สมาคมลับเหนือสมาคมลับครองโลก ตอนที่ 5 (คำปฏิญาณของเยซูอิต)
คณะเยซูอิต...




สัญลักษณ์ของเยซูอิต

IHS Isis Horus Seb (Egyptian gods)



คณะเยซูอิตนั้นจะแสดงการยอมรับและเชื่อฟังพระสันตะปาปาในลักษณะที่ถ่อมตนมากที่สุด พวกเขาทำเสมือนเขาตายไปแล้วหรือเสมือนไม่มีตัวตนอยู่ คือ“perinde ac cadaver” (as a corpse หรือ as if he were a lifeless body )

ลอโยล่าเขียนไว้ว่า “แม้ว่าพระเจ้าจะแต่งตั้งสัตว์ที่ไม่มีสามัญสำนึกมาเป็นเจ้านายของคุณ คุณก็จะต้องไม่ลังเลที่จะแสดงออกถึงการเชื่อฟังและยอมทำตามโดยถือว่านั่นคือผู้นำและเป็นผู้ชี้ทางให้ เพราะว่าพระเจ้าแต่งตั้งแล้วเพื่อให้เป็นเช่นนั้น ได้มีการประกอบร่างขึ้นซ้ำๆถึงห้ารอยครั้ง เพื่อที่จะได้เห็นพระผู้ไถ่ในสภาพของมนุษย์” (Secret History of the Jesuits p.26)

Note: พระเจ้าของพวกเยซูอิตคือซาตาน - ผู้เรียบเรียง

...และนี่คือคำปฏิญาณ(บางส่วน)ของคณะเยซูอิต

คำปฏิญาณของสมาชิกใหม่ในคณะเยซูอิต (THE OATH OF JESUIT ORDER)

Superior: ผู้อาวุโส

บุตรชายเอ๋ย จนบัดนี้เจ้าได้รับการสั่งสอนให้เป็นผู้อำพรางตน เมื่ออยู่ในโรมันคาทอลิค ก็ให้เป็นโรมันคาทอลิค ให้ทำตัวเป็นสายลับแม้จะอยู่ในกลุ่มพี่น้องของตนเอง อย่าเชื่อใคร อย่าไว้ใจใคร เมื่ออยู่ในกลุ่มนักปฏิรูปก็ทำตัวเป็นนักปฏิรูป(Reformation) เมื่ออยู่ในกลุ่มHuguenot (กลุ่มโปรเทสแทนต์ในฝรั่งเศส) ก็จงเป็นHuguenot เมื่ออยู่ในกลุ่มCalvinists, ก็จงเป็นCalvinist (กลุ่มย่อยของโปรเทสแทนท์ในอังกฤษ) เมื่ออยู่ในกลุ่มโปรเทสแทนต์ ก็จงเป็นโปรเทสแทนต์(กลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วยและไม่ปฏิบัติตามความเชื่อของคาทอลิค) จงทำให้ได้มาซึ่งความน่าเชื่อถือเมื่ออยู่ในกลุ่มของเขา จงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าไปเทศนาบนธรรมมาสน์ของพวกเขา เพื่อที่จะกล่าวประณามพวกเขาอย่างเผ็ดร้อน เพื่อศาสนาอันบริสุทธิ์ของเราและเพื่อพระสันตะปาปา และให้ทำถึงแม้จะต้องลดตัวลงเป็นยิวเมื่ออยู่ในกลุ่มชาวยิว เพื่อที่เจ้าจะสามารถเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นผลประโยชน์ในงานของเจ้าที่เป็นทหารผู้ซื่อสัตย์แห่งพระสันตะปาปา

เจ้าได้รับการสั่งสอนให้ไปปลูกเมล็ดแห่งการอิจฉาริษยาและความเกลียดชังในประเทศที่กำลังอยู่ในความสงบ และให้ไปปลุกเร้าพวกเขาให้เกิดการรบราฆ่าฟันกัน ให้เข้าไปร่วมในสงครามกับพวกเขาทั้งสองฝ่าย และจงก่อการปฏิวัติและทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในชุมชน ในจังหวัด และในบรรดาประเทศที่มีการดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศและมีความมั่งคั่งอยู่นั้น จงไปอบรมสั่งสอนและสนับสนุนวิชาการด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้คนเพลิดเพลินในความสงบสุข

จงเข้าไปร่วมอยู่ในทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันและจงอยู่อย่างลับๆร่วมกันระหว่างพี่น้องเยซูอิท ผู้ซึ่งอาจจะสวมบทบาทฝ่ายตรงข้าม แต่จงขัดขวางและต่อต้านอย่างเปิดเผยในพี่น้องเยซูอิทที่ต้องปะทะด้วย
เพื่อที่จะมีเพียงคริสตจักร(โรมันคาทอลิค)เท่านั้นที่จะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ในวาระสุดท้ายที่เงื่อนไขต่างๆได้ถูกกำหนดในสนธิสัญญาแห่งสันติภาพและจงให้ดูว่าเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล


เจ้าได้รับการสั่งสอนในการเป็นนักสืบเพื่อเก็บรวมรวมข้อมูลทางสถิติต่างๆ ข้อเท็จจริงและข้อมูลที่เกี่ยวกับอำนาจของเจ้าจากทุกแหล่งที่มา เพื่อทำตัวให้เป็นที่โปรดปรานของกลุ่มครอบครัวที่มีความเชื่อมั่นในโปรเทสแทนต์ และพวกนอกรีต(heresy) ในทุกกลุ่มชนและทุกรูปแบบ รวมทั้งกลุ่มพ่อค้านักธุรกิจ นักการธนาคาร นักกฎหมาย ในโรงเรียน และในมหาวิทยาลัย ในคณะรัฐาบาล ในกลุ่มผู้ร่างกฎหมาย และในศาล และในสภาการเมืองการปกครอง และจงทำตัวเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทุกๆคน เพื่อผลประโยชน์แห่งพระสันตะปาปาผู้ที่เราเป็นทาสรับใช้จนวันตาย

เจ้าได้รับการแนะนำทั้งหมดจนบัดนี้ซึ่งในฐานะที่เป็นสมาชิกใหม่(ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝน) เป็นนักบวชน้องใหม่ และรับใช้ในฐานะผู้ช่วย ผู้สารภาพบาปต่อพระเพื่อขอการชำระ เป็นพระ แต่เจ้ายังไม่ได้รับการมอบอำนาจในทุกสิ่งที่จำเป็นในการบัญชาการในกองทัพของลอโยลาและในการรับใช้พระสันตะปาปา


