นิดหนึ่งนี้อุทิศแด่ชาวนา ผู้ต่ำต้อยน้อยหน้าเหลือแสน ลำบากยากจนข้นแค้น ไป่แม้นชาวฟ้ามหานคร โดย อ. ดีพร้อม ไชยวงศ์เกียรติ

สารพิษตกค้างไม่ใช่เฉพาะที่อาหาร....แต่อยู่ในระบบนิเวศน์ของธรรมชาติบ้านเราด้วย



สารพิษตกค้างไม่ใช่เฉพาะที่อาหาร....แต่อยู่ในระบบนิเวศน์ของธรรมชาติบ้านเราด้วย

ถึงแม้ว่ากระแสนิยมในเรื่องของพืชพันธุ์ธัญญาหารในรูปแบบที่ปลอดภัยไร้สารพิษจะมีมากขึ้นทุกขณะสังเกตุจากสื่อที่นำเสนอหลากหลายช่องทาง และจากผู้คนที่ร่วมโอภาปราศรัยตามงานบรรยายต่างๆรู้สึกว่ากลุ่มที่รัก และชอบในเรื่องความปลอดภัยในชีวิต ในเรื่องสุขภาพในเรื่องของระบบนิเวศน์ ในเรื่องของผืนดินแผ่นน้ำของประเทศไทยเราก็มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น.....ทำให้รู้สึกแอบภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ เหมือนกันว่า...ในอนาคตเยาวชนคนรุ่นใหม่ก็น่าจะหันมาใส่ใจให้ความสำคัญไม่แพ้ผู้คนชนยุคนี้

แต่จะอย่างไรก็ตามในห้วงช่วงนี้ก็ยังถือว่าเป็นยุคเปลี่ยนผ่านสัดส่วนแห่งความเป็นจริงถ้าดูจากตัวเลขการนำเข้าสารเคมีที่นำมาใช้ในการป้องกันกำจัดโรคแมลงจากต่างประเทศแล้วสัดส่วนก็ยังสูงอยู่มากปีหนึ่งๆ เกือบแสนล้านบาท (อ๊ๆไม่ใช่ตัวเลขมั่วนะครับ...สามารถไปสืบค้นดูได้จากสำนักงานสถิติการเกษตร) และก็จะมีสารเคมีที่เป็นอันตรายค่อนข้างรุนแรงที่หลายประเทศทั่วโลกเลิกไปใช้ไปแล้ว อย่างคลอไพรีควอท คาเบนดาซิม คาร์โบซัลแฟนฯลฯ แต่ในบ้านเรายังสามารถขายได้ โดยแอบขายหลังร้านทำให้อาหารที่ได้จากผลผลิตภาคการเกษตรมีสารพิษตกค้าง เพราะระดับพิษมีมากมากขนาดที่หลายประเทศเขายกเลิกการใช้ไปแล้ว....

นอกจากสารพิษที่เป็นอันตรายหนักๆจะตกค้างอยู่ในพืชผักผลไม้ไปยังโต๊ะอาหารแล้ว สารพิษส่วนเกินที่ถูกฉีด พ่น หว่านโปรย โรย รดลงไปสู่ผืนดินแผ่นน้ำ ทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อระบบนิเวศน์สภาพแวดล้อมในธรรมชาติ ทั้งไส้เดือน จุลินทรีย์ แอคติโนมัยซีท เต่า ตุ่น แมลงตัวดีตัวห้ำ ตัวเบียน ฯลฯอีกเยอะแยะมากมายที่ล้มหายตายไปจากผลพวงจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือการขาดความรับผิดชอบของผู้คนบางกลุ่มที่มุ่งแต่จะเอาผลผลิตแต่เพียงอย่างเดียวโดยขาดความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมและธรรมชาติที่เป็นทรัพยากรของประเทศไทยเรา วันนี้การทำเกษตรกรรมในรูปแบบที่ปลอดภัยไร้สารพิษ มีทางเลือกมากมายนะครับ .....มาทำเกษตรปลอดสารพิษกันเถอะ....นะครับ

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปอดสารพิษ www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2559   
Last Update : 15 พฤษภาคม 2559 15:26:43 น.   
Counter : 949 Pageviews.  

เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย อยู่อย่างไรให้รอด



เศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจไทย อยู่อย่างไรให้รอด

นับจากนี้ไปเราคงต้องหันกลับมาทบทวนเกี่ยวกับเรื่องของพลังงานโดยเฉพาะเรื่อง “น้ำมัน” กันอีกรอบแล้วนะครับหลังจากที่ถูกให้ปักใจเชื่อว่ามันเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่จะต้องหมดไปในระยะเวลาอันสั้น ทำให้หลายประเทศทั่วโลกในอดีตต่างใช้น้ำมันกันแบบจำกัดจำเขี่ยประหยัดกันแบบสุดๆบ้างก็กักตุนสำรองล่วงหน้ากันเป็นรายห้าปีสิบปีกันเลยทีเดียวตามแต่งบประมาณในท้องพระคลังของแต่ละประเทศจะเอื้ออำนวยเพราะว่ากันว่า “พลังงานจากซากฟอสซิล” “ทองคำดำ” นั้นมันจะหมดโลกไปจริงๆ

