วันวาเลนไทน์มีรากฐานมาจากศาสนานอกรีต Pagan roots of St Valentine’s Day





Valentine = Lupercus = Pan = Baal = Nimrod = Cupid = Eros = Heart symbol = Saturn = Osirius = Tammuz = Bacchus


วันวาเลนไทน์มีรากฐานมาจากศาสนานอกรีต

ขนมหวานรูปหัวใจจำนวนมากในกล่องสีแดงสำหรับวัยรุ่นเอาไว้แลกเปลี่ยนกันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์
ร้านขายดอกไม้ ก็ขายดอกไม้ดีที่สุดในวันวาเลนไทน์

คู่รักวัยรุ่นก็ควงแขนกันออกเดทในวันวาเลนไทน์ ....แต่มีคำถามที่ควรถาม....
1. วัฒนธรรมนี้มีรากฐานมาจากไหน?
2. เราจะพบสิ่งนี้ในข้อไหนของพระคัมภีร์?
3. แล้วเรารับวัฒนธรรมนี้มาได้อย่างไร?

เราจะพบรากเหง้าของวันวาเลนไทน์ได้จากหนังสือสารานุกรม แล้วท่านจะรู้ความจริง

เป็นเวลานับศตวรรษก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น อาณาจักรโรมันได้มีการเฉลิมฉลองเทพลูเปอคัส (Lupercus) หรือ การล่าหมาป่า ในวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ เช่นเดียวกับวันคริสมาส อีสเตอร์ ฮาโลวีน วันขึ้นปีใหม่ และวันหยุดอื่นๆของชาวโลก


วันวาเลนไทน์ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เป็นวัฒนธรรมนอกรีตที่เป็นเมือนเครื่องประดับที่ถูกแอบสอดแทรกเข้ามาในการถือปฏิบัติของชาวคริสต์ด้วย

วัฒนธรรมที่ดูไร้เดียงสาและไม่มีพิษภัยใดๆอย่างวันวาเลนไทน์ นั้นมีรากมาจากวัฒนธรรมการเฉลิมฉลองเทศกาลของศาสนานอกรีตที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวิปลาตทางเพศ คือ เทพลูเปอคาเลีย (Lupercalia) และเทพจูโน่ เฟบรูอาตา (Juno Februata)


การฉลอง ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ รู้จักกันในนาม “เทศกาลแหวกกฎเรื่องเพศสัมพันธ์” ได้มีขึ้นตั้งแต่ครั้งโรมันโบราณเพื่อเป็นการฉลองเทพลูเปอคัส – เทพแห่งการขยายพันธ์และการดูแล การปกป้องฝูงสัตว์ และการล่าที่ทรงอำนาจ โดยเฉพาะการล่าหมาป่า ชาวโรมันเชื่อว่าเทพลูเปอคัสจะช่วยในการปกป้องโรมจากฝูงหมาป่าซึ่งมากัดกินฝูงปศุสัตว์และผู้คน ด้วยการช่วยเหลือของหญิงพรหมจารีผู้เฝ้ากองไฟศักดิ์สิทธิ์ในวิหารเทวีเวสตา (Vestal Virgins) ชายผู้ทำพิธีสังเวย (Luperci)จะทำพิธีบวงสรวงด้วยแพะและสุนัข ทำพิธีในถ้ำ (Lupercal cave) ที่เนินเขาพาลาทีน (Palatine Hill) ที่นั่นชาวโรมันเชื่อว่าคู่แฝดโรมูลัสและเรมัส (Romulus & Remus) ได้รับการดูแลโดยหมาป่าเพศเมียก่อนที่เขาจะก่อตั้งกรุงโรม


