|
รากขัดสมาธิ รากไม่เดิน ต้นไม่โต กิ่งไม่แตกเพราะดินแน่น
ปัญหาของพืชที่มีอาการแคระแกร็นชะงัก ใบเล็กเรียว ซีดจางสาเหตุส่วนหนึ่งคือปัญหาเรื่องระบบรากที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายถ่ายเทออกไปอาหารได้ในระยะไกลมักจะติดขัดขดแน่นขัดสมาธิอยู่ในหลุมเป็นก้อนกลมอยู่กับที่โดยเฉพาะไม้กระถางที่ขาดการบำรุงดูแลเอาใจใส่ไร้ซึ่งการเปลี่ยนดินเมื่อดึงออกมาจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เนื่องด้วยดินที่ขาดแคลนอินทรีย์วัตถุนั้นจะทำให้ดินทรุดตัวทับถมกันจนแน่นแข็งเป็นดานแน่นมากเสียจนรากพืชไม่สามารถที่จะทะลุทะลวงพ้นผ่านเจริญเติบโตออกไปหาอาหารเองได้ เมื่อรากไม่สามารถหาอาหารได้เป็นปรกติก็ส่งผลทำให้หาอาหารได้อย่างจำกัด เมื่อดูดกินอาหารในที่เดิมซ้ำๆอยู่ตลอดเวลาสารอาหารที่มีอยู่เดิมก็ค่อยๆลดน้อยถอยลงไปเป็นธรรมดาตามหลักของธรรมชาติส่งผลทำให้พืชขาดแคลนสารอาหารปลีกย่อยที่จำเป็นและขาดไม่ได้จึงส่งผลให้เกิดอาการใบซีด ใบเหลือง ใบลาย จากการขาดแคลนธาตุอาหารจุลธาตุในกรณีที่ผู้ปลูกไม่มีการเติมธาตุอาหารหลักเพิ่มเข้าไปด้วยยิ่งทำให้ปัญหาหนักเพิ่มขึ้นไปอีก คือขาดแคลนทั้งธาตุอาหารหลัก รอง และเสริมไปด้วย การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแบบเร่งด่วน ควรทำการแก้ไขด้วยสารละลายดินดาน ALS29ซึ่งประกอบด้วยแอมโมเนียมรอเลธ ซัลเฟต ซึ่งทั้งแอมโมเนียและซัลเฟตเมื่อสะสมตกค้างอยู่ในดินก็จะค่อยปลดปล่อยตัวเองให้ย่อยสลายกลายปุ๋ยไนโตรเจนและซัลเฟอร์(กำมะถัน) ซึ่งเป็นอาหารของพืชไม่มีสารพิษตกค้างและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในดิน การใช้สารละลายดินดาน ALS29 ในอัตรา 20-30ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ราดรดลงไปบนพื้นที่ที่มีปัญหาดินแน่นแข็งเพียง 2 3ครั้งจะช่วยทำให้ดินค่อยๆคลายตัวเกาะกันอย่างหลวม ทำให้น้ำซึมซาบระบายถ่ายเทได้ดีไม่ท่วมขังชื้นแฉะมากเกินไปจนก่อให้เกิดปัญหารากเน่าโคนเน่าตามมาอีกในภายหลัง การจะใช้สารละลายดินดาน ALS29 ให้ได้ผลดียิ่งขึ้นควรจะต้องทำให้ดินเปียกชุ่มชื้นเสียก่อน โดยเฉพาะหลังฝนตกใหม่ๆจะเป็นการดีอย่างมากเหมาะสำหรับการฉีดพ่นสารละลายดินดาน ALS29 ลงไปเพราะจะเป็นตัวช่วยนำพาสารต่างๆเหล่านี้ซึมซาบลงไปในดินชั้นที่มีปัญหาได้อย่างรวดเร็วทำให้การสลายชั้นดินดานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีความรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการใช้สารละลายดินดาน ALS29ยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอยู่เพราะหลังจากที่ดินโปร่งร่วนซุยจนรากสามารถที่จะขยายตัวหาอาหารได้มากขึ้นแล้วแต่ถ้ายังไม่มีการปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุหรือกลุ่มของหินแร่ภูเขาไฟลงไปช่วยเสริม ดินก็จะกลับมาแน่นแข็งเหมือนเดิมได้อีกฉะนั้นจึงควรหมั่นเติมอินทรียวัตถุลงไปให้เพียงพอจึงเป็นการแก้ปัญหาแบบถาวรในการที่จะทำให้ดินโปร่งร่วนซุยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินควร มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreeangro.com