ราคาน้ำมันในห้วงช่วงที่เศรษฐกิจจีนร้อนแรง ปาเข้าไป 100-120 เหรียญต่อบาห์เรล แต่พอมีการขุดค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่เพิ่มขึ้น โดยสหรัฐอเมริกา(เชลล์แก๊ส) จากชั้นใต้หินดินดาน ขุดออกมาใช้มากขึ้นๆ จนปัจจุบันนั้นมีความคุ้มค่าต่อต้นทุนการผลิตราคาก็ต่ำกว่าการนำเข้าจากกลุ่มโอเปคแถบตะวันออกกลางแถมเป็นการทำให้คู่แข่งอย่างรัสเซียที่มีรายได้จากการขายก๊าซและพลังงานเป็นหลักมีรายได้ลดลงจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดน้อยถอยลงเหลืองเพียง 25-30 เหรียญต่อบาห์เรลในขณะนี้ หลายสิ่งหลายอย่างจึงแปรเปลี่ยนไป

ความต้องการน้ำมันที่น้อยลงโดยจีนเป็นผู้นำเพราะเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัว ไม่ร้อนแรงหวือหวาเหมือนช่วงที่กำลังเร่งเครื่องปั๊มตัวเลขทางเศรษฐกิจให้โตแบบก้าวกระโดดปัจจัยพื้นฐานทั้ง ข้าว อ้อย ปาล์ม ยางพารา แร่ธาตุ พลังงาน ก๊าซ น้ำมัน จีนก็ค่อยๆนำเข้าน้อยลงผนวกกับเศรษฐกิจยุโรป อเมริกาก็แย่พอๆ กัน ซ้ำเติมให้ความต้องการใช้น้ำมันจึงยิ่งน้อยลงไปอีก

ความต้องการใช้น้ำมันน้อยลง และแหล่งผลิตน้ำมันมีเพิ่มมากขึ้นโดยอเมริการาคาน้ำมันโลกจึงถดถอย พ่อค้าขายน้ำมันแถบตะวันออกกลางที่เคยร่ำรวยก็ยากจนลงเคยล่ำซำจากการขายน้ำมันที่ 100-120 เหรียญต่อบาห์เรล เหลือ 25-30 เหรียญต่อบาห์เรลนึกภาพตามเอาเองแล้วกันนะครับว่า ปกติเราเคยมีรายได้วันละ 100 บาทแล้วจู่ลดลงเหลือเพียงวันละ 25 -30 บาท เราจะกินอยู่อย่างฟุ่มเฟือยอีกได้หรือไม่เมื่อไม่ได้ประเทศที่ร่ำรวยจากการขายน้ำมันก็หยุดนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆนานา ซึ่งล้วนส่วนใหญ่ก็มาจากฝั่งบ้านเรานี่แหละครับทำให้ราคาสินค้าโดยเฉพาะภาคการเกษตรจึงหยุดทรุดตัวลงต่ำดำดิ่งดังที่เราๆ ท่านๆเห็นกันอยู่นี้เองแหละครับ จะปิดประเทศก็ใช่ที่ขนาด จีน เมียนมาร์ ที่ว่าแน่ๆ ยังต้องเปิดประเทศสร้างหนึ่งประเทศสองระบบมีแมวดำแมวขาวที่จับหนูเป็นให้เห็นมาก็หลายปีแล้วจนประเทศจีนเกือบจะแซงอเมริกาด้วยซ้ำในด้านเศรษฐกิจ นี่ขนาดเปิดประเทศเพียงไม่กี่ปีมานี่เอง เมียนมาร์ก็กำลังตามมาติดๆเช่นเดียวกัน

ในเมื่อโลกภายนอกเราก็ต้องฝ่า โลกภายในก็ต้องสู้ก็ไม่ควรอยู่อย่างกล้าๆ กลัวๆ รีบนำศาสตร์ของพระราชา “หลักเศรษฐกิจพอเพียง”มาปรับใช้โดยเร็วนะครับ ทำโซนพอเพียงให้แก่ตนเองเอาไว้สร้างความสุขทุกวินาทีที่มีลมหายใจไปตลอดจนวันสิ้นลมในโซนพื้นที่พอเพียงสักหนึ่งไร่(ท่านจะมีร้อยไร่พันไร่ไม่สำคัญของเพียงหนึ่งไร่นะครับ) มีนาข้าว 30% มีสระน้ำ 30%มีป่าสามอย่างประโยชน์สี่อย่าง 30% มีที่พักอาศัยอีก 10% หิวก็กินข้าว กินผักผลไม้ที่ปลูก กินไข่ กินไก่กินปลา กุ้งฝอย ฯลฯ ไม่ต้องใช้สตุ้งค์สตางค์และเมื่อมีแรงกำลังทั้งร่างกายและเงินตราก็ออกไปทำเกษตรเชิงเดี่ยวตามนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมให้ปลูกอ้อยปลูกมัน ปาล์ม ข้าวโพด ฯลฯ ว่ากันไปตามนโยบาย เผื่อพลั้งเผลอพลาดพลั้งก็พยายามล้มลุกคลุกคลานเข้ามาอยู่ในโซนพอเพียงนี้ให้ได้เพราะโซนนี้เป็นพื้นที่ที่มีความสุขทุกวินาที่ได้โดยไม่ต้องใช้สตางค์

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2559   
Last Update : 15 พฤษภาคม 2559 14:50:46 น.   
Counter : 195 Pageviews.  