เจ้าจะต้องทำงานทุกอย่างให้สำเร็จตรงตามเวลากำหนดที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาของเจ้า เพราะว่าไม่มีผู้บังคับบัญชาท่านใดในที่นี้ ที่ไม่ได้แสดงการเทิดทูนบูชาจากความพากเพียรของเขาด้วยเลือดของพวกนอกรีต เพราะว่าหากไม่มีการทำให้หลั่งเลือดแล้ว ก็ไม่มีใครได้รับความรอด”

Note: Heresy คือผู้ที่มีความเชื่อแตกต่างจากความเชื่อคาทอลิคทั้งหมด โดยหลักความเชื่อคาทอลิคนั้นที่นับถือพระแม่มารีย์เป็นผู้บริสุทธิ์ และมีพระสันตะปาปาเป็นตัวแทนของพระเจ้า และเป็นผู้ไถ่บาปให้มนุษย์ได้ ซึ่งผิดไปจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล-ผู้เรียบเรียง


(The following material contained in Congressional Record, House Bill 1523, Contested election case of Eugene C. Bonniwell, against Thos. S. Butler, February 15, 1913, pages 3215-6. The oath appears in its entirety, in the book, THE SUPPRESSED TRUTH ABOUT THE ASSASSINATION OF ABRAHAM LINCOLN, by Burke McCarty, pages 14-16).


The Extreme Oath of the Jesuits
คำปฏิญาณสูงสุดของเยซูอิต

“ข้าพเจ้า……..,ณ บัดนี้ ในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์, พระแม่มารีย์ผู้บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์, เทพเจ้าไมเคิ้ลผู้ศักดิ์สิทธิ์, เทพเจ้ายอห์นผู้ให้บัพติศมาผู้ศักดิ์สิทธิ์, เทพเจ้าเซนต์ปีเตอร์และเทพเจ้าเซนต์พอล และเหล่าธรรมิกชน และผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่อยู่บนสวรรค์ และท่าน พระบิดาของข้าพเจ้า(Holy Father = พระสันตะปาปา), ผู้บัญชาการทั่วไปของคณะเยซูอิต ซึ่งก่อตั้งโดยเซนต์ลอโยลา ในระหว่างการดำรงตำแหน่งของพระสันตะปาปาพอลที่3 ซึ่งยังคงอยู่ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ถือกำเนิดจากครรภ์บริสุทธิ์ ต้นแบบของพระเจ้า และคทาของพระเยซูคริสต์ ประกาศและสาบาน ว่าความบริสุทธิ์ของพระสันตะปาปา คือการเป็นตัวแทนของพระผู้ไถ่และเป็นความจริง และเป็นประมุขของคริสตจักรคาทอลิคและคริสตจักรทั่วไปทั้งแผ่นดินโลก และโดยความศักดิ์สิทธิ์ของกุญแจแห่งการผูกมัดและการปลดปล่อย ที่ได้ให้ไว้แก่พระสันตะปาปาโดยพระผู้ไถ่ของข้าพเจ้า พระเยซูคริสต์(ในพระคัมภีร์ไม่มีตอนใดเลยที่กล่าวไว้เช่นนี้ พระเจ้าองค์เที่ยงแท้นั้นเป็นพระเจ้าองค์เดียว ไม่มีตัวแทนบนโลกเพราะพระองค์เป็นพระวิญญาณ ผู้ที่เชื่อในพระองค์ทุกคนคือผู้รับใช้พระเจ้าและนมัสการพระองค์โดยจิตวิญญาณ- ผู้เรียบเรียง) ดังนั้นพระสันตะปาปาจึงมีสิทธิอำนาจในการถอดถอนกษัตริย์นอกรีต เจ้าชายในราชวงศ์ต่างๆ อำนาจแห่งรัฐ กลุ่มประชาชาติ และรัฐบาล ทั้งหมดนั้นจะถือว่าผิดกฎหมายหากไม่มีการยืนยันในความสวามิภักดิ์ต่อพระสันตะปาปาและความปลอดภัยของพวกเขาอาจจะถูกทำลายลง

ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าขอสัญญาและและประกาศว่าเมื่อโอกาส ข้าพเจ้าจะทำการก่อให้เกิดสงครามและทำสงครามอย่างไม่ปราณี ทั้งทำอย่างลับๆและทำอย่างเปิดเผย เพื่อที่จะกระทำการต่อต้านพวกนอกรีต ชาวโปรเทสแตนท์ และกลุ่มเสรีนิยมทั้งหลาย(พวกลัทธิศาสนาอื่นๆ) ตามคำบัญชาที่ข้าพเจ้าได้รับมา

และเมื่อใดที่ไม่สามารถกระทำอย่างเปิดเผย ข้าพเจ้าก็จะกระทำอย่างลับๆโดยใช้ยาพิษ ใช้สายรัดคอ ใช้กริชขนาดเล็ก ใช้ลูกตะกั่ว(กระสุนปืน)โดยไม่สนใจในเกียรติ ชนชั้น บรรดาศักดิ์ หรืออำนาจหน้าที่ของคนๆนั้น หรือสังคมของบุคคลเหล่านั้นเลย ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสภาพอย่างไร ทั้งในแง่ส่วนตัวและต่อสาธารณะ โดยที่เมื่อไรที่ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้ลงมือโดยตัวแทนของพระสันตะปาปาท่านใดก็แล้วแต่ หรือจากผู้บังคับบัญชาแห่งภารดรภาพเพื่อความศรัทธาอันศักดิ์สิทธิ์ต่อคณะเยซูอิต” (Double cross:Alberto, part 2, 1981)
V
V
V
The Oath of the Knights of Columbus, Knights of Malta and Rhodes Scholars is based upon the Oath of the Jesuits

Note: นี่ช่างน่าสยองพองขน แต่นั่นก็เป็นความจริง!!!!b>



//www.remnantofgod.org/jes-oth.htm













นี่คือผลงานบางส่วนของเยซูอิต




โปรดอ่าน แล้วลองคิดดู ถึงความเป็นไปในประเทศไทย....
//nonlaw.7forum.net/forum-f7/topic-t280-0.htm



Create Date : 01 ตุลาคม 2552
Last Update : 5 มีนาคม 2553 21:08:28 น.
Counter : 3566 Pageviews.

