาจลดการเกิดโรคหืดในผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้. อย่างไรก็ตาม ผลด้านนี้ยังมีไม่มากนัก ยังต้องมีการทำการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยันยันต่อไป. เด็กที่กินนมเสริมจุลินทรีย์ กระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสได้ดี แต่สำหรับโรคอุจจาระร่วงสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียนั้นไม่ได้ผล ผู้เลี้ยงดูเด็กยังต้องรักษาความสะอาดในการเตรียมนมและอาหารให้ลูกอยู่อย่างเคร่งครัด.

จุรินทรีย์สุขภาพมีประโยชน์ทั้งที่พิสูจน์และกำลังมีการทดลองทางคลินิกดังตารางที่ 1.






หน้าที่ของโพรไบโอติกด้านโภชนาการ
ปกติแล้วคนเอเชียจะมีน้ำย่อยแล็กเทสที่ลำไส้ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น. ในทารกที่เป็นโรคอุจจาระร่วงโดยเฉพาะที่มีสาเหตุจากไวรัสโรต้านั้นมีการบาดเจ็บที่เยื่อบุลำไส้มากและเป็นสาเหตุที่สำคัญของการดูดซึมบกพร่องในระยะฟื้น เมื่อให้ทารกกินนมอีกก็จะเกิดอาการอุจจาระร่วง แม้ในเด็กโตและผู้ใหญ่หลายๆคนจะเกิดอาการท้องอืดมีลมในท้องและถ่ายเหลวเมื่อกินนมตอนท้องว่างหรือบางคนดื่มนมเกินสองแก้วไม่ได้. เชื้อจุลินทรีย์เช่น Streptococcus thermophilus จะช่วยย่อยน้ำตาลแล็กโทสในน้ำนมได้ แม้ว่าเชื้อชนิดนี้จะไม่จัดเข้าไว้ในกลุ่มโพรไบโอติกเพราะเป็นเชื้อที่ไม่เคยอยู่ในลำไส้มาก่อน เชื้อชนิดนี้ได้นำมาผสมกับ Lactobacillus bulgaricus เป็นหัวเชื้อหมักนมให้เป็นโยเกิร์ตให้รสชาติดีมานานนมแล้ว นับเป็นโยเกิร์ตสูตรดั่งเดิมกินแล้วท้องไม่อืด.

หน้าที่ด้านโภชนาการของโพรไบโอติก คือ
♦ ช่วยย่อยและดูดซึมสารอาหารต่างๆ.
♦ สังเคราะห์วิตามิน.
♦ หมักใยอาหารและโอลิโกแซ็กคาไรด์.

การเสริมเชื้อลงในนมให้ทารกเกิดครบกำหนดกินพบว่าน้ำหนักตัวขึ้นดีกว่ากลุ่มควบคุมและยังมีการศึกษา ให้ Bifdobacteria breve เติมลงในนมให้ทารกเกิดก่อนกำหนดกิน (Katajima et al. 1997) พบว่าทารกรับนมที่ให้ได้มากกว่า น้ำหนักขึ้นเร็วกว่ากลุ่มควบคุม. การศึกษานี้นอกจากจะได้แสดงให้เห็นว่า โพรไบโอติกช่วยด้านการย่อยแล้วยังได้แสดงให้เห็นว่าปลอดภัยสามารถให้ในทารกแรกเกิดและทารกเกิดก่อนกำหนดได้ ทำให้ทารกเติบโตได้ดี. มีรายงานการเสริมจุลินทรีย์เพื่อป้องกันการเกิดลำไส้เน่าในทารกเกิดก่อนกำหนดหลายชิ้นและได้มีการทำการวิเคราะห์ อภิมาน (meta-analysis) ว่าสามารถลดการเกิดลำไส้เน่า (necrotizing enterocolitis) ได้. การเสริมจุลินทรีย์สุขภาพลงในนมให้เด็กที่มีปัญหากินยาก เลือกกิน และขาดอาหาร ทำให้กินอาหารได้มากขึ้น.

คุณสมบัติของจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ 7 ประการ ดังนี้
1. เป็นสายพันธุ์ที่ได้มีการศึกษาแล้วว่ามีคุณสมบัติที่ก่อประโยชน์ต่อสุขภาพ.
2. ปลอดภัยเมื่อกิน.
3. สามารถรอดชีวิตตลอดทางเดินอาหาร.
4. มีชีวิตอยู่ในกระบวนการผลิตและเก็บ.
5. เป็นสายพันธ์ที่คงตัวไม่รับยีนดื้อยาจากเชื้ออื่น.
6. กินจำนวนพอเหมาะก็ได้ผล.
7. เคยอยู่ในอวัยวะที่ต้องการเสริมจุลินทรีย์ให้มาก่อน.