ฤาว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 กำลังก่อหวอด เราจะอยู่รอดปลอดภัยด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง



 เหตุการณ์หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลาในห้วงช่วงสิบปีมานี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นเหตุแห่งชนวนของการเกิดสงครามที่เราหลายคนอาจจะไม่รู้ตัว  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแก่งแย่งชิงดีในเรื่องพื้นที่เหนือมหาสมุทรระหว่างญี่ปุ่นกับจีน เกี่ยวกับหมู่เกาะเตียวหวีไถ (เมื่อชาวจีนเรียก) หรือหมู่เกาะเซ็นกากุ (เมื่อชาวญี่ปุ่นเรียก) ต่างก็อ้างกรรมสิทธิ์ว่าเป็นของตนเอง จนนำมาซึ่งเหตุการณ์ประท้วงระหว่างชาวจีนและญี่ปุ่น


นอกนี้แล้วเหตุการณ์ระหว่างจีนกับน้องๆอาเซียนอย่างเช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ก็มีปัญหาเกี่ยวกับเกาะแก่งในทะเลจีน ซึ่งทำให้เวียดนามถึงกับยุติการส่งผักผลไม้ไปขาย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียต้องขอให้อเมริกาเข้ามาช่วยดูแลแก้ปัญหา มีการนำเอาเรือรบมาลาดตระเวนหยั่งเชิงท่าทีกับจีน จนเกือบจะรบกันก็มีมาแล้ว


จีนนั้นพยายามที่จะแผ่อิทธิพลในฝั่งเอเชียให้รวดเร็วและเพิ่มมากขึ้น มีการร่วมมือกับรัสเซียเพื่อสร้างพันธมิตรโดยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างกัน รัสเซียขายก๊าซและน้ำมันให้จีน ให้ส่งสินค้าด้านเกษตรเข้ารัสเซีย  อเมริกาพอรู้ทางอยู่บ้างก็ดัดหลังรัสเซีย เพราะรู้ว่ารัสเซียนั้นใช้นโยบายใช้ไข่หลายฟองเอาไว้ในตระกร้าเดียวกัน คืออเมริการู้ว่ารัสเซียมีรายได้หลักส่วนใหญ่มาจากการขายก๊าซและพลังงาน อเมริกาจึงขุดแร่ธาตุก๊าซพลังงานที่เรียกว่า เชลล์แก๊สหรือน้ำมันในชั้นหินดินดานในประเทศตนเองออกมาใช้ โดยอ้างว่าเพิ่งขุดพบ โดยแท้จริงแล้วก็ทราบมาตั้งนานแล้ว แต่ตั้งใจนำออกมาเพิ่มซัพพลายแชร์ตลาดโอเปกให้มีน้ำมันมากขึ้น


ปริมาณน้ำมันในกลุ่มโอเปกบวกกับน้ำมันของอเมริกาทำให้โอเวอร์ซัพพลาย ราคาน้ำมันจึงดิ่งร่วงหล่นลงเหว จาก 100 เหรียญต่อบาร์เรลลดลงเหลือ 40 -50 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้น้ำมันราคาถูกลงอย่างมาก รายได้รัสเซียก็ลดน้อยถอยลง ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกันว่าในห้วงช่วงที่ไทยเศรษฐกิจแย่ รัสเซียที่กำลังจากมาซื้อหาสินค้าเกษตรจากไทยทั้งไก่ กุ้ง ผัก ผลไม้ ก็กลับมามีเศรษฐกิจสะดุดหยุดกึกเหมือนเราในห้วงช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน เหมือนกับยุควิกฤติต้มยำกุ้ง รัสเซียจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนประคองตัวและเฝ้าดูสถานการณ์ด้วยใจระทึก
นอกนั้นไม่พออเมริกายังส่งนางฮิรารี่ คลินตันเข้ามาประเทศที่ตนเองเคยคัดค้านต้านทานคว่ำบาตรอย่างเมียนร์มา เพื่อคานอำนาจกับจีนในยุครัฐบาลบารัค โอบามาหนึ่ง จึงทำให้จีนก็เร่งสร้างพันธมิตรเป็นพี่ใหญ่ใจดีแก่น้องๆ ชาวอาเซียนอย่างมากโดยเฉพาะกลุ่ม CLMV มีการช่วยเหลือให้งบประมาณสร้างงานสาธารณูปโภคในประเทศเหล่านี้ค่อนข้างมาก แต่โดยเงื่อนงำบางทีจีนก็มีหางโผล่ให้เห็นอยู่บ่อยๆ เมื่อตนเองเริ่มแข็งแกร่ง จากพี่ใหญ่ใจดีก็มักจะกลายเป็นมหาโจรชี้โน่น นี่ นั่น ว่ามันเป็นของตนเอง โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่เกาะแก่งเล็กๆน้อยๆ ไม่มีค่าเมื่อในอดีต จนทำให้เกิดการระหองระแหงกับน้องๆ อาเซียนเป็นประจำ อีกทั้งเรื่องของการสร้างเขื่อนเหนือน่าน้ำโขงและสาละวิน ที่ทำให้ประเทศอาเซียนที่รอน้ำใต้เขื่อนจีนไม่พอใจกันหลายประเทศ นี่ก็อาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่โครงการความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP อาร์เซ็ป ต้องเลื่อนการเซ็นต์สัญญาไปปีหน้าโน่น