1 comment
สมาคมลับเหนือสมาคมลับครองโลก ตอนที่ 4 (เยซูอิตครองโลก)
ที่มาของหลักความเชื่อของคริสตจักรโรมันคาทอลิค




Note: The Jesuit ได้ก่อตั้งสมาคมฟรีเมสันเพื่อเข้าไปแทรกซึมกิจการของโปรเทสแทนต์ทั่วโลกอย่างลับๆ


กำเนิดโปรเทสแทนต์(Protestant)

ในช่วงปี 1517 ได้มีกลุ่มผู้ไม่ยอมรับแนวความเชื่อและแนวปฏิบัติของโรมันคาทอลิค

รากของความขัดแย้งนั้นมาจากการที่โรมันคาทอลิคเชื่อในสิทธิอำนาจของคริสตจักร ในขณะที่โปรเทสแทนต์เชื่อในคำสอนของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คาทอลิคยอมรับต่อประมุขของคริสตจักร(Pope) โปรเทสแทนต์ยอมรับต่อพระเจ้าองค์เที่ยงแท้องค์เดียว (True God) คาทอลิคเชื่อว่าพระสันตปาปาคือตัวแทนของพระผู้ไถ่ที่มีตัวตนอยู่บนโลก โปรเทสแทสต์เชื่อว่ามีพระผู้ไถ่องค์เดียวคือพระเยซูคริสต์ และเชื่อว่าพระสันตปาปาคือปฏิปักษ์พระคริสต์ (Antichrist)

ผู้นำในการต่อต้านได้แก่
• John Wycliffe ในอังกฤษ
• Martin Luther ในเยอรมัน
• John Calvin ในฝรั่งเศษ
• John Knox ในสกอตแลนด์
• Ulrich Zwingli ในสวิสเซอร์แลนด์
และจากประเทศอื่นๆอีกมาก

กลุ่มโปรเทสแทนต์เชื่อว่าตำแหน่งพระสันตะปาปาคือปฏิปักษ์พระคริสต์ (Antichrist) และผู้คนจำนวนมากในยุโรปได้ละทิ้งโรมันคาทอลิค และต่อต้านระบบสอนผิดๆของคาทอลิค (คำสอนที่บิดเบือนจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล)













โรมันคาทอลิคจึงปฏิบัติการปกป้องตนเอง โดยตั้งคณะทำงานชื่อ The Council of Trent (1545-1563) ขึ้น เพื่อต่อต้านกลุ่มโปรเทสแทนต์โดยเฉพาะ

จากปฏิบัติการนี้ โรมันคาทอลิคได้กระทำอย่างเปิดเผย โดยมีการสั่งเผาพระคัมภีร์ไบเบิ้ลและจับเผาทุกคนที่ต่อต้านคาทอลิค

“มันได้รับอำนาจที่จะสู้รบกับประชากรของพระเจ้าและมีชัยชนะ มันได้รับสิทธิอำนาจเหนือทุกเผ่า ทุกหมู่ชน ทุกภาษาและทุกชาติ” วิวรณ์ 13:7







ในเวลาต่อมา โรมก็ได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ในการทำสงครามกับโปรเทสแทนต์โดยหันมาทำแบบเงียบหรือแบบลับๆ โดยได้ก่อตั้งคณะเยซูอิตขึ้น


หลังจากพวกอัศวินเทมพลาร์ถูกฆ่าโดยกษัตริย์ฟิลิปแห่งฝรั่งเศสนั้น พวกที่รอดชีวิตนั้นได้รับการอภัยโทษและดูแลอย่างลับๆโดยพระสันตปาปา เทมพลาร์จึงอยู่ใต้บัญชาการของคาทอลิค








หน่วยปฏิบัติการด้านการทหารเพื่อยึดครองโลกของคริสตจักรโรมันคาทอลิค



คณะเยซูอิต (The Jesuit/ The Society of Jesus)

ก่อตั้งเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ในปี คศ.1534 โดยชาวสเปนชื่อ Ignatius Loyolaและได้รับการรับรองโดยพระสันตปาปาพอลที่ 3 เมื่อวันที่ 27 กันยายน คศ. 1540

Loyola ต้องการให้คณะเยซูอิตเป็นสุดยอดของสมาคมลับในคริสตจักรคาทอลิค ที่จะเข้าไปแทรกซึมกลุ่มโปรเทสแตนท์ทั้งในยุโรปและทั่วโลก เพื่อที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าทั่วโลกจะยอมสวามิภักดิ์ต่อพระสันตปาปาในฐานะตัวแทนขอพระผู้ไถ่ (Christ)ที่มีตัวตนอยู่บนแผ่นดินโลก (R.P. Jesuit Rouquette, op.cit p. 44)



Loyola ผู้ก่อตั้งคณะเยซูอิต



Loyola คุกเข่าต่อพระสันตปาปาพอลที่ 3



มีการวางแผนเพื่อทำลายกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับคาทอลิค(Protestants) และแฝงตัวเข้าไปเพื่อปุกปั่นให้เกิดความไม่สงบขึ้น เมื่อถูกจับได้ก็มีการถูกขับไล่ออกจากประเทศต่างๆเช่น ถูกขับออกจากโปรตุเกส ในปี 1750, ถูกขับออกจากฝรั่งเศสในปี 1764, ถูกขับออกจากสเปนในปี 1767, ถูกขับออกจากเนปาลในปี 1767, ถูกขับออกจากรัสเซียในปี 1820(Steve Wolhberg, End Time Delusion,p. 113)



วิหารเทมพลาร์



สัญลักษณ์ All Seeing Eye และ กางเขนเทมพลาร์



เทมพลาร์และพื้นขาว-ดำ ของสัญลักษณ์ฟรีเมสัน



สมาคมฟรีเมสันอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะเยซูอิต



สัญลักษณ์ฟรีเมสัน




สัญลักษณ์ฟรีเมสัน






ภาพนี้เป็นการเปรียบเทียบวิธีระหว่างธรรมเนียมปฏิบัติของสมาคมฟรีเมสันและคณะเยซูอิต ซึ่งคณะเยซูอิตนั้นต้องถอดรองเท้า และเปิดเข่าแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าพระสันตปาปา เพราะLoyolaได้กระทำเช่นนั้นเมื่อครั้งที่เขาขอคำยืนยันบัญชาการจากโรม
: จาก Occult Theocracy, Lady Qweenborough, (South Pasadena, California; Emissary Publication 1980; org published in 1933) p. 313








สัญลักษณ์ฟรีเมสัน+กระโหลกไขว้





อิลูมินาติ เป็นกลุ่มใหม่ของสมาคมฟรีเมสัน ที่มีหน้าที่แทรกซึมเพื่อการปฏิวัติแล้วนำไปสู่การรวมโลกเป็นรัฐบาลเดียว(New World Order)









Skull & Bones คืออีกกลุ่มหนึ่งของอิลูมินาติที่รับผิดชอบหลักในการยึดครองประเทศอเมริกาและใช้เป็นฐานปฏิบัติการเพื่อนำไปสู่โลกรัฐบาลเดียว หรือ New World Order




ทั้งสองคนเป็นสมาชิกสมาคมหัวกระโลกและกระดูกไขว้
อยู่คนละพรรคการเมืองที่ลงสมัครประธานาธิบดีพร้อมกัน
ใครได้เป็นผลก็ไม่ต่างกัน เพราะทำตามคำสั่งเดียวที่มาจากคณะเยซูอิต


พวกนี้ทำพิธีบวงสรวงบูชาซาตานโดยชีวิตมนุษย์







ILLUMINATI a myth? Full Documentary

https://www.youtube.com/watch?v=JGW4nXE9LrE







Linkนี้เกี่ยวกับฟรีเมสันประเทศไทย//www.pattayamail.com/658/features.shtml#hd1





Create Date : 29 กันยายน 2552
Last Update : 13 ธันวาคม 2554 1:01:24 น.
Counter : 9774 Pageviews.