พรีไบโอติกคืออะไร
พรีไบโอติกคืออาหารจุลินทรีย์เป็นอาหารส่วนที่ไม่ย่อยในทางเดินอาหารส่วนบน ผ่านมาที่ลำไส้ส่วนล่าง เลือกส่งสริมการเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิด ที่ลำไส้ใหญ่ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ (ตารางที่ 2 และ 3).

พรีไบโอติกที่สำคัญได้แก่ ซึ่งโอลิโกแซ็กคาไรด์เป็นน้ำตาลห่วงสั้น < 9 ห่วง, อินูลินมีห่วงยาว 20-60 ห่วง ให้พลังงาน 1.5 กิโลแคลอรี/กรัม.

ตัวอย่างโอลิโกแซ็กคาไรด์ คือ
♦ ฟรักโทโอลิโกแซ็กคาไรด์ (Fructo-oligosaccharides, FOS ).
♦ กาแล็กโทโอลิโกแซ็กคาไรด์ (Galacto-oligosaccharides, GOS ).
♦ โอลิโกแซ็กคาไรด์เชิงซ้อน (Complex oligosaccharides) ในนมแม่.

กลไกในการทำหน้าที่ที่เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพนั้นผ่านกลไกการทำหน้าที่ของจุลินทรีย์สุขภาพโดย
♦ กระตุ้นการเติบโตของจุลินทรีย์สุขภาพ.
♦ จุลินทรีย์หมักพรีไบโอติกเกิดผลผลิตเป็นกรดยับยั้งการเติบโตของเชื้อฉวยโอกาสและเชื่อก่อโรค.

ปฏิสัมพันธ์ของพรีไบโอติกกับเซลล์เยื่อบุลำไส้ยังไม่มีข้อมูลและกำลังมีการศึกษาต่อไป.
♦ ข้อมูลการศึกษาผลของพรีไบโอติกสนับสนุนให้เป็น function food จึงมีการเติมพรีไบโอติกในอาหาร เช่น โอลิโกฟรักโทส และอินูลินในนมสำหรับทารกและเด็ก และเป็นสารรสหวานในเครื่องดื่ม ไอศกรีม โยเกิร์ต เพื่อลดอัตราฟันกร่อน และทำให้รู้สึกอิ่ม (satiety)และสบายท้อง. เนื่องจากพรีไบโอติกถูกหมักโดยจุลินทรีย์เกิดผลผลิตเป็นบิวทิเรท กระตุ้นการหลั่งของ glucagon like peptide 1 (GLP-1) จากลำไส้ใหญ่ไปในกระแสเลือด ทำให้สมองรับรู้ความรู้สึกอิ่ม จึงมีการเสนอว่าควรใช้พรีไบโอติกในการควบคุมน้ำหนัก และเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมป้องกันภาวะกระดูกพรุนในคนทุกอายุ. ขนาดที่กิน 5-10 กรัม/วัน.

วันดี วราวิทย์ พ.บ.,
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ, ภาควิชากุมารเวชศาสตร์,
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

//www.doctor.or.th/node/6931




 

Create Date : 22 มกราคม 2553    
Last Update : 22 มกราคม 2553 22:54:51 น.
Counter : 973 Pageviews.  

“โปรไบโอติกส์ (Probiotics)” สิ่งดีๆในโยเกิร์ต

โปรไบโอติกส์ คือ ชื่อเรียกแบคทีเรียชนิด “มีประโยชน์” และยังมีชีวิตอยู่ พบได้ในกระเพาะ อาหารและลำไส้ ทำหน้าที่ต่อสู้กับแบคทีเรียชนิด "มีโทษ" ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการเจ็บป่วยเกี่ยวกับการย่อยอาหาร เช่น ท้องอืดและกลุ่มอาการบีบตัวผิดปกติของกระเพาะและลำไส้ "ปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียดและการกินยาปฏิชีวนะจะไปรบกวนจำนวนแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในตัวเรา"




น้ำนมแม่ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และจำเป็นสำหรับทารกแรกเกิด เพราะ ทารกเป็นวัยที่ยังไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานโรคได้เอง และในน้ำนมของแม่ก็มีสารอาหารหลากหลายที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับทารก หนึ่งในนั้นคือ “โปรไบโอติกส์ (Probiotics)”




แต่วัยรุ่นเราๆคงย้อนกลับไปดื่มนมแม่ไม่ทันแล้ว วิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่ม โปรไบโอติกส์ ได้ โดยการรับประทานโยเกิร์ต

โยเกิร์ต นมเปรี้ยวที่คนไทยรู้จักในรูปแบบต่างๆ อาจจะไม่ใช่นมเปรี้ยวที่เรากำลังจะกล่าวถึงเพราะ โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่ดีจะต้องมีแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตอยู่ จุดประสงค์ของการรับประทานนมเปรี้ยวที่ถูกต้องคือ การรับประทานแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตจำนวนมาก(ประมาณ หมื่นล้านต้วต่อกรัม)เพื่อหวังผลต่อสุขภาพ





