แน่ใจหรือว่าได้รับความรอดแล้ว?? AM I SAVED??



“...ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด” มัทธิว 24:13

“ท่านจะถูกคนทั้งปวงเกลียดชังเพราะเห็นแก่นามของเรา แต่ผู้ใดที่ทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด” มัทธิว10:22

“ถ้าคนชอบธรรมจะรอดพ้นไปได้อย่างยากเย็นแล้ว คนอธรรมและคนบาปจะไปอยู่ที่ไหน” 1 เปโตร 4:18

..ฝ่ายคนทั้งหลายที่ได้ยินจึงว่า "ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้" ลูกา 18:26



จากข้อพระคัมภีร์ข้างบน ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าความรอดไม่ใช่ของล้อเล่น!!!




ความรอดเป็นของประทานจากพระเจ้าผ่านทางพระบุตรองค์เดียวคือองค์พระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงแบกรับความบาปของพวกเราทุกๆ คน ไว้ที่พระองค์เอง เพื่อให้เราได้รับการไถ่ และได้กลับมาคืนดีกับพระบิดาพระเจ้าองค์บริสุทธิ์


หากความรอดนั่น ต้องแลกมาด้วยทั้ง เลือด เนื้อ และชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว…

… เพียงการกล่าวคำอธิษฐานรับเชื่อสั้นๆ ตามการกล่าวนำของใครบางคนที่ได้เขียนไว้แล้วเกี่ยวกับพวกเขา ในหนังสือของ มาลาคี 2:8-9 ว่า… “เจ้าเองได้หันไปเสียจากทางนั้น เจ้าเป็นเหตุให้หลายคนสะดุดเพราะเหตุราชบัญญัติ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าได้กระทำให้พันธสัญญาของเลวีเสื่อมไป ดังนั้นเราจึงกระทำให้เจ้าเป็นที่ดูหมิ่นและเหยียดหยามต่อหน้าประชาชนทั้งปวง ให้สมกับที่เจ้ามิได้รักษาบรรดาวิถีทางของเรา แต่ได้แสดงอคติในการสอนราชบัญญัติ" ….

ทั้งๆที่หลักฐานก็มีอยู่อย่างชัดเจน ในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์...

...แล้วผู้ที่กล่าวคำรับเชื่อตามผู้นั้นก็ยังคงดำเนินชีวิตในความบาปเหมือนเดิมอยู่นั่น.....

เขาเพียงกล่าวคำรับเชื่อ แล้วก็ได้รับการยืนยันว่าเขารอดจากผู้พากล่าวนำนั้น.......... ผลจะเป็นอย่างไรพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้ให้คำตอบ!!



พระเจ้าบอกให้เราไปทางประตูที่คับของพระเยซู....แต่หลายท่านกลับลืมสอนเน้นย้ำถึงทางที่แคบที่เราจะต้องบากบั่นเพื่อเขาสู่แผ่นดินสวรรค์ เพราะว่า “ผู้ที่หาพบก็มีน้อย”



“จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย” มัทธิว 7:13-14


ก่อนอื่นขอปูพื้นฐานเกี่ยวความรอดก่อน เพราะคนทั่วไปที่ยังไม่รู้จักการดำเนินชีวิตกับพระเจ้าก็อาจไม่เข้าใจกับคำว่าความรอด(Salvation) เรามักจะใช้คำง่ายๆในการอธิบายว่า

“ถ้าเราเกิดหนึ่งครั้งจะตายสองครั้ง แต่ถ้าเราเกิดสองครั้งจะตายแค่ครั้งเดียว”

**“ถ้าเกิดหนึ่งครั้ง จะตายสองครั้ง” คือ เมื่อคนๆหนึ่งเกิดมาจากครรภ์มารดา เราเรียกว่าการเกิดฝ่ายเนื้อหนังคือการเกิดครั้งที่หนึ่ง แล้วถ้าคนนั้นดำเนินชีวิตไปเรื่อยตามครรลองของชาวโลกทั่วๆไป เมื่อเขาตาย จะตายถึงสองครั้ง คือ 1).การตายฝ่ายร่างกายหรือเนื้อหนัง และ 2). รวมถึงการตายฝ่ายวิญญาณด้วย

การตายฝ่ายวิญญาณนั้น จะทำให้ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า นั่นคือการถูกเผาด้วยไฟในนรกตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ “แล้วความตายและนรกก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ นี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง” วิวรณ์ 20:14