สมาคมลับเหนือสมาคมลับครองโลก ตอนที่ 3 (Knights Templar)
ใครคือ The Templar????


กางเขนอัศวินเทมพลาร์



สัญลักษณ์อัศวินเทมพลาร์




เทมพลาร์บูชาปีศาจบาโฟเมต(Baphomet/Satan)




เทมพลาร์เป็นที่มาของฟรีเมสัน

จากข้อมูลของ Nesta H. Webster, Secret Society and Subversive movement, (Christian Book of America, 1924)พบว่า ในปี 1118 ซึ่งเป็นเวลา 19 ปีหลังจากสงครามครูเสดครั้งแรกสิ้นสุดลงซึ่งมุสลิมพ่ายแพ้นั้น

อัศวินเทมพลาร์ ถูกก่อตั้งขึ้นโดย Hughes de Payens ชนชั้นสูงจากฝรั่งเศส พร้อมกับอัศวินผู้ติดตามอีก 8 คน ก่อตั้งกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายในการปกป้องผู้แสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ กษัตริย์ Baldwin II แห่งเยรูซาเลม ได้อนุญาตให้ทั้ง 9 คนไปอาศัยอยู่ที่บริเวณทิศใต้ของ Temple Mount ซึ่งทั้งชาวคริสต์และอิสลามถือกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ

ชาวคริสต์เชื่อกันว่าโบสถ์นี้ตั้งอยู่บนซากปรักพังของ Temple of Solomon ในคัมภีร์ไบเบิล และสำหรับชาวมุสลิม กาหลิบอุมัยยะห์อับด์ อัล-มาลิคเคยสร้าง วิหาร โดมทองแห่งเยรุซาเล็มซึ่งภายในบรรจุก้อนหินที่ศาสดามูฮัมหมัดได้รับจากสวรรค์ ณ ที่ตรงนี้

ซึ่งการที่อัศวินเทมพลาร์มาอาศัยอยู่ในสถานที่สำคัญทางศาสนาอย่างยิ่งยวดเช่นนี้ ทำให้ในภายหลัง กลายเป็นบ่อเกิดของตำนานต่างๆนานา ของ Knights Templar ที่เล่าลือกันว่า พวกเขาพบ The Holy Grail (จอกเหล้าองุ่นที่พระเยซูคริสต์ใช้ในการรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย/The last supper)

ในช่วงเริ่มต้นนั้น พวกอัศวินเทมพลาร์ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ประทังชีวิตด้วยของบริจาค จึงได้รับการขนานนามว่า อัศวินผู้ยากไร้ และหลังจากที่อัศวินเทมพลาร์ไปอาศัยอยู่ในสถานที่ ที่เชื่อกันว่าเคยเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Temple of Solomon จึงได้รับการขนานนามอีกว่า อัศวินแห่งโบสถ์โซโลมอน

9 ปีต่อมา เชื่อเสียงของอัศวินผู้สมถะผู้อุทิศตัวเพื่อปกป้องผู้แสวงบุญ และผลงานดีเด่นต่างๆ แพร่เข้าไปในยุโรป มีผู้บริจาคทรัพย์สินเงินทองมากมาย ทั้งที่ดิน และเงินทองไหลบ่าสู่พวก Knights Templar มากมาย ชนชั้นสูงชาวยุโรปหลายคนยังส่งลูกหลานของตัวเองให้เข้าร่วมกลุ่มด้วย Knights Templar จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว และในปี 1139 อัศวินเทมพลาร์ได้รับเกียรติยศอันสูงสุด เมื่อพระสันตปาปา อินโนเซนต์ที่ 2 ประกาศให้พวกอัศวินเทมพลาร์อยู่เหนือกฎหมายของทุกประเทศ ไม่ต้องเสียภาษี และสามารถเดินทางผ่านดินแดนใดก็ได้โดยมิให้ผู้ใดขัดขวาง

ถึงแม้อัศวินเทมพลาร์จะเป็นกลุ่มที่เน้นหนักไปในด้านการทหาร แต่สมาชิกที่ไม่ได้เป็นนักรบก็มีหน้าที่คอยบริหารจัดการทรัพย์สินต่างๆและอำนวยความสะดวกให้กับนักรบ โดยในกลุ่มอัศวินเทมพลาร์แบ่งออกเป็น 4 ส่วน - อัศวิน ถูกฝึกฝนในแบบของทหารม้าหนัก แต่งกายด้วยสีขาวและสัญลักษณ์กางเขนสีแดง - Sergeants มาจากชนชั้นที่อยู่ต่ำกว่าอัศวิน ทำหน้าที่ในฐานะทหารม้าเบา พวกนี้จะสวมชุดสีน้ำตาล - the serving brothers ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินของกลุ่ม และทำหน้าที่ติดต่อค้าขาย -the chaplains พระที่ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณและทางศาสนาให้กลุ่มพวกอัศวินเทมพลาร์เข้าร่วมสมรภูมิสำคัญๆในดินแดนแถบนี้ในฐานะกองทหารชั้นยอด และยังเคยเข้าร่วมกับกองทัพของ Louis VII แห่งฝรั่งเศส และ King Richard I แห่งอังกฤษ ในการรบในดินแดนปาเลสไตน์

อัศวินเทมพลาร์คือผู้ริเริ่มรูปแบบระบบการธนาคาร

อัศวินเทมพลาร์มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาล และเริ่มให้ผู้แสวงบุญชาวเสปนยืมเงินสำหรับใช้เดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิในปี 1135

ปี 1150 Knights Templar ก็เริ่มใช้ระบบใหม่ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของระบบธนาคาร นั่นคือ เมื่อมีผู้แสวงบุญในยุโรปประสงค์จะเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ พวกเขาจะนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนไปฝากไว้กับฐานของอัศวินเทมพลาร์ในประเทศของตน ซึ่งทางอัศวินเทมพลาร์จะออกใบเสร็จซึ่งจดบันทึกรายการทรัพย์สินที่ฝากเอาไว้ให้ผู้แสวงบุญติดตัวไป และเมื่อผู้แสวงบุญกำลังเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ หากต้องการใช้เงินเมื่อไหร่ ก็นำใบเสร็จนี้ไปยื่นต่ออัศวินเทมพลาร์ที่เจอระหว่างทาง และเอาทรัพย์สินของตนออกมาใช้ได้ ด้วยวิธีนี้ผู้ แสวงบุญจะปลอดภัยจากการถูกปล้นชิงกลางทาง เพราะไม่ได้นำของมีค่าติดตัวไปด้วย