Create Date : 26 สิงหาคม 2556 |
| |
|
Last Update : 26 สิงหาคม 2556 11:31:45 น. |
| |
Counter : 1517 Pageviews. |
| |
|
|
|
ปัญหาของไม้กระถาง
การปลูกพืชในปัจจุบันของประเทศไทยนั้นนับว่ามีความก้าวหน้าค่อนข้างมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก น้องๆ ประเทศไต้หวันไม่ว่ามหาวิทยาลัยใดๆ ในโลกต่างก็ให้ความสนใจเข้ามาศึกษาดูงาน ทั้งอินเดีย ยุโรป อเมริกา และโดยกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนใกล้เคียงไม่ต้องพูดถึง แทบจะใช้ไทยเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการเลยด้วยซ้ำ(ยกเว้นการเมืองนะครับ) ที่พูดแบบนี้ก็เพราะว่ารูปแบบการปลูกพืชของบ้านเรานั้นจะเห็นได้ว่ามีหลากหลายรูปแบบ ทั้งใต้ดิน (under soil) บนดิน (upsoil) บนอากาศ (air roots) ในน้ำ(Hydroponics) ไร้ดิน (soilless) ในภาชนะปลูก (container soil) โดยเฉพาะอย่างหลังสุดนี้คือวิธีการปลูกที่จะนำมาพูดถึงในวันนี้คือก่ารปลูกพืชไม้ในภาชนะปลูกหรือไม้กระถาง ในบ้านเรานั้นก็มีหลากหลายทั้งไม้กระถางที่สวยงามหรือจะใช้ภาชนะเหลือใช้อย่างถ้วย ถัง กะละมัง หม้อ ที่ชำรุดแตกหัก เสีย หาย ก็นำมาใช้เป็นภาชนะปลูกได้ทั้งนั้น ถือว่าเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างคุ้มค่าทั้งในรูปแบบ รียูส (Reused)และรีไซเคิล (recycle แถมยังดูมีความเก๋เท่ห์ แปลกตา เคลื่อนย้ายไปตามจุดต่างๆ ได้ตามความต้องการจึงมีผู้นิยมปลูกไม้กระถางประดับประดาบ้านเรือนให้สวยงามอยู่มากมายแต่ปัญหาของการปลูกไม้กระถางคือการที่ต้องหมั่นเติมแร่ธาตุสารอาหารให้พืชอยู่ตลอดเวลาเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มักจะใช้เวลาอยู่กับเหย้าเฝ้าเรือนเป็นส่วนใหญ่แถมต้องมีรสนิยมชมชอบต้นไม้เป็นพิเศษอีกด้วยเพราะต้องมีเวลาหมั่นดูแลบำรุงรักษาสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ว่าพืชจะขาดน้ำ ขาดปุ๋ย เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ปัญหาของไม้กระถางส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องการเปลี่ยนดิน การเติมปุ๋ยน้ำ เพราะรากพืชไม่สามารถหาอาหารได้จากพื้นดินธรรมชาติได้ ต้องคอยรับจากการป้อนการเติมจากเจ้าของผู้ปลูกอยู่ตลอดเวลา (อาจจะสัปดาห์ละครั้ง เดือนละครั้งขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินในกระถาง) การที่ไม้กระถางจะต้องเปลี่ยนดินอยู่บ่อยๆ นั้นเพราะเมื่อรดน้ำลงไปในกระถาง น้ำก็จะพัดพาเอาอินทรียวัตถุ (organic matter)ที่อยู่ภายในไหลออกไปข้างนอกอยู่ตลอดเวลาอินทรียวัตถุเมื่อรวมตัวอยู่กับดิน ก็จะช่วยทำให้โครงสร้างดิน โปร่ง ร่วน ซุยเป็นอาหารของจุลินทรีย์นานาชนิด เมื่อถูกชะล้างไปก็ทำให้โครงสร้างดินแน่นแข็งจุลืนทรีย์ดีมีประโยชน์ก็ลดน้อยถอยลง ทำให้พืชอ่อนแอได้ง่ายเพราะฉะนั้นเกษตรกรจะต้องหมั่นเติมอินทรีย์วัตถุลงไปอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ก็ต้องใช้กาบมะพร้าววางทาบขัดรูก้นกระถางเพื่อให้เกิดการชะล้างอินทรีย์วัตถุออกไปได้ยาก