Group Blog
 
All blogs
 

กำไรจากความรัก




ถ้า "กำไร" ของแม่ค้า คือจำนวนเงิน "ส่วนเกิน"
ที่ได้มาจากการขายของ
ฉันก็มองว่า "กำไร" ของคนอกหัก
คือจำนวนบทเรียนที่ได้กลับมา


"ส่วนเกิน" ของความรักก็คือ ส่วนที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ในระหว่างที่รักกัน อาทิ การทะเลาะวิวาท การนอกใจ
การไม่มีเหตุผล การเห็นแก่ตัว ฯลฯ


.......................................


ถ้ามัวแต่คิดว่า อกหักแล้วขาดทุน
ไม่มีแรง ไม่มีทุนหัวใจจะไปรักใครอีก
...มันก็จะเป็นอย่างที่เธอคิดนั่นแหละ...
จิตใจย่ำแย่ยังไง มันย่อมส่งผลต่อร่างกายแบบนั้นเช่นกัน


แต่ถ้าคิดว่าอกหักแล้วได้กำไร
กำลังใจในการสู้ต่อ มันก็เพิ่มขีดความสามารถมากขึ้น


ซึ่งเธอต้องยอมเข้าใจในเหตุผลที่ว่า
บางครั้งความเจ็บปวด
มันก็มีเจตนาของมันเหมือนกัน


เจตนาที่ว่าก็คือ การสอนให้เราเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง
ผ่านทางความเจ็บปวด นี่คือกำไรที่เธอควรเรียนรู้ให้ได้
อย่าปล่อยให้ทัศนคติด้านความรักติดลบ
ด้วยการหันหลังให้กับส่วนเกินนั้นๆ


ในเมื่อเธอสามารถพลิกส่วนเกินให้เปลี่ยนมาเป็นกำไรได้
ด้วยการเผชิญหน้ากับเหตุผล


........................................


จริงๆ การที่เขานอกใจเรา...
ไม่ได้แปลว่าเราไม่ดี


การทะเลาะกันบ่อยๆ...
ไม่ได้แปลว่า เขาหรือเราเองเป็นคนผิด


การไม่มีเหตุผล...
บางครั้งมันก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไม...


............................................


แต่ทั้งหมดคือสิ่งที่ผ่านเราไปเพื่อสอนให้เราเรียนรู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเอง
"อดีต" เป็นบทเรียนอันล้ำค่าเสมอ...


อดีตจึงไม่ได้เป็นเพียงส่วนเกินที่ไร้ค่า
เพราะมันสามารถแปรผันเป็น "กำไร" ที่ล้ำค่าได้


..............................................


อย่าลืมเก็บกำไรงามๆ จากรักแต่ละครั้งไว้ให้ดีๆล่ะ
เพราะว่าต่อไปในวันข้างหน้า


กำไรครั้งนี้จะแปรสภาพเป็นทุนหนาๆ
ให้กับรักครั้งใหม่ของเธอ


เรียกว่า รักครั้งไหนก็ไม่มีทุนหายกำไรหด



ข้อความจาก teenee.com




 

Create Date : 24 มีนาคม 2553    
Last Update : 24 มีนาคม 2553 4:53:47 น.
Counter : 467 Pageviews.  

3 สเต็ป มาสก์หน้าให้ใสแบบธรรมชาติ




ล้างหน้า ทาครีมมาสก์ แล้วล้างออก...เรารู้กันดีว่าการมาสก์หน้าทำกันยังไง แต่เบื้องหลังของ 3 สเต็ปที่ซ่อนเรื่องจริงน่ารู้อยู่ในเครื่องสำอางนี่สิ ยิ่งรู้ ก็ยิ่งช่วยให้ผิวหน้าสวยใสอย่างปลอดภัยกันมากขึ้น