หลังจากนั้นความโกลาหลวุ่นวายในหลายแห่งทั่วโลกก็เกิดขึ้นไปด้วยพร้อมๆกัน โดยเฉพาะกลุ่มการร้าย IS ที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญล่าสุดที่ประเทศฝรั่งเศสมีคนตายไป 250 คน ทำให้ประธานาธิบดีฝรั่งเศสต้องออกมาประกาศสงคราม ส่วนทางรัสเซียนั้นก็ถือเป็นกำลังหลักในการประกาศตัวล้มล้างกลุ่ม IS โดยที่อเมริกามีท่าทีวางเฉยและมีแต่คำพูดไม่มีการปฏิบัติที่ชัดเจน จนทำให้รัสเซียโดยเฉพาะท่านประธานาธิบดี วราดิเมียร์ ปูตินเกิดความสงสัยว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังให้ ทุน อาวุธยุทธโธปกรณ์แก่กลุ่ม IS  รัสเซียนั้นมีการส่งเครื่องบินรบทิ้งระเบิดทำลายกลุ่ม IS มาตลอดโดยที่อเมริกามองดูเฉยไม่ลงทุน ไม่ร่วมมือ ไม่ให้ความช่วยเหลือให้สมกับศักดิ์ศรีตำรวจโลกแม้แต่น้อย
ล่าสุดนั้นเครื่องบินรบ SU-24 ของรัสเซียเกิดถูกสอยด้วยเครื่องบิน F-16 ของตุรกี ซึ่งถือว่าเป็นสมุนของอเมริกาตกไป 2 ลำโดยที่นักบินทั้งสองคนที่ดีดตีดตัวออกมาจากเครื่องบินได้ทัน แต่มีหนึ่งคนเสียชีวิตโดยการถูกยิงจากพื้นดิน ทำให้รัสเซียไม่พอใจเป็นอย่างมาก  ตัดความสัมพันธ์หลายทางกับตุรกีและเปรยว่าตุรกีจะต้องเสียใจอย่างหนักกับเหตุการณ์ในครั้ง


เหตุการณ์เงื่อนงำต่างๆ เกิดขึ้นตอนนี้ก็เริ่มชักจะต่อเป็นจิ๊กซอได้ไม่ยากว่ามีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดสงครามขึ้นก็เป็นได้ หรือแท้ที่จริงสงครามได้เริ่มมานานแล้วก็ไม่ทราบ ไม่ว่าจะเป็นสงครามค่าเงิน สงครามทุน สงครามการกีดกันทางการค้าทั้งที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี จนมีเครื่องไม้เครื่องมือเกิดขึ้นมาบานเบอะเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็น IMF, TPP, RCEP, FTA, IUU, AIIB, WorldBank, NATO, AEC, EU ฯลฯ ซึ่งถือว่าเป็นภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน เพราะไม่ว่ายุคใดสมัยใดเมื่อเกิดภาวะสงครามผู้คนชนในประเทศนั้นๆ ล้วนจะต้องเผชิญกับสภาวะที่เรียกว่า ข้าวยาก หมากแพง อพยพเคลื่อนย้ายหนีวิถีกระสุนตก หนีลูกระเบิด ไม่มีเวลาอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่มีเวลาทำมาหากิน เพราะฉะนั้นถ้าพวกเราชาวไทยถ้าไม่อยากให้ประเทศของเรากระทบกับเรื่องสงครามที่ไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ด้วยการทำให้ประชากรของเราแข็งแรงมั่งคั่งทางกายและจิตใจก็คงต้องอาศัยหลักเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ หนึ่งไร่หนึ่งแสนมาปรับใช้กันดูเพื่อเป็นเสบียงชีวิตให้แก่ตนเองได้ทั้งทางกายและจิตใจให้มีความมั่นคงแข็งแรงไปจนตลอดสิ้นล้มหายใจก็น่าจะช่วยได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ลองดูนะครับ

มนตรี  บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ  www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2559   
Last Update : 15 พฤษภาคม 2559 13:23:35 น.   
Counter : 290 Pageviews.  

เทคนิควิธีการล้างสารพิษตกค้างในพืชผักผลไม้แบบชาวบ้าน









 การเอาใจใส่ดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากสารพิษตกค้างเพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดการสะสมโรคภัยไข้เจ็บตามมาในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน โรคสะเก็ดเงิน สะเก็ดทอง อัมพฤต อัมพาต ปากเบี้ยว มือหงิก หูตาฟ่าฟาง เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคการมีบุตรยาก ดูเหมือนว่าจะทวีมากยิ่งๆขึ้น


  สังเกตจากการที่มีพ่อค้าแม่ขายในหลายๆตลาดที่ผู้บริโภคมากมายเข้าไปจับจ่ายใช้สอย ทั้งตลาดยิ่งเจริญ  ตลาดโชคชัยสี่ ตลาดเทเวศร์ ตลาดบางกะปิ ตลากไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดบางใหญ่ ฯลฯ มีการสุ่มตรวจอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานเจ้าหน้าที่สาธารณสุข องค์การอาหารและยา (อ.ย.) เพื่อมิให้พ่อค้าแม่ค้านำผักผลไม้ที่มีสารพิษและมีเชื้อโรคปนเปื้อนตกค้างเกินมาตรฐานเข้ามาจำหน่าย


 โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดเหตุไม่นานมานี้มีข่าวคราวเกี่ยวกับการทำให้พืชผักผลไม้ดูมาแลไปาคล้ายๆกับเป็นผักที่ปลูกแบบชีวภาพปลอดภัยไร้สารพิษ คือจะต้องมีหนอนเจาะ มีรูพรุน ซึ่งเป็นข้อสังเกตุแบบง่ายๆของผู้บริโภคโดยทั่วไป  (ซึ่งคงจะใช้ไม่ได้ในปัจุบันเสียแล้ว เนื่องด้วยพ่อค้าก็แอบเอาผักเหล่านี้ ไปโปรยโรยใส่ด้วยทรายที่คั่วให้ร้อนจนทำให้เกิดรูพรุน บ้างก็นำหนอนมาปล่อยเลี้ยงให้ดูใกล้เคียงว่าติดมากับธรรมชาติที่พี่น้องเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวมาขาย) 


