Group Blog
 
All blogs
 

รู้ก่อนลดกับความเชื่อผิดๆ เรื่องควบคุมน้ำหนัก




หนึ่งในปัญหาหนักอกของหนุ่มสาว เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องน้ำหนักตัวและรูปร่างที่เกินพิกัด พยามยามลดทุกวิถีทางที่ใครว่าดีก็ยังไม่ได้หุ่นเพรียวสวยมาครอง แล้วรู้หรือไม่ว่าบางทีอาจมาจากความเชื่อผิด ๆ ในการควบคุมน้ำหนักก็ได้ เช่น อดข้าว งดของจุบจิบ งดแป้ง ขับเหงื่อ หรือโทษกรรมพันธุ์ว่าเป็นสาเหตุความอ้วน

ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ อรุโณทยานันท์ ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรมผลิตภัณฑ์และอาวียองซ์ อะคาเดมี แนะนำวิธีควบคุมน้ำหนักที่ถูกต้องว่า ต้องไม่อด กินครบทุกมื้อ แต่ควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ครบทุกหมู่ ไม่ควรงดอาหารพวกแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกายเมื่อคุณออกกำลังกาย และยังช่วยให้พลังงานสำหรับกิจกรรมในแต่ละวัน โดยเน้นอาหารมื้อเช้ามากที่สุด เพราะร่างกายต้องการใช้พลังงาน และหลีกเลี่ยงอาหารพลังงานสูงที่ไม่มีประโยชน์ในระหว่างวัน แต่เลือกเป็นชนิดที่ให้พลังงานต่ำและมีเส้นใยสูง เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ถั่ว ลูกเดือย ผักสด ผลไม้ ควรลดและหลีกเลี่ยง อาหารพวกแป้งแปรรูป เช่น ขนมปังขาว เค้ก ขนมหวานที่มีแป้งเป็นส่วนผสม

อีกทั้งความบ่อยของการกิน หรือการกินจุบจิบนั้นก็ไม่ได้ทำให้อ้วน แต่อยู่ที่อาหารที่กิน ให้สังเกตได้ว่านักโภชนาการมักแนะนำคนที่ลดน้ำหนักแบ่งอาหารออกเป็นห้ามื้อเล็ก ๆ โดยระหว่างมื้อในช่วงสายหรือบ่ายแก่ ๆ เลือกทาน แอปเปิ้ล ฝรั่ง ชมพู่ แครอท หรือ ถั่วลิสงต้ม ทานเป็นของจุบจิบรองท้อง เพื่อมื้ออาหารเย็นจะได้ไม่รับประทานมากจนเกินพอดี

สำหรับอันตรายที่มาจากความเชื่อผิด ๆ คือ การขับเหงื่อให้ออกมาก ๆ วิธีนี้แม้จะลดน้ำหนักได้ แต่น้ำหนักที่สูญเสียไปคือน้ำในร่างกาย ซึ่งมีความจำเป็นในกระบวนการเผาผลาญไขมัน อีกทั้งอาจทำให้เป็นลมหรือหมดสติได้ แนะนำว่า ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 2-3 ลิตร หรือหากเสียเหงื่อมากควรดื่มน้ำเปล่าชดเชยเข้าไป ซึ่งในช่วงลดน้ำหนักไม่ควรดื่มน้ำผลไม้ น้ำหวาน หรือ เครื่องดื่มเกลือแร่ เพราะมีน้ำตาลสูง

ส่วนความเชื่อที่ว่าความอ้วนมาจากกกรมพันธุ์ จึงไม่มีวันที่จะลดน้ำหนักได้ก็นั้นไม่เป็นความจริง เพราะความอ้วนนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบริโภคและการใช้ชีวิตประจำวัน



ข้อมูลจากเดลินิวส์




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2553    
Last Update : 2 มิถุนายน 2553 4:54:01 น.
Counter : 385 Pageviews.  