พญ.กอบกาญจน์ ไพบูลศิลป นักเขียนประจำคอลัมน์ Green Beauty Guide ใน //www.sabai-arom.com ให้คำแนะนำน่าสนใจว่า "ความถี่ในการมาสก์นั้น ให้ดูที่ผิวหน้าเราเป็นหลักค่ะว่าเราแพ้หรือไม่ และสภาพแวดล้อมของเราเป็นอย่างไร ถ้าไลฟ์สไตล์ของเราเป็นคนที่ต้องเจอแดด เจอลมบ่อยๆ ทำงานสมบุกสมบันมาก ก็สามารถมาสก์หน้าวันเว้นวันได้ เพราะหน้าเราอาจโทรมง่ายกว่าผิวทั่วไป แต่ถ้าเราทำงานในออฟฟิศ การมาสก์เพียงอาทิตย์ละ 1 - 2 ครั้งก็เพียงพอแล้วค่ะ เพราะผิวไม่ได้เผชิญมลภาวะทำร้ายผิวมากมายนัก"



ว่าแล้วมาพกเคล็ดมาสก์หน้าให้ใส หอม และเนียนนุ่มทันที ด้วยไปใน 3 สเต็ปเหล่านี้ ที่ง่ายมากๆ


Step 1: Cleansing
ก่อนมาสก์หน้าทุกครั้ง เราจำเป็นต้องล้างหน้าให้สะอาดเสียก่อน เวลาที่เหมาะกับการมาสก์หน้าที่สุดคือช่วงก่อนนอน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่ใบหน้าเราผ่านการแต่งหน้ามาไม่มากก็น้อย แถมยังมีฝุ่นละอองเกาะใบหน้าอีกต่างหาก จึงสำคัญมากที่เดียวที่จะลดการเสี่ยงต่อการอุดตันผิว ด้วยการเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมด ตามด้วยการล้างหน้าให้สะอาด ระหว่างล้างหน้าควรนวดผิวเป็นวงกลมไล่ขึ้นไป เพื่อให้ผิวถูกกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียน เตรียมผิวให้พร้อมก่อนรับการบำรุงที่ลึกล้ำจากครีมมาสก์ในขั้นต่อไป



Step 2: Face Masking
ตอนนี้หยิบครีมมาสก์ที่เราชอบมาบีบลงบนฝ่ามือในปริมาณที่เพียงพอกับใบหน้า บางคนอาจชอบแบบเนื้อโคลน ที่เหมาะกับผิวมันถึงผิวธรรมดามากเป็นพิเศษ เพราะเนื้อโคลน อาทิ คาโอลิน เคลย์นั้นจะช่วยกระชับรูขุมขน และดูดซับสารพิษ บางคนอาจชอบแบบเนื้อเจล เช่นเจลว่านหางจระเข้ ที่ช่วยเพิ่มน้ำให้ผิว เป็นต้น ขั้นตอนนี้เราสามารถเล่นสนุกกับครีมมาสก์ที่เราชอบได้อีก อย่างการนำอาหารผิวดีๆ อย่างน้ำผึ้ง (มีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย), แตงกวาบด (ให้ผิวเย็น สดชื่น), มะเขือเทศบด (แก้ฝ้าได้ด้วย) เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับครีมมาสก์ แล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 - 30 นาที



Step 3: Moisturizing
ถึงตอนนี้ให้ล้างเนื้อมาสก์ออกให้ผิวสะอาด การมาสก์ที่ช่วยเพิ่มอาหารผิวกับหน้าคงยังไม่เสร็จสมบูรณ์หากเราไม่ได้ปิดท้ายด้วยการทาครีมบำรุงเพื่อให้อุ้มน้ำใต้ผิวให้คงความชุ่มชื่นไว้ แต้มครีมบนใบหน้าทั้งหมด 5 จุด คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้าง และคาง จากนั้นใช้นิ้วนวดเบาๆ วนเป็นวงกลมจากคางไล่ขึ้นไปถึงหน้าผาก ปิดท้ายด้วยการใช้ฝ่ามือกดใบหน้าเบาๆ ให้ครบทุกจุด




 

Create Date : 23 มีนาคม 2553    
Last Update : 23 มีนาคม 2553 7:55:01 น.
Counter : 531 Pageviews.  