การใช้หินแร่ภูเขา พูมิชซัลเฟอร์ (PumishSulpher) คลุกผสมกับดิน ร่วมกับ โพแทสเซียมฮิวเมท (Humic acid) ในอัตรา 2 :0.5 : 10 (พูมิชซัลเฟอร์ : โพแทสเซียมฮิวเมท : ดิน)จะช่วยทำให้ดินเหมาะสมต่อการปลูกไม้กระถางเป็นอย่างมากเพราะจะทำให้การแน่นแข็งเกิดขึ้นได้ยากขึ้นจากคุณสมบัติของหินแร่ภูเขาไฟที่มีความโปร่งพรุนและกลุ่มอินทรียวัตถุที่อยู่ในรูปฮิวมัส ฮิวมิคซึ่งพร้อมต่อการเจริญเติบโตของพืชและช่วยให้โครงสร้างดินไม่ขาดอินทรียวัตถุในระยะยาวไม่ต้องเปลี่ยนดินบ่อย พืชแข็งแรงจากซิลิก้าได้รับแร่ธาตุสารอาหารที่ครบถ้วน พืชเขียวนาน เขียวทน มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
Create Date : 26 สิงหาคม 2556 |
| |
|
Last Update : 26 สิงหาคม 2556 11:21:50 น. |
| |
Counter : 468 Pageviews. |
| |
|
|
|
ปลูกบัวอย่างไรให้ได้ใบและดอกที่สวยงาม
บัวจัดได้ว่าเป็นไม้ดอกที่มีประวัติอันยาวนาน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพุทธประวัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งประสูตร ตรัสรู้และปรินิพพาน ประเพณีวัฒนธรรมทางศาสนาจึงมีดอกบัวเกี่ยวข้องให้ชาวพุทธได้กราบไหว้บูชาในเชิงสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ สะอาดและคุณงามความดี นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังได้ใช้ดอกบัวเป็นคำสอนเปรียบเปรยปุถุชน 4 ระดับกับบัวสี่เหล่า คือ บัวใต้โคลนตม บัวใต้น้ำ บัวปริ่มน้ำ และบัวพ้นน้ำ และอีกหลายๆบทความหลายวรรณกรรมที่มีการนำเรื่องเกี่ยวกับบัวมาเรียงร้อยถ้อยความให้บทความนั้นดูสวยสดงดงามโดดเด่น สื่อความหมายให้บัวเป็นดอกไม้ที่มีคุณค่าน่าบูชามากที่สุด
บัวที่นิยมปลูกกันส่วนมากคือบัวหลวงอยู่ในวงศ์ Nymphaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nelumbo Nucefera Gaertn และมีชื่อสามัญ secred Lotus ปัจจุพบมีการปลูกตามความนิยมอยู่ไม่กี่สายพันธุ์คือ บัวพันธุ์ดอกสีชมพู (บัวกหลมชมพู) มีชื่อว่าปทุม ปัทมา โกกระนด หรือโกกนุด, บัวหลวงพันธุ์ดอกสีขาว (บัวแหลมขาว) มีชื่อว่าบุณฑริกหรือปุณฑริก, บัวหลวงชมพูซ้อน (บัวฉัตรชมพู) สัตตบงกช, บัวหลวงขาวซ้อน (สัตตบุตย์) และอื่นๆอีกโดยท่านผู้อ่านสามารถหาอ่านได้จากหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องบัวซึ่งมีผู้แต่งไว้หลากหลายตำราให้เลือกมากมาย
การที่จะปลูกบัวให้มีความสวยงามทั้งก้านดอกใบนั้นจะต้องให้บัวได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ปัญหาที่ใบบัวเว้าแหว่ง แห้งเหี่ยวจากเพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อนเพลี้ยแป้ง อมโรค ดอกเล็ก หรือไม่ค่อยออกดอกส่วนหนึ่งก็เพราะปัญหาเรื่องการขาดแคลนสารอาหารจากการใส่ปุ๋ยที่ไม่ถูกวิธี เพราะบัวเป็นพืชที่อาศัยอยู่ในน้ำ ถ้าทำการเติมปุ๋ยให้อาหารเหมือนพืชปรกติทั่วไปก็จะไม่ได้ผลเพราะปุ๋ยในประเทศไทยค่อนข้างที่จะละลายสลายตัวเร็ว จึงทำให้บัวไม่สามารถที่จะได้ลิ้มชิมรสปุ๋ยได้อย่างเพียงพอ ปุ๋ยที่จะนำมาใส่เติมเสริมให้แก่บัวควรจะต้องทำให้เป็นปุ๋ยละลายช้าเสียก่อน ปุ๋ยละลายช้าในท้องตลาดที่นำเข้าจากญี่ปุ่นก็มีจำหน่ายในท้องตลาดแต่อาจจะมีราคาแพงเป็นร้อยหรือสองร้อยบาทต่อกิโลกรัม