ส่วน นมเปรี้ยว ที่ซื้อกันในท้องตลาดทำขึ้นโดยมีการปรุงแต่งรสชาติให้อร่อย บางชนิดไม่สมควรเรียกว่าโยเกิร์ต เสียด้วยซ้ำเพราะนำไปพาสเจอร์ไรซ์ (ฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิสูง)และนำมาบรรจุกล่อง ที่จริงน่าจะเรียกว่าซากโยเกิร์ต บางชนิดก็มีการใส่น้ำตาลมากจนน่าสงสัยว่าจะได้ประโยชน์ได้เต็มที่หรือไม่ บางชนิดก็มีการเจือจางจนปริมาณแบคทีเรียเหลืออยู่น้อยมาก



แบคทีเรียที่ดีในโยเกิร์ต ได้แก่ แลคโตบาซิลัส เอซิโดฟิลลัส( Lactobacillus acidophilus) แลคโตบาซิลัส บัลการิคัส ( Lactobacillus bulgaricus) และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส ( Streptococcus thermophillus)




โยเกิร์ตสามารถ ทำได้จากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติคทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยว


ดังนั้นโยเกิร์ตที่ดีควรทำจากนมชนิดต่างๆและแบคทีเรียที่ดีเท่านั้น ไม่ควรมีส่วนผสมอย่างอื่นเข้าไปเจือปน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล สี สารเจลาติน รสสังเคราะห์ ส่วนผสมเหล่านี้ล้วนทำให้คุณค่าของโยเกิร์ตด้อยลง แม้ว่าเราอาจจะไม่คุ้นเคยต่อรสโยเกิร์ตธรรมชาติ แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ท่านก็จะสามารถรับประทานโยเกิร์ตธรรมชาติด้วยความสบายใจและอร่อย




สรุปถึงคุณประโยชน์จากโยเกิร์ต




1. โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม เคซีน ซี่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและ โปรตีนเคซีน


2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ กรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกายเช่น เชื้อซัลโมเนลา (Salmonella typhidie) อี โคไล ( E. Coli) โคลินแบคทีเรีย( Corynebacteria diphtheriae) ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราควรจะรับประทานโยเกิร์ตอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้


3. เป็นแหล่งวิตามิน บี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังช่วยสังเคราะห์วิตามิน บีและวิตามิน เค ในลำไส้


4. ช่วยรักษาโรค ท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะ จากการวิจัยพบว่าผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้รับประทานโยเกิร์ต


5. ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น ถึงแม้ทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลงทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้


6. เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตจะมีโปรตีนมากกว่าในนม 20% และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใด้ด


7. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ แลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้


8. ช่วยป้องกันมะเร็ง แลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง สามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารในเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้


9. ทำให้ปากสะอาด กำจัดกลิ่นปากและโรคเหงือก


10.เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น




การทานโยเกิร์ตที่ได้ผลที่สุดควรทานรสธรรมชาติที่ไม่มีการแต่งกลิ่นรสหรือเพิ่มน้ำตาลลงไป ทางเลือกหนึ่งในการมีโยเกิร์ตธรรมชาตบริโภคเองคือ การทำโยเกิร์ตธรรมชาติจาก Kefir (บัวหิมะ)

รวบรวมข้อมูลจาก


//www.goodhealth.co.th ซึ่งเรียบเรียงโดย : ทพ. จักรชัย สมพลพงษ์




//www.phuketbulletin.co.th/health&beauty/




//www.healthluxe.com ข้อมูลจาก นิตยสารสไปซี่




 

Create Date : 21 มกราคม 2553    
Last Update : 21 มกราคม 2553 22:54:23 น.
Counter : 814 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  

Kanphicha
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ที่มาของคำว่า Kefir By รัญรักษ์
ไม่ใช่ชื่อยี่ห้อ ไม่ใช่เครื่องหมายการค้า
แต่เป็นชื่อพ่อและแม่ของกานต์เองค่ะ
เมื่อกานต์ทำบุญครั้งใด ก็จะยกกุศลทั้งหมดให้พ่อและแม่
การแจกจ่ายบัวหิมะให้คนอื่นๆ
ถือเป็นการทำบุญอีกคร้งหนึ่ง
กานต์ขอยกกุศลผลบุญทั้งหมดให้บุพการีที่เป็นที่รักของกานต์ทั้งสองท่าน โดยการตั้งชื่อท่านทั้งสองในการแจกจ่าย Kefir นะคะ
free counters
Friends' blogs
[Add Kanphicha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.