กิน "พืชผักผลไม้" ช่วยคลายร้อน





ตามหลักการแพทย์แผนไทยนั้นเชื่อว่า พืชผักที่ออกตามฤดูกาลมีสรรพคุณป้องกันและรักษาโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูได้ เช่น หน้าร้อน มักจะมีอาการวิงเวียน อ่อนเพลีย คอแห้ง กระหายน้ำ ร้อนใน ท้องผูก ดังนั้น พืชผักผลไม้ที่มีรสขมเย็น เปรี้ยว หรือจืด จะช่วยลดความร้อนในร่างกาย แก้กระหาย และช่วยให้เจริญอาหาร ซึ่งตรงกับหลักการแพทย์แผนจีนที่แนะนำให้รับประทานอาหารที่ให้ความเย็นแก่ร่างกาย (แต่ไม่ใช่น้้ำแข็ง หรือไอศกรีมนะคะ)

มาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าพืชผักผลไม้ที่ช่วยแก้กระหาย และหาได้ง่าย ๆ ยามนี้ แถมราคาถูก มีอะไรกันบ้าง

พืชผักดับร้อน

มะระ เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย บรรเทาอาการร้อนใน แก้อักเสบ เจ็บคอ

สะระแหน่ เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการหวัดลมร้อน

ชะอม ช่วยลดความร้อนในร่างกายขับลมในลำไส้

ถั่วเขียว มีฤทธิ์ขับร้อนใน แก้กระหาย ขับปัสสาวะ

ผักกาดขาว ช่วยแก้ร้อนใน ป้องกันมะเร็ง

ปวยเล้ง เป็นยาเย็น ช่วยขับร้อน แก้กระหาย

แตงกวา ขับปัสสาวะ แก้ไข้ กระหายน้ำ ไฟลวก ถ่ายพยาธิ แก้ท้องเสีย

ตำลึง ดับพิษร้อนภายในร่างกาย ลดอาการไข้ เป็นยาระบายอ่อน ๆ

ใบบัวบก บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้ร้อนในกระหายน้ำ อ่อนเพลีย ช่วยรักษาอาการฟกช้ำ ช่วยให้เลือดกระจายตัว แก้ช้ำใน ความดันโลหิตสูง ป้องกันมะเร็ง

ฟักเขียว มีฤทธิ์เย็น ช่วยถอนพิษ ขับร้อนในร่างกาย แก้ธาตุพิการ ขจัดเสมหะ ขับปัสสาวะ บำบัดอาการบวมน้ำ ไอ หอบ แก้บิด เบาหวาน และบำบัดโรคที่เกี่ยวกับระบบเลือด

ผักบุ้ง บำรุงกระดูกและฟัน บำรุงเลือด ลดไข้ แก้เบาหวาน แก้ร้อนใน บำรุงสายตา

หัวไชเท้า ล้างพิษภายใน ดับพิษร้อน บำรุงไต ขับปัสสาวะ ละลายนิ่ว

สายบัว ลดอาการเกร็งขอลำไส้ และกระเพาะอาหาร ลดความเครียดทางสมอง บรรเทาอาการท้องผูก ขับปัสสาวะ ดับพิษ ร้อนในกาย

กระเจี๊ยบ แก้โรคพยาธิตัวจี๊ด แก้ไอ แก้เสมหะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ละสายไขมันในเส้นเลือด แก้กระหายน้ำ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร

มะเขือเทศ ช่วยดับกระหาย ทำให้เจริญอาหาร บำรุงกระเพาะอาหาร ลำไส้ ไต ให้ทำงานได้ดี ช่วยขับพิษและสิ่งคั่งค้างในร่างกาย และเป็นยาระบายอ่อน ๆ

กระจับ เป็นยาเย็น ช่วยดับร้อน ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว และแก้พิษจากการดื่มสุรา

ผลไม้ดับกระหาย

มะม่วง ดับกระหาย ละลายเสมหะ แก้อาการไอ คลื่นไส้อาเจียน ขับปัสสาวะ ช่วยให้เลือดลมของสตรีเป็นปกติ

แตงโม บำรุงร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร รักษาไต บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ลดความดันโลหิต ลดความร้อนในร่างกาย แก้กระหายน้ำ

