อากาศแปรปรวน ต้นไม้ก็รวนเร
นี่ก็ย่างเข้ากลางเดือนมิถุนายนแต่ภาพรวมเรื่องฝนเรื่องฟ้าดูจะน้อยหน้ากว่าสามสี่ปีที่ผ่านมาเพราะปริมาณน้ำฝนที่บรรจุลงสู่เขื่อนไม่เพียงพอต่อการทำไร่ไถนาของพี่น้องเกษตรกรรัฐบาลโดยการนำของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีมาตรการออกมาว่าในห้วงช่วงนี้ห้ามมิให้เกษตรกรทำนาให้กล้ำกลืนฝืนทนจนกว่าจะมีพายุลูกใหม่ในอนาคตเข้ามา แล้วจะต้องภาวนาให้ไปตกเหนือเขิ่อนที่มีแต่พืชไร่ ข้าว อ้อย ข้าวโพด สมมุติว่าฝนตกลงมาน้ำก็จะบ่าไหลรี่ปรี่ลงสู่เขื่อนอย่างรวดเร็วเพราะหน้าดินที่ตื้นจากพืชไร่ ไฉนจะเหมือนรากของสักทอง ตะแบก เหียง เต็ง รัง มะค่าฯลฯที่สามารถใช้รากแก้วทิ่มแทงทะลุทะลวงดำดิ่งลึกลงไปให้หน้าดินสามารถกักเก็บน้ำได้มากกว่า70 % ของปริมาณน้ำฝนทั้งปีที่เฉลี่ยออกมาได้ประมาณ 800,000 ล้านลูกบาศก์เมตร อากาศของทั้งโลกที่แปรปรวนทำให้สรรพสิ่งหลายอย่างในผืนโลกต่างก็รวนเรไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของคนสัตว์และพืช คน และสัตว์นั้นก็น่าจะได้รับผลกระทบรับความเดือดร้อนเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วม ฝนแล้ง ไม่น่าจะแตกต่างกันมากส่วนพืชนั้นแม้ว่าจะดูเงียบเรียบเฉยไม่สามารถที่จะกระดิกพลิกตัวเคลื่อนย้ายเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้แต่ก็ฟ้องแสดงออกมาทางสีของใบเมื่อไม่ได้รับแร่ธาตุและสารอาหารที่เพียงพอหรือบางครั้งก็มีสาเหตุจากโรคแมลงรบกวนจวนจบให้พืชพบกับอาการที่ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม จากสีเขียวเป็นสีเหลือง แล้วค่อยๆออกส้มออกแสดแปดป่ายส่ายสลับกับน้ำตาลจนอันตรธานผ่านพ้นไปจากลำต้น สภาพอากาศที่เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน เดี๋ยวน้ำท่วม เดี๋ยวฝนแล้งพืชก็จะมีโรคที่หลากหลายสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนออกมาท้ายทายให้คนได้ยลและแก้ไขไม่ว่าจะเป็นโรครากเน่าโคนเน่า โรคใบดำ ใบด่าง ใบจุ ใบเหลือง ใบซีด ใบหงิกหยิกหยอยหรือสาเหตุของโรคที่ร้อนขึ้นทำให้แมลงศัตรูพืชมีการเพิ่มจำนวนระบาดกระจัดกระจายไปในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในห้วงช่วงปี 2553, 2554 ที่มีการระบาดของเพลี้ยไปทุกหย่อมหญ้าจนมีพระอาจารย์ดังจากวัดแถวสุพรรณบุรีต้องออกมาสร้างยันต์กันเพลี้ยออกมาช่วยพี่น้องเกษตรกรชาวนาให้ไปปักไว้ตามหัวไร่ปลายนาก็มีมาแล้ว ความจริงการที่จะช่วยให้พืชมีภูมิคุ้มกันทานทนต่อโรคแมลงเพลี้ย หนอนไร ราและสภาพภูมิอากาศก็สามารถที่จะทำได้แล้วนะครับ ถึงแม้ว่าจะช่วยไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อย่างน้อยก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาจากการใช้กลุ่มของหินแร่ภูเขาไฟ (Zeolite) ที่นักวิชาการทั่วโลก (Silicon InAgriculture 2011) ต่างก็มุ่งไปในเรื่องของการใช้หินแร่ภูเขาไฟให้พืชมีสภาพทนทานต่อพื้นที่ดินเค็มอากาศร้อนจัด หนาวจัด แตกต่างจากปี ค.ศ. 1999 ที่ต่างคนต่างก็คิดแต่จะนำเอาแร่ธาตุซิลิก้าจากหินแร่ภูเขาไฟหรือในแหล่งต่างๆมาช่วยทำให้พืชแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันนับว่าหินแร่ภูเขาไฟนั้นมีบทบาทที่โดดเด่นเป็นอย่างมากในเรื่องของการนำมาใช้ในการปรับปรุงสภาพดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ ช่วยทำให้ดินมีแร่ธาตุสารอาหารที่ครบถ้วนเสริมจากการใส่ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกปุ๋ยอินทรีย์และเคมี มีหน้าที่ในการกักเก็บอุ้มน้ำอุ้มปุ๋ยด้วยค่า C.E.C.(CatchIon Exchange Capacity) ทำหน้าที่ปลดปล่อยแร่ธาตุซิลิคอน (H4Sio4) ทำให้ผนังเซลล์ของพืชแข็งแรงต้านทานแมลงศัตรูพืชและโรคต่างๆ การใช้หินแร่ภูเขาไฟ (พูมิช [Pumish],พูมิชซัลเฟอร์[Pumish Sulpher], ม้อนท์โมริลโลไนท์ [Montmorillonite], ไคลน็อพติโลไลท์[Clinoptilolite] ) ในอัตราเพียง 20-40 กิโลกรัมต่อไร่ก็จะช่วยให้พืชมีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงโรคแมลงเข้าทำลายได้น้อย หรือไม่แสดงอาการทำให้พี่น้องเกษตรกรบริหารงานบำรุง ดูแลรักษา แก้ปัญหาที่ปลายเหตุได้ง่ายขึ้น มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
Create Date : 29 กันยายน 2558 |
Last Update : 29 กันยายน 2558 17:03:58 น. |
|
0 comments
|
Counter : 438 Pageviews. |
|
|
|