ยางพาราสุดเจ๋ง! ผลิตเครื่องสำอาง"เปลี่ยนสีผิว"

นักวิจัยไทย พัฒนาสารสกัดจากน้ำยางพาราเป็นครีมเปลี่ยนสีผิวเป็นสีแทน โดยไม่ต้องอาบแดด แถมทำเป็นครีมลบรอยย่นได้ครั้งแรกของโลก นอกจากนี้ยังพบสารสำคัญใช้ผลิตยารักษามะเร็งตัวใหม่...

เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2553 ที่ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย หรือ ทีเซลล์ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD แถลงข่าว “พิธีลงนามความร่วมมือการพัฒนาสารสกัดจากน้ำยางพารามูลค่าสูง” ระหว่าง ทีเซลล์ และ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยพลเรือเอกฐนิธ กิตติอำพน ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ กล่าวว่า หลังจากทีเซลล์ประสบความสำเร็จในการนำน้ำยางพารามาผลิตเป็นครีมหน้าขาวเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ยังพบว่าน้ำยางพารายังมีสารสำคัญที่มีประโยชน์ด้านความงามอีกมากล่าสุดทีเซลล์ จึงได้ร่วมกับ นางรพีพรรณ วิทิตสุวรรณกุลหัวหน้าโครงการวิจัยสารสกัดจากยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิจัยสารสำคัญในน้ำยางพาราเบื้องต้นพบว่ามีสารสำคัญในการนำพัฒนาเป็นเครื่องสำอางได้ 2 ชนิด คือ 1.ครีมเปลี่ยนสีผิวขาวให้เป็นผิวสีแทน โดยไม่ต้องอาบแดด และไม่ต้องเสี่ยงต่อการรับรังสียูวีมากเกินไป ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง และ2.ครีมลดริ้วรอยเหี่ยวย่นในบุรุษและสตรีที่อายุมาก ให้ดูอ่อนกว่าวัย

ด้าน นางรพีพรรณ กล่าวว่า สำหรับครีมเปลี่ยนสีผิวขาวให้เป็นผิวสีแทนนั้น จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าน้ำยางพารามีสารสกัดสำคัญที่เรียกว่า สารเมทิลไทโออดีโนซีน หรือสารเอ็มทีเอซึ่งปัจจุบันมีการนำสารนี้ไปใช้ในเวชสำอางประเภทบำรุงผิวปรับสีผิวให้เข้มขึ้น ดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาโดยสารดังกล่าวจะไปเพิ่มการสร้างสีน้ำตาลหรือดีเอชไอซีเอ-เมลานิน ทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีแทนจากภายใน เนื่องจากสารตัวนี้จะทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีในระดับเซลล์ ทำให้สีออกมาอย่างสม่ำเสมอ โดยเห็นผลภายใน 1-2 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งด้วย สำหรับผิวสีแทนจะเป็นที่นิยมของชาวยุโรป อเมริกา แคนาดา หรือ ในเอเชียบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งหากวิจัยจนสำเร็จจะเน้นการส่งออกเป็นหลัก

นางรพีพรรณ กล่าวอีกว่า ส่วนครีมลดริ้วรอยเหี่ยวย่นนั้น ทีมวิจัยพบสารที่เรียกว่า เบต้ากลูแคน ที่ละลายน้ำได้มีฤทธิ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกันให้เซลล์ผิวช่วยกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในเซลล์ได้เมื่อใช้ทาผิวหนังโดยสารจะสามารถซึมผ่านช่องว่างระหว่างเซลล์เข้าสู่เซลล์ผิวชั้นในสามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ช่วยให้ดูอ่อนกว่าวัย ชะลอความแก่ ที่สำคัญยังช่วยป้องกันแสงยูวีเอและบี เบื้องต้นได้ผ่านการทดลองในสัตว์ทดลองแล้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิด จะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2554 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างจดสิทธิบัตร ทั้งนี้หากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวประสบความสำเร็จจะถือเป็นครั้งแรกของโลก เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดนำสารจากยางพารามาพัฒนาเป็นเครื่องสำอาง