มะเฟือง ช่วยลดอุณหภูมิความร้อนภายในร่างกาย ปวดศรีษะ บรรเทาอาการไอ และนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

ลูกตาล ช่วยละลายเสมหะในลำคอ บรรเทาอาการไอ แก้กระหายน้ำ ช่วยลดอุณหภูมิความร้อนในร่างกาย

แตงไทย ดับกระหาย ลดความร้อนในร่างกาย ขับปัสสาวะ และเป็นยาระบายอ่อน ๆ

ระกำ ป้องกันไข้หวัด ช่วยย่อยอาหารทำให้เจริญอาหาร แก้กระหายน้ำ

ลองกอง ลดอุณหภูมิความร้อนภายในร่างกาย แก้อาการร้อนใน ทำให้ชุ่มคอ

ลางสาด ละลายเสมหะ ทำให้ชุ่มชื่น เป็นยาลดไข้ แก้ท้องเสีย

ชมพู่ บำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่น เป็นยาลดไข้ แก้ท้องเสีย

กระท้อน ชุ่มคอแก้กระหายน้ำ และลดอาการเจ็บคอ

ส้มโอ ช่วยในการขับถ่ายและขับสารพิษแก้อาการท้องอืด ช่วยระบายความร้อนในร่างกาย ผ่อนพิษไข้

ลิ้นจี่ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงอวัยวะภายในและระบบปราสาท แก้กระหายน้ำ

สับปะรด แก้กระหาย ช่วยย่อยอาหารลดความร้อนในร่างกาย ลดความเสี่ยงการเป็นโรคไต และความดันโลหิตสูง แก้อาการบวมน้ำของร่างกาย ขับปัสสาวะ

แห้ว ช่วยบำรุงร่างกาย แก้กระหายน้ำ ต่อต้านแบคทีเรียได้ดี ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก แก้อาการพิษเนื่องจากดื่มสุรา

อ้อย ช่วยบำรุงร่างกาย ลดอุณหภูมิความร้อนภายในร่างกาย บรรเทาอาการกระหายน้ำ ช่วยย่อยอาหาร แก้คลื่นไส้ อาเจียน

มังคุด ช่วยลดความร้อนภายใน แก้กระหายน้ำ ช่วยเพิ่มเมือกภายในลำไส้และกระเพาะทำให้ถ่ายคล่อง

กล้วย แก้ความดันโลหิตสูง ลดภาวะความเป็นพิษของร่างกาย ช่วยให้ปอดชุ่มชื่นและแก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี

เลือกซื้อเลือกหามารับประทานกันตามชอบใจนะคะ จะทานสด ๆ หรือปรุงเป็นอาหาร หรือคั้นน้ำดื่ม ก็แล้วแต่สะดวกค่ะ



ข้อมูลจาก health.kapook




 

Create Date : 23 มีนาคม 2553    
Last Update : 23 มีนาคม 2553 7:53:50 น.
Counter : 569 Pageviews.  

คนรักกันเขาจะไม่ทำแบบนี้

พร้อมที่จะรักใครหรือยัง ? ถ้าพร้อมแล้วคุณก็รู้ใช่ไหมว่า เมื่อรักกันแล้ว คนรักกันอยู่ด้วยกันต้องเติมความชื่นใจให้กับชีวิตกันและกันใช่ไหม ? แต่ทำไมบางวันที่เราอยู่กับนรัก เรากลับรู้สึกว่าทำให้เราเจ็บหัวใจเหลือเกิน บางเรื่องเล็กๆ แต่สะกิดความรู้สึกได้มากมาย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากได้ความรักยืดยาวหรือกำลังมีรักครั้งใหม่
นี่คือ .. คำขอร้อง.. อย่าทำแบบนี้กับคนที่คุณรักเลย ..