ชายผู้ทำพิธีจะนุ่งผ้าเตี่ยวที่ทำจากแพะที่ใช้บวงสรวงละเลงด้วยเลือดของแพะนั้น เขาจะวิ่งไปทั่วกรุงโรม หวดตีบรรดาพวกผู้หญิงในเมืองด้วยแส้เฟบรัว(fabrua)ที่ทำจากหนังแพะ พวกเขาเชื่อว่าพวกผู้หญิงที่ถูกหวดด้วยแส้นั้นจะถูกทำให้บริสุทธิ์และจะทำให้มีลูกดกและคลอดลูกง่าย


February (เดือนกุมภาพันธ์) มาจากคำว่า februa ซึ่งหมายความว่า “การทำให้บริสุทธิ์”

นี่เป็นภาพของ Mark Anthony เปลือยกายและมีเหงื่อโซมกายหลังจากวิ่งไปทั่วในหัวเมืองในโรมในงานเลี้ยงลูเปอคาเลีย เขาจะไปสวมมงกุฎสำหรับจักรพรรดิให้แก่กษัตริย์ซีซาร์ แต่กษัตริย์บอกให้เขากลับบ้านไปอาบน้ำแล้วแต่งกายให้เรียบร้อย

สำหรับชาวโรมัน“เดือนกุมภาพันธ์” นั้นจะเป็นช่วงเวลาศักดิ์สิทธิ์ของเทพจูโน่ เฟบรูอาตา ซึ่งเป็น “เทพแห่งความรักรุ่มร้อน” และเป็น“เทพแห่งผู้หญิงและการแต่งงาน” ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในเวลาเย็น...จะมีชื่อของเด็กวัยรุ่นหญิงที่เขียนไว้ในกระดาษใส่ไว้ในกล่อง เด็กวัยรุ่นชายก็จะมาสุ่มจับชื่อที่อยู่ในกล่องนั้น จับได้ชื่อใคร สองคนนั้นก็เป็นคู่กัน ร่วมงานฉลองที่กระตุ้นความรู้สึกทางเพศที่มีทั่วกรุงโรม หลังจากสิ้นสุดเทศกาลแล้ว สองคนนั้นก็จะเป็นคู่ร่วมหลับนอนกันต่อไปบางคู่นานเป็นปี วัฒนธรรมนี้มีในโรมอยู่นานนับศตวรรษ

และแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องตกแต่งเพื่ออำพราง....

เมื่อปีคศ. 494 พระสันตะปาปา เกลาซีอุส (Gelasius) ได้ตั้งชื่อใหม่จาก เทศกาลจูโน่ เฟบรูอาตา (festival of Juno Februata) มาเป็น “งานเฉลิมฉลองการชำระให้บริสุทธิ์ของพระแม่มารีย์” เปลี่ยนแปลงวันฉลองจากวันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันที่ 2 กุมภาพันธ์ แล้วเปลี่ยนกลับไปเป็น 14 กุมภาพันธ์อีกครั้งในเวลาต่อมา งานนี้เป็นที่รู้จักอีกในนามงานเทศกาลเทียนศักดิ์สิทธิ์ (Candlemas) เป็นการนำเสนอในเรื่องของพระเจ้า, การชำระพระแม่มารีย์ให้สะอาดบริสุทธิ์, และการเลี้ยงฉลองพระผู้ไถ่บาปที่จัดขึ้นในวิหาร

หลังจากที่กษัตริย์คอนสแตนตินได้รวมคริสตจักรของคริสเตียนเข้าไปเป็นศาสนาของโรมันอย่างเป็นทางการเมื่อปี คศ.325 ผู้นำคริสตจักรต้องการที่จะกำจัดวัฒนธรรมนอกรีตออกไปจากความเชื่อคริสเตียน โดยเฉพาะงานเลี้ยงลูเปอคาเลีย แต่ก็ไม่สามารถกำจัดออกไปได้จนกระทั่งปี คศ.496 เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ พระสันตะปาปาเกลาซีอุส จึงเปลี่ยนวันที่จาก 15 เป็น 14 กุมภาพันธ์แล้วเรียกชื่อใหม่ว่า “วันเซนต์วาเลนไทน์” หรือที่เรารู้จักใน “วันวาเลนไทน์” นั่นเอง (page 172 of Customs and Holidays Around the World by Lavinia Dobler).