การทำปุ๋ยธรรมดาให้กลายเป็นปุ๋ยละลายช้าก็ทำง่ายเพียงนำปุ๋ยสูตรที่ต้องการ (46-0-0, 15-15-15, 16-20-0) จำนวน 5 กิโลกรัม พรมน้ำพอชื้นหรือจะใช้น้ำจากจุลินทรีย์หน่อกล้วยแทนก็ได้ โกยคลุกเคล้ากลับไปกลับมาให้ความชื้นถ้วนทั่วทุกเม็ดปุ๋ยแล้วนำหินแร่ภูเขาไฟชนิดผง (ชื่อการค้า พูมิช, สเม็คโตไทต์, ไคลน็อพติโลไลท์ ฯลฯ). จำนวนหนึ่งกิโลกรัมโรยเคลือบผสมเม็ดปุ๋ยจนความชื้นแห้งเหือดไปแล้วนำไปเก็บใส่ถุงมัดให้แน่นเก็บไว้ใช้ได้นานเป็นปี หรือถ้าเพิ่มจุลธาตุ (เหล็ก, ทองแดง, แมงกานีส, สังกะสี, โบรอน, โมลิบดินั่ม,นิกเกิ้ล และซิลิสิคแอซิด) ก็ให้ใส่ซิลิโคเทรซเพิ่มเข้าไปในสูตรดังกล่าวอีกประมาณ 50 หรือ 100 กรัม
โดยปรกติดินที่ใช้ปลูกบัวจะต้องเป็นดินเหนียว มีอินทรีย์วัตถุน้อย เพื่อรักษาระดับสภาพน้ำให้ใสสะอาดได้ยาวนาน ไม่ควรใช้ดินที่มีอินทรีย์วัตถุมากเหมือนดินปลูกพืชบนบกทั่วๆไปจะทำให้น้ำเน่าเสียได้ง่าย ดินเหนียวซึ่งจะมีธาตุอาหารโพแทสเซียมอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้ประหยัดการใช้ปุ๋ยตัวท้ายอาจจะใช้แค่เพียง 16-20-0 ก็เพียงพอ ระดับของเหง้าบัวไม่ควรอยู่ลึกมากเกินไปควรอยู่ที่ระดับประมาณ 4-5 นิ้วหรือ 10-15 เซนติเมตรครึ่งไม้บรรทัดหรือประมาณหนึ่งฝ่ามือโดยประมาณถ้าลึกกว่านี้ก็จะมีปัญหาเหง้าและรากเน่าได้ง่าย สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการใช้หินแร่ภูเขาไฟก็อาจจะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์หรือกระดาษทิชชูห่อเม็ดปุ๋ยแล้วนำไปกลบฝังไว้ที่ใกล้ๆรากบัวก็จะช่วยให้บัวได้รับสารอาหารที่ต่อเนื่องไม่ช้าก็จะได้ดอกบัวให้เชยชมอย่างแน่นอนครับ
มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com
Create Date : 03 กันยายน 2555 |
| |
|
Last Update : 3 กันยายน 2555 8:10:55 น. |
| |
Counter : 8674 Pageviews. |
| |
|
|
|
สารละลายดินดาน ALS29 แก้ปัญหาดินแน่นแข็งในไม้กระถางไม่ต้องเปลี่ยนดินบ่อย
ไม้ดอกประประดับที่ส่วนใหญ่จะปลูกใส่ไว้ในกระถางด้วยเหตุผลนานาประการตามความพึงพอใจของแต่ละบุคคล และส่วนหนึ่งของเหตุผลก็น่าจะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสะดวกสบายในเรื่องการขนย้ายไปตามจุดหรือสถานที่ต่างๆที่ต้องการ ความต้องการโชว์ลวดลาย คุณภาพและราคาของกระถาง การจัดการเกี่ยวกับเรื่องดินและปุ๋ยที่ต้องการให้อยู่ในรัศมีของรากไม่ต้องการให้เล็ดลอดสูญเสียไปกับพืชชนิดอื่นๆเป็นต้น