มีอะไรก็เก็บไม่เคยพูดความในใจ
เวลาที่มีปัญหาแล้วคุณพูดคำว่า "เปล่า..ไม่มีอะไร" "ไม่เป็นไร" เราเชื่อว่านั่นไม่ได้แปลว่า "ไม่รู้สึก" แต่คุณพยายามเก็บความรู้สึกโกรธนั้นไว้อยู่ในใจ ที่เริ่มฟูมฟักกลายมาเป็นระเบิดเวลา ที่คุณจะไม่เหลือแม้แต่ความทรงจำของความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ก่อนที่จะเก็บกดเกินกว่าจะทน ค่อยๆ พูดกันด้วยเหตผล (ไม่แนะนำให้พูดขณะที่โกรธ เพราะแต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง) ลองคุยกันอย่างใจเย็น ไม่จำเป็นต้องบอกว่าคุณถูก เขาผิด แต่ให้บอกว่าคุณเสียใจ ที่เขาทำแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องโทษกัน แต่ควรเปิดใจและรับฟังต่อกันไม่ได้แนะให้สาดอารมณ์ให้กัน แต่ ... ควรเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่ออยู่ด้วยกัน

อยากให้เธอรู้สึกเจ็บซะบ้าง

จะเป็นเพราะว่าเขาทำคุณเจ็บใจอยู่บ่อยๆ หรือคิดประชดทำให้สะใจไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ความคิดอย่างนี้ก็วนอยู่ในหัวของคุณตลอดเวลา ทำให้คุณกลายเป็นใครสักคนที่ขอให้ฉันได้มีโอกาสพูดจิก ประชด ทำอะไรก็ได้ ให้เธอได้รู้ว่าความเจ็บเป็นอย่างไร ใช่ ... ทำแล้วรู้สึกสาแก่ใจ นาทีแรกคือความสะใจ นาทีต่อไปคุณคือคนที่เสียใจ เพราะคนนั้นคือคนที่หัวใจคุณรักไม่ใช่หรือ?? ปล่อยความเจ็บ ปล่อยความแค้นออกไปซะเถอะ ไม่เคยมีใครใช้วิธีนี้ประท้วงความรักแล้วได้ผลสักคน

ไม่ใส่ใจ .. ไม่ให้ความสำคัญ

มีคนเถียงขึ้นมาทันทีว่า "สำคัญนะ .. แต่รอก่อนได้นี่ " " คนรักของเราจึงถูกจัดเข้าหมวดหมู่ "สำคัญแต่ไม่ด่วน" ไม่รู้ตัว เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องที่มาก่อนเสมอ คนของเราเป็นคนกันเอง พูดกันได้อยู่แล้ว ผิดนัดกับเพื่อนไม่ได้ นั่นคือสิ่งสำคัญ ผิดนัดกับแฟน นั่นคือสิ่งที่ต้องเข้าใจ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ทำแบบนี้ วันหนึ่งแฟนของคุณจะบอกว่า "งั้นเราเป็นเพื่อนกันดีกว่า เพราะดูแล้วเธอจะดูแลเพื่อนดีกว่าแฟน"

ไม่ได้ว่าอะไร แต่ทำให้รู้สึกผิดตลอดเวลา

ไม่... คุณไม่คยต่อว่าเขาเลย เวลาเขาผิดนัด แล้วยังบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก แค่ฉันยอมทิ้งนัดลูกค้ามานั่งรอคุณเท่านั้นเอง" เวลาที่คุณป่วย แล้วเขาไม่ว่างมาดูแลคุณ ก็ไม่เคยโกรธ แต่คุณจะโทร.เรียกเพื่อนชายคนสนิทมาลากคุณไปโรงพยาบาล แล้วบอกเขาว่า "ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เพื่อนมาส่งแล้ว เขามีเวลาให้ฉันเสมอ" เห็นไหมล่ะ..คุณไม่ได้ว่าอะไรเลย แต่คุณกำลังทำให้คนรักของคุณรู้สึกว่าเป็นคนไม่ได้ความ ไม่มีความรับผิดชอบเท่านั้นเอง และถ้ารู้สึกแบบนี้อยู่บ่อยๆ จากวันที่บอกว่าขอโทษก็จะมีวันหนึ่งที่เค้าบอกว่า ..ถ้าอย่างนั้น..ไม่มีเขา..ก็คงจะดีซะกว่า !!

