เทคนิคการดูแลบำรุงรักษามะนาวให้ออกดอกติดผลได้ตลอดทั้งปี
พูดถึงมะนาวในยุคนี้ก็ดูจะอยู่ในกระแสที่ผู้คนชนทั่วไปให้ความสนใจไม่น้อยและตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา หลังจากน้ำท่วมกระแสเกี่ยวกับมะนาวแพงในฤดูแล้งหรือจะเป็นทอล์คออฟเดอะทาวที่ท่านผู้นำให้ผู้คนหันมาสนใจให้ความสำคัญเกี่ยวกับการปลูกมะนาวไว้กินกันเองในครัวเรือนจะได้ไม่เดือดร้อนเกี่ยวเรื่องของมะนาวที่แพงจนเป็นข่าวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันมีหลายหน่วยงานที่จัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ที่ต้องการปลูกมะนาวเท่าที่ทราบคนที่รวยไปก่อนแล้วก็คือผู้ที่ค้าขายกิ่งพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นชนิดกิ่งตอน ติดตา เสียบยอด ทั้งต้นตอสมโอ มะขวิด ส้มทรอยเยอร์หรือจะเป็นสารพัดส้มที่ดูแล้วทำให้ต้นพันธุ์ดูแล้วมีลักษณะที่ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อยอาจจะเป็นด้วยลักษณะของสภาพแวดล้อม การเจริญเติบโตของรากที่หาอาหารได้เก่งมากขึ้นจึงทำเซียนมะนาวที่ขายกิ่งพันธุ์นำมาจำแนกแยกแบ่งว่าเป็นพันธุ์ใหม่ซึ่งก็มีผู้ที่ให้ความสนใจไช่ว่าจะน้อยเสียเมื่อไร โดยที่ความจริงแล้วการที่นักวิทยาศาสตร์หรือผู้เชี่ยวชาญเรื่องสายพันธุ์กว่าจะพัฒนาให้ได้พันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์นานาชนิดที่ใหม่ๆออกมาล้วนแต่ต้องใช้ระยะเวลาหลายสิบปีทดสอบแล้วทดสอบอีกเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่จริงๆไม่ใช่เอาพันธุ์ไปเสียบยอดมะขวิดแล้วลักษณะการเจริญเติบโตของผลใหญ่กว่าต้นแม่นิดหน่อยก็ตั้งชื่อพันธุ์ใหม่หรือใช้เป็นกิ่งตอนที่เจริญเติบโตเร็วก็ตั้งชื่ออีกพันธุ์หนึ่งแต่ถ้าให้เซียนมะนาวลองนำมาทดสอบเปรียบเที่ยบกันดู เชื่อว่าร้อยละ 90 ไม่สามารถที่จะแยกแยะสายพันธุ์ได้อย่างชัดเจนหรือพูดออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำเพราะรูปร่างสัณฐานดูละม้ายคล้ายคลึงกันไปหมดแทบไม่มีความแตกต่าง จะแตกต่างอยู่บ้างก็ตรงชื่อของสายพันธุ์ที่เจ้าของเป็นผู้ตั้งเองขึ้นมาใหม่กับราคาที่สูงกว่าหรือเกือบเท่าๆ กับค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยเรา ความจริงแล้วมะนาวเกือบทุกสายพันธุ์ในบ้านเรานั้นสามารถที่จะผลิดดอกออกผลได้ตลอดทั้งปีเพราะเป็นพืชที่จัดอยู่ในหมวดหมู่ของพืชที่มีดอกผลหลายรุ่นในต้นเดียวกัน ถ้าเรามองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมานานแสนนานตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดและค่อยๆคิดค่อยๆ นึก ก็จะพอเห็นภาพลางๆ ว่า แท้จริงแล้วมะนาวที่อยู่คู่ครัวไทยมานานแสนนานนั้นก็เป็นมะนาวที่ผลิดอกออกผลได้ตลอดทั้งปีเพียงแต่ว่าเขาปลูกประจำหัวไร่ปลายนา ปลูกไว้หน้าบ้านหลังบ้านเพียงต้นสองต้นอยู่ผสมกลมกลืนกับพืชไร่ไม้ผลชนิดอื่นๆ ที่ปัจจุบันเขาเรียกรวมๆกันว่าไร่นาสวนผสมเวลาจะทำกับข้าวทำน้ำพริก ปู่ย่าตายายหรือพ่อแม่ก็จะตะโกนให้ลูกหลานไปเก็บพริกมะนาว เอามาโขลกมาแกง แว่บหายไปพักเดียวประเดี๋ยวมาก็ได้สิ่งของทุกอย่างตามต้องการไว้กว่าออกไปซื้อหาซุปเปอร์มาร์เก็ตนอกบ้านอีกเพราะเขาเอาซุปเปอร์มาร์เก็ตมาไว้ในบ้านนั่นเอง แต่มะนาวที่ผลิดอกออกผลได้ตลอดทั้งปีนั้นมักจะอยู่ในจุดที่เหมาะสมมีน้ำล้างจาน