นางรพีพรรณ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ในสารสกัดจากยางพารายังพบสารคิวบราซิทอล ซึ่งเป็นสารที่กำลังมีการวิจัยเพื่อนำไปผลิตยารักษามะเร็งด้วย โดยสารที่ได้จากยางพาราจะมีโมเลกุลขนาดเล็กมากที่จะเป็นสารตั้งต้นช่วยให้ตัวยาสามารถเข้าถึงเซลล์ได้ง่ายโดยส่วนใหญ่จะมีการขายสารดังกล่าวให้กับบริษัทยาในประเทศตะวันตกนำไปสกัดเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยารักษามะเร็งหลายชนิดขึ้นอยู่กับนักวิทยาศาสาตร์ว่าจะสกัดอย่างไรขณะนี้มีประเทศมาเลเซียแห่งเดียวเท่านั้นที่มีการสกัดสารดังกล่าวออกขายเพื่อนำไปผลิตยารักษามะเร็งโดยทางมหาวิทยาลัยจะมีการสกัดสารนี้ออกมาจำหน่ายให้กับบริษัทผลิตยาด้วย


//www.thairath.co.th/content/edu/86726




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2553    
Last Update : 1 มิถุนายน 2553 19:54:41 น.
Counter : 533 Pageviews.  

ภัยเงียบจากการ (อด) นอน





ใครว่าเรื่อง "นอน" ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เห็นทีควรจะมากวาดตาอ่านเรื่องต่อไปนี้เสียหน่อย เพราะแม้ทุกคนจะรู้กันดีว่าการอดนอนจะส่งผลต่อสุขภาพต่างๆ นานา แต่หารู้ไม่ว่าการนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงเป็นประจำนั้นอาจเป็น เพชฌฆาตเงียบ ที่ค่อยๆ ปลิดชีพหลายชีวิตก่อนวัยอันควรก็เป็นได้

นักวิชาการมหาวิทยาลัย Warwick กล่าวว่า การพักผ่อนไม่เพียงพอนั้นเป็นเสมือนการเปิดประตูเชื้อเชิญสารพัดโรค ทั้งเบาหวาน อ้วน ความดันโลหิตสูง และโคเลสเตอรอลสูงเข้าสู่ร่างกาย

แต่ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาล่าสุดร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย Warwick แห่งอังกฤษ และมหาวิทยาลัย Federico II ในอิตาลีเผยว่า 12 เปอร์เซ็นต์ของคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงมีแนวโน้มจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ทีมนักวิจัยได้ประมวลผลการศึกษาเรื่องการนอนของนักวิจัยจากทั่วทุกมุมโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาใน 1,300,000 คน และผลการวิจัยของนักวิจัยกลุ่มนี้ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Sleep พบหลักฐานที่ชี้ชัดเรื่องความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการอดนอนและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

Francesco Cappuccio นักวิชาการมหาวิทยาลัย Warwick กล่าวว่าการพักผ่อนน้อยเชื่องโยงกับการเจ็บป่วยโดยมีสาเหตุมาจากระบบฮอร์โมนและกลไกการเผาผลาญอาหาร อีกทั้งยังเชื่อว่าระยะเวลาในการนอนนั้นเป็นเรื่องสุขอนามัยที่สำคัญ และแพทย์ควรพิจารณาว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงในเชิงพฤติกรรมอีกด้วย

นอกจากนี้เขายังให้ความเห็นว่า "สังคมผลักดันให้คนยุคนี้นอนน้อยลงเรื่อยๆ" และกล่าวเสริมว่า 20 เปอร์เซ็นต์ประชากรในสหรัฐอเมริกาและในอังกฤษนอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง

การนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงนั้นนับวันยิ่งเป็นเรื่องปกติมากขึ้นในกลุ่มคนทำงานเต็มเวลา ซึ่งอาจเป็นเพราะแรงกดดันจากสังคมในเรื่องชั่วโมงที่ต้องทำงานที่ยาวนานกว่าเดิม และการทำงานเป็นกะที่มากขึ้น