หักหน้าตลอดเวลา

ถึงแม้ในโลกนี้จะไม่มีใครเพอร์เฟ็คท์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนรักของคุณจะไม่ได้ความไปซะทุกเรื่อง เวลาคนอื่นพูด เราฟัง แต่เวลาที่คนรักของเราพูดบ้าง กลับหันไปบอกว่า "เงียบๆ ไปเลย" เวลาเขาเสนอความคิดเห็น จะมีคำพูดติดปากกลับไปเสมอว่า "คุณไม่รู้เรื่องหรอกน่า" ไม่ว่าใครทำใส่ใจ ก็ถือเป็นหารไม่เคารพความสามารถของเขาทั้งนั้นล่ะ

เรายังรักกันอยู่ใชไหม
ถ้าเมื่อไรที่คุณรักกันอยู่ แต่เกิดคำถามนี้ขึ้นในใจ ไม่ต้องถามใคร ให้ถามตัวคุณเองทั้งคู่ว่าคุณให้ความเชื่อมันต่อกันอย่างไร คุณลืมที่จะบอกคู่รักของคุณหรือเปล่าว่าคุณรักเขามากแค่ไหน? ใครจะเถียงว่าแค่คำว่ารักไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันหรอกนะว่าจะรัรกกันตลอดไป ไม่พูดก็ได้ แต่อย่าลืมแสดงความรู้สึก แสดงความเอื้ออาทร ให้เขารู้ว่าเรารักเขามากแค่ไหน ... เราทุกคนต้องการความมั่นใจในรักเสมอล่ะ

โกหก

คนรักกัน อภัยให้กันได้เสมอ ไม่มีความผิดใดที่เราจะให้อภัยคนที่เรารักไม่ได้ !! แต่ขอให้จริงใจต่อกัน อย่าโกหกกัน กับคำที่ว่า ไม่อยากบอก เพราะไม่อยากให้ไม่สบายใจ มันแค่คำแก้ตัวที่ทำให้รู้สึกแย่น้อยลงไปเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ... จริงใจและเปิดเผยต่อกัน นั่นคือการให้เกียรติคนรักเราอย่างมากที่สุดแล้ว





ที่มา ... CLEO




 

Create Date : 23 มีนาคม 2553    
Last Update : 23 มีนาคม 2553 7:53:40 น.
Counter : 496 Pageviews.  

ท่วงท่าที่น่ามองและปลอดภัย

สาวๆ ยุคใหม่ต้องปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพของตัวเองให้มีประสิทธิผลเรื่องการยอมรับ การออกสังคม หลายคนจึงเข้าใจเอาว่า ท่าทางที่คล่องแคล่วแข็งขัน น่าจะเป็นท่าทางที่ดี มีความเป็นผู้นำ บางคนมุ่งเน้นไปที่ท่าทีภายนอก ว่าจะต้องแคล่วคล่องงามสง่าทั้งวัน จึงอาจมีการเกร็งกล้ามเนื้อกระดูกสันหลัง และเคลื่อนไหวอย่างฝืนธรรมชาติ ได้ผลทางด้านความสง่า แต่มีผลร้ายทางสุขภาพอย่างนี้ไม่ดีแน่ค่ะ
ปัจจุบันสาวยุคใหม่วัยทำงาน มีแนวโน้มปวดเมื่อยสูงขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะอาการปวดหลังมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดข้อ โดยมีสาเหตุจากหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ น้ำหนัก ความเครียด การสูบบุหรี่ อาหารที่รับประทาน รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน โดยรวมแล้ว อาการปวดกล้ามเนื้อนั้น มักเป็นผลมาจากกิจวัตรประจำวันมากที่สุด โดยเฉพาะอาการที่เกิดจากภาวะการเกร็งของกล้ามเนื้อในระยะเวลานานๆ วิธีแก้ คือ ต้องเรียนรู้การวางท่าทางให้ถูกต้อง รับประทานวิตามินบี จะช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ และในขณะเดียวกัน ควรเรียนรู้การวางท่าทางให้ถูกวิธีเพื่อบุคลิกภาพและสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้าค่ะ ลองทำตามคำแนะนำนี้ดูนะคะ