หรือน้ำที่ชำระล้างกับข้าวกับปลาแล้วสาดออกไปจากครัวไทยสมัยก่อนที่เป็นเรือนสูงมีใต้ถุนได้รับน้ำ รับปุ๋ยแบบเจ้าของไม่รู้ตัวตลอดทั้งปี จนเกิดความอุดมสมบูรณ์กับต้นมะนาวพร้อมต่อการติดดอกออกผลอยู่เสมอ มะนาวที่ได้รับแร่ธาตุและสารอาหารที่เพียงพอเหมาะสม และอยู่ในดินที่มีค่าความเป็นกรดและด่างที่พร้อมต่อการละลายแร่ธาตุและสารอาหารไม่บล็อก ไม่ตรึง จับยึด ปุ๋ยหรืออาหารจากสภาพดินที่เป็นกรดหรือด่างจัดเกินไปก็จะช่วยให้ได้มะนาวทะวาย หรือมะนาวที่ผลิดอกออกผลได้ตลอดทั้งปี การที่จะปลูกมะนาวในลักษณะนี้ได้ถ้าแนะนำก็อยากจะบอกว่าสามารถทำได้นะครับ แต่น่าจะต้องเริ่มต้นจากพื้นที่เล็กๆดูแลได้ทั่วถึง อย่างเช่น หนึ่งงาน หนึ่งไร่ และสูงสุดต่อหนึ่งครอบครัวไม่ควรเกิน 5ไร่ ในเรื่องน้ำถ้าเป็นฤดูแล้งหรือห่างไกลทุรกันดานแหล่งชลประทานนอกจากจะทำสระน้ำประจำไร่นาแล้ว ก็อาจจะใช้สารอุ้มน้ำโพลิเมอร์ในอัตรา 1 กิโลกรัมนำไปแช่น้ำในถัง200 ลิตร ทิ้งไว้ 2 3 ชั่วโมง หรือถ้ามีเวลามากๆ ก็หนึ่งคืนรอจนพองขยายตัวได้เต็มที่ คือประมาณ 200 300 เท่าแล้วนำมากลบฝังใต้หรือรอบทรงพุ่มก็จะสามารถสร้างความชุ่มชื้นให้แก่มะนาวได้ตลอดทั้งปี แร่ธาตุและสารอาหารต่างๆที่จะนำมาเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ก็อาจจะใช้หินแร่จากธรรมชาติ (MineralVolcanic Rock) อย่างหินแร่ภูเขาไฟ พูมิชซัลเฟอร์ (Pumish Sulpher) ที่มีคุณสมบัติพร้อมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารทั้งฟอสฟอรัสโพแทสเซียม แคลเซ๊ยม แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก ทองแดง แมงกานีส สังกะสี โบรอนโมลิบดินั่ม นิกเกิล ไททาเนียม และซิลิก้าที่ละลายน้ำได้ จะขาดก็แต่เพียง ไนโตรเจนถ้าใช้ไปพร้อมๆกับปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกก็จะทำให้ดินนั้นมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอต่อการที่จะทำให้มะนาวออกดอกติดผลได้ตลอดทั้งปีเช่นเดียวกันการใช้หินแร่ภูเขาไฟไปนานๆ ก็จะเหมือนเป็นการจำแลงแปลงผืนดินของเราให้เป็นหินแร่ภูเขาไฟเหมือนเกาะบาหลีประเทศอินโดนีเซีย หรือพื้นที่รอบๆ ภูเขาไฟฟูจิ ของประเทศญี่ปุ่นที่มีนักท่องเที่ยวไปชื่นชมการเกษตรเชิงธรรมชาติปีหนึ่งหลายหมื่นหลายแสนคนเพราะทำการเกษตรแบบปลอดภัยไม่ใช้สารพิษ ในระยะยาวก็ไม่เกิดผลเสียแก่ดินเหมือนกับการใส่กลุ่มวัสดุปูนอย่างเช่นปูนมาร์ล ปูนขาว โดโลไมท์ ฟอสเฟต เพราะจะกลายเป็นการสะสมความเป็นด่างเข้าไปแทนที่จะมีข้อเสียอยู่บ้างก็ตรงที่ทำให้เงินในกระเป๋าของท่านลดน้อยถอยลง เมื่อลองเปรียบเทียบกับผลผลิตและรายได้จากการจำหน่ายแล้วสามารถนำไปใช้ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าไม่ว่าจะมองในระยะสั้นหรือระยะยาวนะครับเพราะหินแร่ภูเขาไฟนั้นสามารถที่จะย่อยสลายและค่อยๆปลดปล่อยตัวเองมาเป็นปุ๋ยละลายช้าไปทีละน้อย(Slow Release Fertilizer) ทำให้ดินนุ่มโปร่งฟูร่วนซุย เป็นปุ๋ยเป็นตู้เย็นเก็บอาหารให้รากพืชได้ดูดกินได้อย่างต่อเนื่อง.......อย่าลืมนะครับถ้าสนอกสนใจในเรื่องนี้เพิ่มเติมติดต่อสอบถามเข้ามายังสำนักงานส่วนกลางบางเขนกรุงเทพฯ .....เรื่องเกษตรปลอดสารพิษ ให้คิดถึงเราครับ มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
Create Date : 29 กันยายน 2558 |
| |
|
Last Update : 29 กันยายน 2558 16:38:47 น. |
| |
Counter : 739 Pageviews. |
| |
|
|