วันเซนต์วาเลนไทน์ นั้นได้ตั้งชื่อตามชื่อนักบุญท่านหนึ่งซึ่งถูกสำเร็จโทษอันเนื่องจากความเชื่อของเขาโดยจักรพรรดิ เมื่อปี คศ. 270 คริสตจักรก็อำพรางงานฉลองลูเปอคาเลียต่อไปอีก แทนการใส่ชื่อเด็กผู้หญิงลงในกล่อง ชื่อของนักบุญถูกใส่ลงไปแทนและเด็กชายหญิงก็จับชื่อนักบุญ สิ่งนี้ทำให้ความเชื่อคริสเตียนผิดเพี้ยนไปซึ่งพระเจ้าไม่ได้อนุญาตให้กระทำ แม้ว่าคริสตจักรในโรมจะมีการต่อต้านการจับสลากเพื่อทำการร่วมเพศ แต่เด็กวัยรุ่นก็ยังคงทำกัน และหนักยิ่งกว่าเดิมอีก...พวกเขาส่งข้อความไปถึงผู้หญิงที่เขาชอบ เขียนข้อความหวานๆส่งไปในนามเซนต์วาเลนไทน์ ซึ่งคำว่า “วาเลนไทน์”นั้น มีความหมายว่า “แข็งแรง ทรงพลังอำนาจ”


วาเลนไทน์เป็นชื่อที่ใช้กันทั่วไปของชาวโรมัน พ่อแม่ชาวโรมันมักตั้งชื่อลูกว่าวาเลนไทน์เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่บุคคลสำคัญคนแรกที่เรียกว่าวาเลนไทน์ตั้งแต่ครั้งโบราณ ชายผู้นั้นคือ ลูเปอคัส – ซึ่งเป็นนักล่าสัตว์ ชาวกรีกเรียกลูเปอคัสว่า “แพน” (Pan)หรือ “พระเจ้าแห่งแสงสว่าง” ชาวเซไมท์(ชาวยิว)เรียกแพนว่า“บาอัล” ตามความหมายในดิกชันนารี “บาอัล” นั้นหมายถึง “นิมโรด” นักล่าสัตว์ผู้ทรงพลัง (ปฐมกาล 10:9) เขายังเป็นผู้ก่อตั้งหอบาเบล (ปฐมกาล 10:10-12) และนิมโรดคือผู้ก่อตั้ง มหานครบาบิโลน รวมทั้งศาสนาลี้ลับ ซึ่งได้ตกทอดมายังอียิปต์ กรีก และโรมัน และคนสมัยโบราณทั้งหลายรู้จักนิมโรดในนามนักล่าสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ มากยิ่งกว่าการรู้จักพระเยโฮวาห์ซะอีก นิมโรดเป็นวีรบุรุษของพวกเขา และอีกชื่อหนึ่งของนิมโรดคือ แซนทุค หรือ แซนต้า (Santuc or Santa) ซึ่งแปลว่า นักบุญ(Saint เซนต์) เป็นตำแหน่งที่ใช้เรียกพระเจ้าหรือเทพที่เป็นวีรบุรุษของพวกเขา จึงไม่น่าแปลกใจที่วันลูเปอคาเลียของโรมันเรียกชื่อใหม่ว่า วันเซนต์วาเลนไทน์




แล้วสัญลักษณ์รูปหัวใจล่ะ เอาไว้ทำอะไร ...เพื่อเป็นวันระลึกถึงนิมโรด...พระบาอัลของชาวฟินิเซีย และชาวเซไมท์หรือ? สำหรับพวกคุณชาวคริสเตียนที่นั่น.. “บาอัล” แปลว่า “พระเจ้า” หรือ “เจ้านาย” และมีอ้างถึงอยู่ทั่วไปในพระคัมภีร์ว่านั่นคือ พระของชาวนอกรีต