นั่งทำงาน
นั่งทำงานทั้งวันอาจจะปวดหลังกันได้ วิธีแก้เริ่มจากเวลานั่ง ลำตัวต้องตรง เก้าอี้ที่นั่งเวลานั่งแล้วต้องรู้สึกสบายและสมส่วน หัวเข่างอระหว่าง 90-150 องศา ถ้าต่ำไปให้หาที่วางเท้ามาเสริมค่ะ เก้าอี้ต้องมีพนักพิงหลังรองรับโดยความสูงต้องไม
่ต่ำกว่าบริเวณกระดูกสะบัก แต่ถ้านั่งแล้วหลังไม่แตะพนักพิง ให้แก้ได้โดยหาหมอนอิงมาวางไว้ด้านหลัง เก้าอี้ต้องมีพนักวางแขน เพื่อช่วยรองรับข้อศอกค่ะ

นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์
การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี คือ ต้องนั่งหลังตรงแต่ต้องไม่เกร็ง ให้หลังพิงพนักเก้าอี้ ปล่อยหัวไหล่ตามสบาย วางแขนไว้กับพนักเก้าอี้ ศีรษะตั้งตรง ตั้งจอคอมพิวเตอร์ในระดับสายตา และวางเอกสารในระดับที่มองเห็นได้ง่าย และเวลามองคอมพิวเตอร์ควรกระพริบตาบ่อยๆ เพื่อกันไม่ให้แสงจากคอมพิวเตอร์เข้าตามากเกินไป พร้อมกันนี้ควรพักสายตาเป็นระยะๆ อย่างน้อย 5 นาทีทุกๆ ชั่วโมงที่ใช้คอมพิวเตอร์ ที่สำคัญเวลาทำงานอย่าเผลอยกไหล่โดยเฉพาะเวลาพิมพ์คอมพิวเตอร์แล้วคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย โดยการใช้ใบหน้าหนีบโทรศัพท์มือถือไว้กับหัวไหล่ จะนำมาซึ่งปัญหาที่ข้อไหล่ และคอ ตามมานะคะ

การถือแฟ้มเอกสาร
เวลาเดินถือแฟ้มเอกสาร ไม่ควรถือเอกสารด้วยแขนข้างเดียว เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดแขน และตามมาด้วยอาการปวดคอ และปวดไหล่ในที่สุดค่ะ เนื่องจากกล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป หรือที่เห็นบ่อยๆ คือการหนีบแฟ้มข้างลำตัว นอกจากจะทำให้เสียบุคลิกดูไม่สวยงามแล้ว ยังมีผลต่อกระดูกสันหลัง อาจทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณหลังได้ ฉะนั้นวิธีเดินถือแฟ้มเอกสารที่ถูกต้อง ควรอุ้มประคองแฟ้มเอกสารไว้ที่หน้าอก เพราะจะทำให้บริเวณ คอ บ่า ไหล่ ทำงานน้อยลงค่ะ

การขับรถ
ไม่ควรนั่งขับรถชิดหรือห่างพวงมาลัยมากเกินไป ควรนั่งให้บริเวณหลังสัมผัสกับเบาะนั่งอยู่ตลอด แนวหลัง ลำตัว สามารถโน้มเอียงได้อย่างคล่องตัว

การยืนและการเดิน
ต้องถ่ายน้ำหนักลงที่เท้าทั้งสองข้างเท่าๆ กัน ลำตัวตั้งตรง ไม่ต้องเกร็ง อกผายไหล่ผึ่ง ร่างกายจะจัดความสมดุลได้เองค่ะ เมื่อเริ่มต้นเดิน ก้าวเท้าข้างใดข้างหนึ่งไปข้างหน้า ลำตัวยังต้องตั้งตรงเช่นเดิม ผ่อนคลายร่างกายด้วยการแกว่งแขนตามสบาย แต่วงของการแกว่งอย่ากว้างจนเกินไป ความกว้างของการก้าวก็ต้องพอเหมาะพอดีกับความยาวของช่วงขา งอเข่าเล็กน้อยเมื่อยกเท้าก้าว ตามองตรง และเพื่อไม่ให้เป็นผลร้ายกับกระดูกสันหลัง อย่าถือหรือหอบของพะรุงพะรัง อย่าสะพายกระเป๋าที่มีน้ำหนักมากจนเกินไป รองเท้าที่เลือกสวมต้องไม่คับหรือหลวมหรือมีส้นสูงจนมีผลต่อการทรงตัว ทำให้การทรงตัวไม่ดีนะคะ