 จะเห็นว่าพืชผักผลไม้ในบ้านเรานั้นยังสารพิษตกค้างสะสมอยู่มากจากตัวอย่างเหตการณ์ที่ยกมา และยังสอดคล้องกับตัวเลขการนำเข้า ปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Insecticide), สารเคมีกำจัดเชื้อรา (Fingicide), สารเคมีกำจัดวัชพืช (Herbicide) ที่ปีหนึ่งๆนั้นมีตัวเลขการนำเข้าเกือบแสนล้านบาท ปริมาณห้าล้านกว่าตัน (ปุ๋ยเคมีเท่ากับ  5,415,020 ตัน, สารเคมี ปริมาณ 134,377 ตัน ข้อมูลปี  2557 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณมหาศาลที่พี่น้องเกษตรกรนำไปใช้อาบชโลมป่าทั้งป่า เขาทั้งเขา ให้ชุ่มฉ่ำไปด้วยสารพิษ เมื่อฝนตกก็ไหลรี่ปรี่ลงไปสู่สายธารต้นน้ำ ไปสู่เขื่อน ปล่อยผ่านไปยังปลายน้ำ ทำให้ระบบนิเวศน์ กุ้ง หอย ปูปลา ล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก  นกล้มตาย สัตว์ป่าล้มตาย มนุษย์เกิดโรคภัยไข้เจ็บ  เพราะทุกชีวิตขาดแคลนแหล่งอาหารที่เคยอุดมสมบูรณ์ที่ต้องมามีอันเป็นไปเพราะถูกสารเคมีที่เป็นพิษทำลายลงไป


 ดังนั้นวันนี้หลังจากที่เราได้เข้าใจถึงพิษภัยในพืชผักผลไม้เป็นอย่างดีแล้ว จึงควรที่จะร่วมด้วยช่วยกันรณรงค์ส่งเสริมให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดกระตุ้นให้พ่อค้าคนกลางและพี่น้องเกษตรกร ช่วยกันผลิตพืชผลภาคการเกษตรให้ปลอดภัยไร้สารพิษมากขึ้น เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเตือนกระตุกต่อมความคิดพิชิตโรคภัยในการลด ละ เลี่ยง เลิก การใช้สารพิษ เพื่อผู้บริโภคจะได้มีแหล่งอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ไร้สารพิษให้มากเพียงพอต่อความต้องการ และนอกจากนั้นยังไม่พอวันนี้จะนำเทคนิคเคล็ดลับเกี่ยวกับการดูแลรักษาพืชผักผลไม้ให้ปลอดภัยไร้สารพิษก่อนรับประทานมาฝากท่านผู้อ่านกันด้วยนะครับ  ก่อนที่จะรับประทานพืชผักผลไม้ร่างกายของท่านผู้อ่านจะได้อยู่รอดปลอดภัยจากสารเคมีตกค้างหรือการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค ท่ามกลางสถานการณ์ภาคการเกษตรที่ยังดูน่ากลัวและทะมึนดำอยู่ในขณะนี้

 1. การแช่น้ำ   เริ่มด้วยการล้างผักรอบแรกให้สะอาดเสียก่อน หลังจากนั้นเด็กผักออกเป็นใบ ๆ แล้วนำมาแช่ในอ่างน้ำที่เตรียมไว้ประมาณ 15 นาที วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษจากฆ่ายาแมลงได้ประมาณ 7-33%


 2. ล้างผักในน้ำที่ไหลผ่านอย่างเช่นน้ำก๊อก ประมาณ 2-5 นาที โดยเด็ดผักออกเป็นใบ ๆ นำมาใส่ในตะกร้าหรือตะแกรงโปร่ง แล้วเปิดน้ำให้แรงพอประมาณ ระหว่างล้างให้ใช้มือช่วยคลี่ใบผักและถูไปมาบนผิวใบของผักผลไม้ไปด้วยประมาณ 2 นาที วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้ประมาณ 25-63% (วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดีมากวิธีหนึ่ง แต่จะมีข้อเสียในเรื่องของการใช้เวลานานในการล้างและต้องใช้น้ำสะอาดปริมาณมาก แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ให้นำน้ำส่วนที่เหลือไปรดน้ำต้นไม้ก็ดีครับ)


 3. ปอกเปลือก  วิธีนี้ให้นำผักหรือผลไม้มาปอกเปลือกหรือการลอกใบผักชั้นนอกออก เช่น กะหล่ำปลี ฯลฯ โดยให้ลอกเปลือกหรือกาบด้านนอกออกทิ้งสัก 2-3 ใบ เพราะสารพิษส่วนใหญ่จะสะสมตกค้างบริเวณเปลือกด้านนอกหรือบริเวณกาบ แล้วจึงนำไปแช่ในน้ำสะอาดอีกประมาณ 5-10 นาที หลังจากนั้นก็ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 27-72%


 4. น้ำเกลือ   ให้ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับน้ำ 4 ลิตร แล้วนำผักผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 27-38% (วิธีนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก เพราะลดปริมาณของสารพิษได้ไม่มาก และอาจทำให้ผักและผลไม้มีรสเค็มได้) แต่บางข้อมูลกลับระบุว่าการใช้น้ำเกลือล้างผักผลไม้ไม่ได้ช่วยทำให้ผักสะอาดขึ้นได้แต่อย่างใด เนื่องจากเกลือเป็นโซเดียมคลอไรด์ที่มีส่วนทำให้สารตกค้างหรือยาฆ่าแมลงนั้นคงทนยิ่งขึ้น ทำให้ยังมีสารตกค้างอยู่ผักและผลไม้ แต่ข้อมูลส่วนนี้เองผู้เขียนเองก็หาแหล่งอ้างอิงไม่เจอครับ จริงเท็จประการใดก็ไม่ทราบ ทางที่ดีก็ให้ลองเลือกใช้วิธีอื่นแทนจะดีกว่าครับ