"...วิญญาณใดทำบาปก็จะตาย "
....the soul that sinneth, it shall die.
เอเสเคียล / Ezekiel 18:4




**“ถ้าเกิดสองครั้ง จะตายเพียงหนึ่งครั้ง”

เกิดครั้งที่หนึ่งคือเกิดจากครรภ์มารดาหรือการเกิดในทางเนื้อหนังหรือการเกิดมาเป็นตัวเป็นตนอย่างพวกเรานี่เอง

ส่วนการเกิดครั้งที่สองนั้น คือการเกิดฝ่ายวิญญาณเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นผู้ที่สามารถไถ่เราออกจากความบาปทั้งหมดที่เราเคยทำมาตลอดชีวิตของเรา เราก็จะได้รับของประทานพิเศษจากพระเจ้าคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาทำงานอยู่ในจิตวิญญาณของเรา นั่นคือเรามาถึงความรอดแล้ว…..คือการกลับมามีความสัมพันธ์อันดีกับพระผู้สร้างของเรา และชื่อของเราก็จะถูกบันทึกลงในหนังสือแห่งชีวิตบนสวรรค์ และถ้าเราดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่นั้นโดยการดำรงอยู่ในความเชื่อในพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ ถวายร่างกายและจิตวิญญาณแด่พระองค์ เป็นของถวายที่มีชีวิตอยู่ พึ่งพาพระเจ้าทุกย่างก้าวของชีวิต และทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว เราก็จะไม่กลัวความตาย เพราะเรารู้ดีว่าเราจะตายอีกเพียงครั้งเดียว คือตายฝ่ายเนื้อหนัง และเรามีความหวังใจว่า จิตวิญญาณของเราจะได้กลับไปอยู่ในแดนบรมสุขเกษม หรืออยู่ในแผ่นดินสวรรค์ร่วมกับพระผู้ทรงสร้างของเราอย่างแน่นนอน


…. คุณเคยสำรวจชีวิตของคุณหรือไม่ว่าคุณมั่นใจแค่ไหนในความรอดของคุณ?

บางคนจะตอบว่า แน่ใจซิ…เพราะว่าผมรับเชื่อพระเยซูแล้ว และรับบัพติสมาแล้วด้วยนะ

บางคนก็ตอบว่า แน่ใจซิ…ก็ศิษยาภิบาลเค้ายืนยันแน่นอนแล้วนี่ !!!

อย่างไรก็ตาม ชาวคริสต์หลายๆคนซึ่งรวมๆแล้วอาจจะมากกว่า 80% นั้นมีการดำเนินชีวิตที่แทบจะไม่แตกต่างจากครรลองของชาวโลกทั่วไปเลย

จากประสบการณ์คลุกคลีกับสังคมทั้งคริสเตียนไทยและคริสเตียนอเมริกันด้วย เราสังเกตเห็นได้ว่า คนดีๆที่น่านับถือก็พอมีอยู่ แต่ที่แปลกมากก็คือส่วนใหญ่ยังมีความเย่อหยิ่ง มีความโลภ รักเงินทองมากกว่าพระเจ้า ฉ้อโกง อิจฉาริษยา ชอบนินทา ชอบตัดสินและตำหนิคนอื่น ยกตนข่มท่าน รักร่วมเพศ ล่วงประเวณี หน้าซื่อใจคด ทำตัวเหมือนฟาริสียุคศตวรรษที่ 21 ปากพูดว่ารักพระเจ้าแต่การกระทำก็อีกอย่างหนึ่ง ฯลฯ

อยู่ที่อเมริกา เคยถูกคนที่ไปโบสถ์เดียวกันโกงเงินอย่างไม่มียางอาย ด้วยพระเจ้าสอนให้เราอยู่อย่างสงบกับทุกคน (ฮีบรู 12:14 “จงอุตส่าห์ที่จะสงบสุขอยู่กับคนทั้งปวง”KJV) เราก็อธิษฐานขอพระเจ้ายกโทษให้เขาไป