ไม่ใช่เพียงแค่การอดนอนเท่านั้นที่จะส่งผลเสียต่อส่งสุขภาพ แต่การนอนมากเกิน 9 ชั่วโมงต่อคืนก็เป็นการนับถอยหลังสู่การเสียชีวิตก่อนวัยควรเช่นกัน Cappuccio กล่าวว่าการนอนมากเกินไปนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นผลจากการเจ็บป่วยมากกว่าที่จะเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย

Cappuccio ซึ่งเป็นหัวหน้าหลักสูตรการเรียนการสอนด้านการนอน สุขภาพ และสังคม Sleep, Health and Society Programme เห็นว่า "แพทย์ไม่เคยถามคนไข้เลยว่านอนวันกี่ชั่วโมง ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องระยะเวลาการนอนนี่แหละที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ"

ในทางกลับกัน ผลวิจัยเผยว่าผู้ที่นอนแค่ 6-8 ชั่วโมงกลับไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว

เมื่อรู้แล้วว่าการอดนอนหรือการนอนมากเกินไปจะเป็นเสมือนการตายผ่อนส่ง ใครที่ทำอย่างนี้อยู่จนเป็นนิสัยก็ถึงเวลาค่อยๆ ปรับพฤติกรรมการนอนรวมถึงฝึกการนอนหลับให้มีคุณภาพได้แล้วถ้าหากยังปรารถนาที่จะนอนหลับแบบมีลมหายใจต่อไป



ข้อมูลจาก sanook.com




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2553 7:54:12 น.
Counter : 458 Pageviews.  

10 สารต้านอนุมูลอิสระ




มาดูกันว่า อาหารประเภทไหนบ้าง มีสารต้านอนุมูลอิสระ

1.สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

สารซูเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์คุณค่าสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า และวิตามินอี 50 เท่า อยู่ในกระแสเลือดได้นานถึง 72 ชั่วโมง สามารถป้องกันและลดการทำลายล้างจาก สารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเราตลอดเวลา ทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน โดยเฉพาะระบบหลอดเลือด หัวใจ ผิวหนัง และตา ช่วยชะลอการเสื่อมของผิวพรรณไม่ให้แก่ก่อนวัยอย่างตรงจุด ปริมาณการใช้ วันละ 20-60 มก.

2.ชาเขียว

สารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์หลายชนิด โดยเฉพาะสาร EGCG ที่มีฤทธิ์มากกว่าวิตามินอีถึง 20 เท่า สามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะ โดยเฉพาะมะเร็งปอด, มะเร็งลำไส้, มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเป็นพิษจากการสูบบุหรี่ ปริมาณการใช้ วันละ 300-1,000 มก.

3.สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส

ช่วยแก้ปัญหาเรื่องฝ้าด้วยการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสี ให้อยู่ในสภาวะที่สมดุล มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ปริมาณการใช้ วันละ 75 มก.

4.โคเอนไซม์คิวเท็น

สร้างพลังงานในระดับเซลล์ให้ทำงานได้อย่างปกติ เซลล์ที่ต้องการพลังงานสูงและต้องการโคเอนไซม์คิวเท็นมากเป็นพิเศษ ได้แก่ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์สมอง เพื่อให้มีความตื่นตัว เพิ่มทักษะในการจดจำและผ่อนคลายจากความตึงเครียด ส่วนเซลล์ผิวหนัง ต้องการโคเอนไซม์คิวเท็นเพื่อช่วยฟื้นฟูความสดใส ปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.

5.เนชันรัลเบต้าแคโรทีน

บำรุงสายตาและผิวพรรณ ป้องกันการเกิดมะเร็งที่ปอดจากการสูบบุหรี่ ช่วยลดการก่อเซลล์มะเร็งที่ผิวหนัง เบต้าแคโรทีนจากธรรมชาติที่สกัดได้จากสาหร่าย เป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนที่เข้มข้น และปลอดภัย ปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.