นอกจากมีระบบฝากเงินแล้ว ด้วยความร่ำรวยของอัศวินเทมพลาร์จึงมีหลายต่อหลายคนในยุโรปเข้ามาขอยืมเงิน ไม่ว่าจะเป็นขุนนางมายืมเงินเพื่อไต่เต้าตำแหน่ง แม่ทัพยืมเงินไปสร้างกองทัพ พ่อค้ายืมเงินไปทำธุรกิจ แม้แต่พระก็ยังมายืมเงินจากอัศวินเทมพลาร์เนื่องจากการคิดดอกเบี้ยเป็นเรื่องต้องห้ามของศาสนจักร พวกอัศวินเทมพลาร์จึงไม่ได้คิดดอกเบี้ย แต่คิด"ค่าเช่า"แทน
อัศวินเทมพลาร์กลายเป็นกลุ่มที่ร่ำรวยและมีอำนาจอย่างมาก ครอบครองที่ดินทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง สร้างปราสาทและโบสถ์มากมาย มีฟาร์มหลายแห่ง ค้าขายสินค้าทั้งส่งออกและนำเข้า มีกองทัพเรือของตัวเอง และครอบครองเกาะไซปรัสทั้งหมด


อัศวินเทมพลาร์ถึงการณ์ล่มสลาย

เมื่อกรุงเยรูซาเลมพ่ายต่อสุลต่าน ซาลาดิน การสนับสนุนจากยุโรปก็ตกต่ำลง ในช่วงท้ายปี 1300 กษัตริย์ ฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ได้ยืมเงินจำนวนมากจากอัศวินเทมพลาร์เพื่อใช้ในการทำสงครามกับอังกฤษ แต่ไม่มีเงินพอที่จะใช้คืนได้ เลยหาเหตุเบี้ยวหนี้ สั่งสอบสวนผู้นำของ Templar Grand Master Jacques de Molay ในฐานะเป็นพวกนอกรีต ซึ่งเจ้าตัวให้การปฏิเสธ

ในวันศุกรที่ 13 ปี 1307 ฟิลิปจับกุมตัวสมาชิกอัศวินเทมพลาร์ทั้งหมดในฝรั่งเศส กล่าวหาว่าพวกอัศวินเทมพลาร์บูชาปีศาจบาโฟเมต(ซาตาน) เป็นพวกนอกรีต และสั่งประหาร ซึ่งทำให้ฟิลิปรอดพ้นจากการเป็นหนี้พวกอัศวินเทมพลาร์ซ้ำฟิลิปยังยึดทรัพย์สินของพวกอัศวินเทมพลาร์ทั้งหมดในฝรั่งเศส


ด้วยแรงกดดันจากฟิลิป พระสันตปาปาคลีเมนต์จึงสั่งยุบกลุ่มอัศวินเทมพลาร์ที่ดินของอัศวินเทมพลาร์ถูกโอนไปให้พวก Hospitallers และพวกผู้นำในยุโรปก็เอาตามอย่างฟิลิป ประกาศให้พวกอัศวินเทมพลาร์เป็นพวกนอกรีตและยึดทรัพย์สิน ในปี 1314 ผู้นำของอัศวินเทมพลาร์ทั้ง 3 คน ถูกจับเผาทั้งเป็น


***ตำนาน ศุกร์ที่ 13
หลายคนเชื่อว่า ความเชื่อที่ว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้าย มีสาเหตุมาจากที่พวกอัศวินเทมพลาร์ถูกจับในข้อหาเป็นพวกนอกรีตในวันศุกร์ที่ 13 นี่เอง
***


ตามประวัติ พวกอัศวินเทมพลาร์ตั้งฐานบัญชาการแห่งแรกใกล้ๆ Temple Mount ซึ่งถือเป็นสถานทีศักดิ์สิทธิของคริสเตียน ยิว และมุสลิม


เชื่อกันว่าTemple Mount ตั้งอยู่บนซากปรักหักพังของโบสถ์โซโลมอนในไบเบิ้ล มีคำล่ำลือมากมายเกี่ยวกับโบสถ์นี้ว่า เป็นสถานที่เก็บวัตถุศักดิ์สิทธิยิ่งยวดเอาไว้ เช่น เป็นสถานที่เก็บ หีบแห่งพันธสัญญา ที่โมเสสใช้ติดต่อกับพระเจ้า บางตำนานก็ว่ามีอุโมงค์ลับใต้วิหารซึ่งเป็นที่เก็บ ชิ้นส่วนของไม้กางเขนที่ใช้ตรึงพระเยซู บางตำนานก็กล่าวว่าในนั้น เก็บเอกสารสำคัญบางอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซู ด้วยเหตุหลายคนจึงเชื่อกันว่า พวกอัศวินเทมพลาร์พบเจออะไรบางอย่างในโบสถ์นั้น และสิ่งนั้นทำให้ Knights Templar ก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุด

นักวิชาการบางคน เช่น Hugh J. Schonfield มีข้อสันนิษฐานว่า พวกอัศวินเทมพลาร์อาจไปเจอคัมภีร์โบราณ Copper Scroll "ม้วนบันทึกทองแดง" ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้พวก Knights Templar ถูกข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต


(คัมภีร์ Copper Scroll คือส่วนหนึ่งของคัมภีร์ Dead Sea Scrolls และ Lilith of Dead Sea ซึ่งมีการค้นพบในถ้ำคูมรัน เป็นคัมภีร์โบราณที่เกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับที่เขียนไว้เป็นรหัสลับ ต้องมีการติดต่อกับวิญญาณต่างๆจึงจะเข้าใจ และคัมภีร์นี้เองเป็นที่มาของลัทธินอสติค (Gnosticism) และในขณะนั้นทางวาติกัน(คาทอลิค)ได้สั่งห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่คัมภีร์นี้ออกสู่สาธารณะ)

ถึงแม้อัศวินเทมพลาร์จะล่มสลายลง แต่ยังคงเหลือสมาชิกอีก 100 คนที่ยังหลงเหลือในยุโรป กองเรือของพวกอัศวินเทมพลาร์ได้หลบซ่อนตัวเองและตั้งชื่อใหม่ว่า “the Knights of Christ”


จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์พบว่า ภรรยาของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นลูกสาวของ Knight of Christ คนหนึ่ง และในเรือของโคลัมบัสก็มีกางเขนของเทมพลาร์อยู่ในนั้นด้วย โคลัมบัสได้ล่องเรือข้ามมหาสมุทรเพื่อแสวงหาแผ่นดินใหม่คือประเทศอเมริกาปัจจุบัน