การนอน
ท่านอนคนเราส่วนใหญ่ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ท่า คือ นอนหงาย นอนคว่ำ และนอนตะแคง ซึ่งการนอนตะแคงดูจะเป็นท่าที่นิยมสุด และเราก็มีวิธีนอนอย่างไรไม่ให้ปวดหลังมาฝากกันด้วยค่ะ
เริ่มจากต้องเลือกหมอนที่ไม่สูงหรือต่ำไป ไม่แข็งหรือนุ่มจนเกินไป เพื่อป้องกันการปวดคอเมื่อตื่นขึ้นมา เพราะหมอนที่สูงเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอยืดอยู่ตลอดเวลา ควรเลือกหมอนที่เวลานอนลงแล้วอยู่ในระดับเดียวกับคอ เวลานอนตะแคงข้าง ควรมีหมอนข้าง เพื่อปรับระดับกระดูกสันหลังไม่ให้ไปกดสันหลังมากเกินไป ป้องกันการปวดหลัง แขนหรือข้อศอกก็ต้องงอเล็กน้อยป้องกันการกดทับของหัวไหล่ ส่วนสะโพกและหลังต้องยืดตรงไม่บิด ขายืด งอเล็กน้อย

คุณสาวๆ ที่มักนอนหงาย ควรหาวัสดุอาจจะเป็นหมอนเล็กๆ หรือผ้าขนหนูม้วนบางๆ มารองไว้บริเวณรอยคอดเอว และใต้เข่า เพื่อยึดกล้ามเนื้อและงอเข่าเล็กน้อย

สำหรับสาวที่ชอบนอนคว่ำ หลังจะแอ่นขณะนอน ดังนั้นจึงควรหาหมอนเล็กๆ มารองบริเวณเอว ส่วนข้อเท้าให้ใช้ผ้าขนหนูม้วนมาวางรองเท้า นอกจากนี้สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจหรือหลอดเลือด ไม่ควรนอนในท่านี้ เพราะอาจไปกดทับทางเดินหายใจหรือหลอดเลือด ทำให้หายใจไม่สะดวกได้



เรื่องของบุคลิกภาพนั้นเป็นเรื่องที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นการปรุงแต่งที่ดูแข็งขืนค่ะ ดังนั้น ความเข้าใจว่า เราต้องเก๊กท่าทางอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดทั้งวันจึงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ไม่ใช่ความสง่าแต่เป็นการเก๊กท่าที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ ยิ่งมาผนวกเข้ากับความรู้เรื่องกระดูกและอาการปวดหลังเข้าแล้วด้วย ท่วงท่าที่ถูกต้องในกิจกรรมต่างๆ นั้น จะช่วยให้เกิดบุคลิกภาพที่ดีพร้อมกับสุขภาพที่ดีได้ด้วยค่ะ





 

Create Date : 17 มีนาคม 2553    
Last Update : 17 มีนาคม 2553 4:54:52 น.
Counter : 411 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  

Kanphicha
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ที่มาของคำว่า Kefir By รัญรักษ์
ไม่ใช่ชื่อยี่ห้อ ไม่ใช่เครื่องหมายการค้า
แต่เป็นชื่อพ่อและแม่ของกานต์เองค่ะ
เมื่อกานต์ทำบุญครั้งใด ก็จะยกกุศลทั้งหมดให้พ่อและแม่
การแจกจ่ายบัวหิมะให้คนอื่นๆ
ถือเป็นการทำบุญอีกคร้งหนึ่ง
กานต์ขอยกกุศลผลบุญทั้งหมดให้บุพการีที่เป็นที่รักของกานต์ทั้งสองท่าน โดยการตั้งชื่อท่านทั้งสองในการแจกจ่าย Kefir นะคะ
free counters
Friends' blogs
[Add Kanphicha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.