พอมาพิจารณาดูดีๆ ก็ดูเหมือนว่าหลายๆคนที่ไปโบสถ์ ทั้งไทยและเทศ ก็ดูเหมือนกับว่าไปกันเพียงเป็นพิธี หรือไม่ก็ไปใช้โบสถ์เป็นสถานที่สำหรับการพบปะสังสรรค์กัน บ้างก็ไปใช้เป็นที่ติดต่อธุรกิจ ซึ่งดูแล้วสถานการณ์ก็ไม่ต่างจากสมัยที่พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่เลยที่ พระองค์ตรัสกับเขาใน มัทธิว 21:13 ว่า "มีพระวจนะเขียนไว้ว่า `นิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน' แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น `ถ้ำของพวกโจร'"




เคยคิดมั้ยว่า เหตุการณ์ในมัทธิว 7:21-23 ที่กล่าวว่า…..“ มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า`พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า `เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นจากเรา'

ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับเราล่ะ??????

ที่อ่านพระคัมภีร์ข้อนี้แล้วต้องตื่นก็เพราะว่า เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ต่อรองแล้ว เพราะว่ามันสายไปซะแล้ว!!!




จะดีกว่ามั๊ย???…..

ถ้าเราจะมาตั้งใจเดินตามพระเจ้าด้วยการทุ่มเทความรักให้กับพระองค์อย่างสุดหัวใจจริงๆ......ไม่ใช่รักแต่ปาก แต่การกระทำก็อีกอย่างหนึ่ง

คุณเห็น Key words นี้ “มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” ที่พระเยซูคริสต์เป็นผู้ตรัสเองแล้วใช่มั๊ย??

ทุกคำนั้นก็มีความหมายครบถ้วนตรงไปตรงมา!!!

แต่อาจมีผู้แย้งว่า... อ้าว!! ก็มีพระคัมภีร์เขียนไว้อีก
ในหนังสือโรม 10:13 ว่า “เพราะว่า `ผู้ใดที่จะร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะรอด

ใช่... แต่นั่นเป็นบริบทที่เมื่อถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงและนำไปสู่การบังคับให้ละทิ้งความเชื่อหรือห้ามเอ่ยพระนามพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เช่น เมื่อเขามาสั่งคุณให้คุกเข่าต่อหน้ารูปเคารพหรือพระอย่างอื่นที่ไม่ใช่พระยาห์เวห์แล้วให้ไหว้ ถ้าไม่ทำตามจะต้องถูกตัดศีรษะ

บางคนก็อาจจะยกข้อพระคัมภีร์จาก หนังสือโรม10:10 ว่า
“ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด”

แล้วได้อธิษฐานรับเชื่อด้วยปาก และอธิษฐานอย่างจริงใจแล้วด้วย!!!

และศิษยาภิบาลก็ประกาศในที่ประชุมว่าผู้นั้นได้รับความรอดแล้วตั้งแต่วันนั้น!!!

ซึ่ง...เขาคนนั้นที่ได้รับเชื่อก็อาจจะมาโบสถ์ตลอดหรือมามั่งไม่มามั่ง แต่....ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆในชีวิตของเขาที่บ่งชี้ว่าเขาได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงเลย...

แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นอย่างฝังใจว่าจากการอธิษฐานรับเชื่อแล้วนั้น เขาอธิษฐานอย่างจริงใจและเต็มใจ เขามั่นใจว่าได้รับความรอดแล้วอย่างแน่นอน
แต่ความจริงก็คือที่สุดแล้ว หากเขายังใช้ชีวิตอยู่ในความบาปเหมือนเดิม ท้ายที่สุดคือไปสู่บึงไฟนรก!!!!!






ทำไมน่ะหรือ????


เพราะความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของพระเจ้า...

"เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น " อิสยาห์55:9


มีผู้รับใช้พระเจ้าเทียมเท็จสอนต่อๆกันมาและให้ความมั่นใจว่า... ถ้าคุณอธิษฐาน รับเชื่อตามคำที่เขาบอก 2-3 ประโยค คุณก็จะรอด นั่นเป็นการทำร้ายลูกแกะอย่างร้ายกาจและพาหลงทาง!!! เพราะว่า ถ้าเขาคนนั้นที่รับเชื่อไม่มีใจที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจังในเวลาต่อมา

แต่ถ้า...เขาเชื่อด้วยใจจริงๆแล้ว...ก็จะต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในความประพฤติ และแนวทางการดำเนินชีวิตก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะ คำว่า “ใจ”หรือ “Heart” ในพระคัมภีร์นั้นหมายถึง "ศูนย์กลางแห่งชีวิต"