การที่ดินอยู่ในพื้นที่จำกัดคืออยู่ในกระถางทำให้รากพืชมีข้อจำกัดในการดูดกินสารอาหารไม่สามารถที่จะเลื้อยออกไปหาอาหารข้างนอกได้จึงต้องหมั่นเติมปุ๋ยให้แก่ไม้ดอกไม้ประดับเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอเพราะปุ๋ยที่ใส่ไว้จะถูกดูดกินสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งการรดน้ำเป็นประจำทุกวันจะชะล้างนำพาเอาสารอาหาร อินทรีย์วัตถุรั่วไหลติดไปกับน้ำด้วย จึงทำให้โครงสร้างของดินมีอินทรีย์วัตถุน้อย ดินจะแน่นแข็งขึ้นเพราะขาดการเข้ามาทำกิจกรรมของจุลินทรีย์เนื่องด้วยไม่มีแหล่งอาหารที่เพียงพอ จึงทำให้เซียนไม้กระถางโดยทั่วไปมักจะต้องเสียเวลากับขั้นตอนการเปลี่ยนดินอยู่เป็นประจำเพื่อให้พืชมีการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์สวยงาม
ปัญหาดินแน่นแข็งดังกล่าวนี้สามารถที่จะแก้ปัญหาแบบเร่งด่วนได้โดยใช้สารละลายดินดานALS29 ในอัตรา 30 ซี.ซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร ทำการราดรดทุกหนึ่งสัปดาห์จนดินเริ่มร่วนซุยได้ตามที่ต้องการจึงค่อยหยุด. สารละลายดินดาน มีชื่อสามัญว่า แอมโมเนียมลอเรทซัลเฟต (Ammonium Laureth Surfate) มีคุณสมบัติช่วยลดแรงตึงผิวของน้ำ ทำให้น้ำสามารถแทรกซึมลงไปตามช่องว่างระหว่างเม็ดดินได้ลึก นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เม็ดดินที่เกาะกันแน่นแยกตัวออกจากกัน ดินที่เคยแน่นแข็งเป็นดินดานจะกลายเป็นดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ดินเก็บน้ำได้ดีขึ้น การที่ดินซึมซับน้ำได้ดีนั้นยังทำให้ยังช่วยลดการสูญเสียแร่ธาตุอาหารในดิน ที่เกิดจากการชะล้างของน้ำบริเวณหน้าผิวดินได้ดีอีกด้วย ทำให้ดินชุ่มชื้นได้แม้จะเป็นหน้าแล้ง ทำให้รากพืชหยั่งรากขยายได้
มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com
Create Date : 12 กรกฎาคม 2555 |
| |
|
Last Update : 12 กรกฎาคม 2555 7:48:37 น. |
| |
Counter : 2377 Pageviews. |
| |
|
|
|
ปลูกมะลิให้มีดอกสวย ด้วยหินแร่ภูเขาไฟ
ดอกมะลิ ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของวันแม่บุตรหลานที่ได้มีโอกาสได้แสดงความกตัญญูรู้คุณก็จะซื้อนำไปกราบไหว้พ่อแม่อันเป็นที่เคารพบูชาของทุกคนนอกจากจะขายดีในช่วงเทศกาลวันแม่แล้วมะลิยังใช้เป็นส่วนประกอบหลักในการร้อยพวงมาลัยขายตามสี่แยกไฟแดงบางครั้งก็มีราคาแพงเสียจนแม่ค้าที่รับจ้างร้อยพวงมาลัยต้องใช้ดอกไม้อื่นๆมาทดแทนทั้งดอกพลาสติกดอกดาวเรือง ฯลฯ โดยปกติมะลิมีปลูกกันอยู่ทั่วไปทุกภูมิภาคแต่จะมีมากที่ปลูกเป็นการค้าคือจังหวัดนครปฐม และที่นครสวรรค์ (อำเภอบรรพตพิสัย)นอกนั้นก็ปลูกกันประปรายไปตามกำลังความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่นมากบ้างน้อยบ้าง ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกมะลิคือจะต้องมีสภาพที่ไม่กรดหรือด่างจัดจนเกินไปเพราะมิฉะนั้นจะทำให้มะลิแคระแกร็น อ่อนแอต่อการเข้าทำลายของโรค หนอนและแมลง ดินที่ไม่ดีจะส่งผลทำให้ดอกมีขนาดเล็กใบแคบ ดอกออกมามีกลีบน้อย ไม่สมบูรณ์ ดอกที่ออกมาก็มักจะมีหนอนเจาะดอกใบเป็นโรคราสนิม ผลผลิตที่ได้จะน้อยกว่าปรกติ เพราะขาดการสะสมอาหารที่เพียงพอ คุณสามารถ นาดทั่ง เลขที่ 124/19 หมู่ 4 ตำบล สวนพริกไทย อำเภอเมืองจังหวัดปทุมธานี 12000 โทรศัพท์ 081-984-2128 ปลูกมะลิอยู่ 50 ไร่ ได้ใช้หินแร่ภูเขาไฟ (ภูไมท์ซัลเฟต,พูมิลซัลเฟอร์)ช่วยในการปรับปรุงบำรุงดินในระยะแรกเพื่อต้านทานต่อสภาพดินที่เป็นกรดหรือเปรี้ยวจัดโดยนำไปผสมกับปุ๋ยเคมีในอัตรา พูมิซซัลเฟอร์ 50 กระสอบ ต่อปุ๋ยเคมี 6 กระสอบ หว่านลงในพื้นที่ 50 ไร่ หลังจากปลูกไปสักระยะปรากฏว่าสภาพดินจากที่เป็นกรดปลูกพืชชนิดต่างๆมีการเจริญเติบโตไม่ดี แต่หลังจากใส่พูมิชซัลเฟอร์ปรากฏว่าช่วยให้ต้นมะลิมีสภาพทนต่อความเป็นกรดมีการเจริญเติบโตแตกตาต่อยอดได้ดี มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
Create Date : 11 กรกฎาคม 2555 |
| |
|
Last Update : 11 กรกฎาคม 2555 18:32:38 น. |
| |
Counter : 1635 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
greenagro |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 34 คน [?]
|
เกษตรปลอดสารพิษ ชีวิตจะปลอดภัย อายุขัยยืนนาน ลูกหลานรื่นเริง
สวัสดดีครับ สำหรับผู้ที่สนใจการทำเกษตรแบบปลอดสารพิษ ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพ มือสมัครเล่น มือใหม่ มือเก่า ก็เข้าได้ทุกคนครับ ขอเชิญเข้ามาเยี่ยมชมพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ที่นี่เลยนะครับ "ชีวิตจะได้มีสุขกับเกษตร"
ประวัติและผลงาน
ปี ชื่อหนังสือ ผู้แต่ง / เรียบเรียง จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ ปี 2535 พนักงานชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ปี 2540 ธุรการ/จัดพิมพ์หนังสือ สมุนไพรใช้ในกุ้ง : ลูกใต้ใบ พญายอ ฟ้าทะลายโจร อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์ ปี 2540 ธุรการ/จัดพิมพ์หนังสือ การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์ ปี 2541 กองบรรณาธิการ พืชผักปลอดสารพิษด้วยภูไมท์ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์ ปี 2541 กองบรรณาธิการ การใช้ปูนและซีโอไลท์ ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์ ศิลป์ การใช้ปูนและซีโอไลท์ ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์ ปี 2542 กองบรรณาธิการ มะนาวด่านเกวียนปลอดสารพิษ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์ ปี 2542 ผู้จัดการชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ปี 2553 บทความตีพิมพ์ นิตยสารผักเศรษฐกิจ บ. มิเดีย ออฟ กรีน กรุ๊ฟ จก. บ. มิเดีย ออฟ กรีน กรุ๊ฟ จก. ปี 2554 บทความตีพิมพ์ เทคโนโลยีชาวบ้าน มติชน มติชน ปี 2554 บทความดีพิมพ์ หลากวิธีการบังคับมะนาวนอกฤดู "เงินล้าน" เล่ม 2 พริ้ม ศรีหานาม บจ. นาคา อินเตอร์มีเดีย นาคา อินเตอร์มิเดีย
ปี 2555 คอลัมน์ประจำ/ไม่ประจำ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, เดลินิวส์, ประชาชาติธุรกิจ, ฐานเศรษฐกิจ, ไทยโพสต์ ฯลฯ, นิตยสาร ไม่ลองไม่รู้, ผักเศรษฐกิจ, รักษ์เกษตร, เกษตรวาไรตี้ ฯลฯ
ปี 2556- ปัจจุบัน นักกจัดรายการวิทยุ สถานีวิทยุมก.บางเขน, มก. ขอนแก่น, มก. เชียงใหม่, มก. สงขลา และเครือข่ายสยามชัยเรดิโอ
ปัจจุบัน ประธาน/กรรมการผู้ัจัดการ ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ/บริษัท ไทยกรีนอะโกร จำกัด
|
|
|
|