สมาคม Freemasonry รับธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมมากจากกลุ่ม Knights Templar ซึ่งก็คือลัทธิบูชาซาตานหรือปีศาจบาโฟเมตนั่นเอง

“อัศวินเทมพลาร์หลายคนได้ออกเดินทางไปกอบกู้สถานศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนปาเลสไตน์จากชาวSaracen (แขกซาราเซน, ชาวมุสลิมโบราณ) และได้ก่อตั้งสมาคมลับชื่อ “สมาคมฟรีเมสัน” เพื่อสานต่อเจตนารมรณ์เดิมคือการสร้างวิหารโซโลมอนขึ้นมาใหม่” (จาก Secret Society and Suversive Movement, Nesta Webster, (South Pasadena, California:Emissary Publication, 1980 Origin pubished in 1924) p.139)
















เทมพลารปัจจุบัน





เทมพลารปัจจุบัน คือ สมาคม Freemason


To be continue...



Create Date : 29 กันยายน 2552
Last Update : 23 ตุลาคม 2552 12:10:42 น.
Counter : 10101 Pageviews.

6 comment
สมาคมลับเหนือสมาคมลับครองโลก ตอนที่ 2 (Babylon)
การกำเนิดสมาคมลับ
โดย Gary H. Kah. En Route to Global Occupation:



Note: จากรูปจะเห็นว่าศาสนาทุกศาสนารวมทั้งศาสนาพุทธด้วยนั้น ทั้งหมดมีรากฐานมาจากหลักความเชื่อของนครบาบิลอนโบราณ ซึ่งเป็นลัทธิบูชาซาตาน ซึ่งในแต่ละทวีปก็มีชื่อที่แตกต่างกันไป และด้วยการผ่านวิวัฒนาการอันยาวนานทางความเชื่อและการถือปฏิบัต ผู้ที่เชื่อในแต่ละศาสนาจึงไม่ทราบถึงแก่นแท้ที่มาของความเชื่อของตน ได้แต่ปฏิบัติตามๆกันมา เป็นวัฒนธรรม และเป็นธรรมเนียม


  • จงดูที่ New Age Movement ที่มีเส้นทางอันยาวนานมาจากศาสนาลึกลับโบราณแห่งบาบิลอน และที่น่าสังเกตคือที่กลุ่มฟรีเมสันหรือ อิลูมินาติ นั่นเองที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังผู้คนระดับแนวหน้าในวงการการเงินของโลก รวมทั้งระบบคอมมิวนิสต์ (Marxism), กลุ่มสมาคมลับที่อยู่เบื้องหลังการเมืองทั้งในยุโรปและอเมริกา และกลุ่มผู้บริหารคริสตจักรทั่วโลก


    ที่มาของความเชื่อบาบิลอน:

    จากพระคัมภีร์: หลังน้ำท่วมโลก โนอาห์และลูกๆของเขารอดชีวิต ซึ่งได้แก่ เชม ฮาม และยาเฟท

    ต่อมาฮามเป็นบิดาของคูท และคูทเป็นบิดาของนิมโรด
    อับราฮัมเป็นรุ่นที่ 10 จากโนอาห์ เป็นบุตรของเทราห์ ทางเชื้อสายของเชม






    พิธีกรรมทางศาสนา(False Religion) ถูกริเริ่มโดยนิมโรด Nimrod (ชื่อของเขาพบในปฐมกาล 10:8) ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของมหานครบาบิโลนในครั้งโบราณกาล ซึ่งนิมโรดคือชายคนแรกที่รักการบูชารูปเคารพเป็นชีวิตจิตใจซึ่งเขาได้รับการดลใจมาจากซาตานหรือลูซีเฟอร์

    จากหลักฐานงานเขียนของชาวยิวและอิสลามนั้นพบว่า นิมโรดเองก็เป็นคู่ปรับกับอับราฮัม ด้วยว่าอับราฮัมรักพระเจ้าและเกลียดการบูชารูปเคารพ

    นิมโรดซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและทรงอิทธิพลมากจึงส่งผลให้ผู้คนในกรุงบาบิลอนซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเขาปฏิบัติตามเขาทุกอย่าง

    เขาและบิดาของเขาคือคูทเป็นผู้ริเริ่มรวบรวมผู้คนในการก่อสร้างหอบาเบลเพื่อต้องการไปให้ถึงสวรรค์เพื่อต้องการเทียบเคียงพระเจ้าผู้สร้าง แต่ทำไม่สำเร็จเพราะพระเจ้าเห็นว่าพวกเขากำลังก่อการกบฎ จึงทำให้พวกเขาแตกภาษากระจัดกระจายไป (ปฐมกาล 11:5-9)



จากการสร้างหอบาเบลนี่เอง นิมโรดจึงถูกนับถือจากคนกลุ่มฟรีเมซั่นว่าเป็นต้นกำเนิดของฟรีเมซั่น(Freemasonry Foundation)

  • นิมโรดนั่นเองที่เป็นผู้เริ่มก่อกบฎต่อพระเจ้าเป็นคนแรก และยังได้ชักชวนให้ผู้คนในยุคนั้นเริ่มนับถือตนเองแทนการเคารพยำเกรงพระเจ้าพระผู้สร้าง เขาเป็นคนที่มีกำลังมากเป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกาจ และเป็นผู้แรกที่ปลุกระดมการทำสงครามและเข่นฆ่ามนุษย์และล่าอาณานิคมในยุคนั้น

    จากการที่หอบาเบลสร้างไม่สำเร็จเพราะพระเจ้าไม่พอใจนั้น ต่อมาคูทผู้เป็นพ่อของนิมโรดได้ฆ่าตายด้วยความอับอาย