และเมื่อ"เชื่อด้วยใจ" ก็คื “มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต”

พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำให้เขาเริ่มมองเห็นความบาปของตัวเอง และเขาจะเกลียดความบาปที่เขาเคยทำอยู่นั้น เช่น หากเขาเคยสูบบุหรี่ เขาก็จะเริ่มรู้สึกไม่ชอบกลิ่นอันน่ารังเกียจของมันและไม่สูบอีกเลย หากเขาเคยดื่มเหล้า หรือชอบนอนกับใครต่อใครโดยไม่เลือกหน้า หรือหญิงบางคนก็อาจจะเคยชอบแต่งตัวยั่วยวน หรือบางคนที่ชอบคุยโวโอ้อวด หรือมีความคุ้นเคยในความบาปใดๆก็แล้วแต่ เขาก็จะค่อยๆ หันหลังให้ความบาปเหล่านั้น เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้อยู่ด้วยกับผู้เชื่อและวางใจในพระองค์ทุกคน ตามหนังสือยอห์น 15:26 ที่พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า…
.. “เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา ...16:13 เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล ”


ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น เป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเป็นธรรมชาติ
เขาจะไม่รู้สึกฝืนในจิตใจ แต่จะมีสันติสุขอย่างที่โลกให้ไม่ได้



แม้อาจจะต้องเผชิญการทดสอบบ้างในบางครั้ง แต่ด้วยการพึ่งพาในกำลังของพระเจ้า




เขาก็จะผ่านไปได้ด้วยดี .....ซึ่งต้องอาศัยความหนักแน่น และความอดทนอย่างมาก




การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็จะเป็นไปตามระดับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ
หรือตามระดับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่แนบสนิทระหว่างเขากับองค์พระผู้เป็นเจ้า

เขาจะค่อยๆถ่อมใจลง ค่อยๆลดความเห็นแก่ตัวลงไปเรื่อยๆ มองเห็นความคิด มุมมอง คำพูด และการกระทำของตนเองที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางที่ชอบธรรมของพระเจ้า



เขาจะชอบศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ และพยายามที่จะจดจำพระคำไว้ในใจให้มากที่สุด เพราะเขารู้ว่า พระวจนะเป็นความจริง เป็นอาวุธ และมีชีวิต



เขาอยากรู้อยากเห็นพระองค์มากขึ้นเรื่อย หิวกระกายหาพระองค์ตลอดเวลา
รู้สึกตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ที่ได้รับ และทุกๆเช้าเขาก็อยากอ่านพระคัมภีร์เพราะเขาอยากรู้ว่าพระเจ้าจะตรัสอะไรกับเขาในวันนี้

เขาเชื่อและมีความหวังในชีวิต วางใจในพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ เขาพยายามที่จะพึ่งพาและปรึกษาพระองค์ในทุกๆเรื่องโดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆในชีวิต ทำอะไรก็นึกในใจว่าพระเจ้าจะพอพระทัยหรือเปล่าน๊า??? เกรงว่าจะทำให้องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสียพระทัย และไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
หมั่นตรวจดูความบาปในตนเอง เมื่อระลึกได้และรู้สึกผิดก็สารภาพบาปกับพระองค์เสมอๆ



เป้าหมายของชีวิตคริสเตียน คือ ชีวิตที่บังเกิดผล

มัทธิว 7:16-20 คือมาตรวัดผลของการดำเนินชีวิตในพระคริสต์;

7:16 ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา มนุษย์เก็บผลองุ่นจากต้นไม้หนามหรือ หรือว่าเก็บผลมะเดื่อจากต้นผักหนาม
7:17 ดังนั้นแหละต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว
7:18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
7:19 ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ
7:20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา

ในที่นี้พระองค์เปรียบเทียบเราทุกคนก็เหมือนต้นไม้ และพระองค์จะประเมินผลชีวิตของเรา ตามการเติบโตและบังเกิดผลที่ดีหรือเลว และพระองค์จะเลือกเอาเฉพาะผลดีเท่านั้น!!

เพราะ ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ (บึงไฟนรก)!!!