6.ลูติน

เป็นสารธรรมชาติพบได้มากในพืชผักที่มีสีเขียวเข้ม เช่น ผักกาดเขียวใบหยิก ผักปวยเล้ง ลูตินจะเป็นสารอาหารที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของจุดรับภาพและจอประสาทตาได้ดีปริมาณการใช้ วันละ 6-20 มก.

7.กรดอัลฟาไลโปอิค

สารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติมีบทบาทสำคัญ ในการช่วยปรับปรุงกระบวนการเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน จึงช่วยป้องกันและบรรเทาโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานได้ดี ปริมาณการใช้ วันละ 50-200 มก.

8.สารสกัดจากใบแปะก๊วย

ป้องกันความเสื่อมของเซลล์สมอง ช่วยบำรุงสุขภาพสมองอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันที่สมองเช่นกัน ปริมาณการใช้ วันละ 40-80 มก.

9.วิตามินซี

ป้องกันโรคหวัด และบรรเทาอาการภูมิแพ้ ช่วยสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณ คลายความเครียด ความอ่อนเพลีย แก้สภาวะการเป็นหมันในผู้ชาย โดยช่วยเพิ่มความแข็งแรง และปริมาณของตัวอสุจิอีกด้วยปริมาณการใช้ วันละ 1,000-4,000 มก.

10.วิตามินอี

บำรุงผิวพรรณ ป้องกันโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นเลือดในหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ ปริมาณการใช้วันละ 200-400 มก.



ข้อมูลจากWoman plus





 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2553 7:54:07 น.
Counter : 384 Pageviews.  

6 ช่วงเวลาอันตราย ของหัวใจ




1.ยามเช้า

นักวิจัยจากฮาร์วาร์ดประเมินว่า ในยามอรุณเบิกฟ้าความเสี่ยงหัวใจวายจะเพิ่มขึ้น 40% ทำไมน่ะหรือ? เพราะในขณะที่คุณตื่นนอน ร่างกายจะหลั่งสารทั้งอะดรีนาลีนและฮอร์โมนความเครียดอื่น ๆ ทำให้ความดันโลหิตพุ่งขึ้นสูง และต้องการออกซิเจนมากขึ้น นอกจากนี้ ด้วยความที่คุณขาดน้ำ เลือดจึงข้นและสูบฉีดลำบาก ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นภาระแก่หัวใจทั้งสิ้น

กันไว้ก่อน : ตั้งนาฬิกาปลุกเผื่อเอาไว้บ้าง คุณจะได้กดเลื่อนปลุกแล้วค่อย ๆ ตื่นส่วนคนที่ชอบออกกำลังตอนเช้า อย่าลืมวอร์มอัพให้เข้าที่ เพื่อลดความเครียดต่อหัวใจ สุดท้ายคนที่กินยาลดความดันโลหิตควรจะกินยาก่อนนอน เช้าขึ้นมายาจะออกฤทธิ์ดีค่ะ

2.เช้าวันจันทร์...อันตราย!

ใคร ๆ ก็ขยาดวันจันทร์กันทั้งนั้น และวิทยาศาสตร์ ก็มีเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมวันจันทร์ถึงน่ากลัว อาจเป็นเพราะเราทั้งเครียดและหดหู่กับการต้องกลับไปทำงาน เช้าวันจันทร์จึงพ่วงสถิติหัวใจวายมากกว่าปกติถึง 20%

กันไว้ก่อน : รีแลกซ์ให้เต็มที่ในวันอาทิตย์ แต่อย่าเผลอนอนดึกนะจ๊ะ ถ้านอนดึกทั้งวันเสาร์-อาทิตย์ และต้องตื่นตั้งแต่ไก่โหในวันจันทร์ ร่างกายของคุณจะอ่อนล้าและผิดจังหวะชีวิตเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง อย่ากระนั้นเลยนอนหลับและตื่นนอนเป็นเวลาทุก ๆ วันดีกว่าค่ะ