 5. น้ำซาวข้าว   ให้นำผักหรือผลไม้มาแช่ด้วยซาวข้าวประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ 29-38%


 6. น้ำปูนใส (ทำมาจากปูนแดงหรือปูนขาวที่กินกับหมาก)   ให้เตรียมน้ำปูนใสอิ่มตัวที่ผสมกับน้ำเท่าตัว แล้วนำมาผักมาแช่ในน้ำปูนใสประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 34-52%


 7. ผงปูนคลอรีน (Calcium Hypochlorite แคลเซียมไฮโปคลอไรต์)   ให้ใช้ผงปูนคลอรีน 60% จำนวน 1/2 ช้อนชา (ความเข้มข้นของคลอรีน 50 พีพี เอ็ม) นำมาผสมกับน้ำ 20 ลิตร แล้วนำมาผักผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที วิธีนี้จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ดีมาก


 8. ด่างทับทิม (Potassium permanganate  โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต)  ให้ใช้ด่างทับทิมประมาณ 20-30 เกล็ด (ด่างทับทิมจะมีลักษณะเป็นผลึกหรือเกล็ดสีม่วง สามารถละลายน้ำได้) ที่ผสมกับน้ำ 4 ลิตร แล้วจึงนำผักมาแช่ไว้ในน้ำด่างทับทิมประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดประมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 35-43% (การใช้ด่างทับทิมในปริมาณที่มากจนเกินไป อาจเป็นอันตายต่อระบบทางเดินอาหาร ถ้าหากสูดดมไอระเหยของด่างทับทิมเข้าไปมาก ๆ ก็อาจทำให้ระบบทางเดินหายใจมีปัญหาได้ และถ้าด่างทับทิมเข้าตาก็อาจทำให้ตาบอดได้ ดังนั้นการใช้วิธีนี้จึงต้องใช้อย่างระมัดระวังครับ อีกอย่างการใช้ด่างทับทิมต้องใช้ในปริมาณน้อย ไม่งั้นผักและผลไม้จะเหี่ยวหรือเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้ ทำให้เปื้อนมือ เปื้อนอ่างด้วย)


 9. น้ำส้มสายชู (Vinegar)  วิธีนี้ให้เตรียมน้ำสายชูที่มีกรดน้ำส้มความเข้มข้น 5% ของกรดน้ำส้ม นำมาผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1 : 10 ส่วน แล้วจึงนำผักมาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกรอบหนึ่ง จะช่วยลดสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้ประมาณ 60-84% (การใช้วิธีนี้ล้างผัก ภาชนะที่ใส่ผักล้างไม่ควรเป็นพลาสติก และการล้างผักด้วยวิธีนี้อาจทำให้ผักบางชนิดมีกลิ่นของน้ำส้มสายชูติดมาได้ เพราะผักบางอย่าง เช่น ผักกาดขาว ผักกาดเขียว อาจมีการดูดรสเปรี้ยวจากน้ำส้มสายชู และทำให้ผักมีรสชาติเปลี่ยนไป)


 10. เบกกิ้งโซดา หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate)  บ้างก็เรียกว่า “โซดาทำขนมปัง” แต่มีชื่อคุ้นหูว่า “เบกกิ้งโซดา” (Baking Soda) สามารถนำมาใช้ล้างสารพิษจากผักและผลไม้ได้เช่นกันครับ และเป็นวิธีที่นิยมกันมากด้วย ด้วยการใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 10 ลิตร แล้วนำผักหรือผลไม้มาแช่ไว้ประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นค่อยล้างออกด้วยน้ำเปล่า 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษได้มากถึง 90-95% เลยทีเดียว (ข้อเสียของการใช้เบกกิ้งโซดาในการล้างผักผลไม้ คือ เบกกิ้งโซดาจะมีส่วนผสมของโซเดียมอยู่ และอาจจะดูดซึมเข้าสู่ผักและผลไม้ที่นำไปแช่ได้ เพราะถ้าหากล้างไม่สะอาด การได้รับเบกกิ้งโซดาในปริมาณมากเกินไปก็อาจทำให้ท้องเสียได้ครับ) เพิ่มเติมครับ : เบกกิ้งโซดาไม่ใช่ผงฟู เพราะผงฟูคือ เบกกิ้งโซดา + แป้ง


 11. ผงฟู (Baking Powder) (เบกกิ้งโซดา + แป้ง)  ให้ใช้ผงฟู 1/2 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา 10 ลิตร แล้วนำผักหรือผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้สามารถช่วยลดปริมาณของสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้มากกว่า 90% และเป็นวิธีที่ปลอดภัยไม่เป็นอันตราย (เพราะผงฟูกินได้)


 12. น้ำยาล้างผัก   การแช่ผักในน้ำยาล้างผักที่มีวางจำหน่ายกันอยู่ทั่วไป ให้เลือกใช้ที่มีความเข้มข้นประมาณ 0.3% ในน้ำ 4 ลิตร และนำผักหรือผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้ประมาณ 25-70% (การเลือกใช้น้ำยาล้างผักจะต้องดูให้ดีกว่าน้ำยาล้างผักมีส่วนประกอบอะไรบ้าง และต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะในบางครั้งน้ำยาล้างผักจะแทรกซึมเข้าไปในผักและอาจเป็นอันตรายกับเราได้)