บางคนก็จะหาข้ออ้างมาหักล้างความจริงของพระเจ้า โดยการเลือกเอาข้อพระคัมภีร์ที่ตอนเองรู้สึกว่าเหมาะสมกับตนเองแล้วก็ตีความเอาเองแบบเข้าข้างตัวเองอีก เป็นการกล่าวอ้างและตีความข้อพระคัมภีร์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างผิดๆ (False Assurance)

เช่น ยกเอาเอเฟซัส 2:8 “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้” มาอ้างเพื่อเอาตัวรอดทางความรู้สึกแล้วก็ยังใช้ชีวิตในความบาป นอนรอความรอดด้วยความหวังใจเทียมๆ

ถูกต้อง... ที่ความรอดเป็นของประทานจากพระเจ้าไม่ใช่ด้วยตัวเราทำเองได้ เพราะพระเยซูคริสต์ทำเสร็จแล้วบนไม่กางเขน เราไม่ต้องไปถูกแขวนอีก แต่โดยความเชื่อด้วยใจ ตัวเราคนเดิมก็ตายไปแล้วและก็ฟื้นขึ้นมาแล้วกับพระองค์ และได้ชีวิตใหม่ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทิ้งของเก่าที่เน่าๆไปแล้ว ไม่ใช่ยังขลุกอยู่กับตัวเน่าๆตัวเก่านั่น

ขอให้อ่านพระคัมภีร์ข้อนี้อย่างช้าๆ และอ่านอย่างพินิจพิจารณาว่า
“รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ” หมายความว่าอย่างไร??




พระคัมภีร์ข้อนี้เชื่อโยงกับข้อที่แล้ว จากหนังสือโรม10:10 “ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม...” ก็คือ เชื่อด้วยใจที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิตนั่นเอง


“ด้วยว่าเวลาที่ผ่านไปในชีวิตของเราแล้วนั้น น่าจะเพียงพอสำหรับการกระทำสิ่งที่คนต่างชาติชอบกระทำ คราวเมื่อเราได้ดำเนินตามกิเลสตัณหา ตามใจปรารถนาอันชั่ว เมาเหล้าองุ่น เฮฮาเอะอะเอ็ดตะโรกัน เลี้ยงกันอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย และการไหว้รูปเคารพอันเป็นที่น่าเกลียด” 1 เปโตร4:3

ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ตายแล้ว!!!

“พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำ จะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อจะช่วยผู้นั้นให้รอดได้หรือ?” ยากอบ 2:14




ขอให้ทุกคนจำไว้ว่า ไม่มีใครสามารถตอบแทนพระเจ้าได้ว่าคุณรอดแล้ว
นอกจากพระองค์เอง เพราะพระองค์เองเท่านั้นที่เป็น"ผู้พิพากษา"


ลองคิดดูว่า การที่คุณจะเข้าไปในบ้านของใคร เขาจะต้องรู้จักคุณ ไม่ใช่แค่คุณรู้จักเขา สมมติว่าคุณจะบอกว่าคุณรู้จักโอบาม่าและใครๆก็รู้จักเขาเหมือนกัน แล้วคุณจะเข้าใปหาเขาที่บ้าน ถ้าเขาไม่รู้จักคุณ เขาจะเชิญคุณเข้าไปในบ้านเขามั๊ย??

ทำนองเดียวกัน ถ้าเราจะไปบ้าน(นิเวศน์)ของพระเจ้า เราเองรู้จักพระองค์ และใครๆก็รู้จักพระองค์ รวมทั้งผีมารซาตานก็รู้จักพระองค์และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียวพระองค์และก็กลัวจนตัวสั่น (ยากอบ 2:19)

คำถามคือ… พระองค์รู้จักเราหรือไม่?????

“มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” มัทธิว 7:21

คุณได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วใช่มั๊ย??



พระเยซูตรัสว่า "ดูเถิด เราจะมาในไม่ช้านี้ บำเหน็จอยู่ที่เรา และเราจะให้แก่ทุกคนตามการกระทำของเขา เราคืออัลฟา และโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นปฐมและอวสาน" วิวรณ์ 22: 12-13


"ความสุขมีแก่บรรดาผู้ชำระเสื้อผ้าของตนเพื่อเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิตและผ่านประตูเข้าสู่นครนั้นได้" วิวรณ์ 22:14







วิวรณ์ 21

21:1 ข้าพเจ้าได้เห็นท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปหมดสิ้นแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว

21:2 ข้าพเจ้า คือยอห์น ได้เห็นเมืองบริสุทธิ์ คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากพระเจ้าและจากสวรรค์ กรุงนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี

พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์และสิ่งสารพัดถูกสร้างขึ้นใหม่

21:3 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากสวรรค์ว่า "ดูเถิด พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับเขา เขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ และพระเจ้าเองจะประทับอยู่กับเขา และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา

21:4 พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว"




ขอให้เราจงแสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจ เพื่อว่าพระองค์จะรู้จักและจำเราได้

“จงแสวงหาพระยาห์เวห์ เมื่อจะพบพระองค์ได้
จงทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้” อิสยาห์55:6



ขอพระเจ้าพระบิดา โดยองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยนำทางท่านผู้อ่านทุกท่านให้ดำเนินชีวิตวันต่อวัน ก้าวต่อก้าว ลมหายใจต่อลมหายใจ... ขอพระองค์ทรงนำท่านให้กระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์... และอยู่ในเส้นทางอันชอบธรรมของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์... ทั้งขอพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์ให้ทุกท่านได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น เพื่อทุกท่านจะรักและยำเกรงพระองค์อย่างสุดหัวใจตามที่พระองค์สมควรได้รับ.. เพื่อพระนามของพระองค์ และเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว ข้าพเจ้าทูลขอในพระนามพระผู้ไถ่ของเรา พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ องค์พระมหาเยซูคริสต์เจ้า ...ฮาเลลูยา!!!








Create Date : 14 ตุลาคม 2552
Last Update : 26 มีนาคม 2556 12:18:35 น.
Counter : 7461 Pageviews.

3 comments
  
Hello, i think that i saw you visited my blog so i came to ??return the favor??.I am trying to find things to enhance my site!I suppose its ok to use some of your ideas!!
Yd Army Peuterey Uomo Shorty Caff? //www.tech-team.it/cache/peuterey-outlet/kyWKEP1PVY/
โดย: Yd Army Peuterey Uomo Shorty Caff? IP: 192.99.14.34 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:0:18:05 น.
  
คริสเตียนบริสุทธิ์ด้วยการกระทำของตนให้บริสุทธิ์ตามพระบัญญัติสิบประการเหมือนชาวพุทธถือศีลห้าใช่หรือไม่???
ไม่ใช่ คริสเตียนบริสุทธิ์ด้วยความเชื่อในพระเจ้า เชื่อในการวายพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์
คริสเตียนไม่ได้บริสุทธิ์ด้วยการกระทำของตนเอง
การพึ่งพาพระราชบัญญัติทำให้พระคุณของพระเจ้า ไร้ประโยชน์
“ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำให้พระคุณของพระเจ้าไร้ประโยชน์
เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากพระราชบัญญัติแล้ว
พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์”
‭‭กาลาเทีย‬ ‭2:21‬ ‭KJV‬‬
//bible.com/175/gal.2.21.kjv
โดย: Rattaroj IP: 182.232.39.177 วันที่: 25 กันยายน 2559 เวลา:16:18:03 น.
  
ขอบคุณสำหรับบทความนี้ครับ
การกระทำเล็งถึงว่าเรามีความเชื่อแท้ และได้บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ เกิดผลในชีวิต (รอด)
ไม่ได้หมายถึงทำด้วยแรงตัวเองเพื่อให้ได้รับความรอด
โดย: natchapol IP: 115.87.37.89 วันที่: 14 ตุลาคม 2564 เวลา:0:47:38 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Narno7
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]



โยบ 38 / Job 38


38:4 เมื่อเราวางรากฐานของแผ่นดินโลกนั้น เจ้าอยู่ที่ไหน ถ้าเจ้ามีความเข้าใจก็บอกเรามา

38:4 Where wast thou when I laid the foundations of the earth? declare, if thou hast understanding.

38:7 ในเมื่อดาวรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญ และบรรดาบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าโห่ร้องด้วยความชื่นบาน

38:7 When the morning stars sang together, and all the sons of God shouted for joy


"I am a spirit that live in a body and communicate and perceive the exterior world through my soul."

"This world is not my home. I am here on a mission. Not all of children of God have or will come on this earth but I was chosen. Not all who come fulfill their mission and purpose for being here. Through the Cross of Jesus, I enter into the Kingdom of God. And as a daughter of God, my mission is to bring Heaven to earth."

New Comments
All Blog