    จากงานเขียนบันทึกหลักฐานทางประวัติศาตร์พบว่า นางเซมิรามิสซึ่งภรรยาของคูทนั้นเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ซึ่งเมื่อคูทตายไปเธอก็เอาลูกคือนิมโรดมาเป็นสามีของเธอ เธอจึงได้ตำแหน่งเป็นราชินีแห่งบาบิโลน ซึ่งต่อมานิมโรดได้ตายไปจากการถูกสับเป็นชิ้นๆโดยเชมซึ่งลูกคนหนึ่งของโนอาห์ และมีศักดิ์เป็นลุงของนิมโรดที่ทนเห็นความเลวร้ายของเขาไม่ไหว จึงนำพวกมาลอบสังหารเขาเสีย ต่อมานางเซมิรามิสได้ตั้งครรภ์ซึ่งเธออ้างวว่าการตั้งครรภ์ของเธอเกิดขึ้นโดยความบริสุทธิ์ ซึ่งมาจากวิญญาณ(Spirit) ทำให้เธอตั้งครรภ์ เพราะเธออ้างว่าไม่ได้นอนร่วมกับใคร และเธอได้คลอดลูกออกมาชื่อว่า ทัมมุส (Tammuz) ซึ่งเกิดในช่วงฤดูหนาว Winter Solstice ประมาณวันที่ 25 ธันวาคม และเพื่อให้ดูศักดิ์สิทธิ์และเป็นการให้เกียรติแก่นิมโรด เธอจึงประกาศแก่ผู้คนทั้วไปในบาบิโลนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเธอว่า นิมโรดนั้นไม่ได้ตายไปเลยแต่ได้กลับมาเกิดใหม่อย่างบริสุทธิ์เป็นทัมมุสบุตรของเธอ และเธอก็ตั้งตนเองขึ้นเป็นแม่ของผู้บริสุทธิ์หรือเทวีแห่งสวรรค์ (Queen of Heaven) ซึ่งได้กลายมาเป็นเทพเจ้าอีกองค์หนึ่งของชาวบาบิโลน

    มีการกล่าวถึงเธอในพระคัมภีร์ว่า “พวกเด็กๆก็เก็บฟืน พวกพ่อก็ก่อไฟ พวกผู้หญิงก็นวดแป้ง เพื่อทำขนมถวายแก่เจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเขาเทเครื่องดื่มบูชาถวายแก่พระอื่นๆ เพื่อยั่วยุให้เราโกรธ" เยเรมีย์ 7:18 (และยังพบอีกในเยเรมีย์ 44:17-19 และ 25)

    ทัมมุสเองนั้นกลายมาเป็นพระเจ้าของชาวบาบิโลนหรือ sun-god ซึ่งต้นคริสต์มาส และ Yule log ได้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในการฉลองวันเกิดของพระทัมมุสและต่อมาจึงกลายมาเป็นเทศกาลประจำปีของชาวบาบิโลน

    พระคัมภีร์กล่าวถึงทัมมุส… “..และดูเถิด ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนนั่งร้องไห้อาลัยเจ้าพ่อทัมมุส” (เอเสเคียล 8:14)

    ในนิทานปรัมปราของชาวบาบิโลนในยุคหลังจากนิมโรดตายไปนั้น ได้กล่าวถึงนิมโรดว่าเขาได้รับการนมัสการและบูชา และถูกเรียกชื่อแตกต่างกันไปเช่น พระบาอัล (Baal/the Lord Marduk), Mithras, Ahura, Mazda, Gott, Aton, and Dagon, Baphomet, etc.







    The goddess Semiramis / Statute of Liberty/ Isis/ Columbia/ Queen of heaven



    ทั้งสามนี้คือต้นแบบของบรรดารูปเคารพต่างๆทั่วพิภพ







    สมาคมลับมีหลักความเชื่อ (Doctrine) 2 ชุด

    1). ชุดแรกเป็นหลักความเชื่อของคาทอลิค ซึ่งเป็นของคนวงนอก บูชาพระแม่มารีย์ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งมีรากฐานมาจาก Queen of Heaven รวมทั้งบูชาพระอาทิตย์(อีกรูปของซาตาน) และถือว่าพระสันตปาปาคือตัวแทนของพระเจ้า(God)ผู้ไถ่บาป(Christ)ที่มีตัวตนบนโลก (เขาไม่ยอมรับพระเยซูว่าเป็นพระคริสต์ แต่บูชาซาตานว่าเป็นพระคริสต์หรือพระผู้ไถ่ของพวกเขา)
ให้สังเกตว่าเมื่อพวกเขา เช่น พระสันตะปาปาหรือสมาชิกของสมาคมลับต่างๆพูดถึงพระเจ้า เขามักจะใช้คำว่า God หรือเรียกว่า Christ ซึ่ง God หรือ Christ ของพวกเขานั้นหมายถึงซาตานหรือลูซิเฟอร์ และคำว่า Holy Father นั้นหมายถึงพระสันตะปาปาซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นตัวแทนของ Christ นั่นเอง (ซึ่งไม่ใช่ Jesus Christ)

ขัอมูลเพิ่มเติม:


Note: ผู้เชื่อทั่วไปที่ไปโบสถ์วันอาทิตย์ ไม่เข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนได้แต่ทำตามกันมา ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่คิดว่าตนเองไปนมัสการพระเยซูคริสต์ แต่ความจริงแล้วซาตานได้เลือกวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่ 1 ของสัปดาห์เป็นวันของมัน

  • ใครก็ตามที่ไปนมัสการในวันอาทิตย์ ไม่ว่าจะตั้งใจไปนมัสการใครก็แล้วแต่ เจ้าซาตานก็ถือว่าไปนมัสการมัน และมันสามารถทำทุกอย่างที่เลียนแบบพระเจ้า เช่น ให้พร รักษาโรค หรือแสดงปาฏิหารย์ต่างๆ เพื่อให้คนเชื่อและเข้าใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นมาจากพระเจ้าพระยาเวห์ ซึ่งเป็นการล่อลวงที่แยบยลมากและมันทำสำเร็จแล้ว เพราะผู้คนเกือบทั่วโลกได้เชื่อและได้ยินยอมทำตามทุกอย่างด้วยการวางใจ รวมทั้งถือปฏิบัติเทศกาลต่างๆเช่น คริสต์มาส อีสเตอร์ ฮาโลวีน รวมถึงการจัดงานวันเกิด ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากพิธีกรรมของศาสนาเทียมเท็จของบาบิลอนทั้งสิ้น

    ผู้เคร่งศาสนาหลายคนหลงหายไป:
    "มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ' เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า `เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นจากเรา' " (มัทธิว 7:21-23)


    "อย่าเชื่อทุกวิญญาณ แต่จงทดสอบว่าวิญญาณนั้นๆมาจากพระเจ้าหรือไม่" 1 ยอห์น 4:1

    "ทุกวิญญาณที่ไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์ ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่เป็นวิญญาณแห่งปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินว่าจะมา และบัดนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว" 1 ยอห์น 4:3
    **



"จงระวังให้ดี เกรงว่าจะมีผู้ใดทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อด้วยหลักปรัชญาและด้วยคำล่อลวงอันไม่มีสาระ ตามธรรมเนียมของมนุษย์ ตามหลักการต่างๆที่เป็นของโลก ไม่ใช่ตามพระคริสต์" (โคโลสี2:8)