 13. น้ำยาล้างจานหรือน้ำยาล้างขวดนม  การล้างผลไม้โดยใช้น้ำยาล้างจานหรือน้ำยาล้างขวดนมกับฟองน้ำถูเบา ๆ จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อที่อยู่บริเวณผิวของผลไม้ได้ และการล้างไข่ก่อนทำอาหารก็สามารถใช้วิธีนี้ได้เช่นกัน โดยวิธีนี้จะช่วยลดการปนเปื้อนของเชื้อได้มากกว่า 95%


 14. ผงถ่าน  ผงถ่านแอคติเวทชาร์โคลหรือผงคาร์บอนกัมมันต์ (activated carbon) หรือถ่านกัมมันต์ (activate chacoal) เป็นวัสดุคาร์บอนซึ่งมีเนื้อพรุน มีคุณสมบัติในการดูดซับสูงมาก ทำให้มันสามารถจับสารในปริมาณมากมายไว้ที่ผิว ด้วยคุณสมบัตินี้เองเราจึงนำมาใช้ประโยชน์ในการล้างผักผลไม้ได้ ซึ่งมันจะช่วยดูดกลิ่น ดูดสี ดูดซับสารพิษออกจากผัก แต่จะจะไม่ดูดซับแร่ธาตุออกไป อีกทั้งร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมผงถ่านได้ จึงไม่เป็นอันตรายเพราะร่างกายสามารถขับออกได้ แต่การนำมาใช้ล้างผักผลไม้ หากใช้ในปริมาณน้อยและแช่ไว้ไม่นานพอ ก็จะไม่สามารถดูดซับสารพิษออกมาได้หมดครับ ซึ่งวิธีการใช้ก็ให้ใช้ผงถ่าน 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 5 ลิตร แล้วนำผักผลไม้มาแช่ไว้ประมาณ 20 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด (วิธีการทำความสะอาดผักอ้างอิงบางส่วนจาก : วารสารหมอชาวบ้าน)

มนตรี  บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2559   
Last Update : 15 พฤษภาคม 2559 13:11:56 น.   
Counter : 332 Pageviews.  

มุมพอเพียง เลี่ยงความวุ่นวาย ภายใต้ยุคข้าวยากหมากแพง


พยายามที่จะเขียนให้ท่านผู้อ่านได้มีทางเลือกเล็กๆไว้อีกช่องทางหนึ่งในการที่จะใช้ในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขในทุกขณะจึงต้องอาศัยแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องการทำเกษตรพอเพียงที่ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็นสี่ส่วน ส่วนที่หนึ่ง 30 เปอร์เซ็นต์เพื่อใช้ในการเตรียมสระหรือแหล่งน้ำประจำไร่นา ส่วนที่สองอีก 30 เปอร์เซ็นต์ เพื่อไว้ปลูกข้าวทำนาไว้เป็นเสบียงเลี้ยงปากเลี้ยงท้องส่วนที่สามอีก 30 เปอร์เซ็นต์ให้ปลูกป่าสามอย่างประโยชน์สี่อย่าง ปลูกพืชกินได้หรือปลูกในสิ่งที่กิน ให้กินในสิ่งที่ปลูก ปลูกพืชใช้สอย ปลูกพืชเศรษฐกิจ และได้ผืนป่าที่คอยช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำ

ท่านผู้อ่านและเกษตรกรท่านใดที่สนใจใฝ่รู้เกี่ยวกับการทำเกษตรให้มีความสุขก็ควรที่จะน้อมนำทำตามแนวพระราชดำรัสของในหลวงไปปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมรับรองว่าถ้าฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคในชีวิตด้านหนี้สินไปได้เมื่อนั้นก็จะมีแต่ความสุขทั้งกายใจไปตลอดจนกว่าจะสิ้นลมหายใจทีเดียวเชียวล่ะครับเพราะว่าการโน้มนำทำให้ชีวิตกลับไปสู่ระบบเกษตรพอเพียง เกษตรธรรมชาตินั้นไม่จำเป็นต้องใช้สตางค์แม้แต่บาทเดียว เมื่อหิวก็กินข้าว กิน ไก่ ไข่ ปลา ที่เพาะปลูกเลี้ยงดูอยู่ในโซนพื้นที่ที่เหมาะสมพอเหมาะพอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป

ท่านที่มีพื้นที่เป็นร้อยเป็นพันไร่ก็สามารถที่จะแบ่งพื้นที่มาเป็นโซนหรือมุมพอเพียงประมาณสักหนึ่งถึงสองไร่เพื่อใช้ในการทดสอบจิตใจว่ามีความฝันใฝ่ในอาชีพเกษตรอย่างแท้จริงหรือไม่สามารถที่จะดำรงคงชีวิตในพื้นที่พอเพียงแบบเลี่ยงการใช้เงินได้ตลอดทั้งเดือนทั้งปีได้หรือไม่ และเป็นการทำแบบฝึกหัดในสาขาอาชีพเกษตรทำให้เกิดการเฝ้าดู สังเกตทดลอง การปลูกพืช ใต้ดินบนดินอย่าง ขิง ข่า กระชาย ตระไคร้ มะกรูด ไพล ขมิ้น สักทองตะแบก เหียง เต็ง รัง ยางนา มะม่วง ลองกอง มังคุด ทุเรียน ฯลฯพอผ่านไปได้สักปีสองปี รับรองได้ว่า จะมีความชำนาญเพิ่มมากขึ้นจนพร้อมที่จะไปประกอบอาชีพเกษตรกรรมในพื้นที่ที่เหลืออยู่ จะปลูกยางพารา อ้อย ข้าวมันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน พืชไร่ไม้ผลต่างๆ ตามชอบใจ ก็ได้ทั้งนั้นอย่างน้อยก็ไม่โดนหลอกให้ใช้ของที่ไม่จำเป็นได้ง่ายๆ