3.หลังอิ่มท้องกับมื้อหนัก

คนที่เข้าใจผิดว่าบุพเฟต์มีไว้กินให้คุ้ม คงไม่รู้ว่าหัวใจได้รับผลกระทบเร็วและแรงแค่ไหน! มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า อาหารที่มีทั้งไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง จะทำให้หลอดเลือดตีบและอุดตันได้ง่าย

กันไว้ก่อน : ถ้ายอมตามใจปากจริง ๆ ก็ควรกินอาหารแต่ละหมู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะ นอกจากนี้ แอสไพรินก็อาจช่วยป้องกันไม่ให้เลือดข้นได้ค่ะ


4.ระหว่างทำ "ธุระส่วนตัว"

คุณไม่อยากหัวใจวายในขณะที่อยู่ในห้องน้ำแน่ ๆ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงค่ะ! ความเกร็งระหว่างถ่ายหนักจะเพิ่มแรงกดดันภายในหน้าอก ทำให้เลือดไหลกลับไปเลี้ยงหัวใจได้ช้าลง

กันไว้ก่อน : กินอาหารที่มีกากใยมาก ๆ อย่าปล่อยให้ขาดน้ำ และหลีกเลี่ยงการเกร็งท้องนะจ๊ะ


5.ระหว่างออกกำลังหนัก ๆ

หัวใจวายอาจเกิดขึ้นได้เพราะผู้ป่วยไม่คุ้นเคยกับการออกแรง พร้อมกับที่ฮอร์โมนความเครียดพุ่งสูงขึ้น ทำให้ทั้งความดันโลหิตและอัตราชีพจรพุ่งทะลุเพดาน

กันไว้ก่อน : จริงอยู่ที่การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอเสมือนเกราะป้องกันหัวใจ แต่ค่อย ๆ เพิ่มความหนักในการออกกำลังจะดีกว่านะ

6.เมื่อยืนพูดต่อหน้าคนอื่น

บางครั้งหัวใจของคุณอาจรู้สึกว่า การพูดต่อหน้าคนจำนวนมากเหมือนกับการออกกำลังที่ไม่เคยชินก็ได้นะ เมื่อความตื่นเต้นกระสับกระส่ายถึงขีดสุด ความดันโลหิต อัตราชีพจร และระดับอะดรีนาลีนจะจับมือกันพุ่งทะลุเพดาน ทั้งสามอย่างนี้ล่ะ ที่ทำให้ความวิตกกังวลในเรื่องที่ต้องพูดเป็นเรื่องที่สำคัญรอง ๆ ลงไปเลย

กันไว้ก่อน : บางคนเตรียมรับมือโดยการกินยากลุ่ม Beta-Blocker ก่อนพูดสุนทรพจน์ ขึ้นเครื่องบินหรือทำอะไรก็ตามที่อาจสร้างความกังวลมากกว่าปกติ



ข้อมูลจาก Lisa




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 7:55:13 น.
Counter : 435 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  

Kanphicha
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ที่มาของคำว่า Kefir By รัญรักษ์
ไม่ใช่ชื่อยี่ห้อ ไม่ใช่เครื่องหมายการค้า
แต่เป็นชื่อพ่อและแม่ของกานต์เองค่ะ
เมื่อกานต์ทำบุญครั้งใด ก็จะยกกุศลทั้งหมดให้พ่อและแม่
การแจกจ่ายบัวหิมะให้คนอื่นๆ
ถือเป็นการทำบุญอีกคร้งหนึ่ง
กานต์ขอยกกุศลผลบุญทั้งหมดให้บุพการีที่เป็นที่รักของกานต์ทั้งสองท่าน โดยการตั้งชื่อท่านทั้งสองในการแจกจ่าย Kefir นะคะ
free counters
Friends' blogs
[Add Kanphicha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.