2). ชุดที่สองเป็นเป็นของกลุ่มคนวงใน มาจากเรื่องศาสตร์ลี้ลับของชาวยิวโบราณ หรือ Kabbalism เป็นเรื่องเกี่ยวกับเวทมนต์คาถา การดูฤกษ์ยาม วิชาดูหมอต่างๆ มีการติดต่อกับภูตผีปีศาจ(Demon influenced) ที่ตกทอดมาจากศาสตร์ลี้ลับแห่งบาบิลอนซึ่งเป็นการบูชาซาตานหรือลูซีเฟอร์

ขูอมูลเพิ่มเติม:


ทั้งหมดมี 8 ตอน https://www.youtube.com/view_play_list?p=57BBD0259CAB66ED

ยกตัวอย่าง: The Knights Templar มี 2 หลักความเชื่อและถือปฏิบัติ

อันแรกสำหรับวงใน (Insider) ซึ่งเป็นเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ (เวทมนตร์คาถา)

ส่วนหลักความเชื่อที่สองนั้นใช้สำหรับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง (Outsider) ซึ่งมีรากฐานมาจากความเชื่อของคาทอลิค

คนทั่วไปจึงได้รับข้อมูลที่แตกต่างจากกลุ่มวงในมาก ซึ่งศาสตร์ลี้ลับของคนวงในนั้นเขาสอนกันว่าลูซีเฟอร์ (Lucifer/Satan) เป็นบุตรของพระเจ้า ส่วนพระเยซูนั้นเป็นที่สองรองลงมาซึ่งได้พ่ายแพ้ต่อลูซิเฟอร์

(To be continue...)



Create Date : 29 กันยายน 2552
Last Update : 18 มิถุนายน 2556 22:02:53 น.
Counter : 11065 Pageviews.

สมาคมลับเหนือสมาคมลับครองโลก ตอนที่ 1(ประวัติย่อๆ)
ประวัติย่อๆเกี่ยวกับสมาคมลับ

ปี 1717 ก่อตั้ง Masonic Grand Lodge ในอังกฤษ (ขณะนั้นอังกฤษเป็นประเทศที่นับถือนิกายโปรเทสแทนท์ แล้วกลุ่มฟรีเมสันพยายามแทรกซึมเข้าไปเพื่อทำลายกลุ่มโปรเทสแทนต์)

ปี 1721 ก่อตั้ง Masonic Lodge แห่งแรกในฝรั่งเศส

ปี 1731 เบนจามิน แฟรงคลิน เข้าร่วมเป็นสมาชิกฟรีเมสัน

ปี 1738 คริสตจักรโรมันคาทอลิคประณามกลุ่มฟรีเมสัน (โรมพุ่งประเด็นทุกอย่างไปที่กลุ่มฟรีเมสัน แต่วงในรู้ดีว่าคณะเยซูอิต(Jesuit Order)ควบคุมกลุ่มฟรีเมสันอีกชั้นหนึ่ง)

ปี 1758 - Sir Francis Dashwood ก่อตั้ง The Hell-Fire Club
- Benjamin Franklin เดินทางไปอังกฤษเพื่อไปหารือเกี่ยวกับการเอาอเมริกามาเป็นประเทศในอาณานิคมในอนาคต

ปี 1768 ก่อตั้ง The Rite of the Strict Observance (33 degree) โดย Baron Von Hund โดยรับแนวทางปฏิบัติพื้นฐานมาจาก The Templar , Frederic of Prussia ก่อตั้ง The Order of the Architects of Africa และใช้ชื่อ “Illuminati” เพื่อที่จะประกาศว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเมสันใหม่ (neo-Masonic lodge)

ปี 1770 Benjamin Franklin ได้รับเลือกตั้งให้เป็น Grand Master of Nine Sister lodge ในปารีส ฝรั่งเศส

ปี 1771 ก่อตั้ง Grand Orient Masonry ในฝรั่งเศส

ปี 1776 ก่อตั้ง Order of Perfectibilist หรือ Illuminati และเริ่มมีการปฏิวัติในอเมริกา

ปี 1778 Peter ก่อตั้ง the Secret Circle

ปี 1785 Grand Masonic Congress ถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มผู้คบคิดร่วมกันทำการปฏิวัติในฝรั่งเศส กลุ่มอิลูมินาติถูกต่อต้านใน Baveria แล้วพวกเขาได้หลบลงใต้ดิน (ทำการอย่างลับๆ)

ปี 1789 เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศส

ปี 1784 อิลูมินาติคบคิดวางแผนโค่นล้ม The Hapsburgs (ตระกูลเยอรมันที่มีเชื่อสายเป็นกษัตริย์ในอาณาจักรของโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ออสเตรีย และสเปน)และทำได้สำเร็จ ขณะนี้กลุ่มสมาคมลับต่างๆได้อยู่เบื้องหลังกิจการของโรมันคาทอลิคโดยมีศุนย์บัญชาการอยู่นครวาติกัน

“ปัจจุบันพระสันตปาปาของคริสตจักโรมันคาทอลิค มีตัวแทนซึ่งเป็นสมาคมลับแทรกซึมอยู่ทุกหัวระแหงทั่วโลก อันได้แก่ The Jesuit(คณะเยซูอิต), Knights of Malta, Opus Dei และอื่นๆ พวกเขาเป็นหน่วยองค์กรลับหรือมือทำงานที่ทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของวาติกัน(หรือโรมันคาทอลิค)ที่มีการฝึกฝนมาอย่างดี มีความจงรักภักดีสูงสุดต่อพระสันตปาปาและมีฝีมือที่ไม่เป็นสองรองจากกลุ่มใดเลยในโลกนี้” (จาก Dave Hunt 1994, American Baptist Historian)

A Woman Rides the Beast (หญิงที่นั่งอยู่บนสัตว์ร้าย: วิวรณ์ 17:3), Dave Hunt, (Eugene, Oregon: Harvest House Publisher, 1994) p.87


To be continue...



Create Date : 29 กันยายน 2552
Last Update : 2 ตุลาคม 2552 22:46:58 น.
Counter : 3778 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  

Narno7
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]



โยบ 38 / Job 38


38:4 เมื่อเราวางรากฐานของแผ่นดินโลกนั้น เจ้าอยู่ที่ไหน ถ้าเจ้ามีความเข้าใจก็บอกเรามา

38:4 Where wast thou when I laid the foundations of the earth? declare, if thou hast understanding.

38:7 ในเมื่อดาวรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญ และบรรดาบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าโห่ร้องด้วยความชื่นบาน

38:7 When the morning stars sang together, and all the sons of God shouted for joy


"I am a spirit that live in a body and communicate and perceive the exterior world through my soul."

"This world is not my home. I am here on a mission. Not all of children of God have or will come on this earth but I was chosen. Not all who come fulfill their mission and purpose for being here. Through the Cross of Jesus, I enter into the Kingdom of God. And as a daughter of God, my mission is to bring Heaven to earth."

New Comments
All Blog