การนำความรู้จากเกษตรพอเพียงไปปรับใช้ในการทำธุรกิจเกษตรเชิงเดียวย่อมมีความเสี่ยงและอาจเกิดความเสียหายได้ง่ายและมากกว่าการทำเกษตรพอเพียงเกษตรแบบผสมผสาน เพราะระบบนิเวศจะต่างกันดังนั้นถ้าผิดพลาดพลังไปก็พยายามคืบคลานกระเสือกกระสนกลับมาอยู่ในโซนพอเพียงให้ได้ เพราะว่าโซนหรือมุมนี้มีแต่เรื่องที่เป็นสุขยิ่งผ่านกระบวนการทำเกษตรพอเพียงมาได้ รับรองว่าจะมีความคิดที่มีเหตุมีผลมีความพอดีพอประมาณมีภูมิคุ้มกันในการที่จะไม่ทำให้พลาดพลั้งในการออกไปทำอาชีพอื่นๆนอกโซนพอเพียงจนสิ้นเนื้อประดาตัวอย่างแน่นอน

ในยุคที่เรียกได้ว่าข้าวยากหมากแพงนี้จึงขอเชิญชวญท่านผู้อ่านมาทดสอบสมรรถนะทั้งกายและใจกันดูนะครับว่า ท่านๆสามารถที่จะเผชิญชีวิตในโลกของเกษตรพอเพียงที่เป็นของจริงกันได้หรือไม่ และมีความต้องการแนวทางนี้จริงๆ หรือเปล่าถ้าท่านทำมันได้ด้วยความสุข รับรองได้ว่าชีวิตนี้ เมื่อหมดหนี้สินหมดภาระที่ยุ่งยากลำบากใจในวัยก่อนนี้ที่อาจจะไปเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเสียนานจนได้หนี้สินมาพอสมควรเมื่อหมดภาระดังกล่าวและดำเนินชีวิตในมุมพอเพียงนี้ท่านจะมีความสุขทั้งกายและใจได้อย่างแน่นอนครับ

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 29 กันยายน 2558   
Last Update : 29 กันยายน 2558 18:03:34 น.   
Counter : 237 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

greenagro
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 34 คน [?]




เกษตรปลอดสารพิษ ชีวิตจะปลอดภัย อายุขัยยืนนาน ลูกหลานรื่นเริง

สวัสดดีครับ สำหรับผู้ที่สนใจการทำเกษตรแบบปลอดสารพิษ ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพ มือสมัครเล่น มือใหม่ มือเก่า ก็เข้าได้ทุกคนครับ ขอเชิญเข้ามาเยี่ยมชมพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ที่นี่เลยนะครับ "ชีวิตจะได้มีสุขกับเกษตร"

ประวัติและผลงาน


ปี ชื่อหนังสือ ผู้แต่ง / เรียบเรียง จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์
ปี 2535 พนักงานชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร
ปี 2540 ธุรการ/จัดพิมพ์หนังสือ สมุนไพรใช้ในกุ้ง : ลูกใต้ใบ พญายอ ฟ้าทะลายโจร อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ปี 2540 ธุรการ/จัดพิมพ์หนังสือ การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ปี 2541 กองบรรณาธิการ พืชผักปลอดสารพิษด้วยภูไมท์ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ปี 2541 กองบรรณาธิการ การใช้ปูนและซีโอไลท์ ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ศิลป์ การใช้ปูนและซีโอไลท์ ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ปี 2542 กองบรรณาธิการ มะนาวด่านเกวียนปลอดสารพิษ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ปี 2542 ผู้จัดการชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร
ปี 2553 บทความตีพิมพ์ นิตยสารผักเศรษฐกิจ บ. มิเดีย ออฟ กรีน กรุ๊ฟ จก. บ. มิเดีย ออฟ กรีน กรุ๊ฟ จก.
ปี 2554 บทความตีพิมพ์ เทคโนโลยีชาวบ้าน มติชน มติชน
ปี 2554 บทความดีพิมพ์ หลากวิธีการบังคับมะนาวนอกฤดู "เงินล้าน" เล่ม 2 พริ้ม ศรีหานาม บจ. นาคา อินเตอร์มีเดีย นาคา อินเตอร์มิเดีย

ปี 2555 คอลัมน์ประจำ/ไม่ประจำ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, เดลินิวส์, ประชาชาติธุรกิจ, ฐานเศรษฐกิจ, ไทยโพสต์ ฯลฯ, นิตยสาร ไม่ลองไม่รู้, ผักเศรษฐกิจ, รักษ์เกษตร, เกษตรวาไรตี้ ฯลฯ

ปี 2556- ปัจจุบัน นักกจัดรายการวิทยุ สถานีวิทยุมก.บางเขน, มก. ขอนแก่น, มก. เชียงใหม่, มก. สงขลา และเครือข่ายสยามชัยเรดิโอ

ปัจจุบัน ประธาน/กรรมการผู้ัจัดการ ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ/บริษัท ไทยกรีนอะโกร จำกัด
[Add greenagro's blog to your web]