พระเจ้าพระเยโฮวาห์ได้เตือนคนของพระองค์ ว่าไม่ให้นมัสการและไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับวิถีของพระบาอัล(นิมโรด) ในภาษาเคลเดียโบราณ(ภาษาของชาวบาบิโลน) “บัล(bal)” ซึ่งเช่นเดียวกับ “บาอัล (Baal)” แปลว่า “หัวใจ (heart)” และนี่ก็คือที่มาของสัญลักษณ์รูปหัวใจของวันวาเลนไทน์


นิมโรดนั้นเป็นที่รู้จักกันอีกในนาม “Saturn” (เทพเจ้าแห่งการเกษตร) ซึ่งเป็นเทพของโรมและบาบิโลน ผู้ซ่อนตัวอยู่ในที่ลี้ลับจากผู้ไล่ตาม ภาษาละติน คำว่า “Saturn” มาจากรากคำของชาวเซมิติคที่พูดภาษาบาบิโลนเนียนซึ่งแปลว่า “ซ่อนอยู่”, “ซ่อนตัว”, “ความลับ”, “ปิดบัง ซ่อนเร้น”

รากคำจากภาษาเซมิติคหรือภาษาฮีบรูที่มาจากรากศัพท์ Latin Saturn ถูกใช้ 83 ครั้งในพระคัมภีร์เดิม (see Young’s Analytical Concordance to the Bible under “Sathar”, also “sether”)



และแล้ว กามเทพ (Cupid)ก็ปรากฏตัว...

กามเทพนั้นก็เป็นอีกชื่อหนึ่งของ นิมโรด มาจากคำภาษาละติน “cupere” แปลว่า “ความปรารถนาทางเพศ” กามเทพเป็นลูกชายของเทวีวีนัสซึ่งเป็นเทวีแห่งความงดงามและความรักของชาวโรมัน และยังเป็นที่รู้จักในนาม อีโรส(Eros) ในกรีกโบราณ และเป็นลูกชายของเทวีอโฟรไดที (Aphrodite เทวีวีนัสในภาษากรีก)

จากเรื่องราวในตำนาน กามเทพนั้นมีหน้าที่ในการทำให้ตั้งครรภ์และการตายจำนวนมากของเทวี กามเทพนั้นเป็นรูปเด็กชายนักแม่นธนู (จำไว้ว่านิมโรดเป็นนักแม่นธนู) กามเทพมาพร้อมกับภาพของธนูและลูกศรเป็นการย้ำเตือนว่านิมโรดเป็น “นักล่าสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่”

มีบันทึกไว้ว่า มารดาของนิมโรดเห็นเขาแล้วเกิดความใคร่ในเขา หล่อนเกิดความต้องการทางเพศกับลูกชายของตน!! นิมโรดกลายมาเป็นกามเทพของเธอคือผู้ที่เธอมีความปรารถนาทางเพศและต่อมาก็เป็นวาเลนไทน์(แข็งแรง ทรงพลังอำนาจ)ของเธอ ผู้ที่ชั่วร้ายคือมารดาของนิมโรด ซึ่งเธอได้แต่งงานกับลูกชายของตนเอง!! มีจารึกไว้ที่อนุสาวรีย์ของอียิปต์โบราณเขียนไว้ว่า นิมโรด (ชาวอียิปต์เรียกว่า โอริสิส (Orisis)) “สามีของมารดาของตน” ในพระธรรมดาเนียลถูกเรียกว่า “ผู้ที่ผู้หญิงรัก.. desire of women” (Dan 11:37).


นิมโรด บุตรชายของคูดชาวเอธิโอปีย ต่อมากายเป็นที่มาของความอึดอัดใจของชาวยุโรปนอกรีต พวกเขาไม่ต้องการที่จะนมัสการชาวอัฟริกัน ต่อมาพวกเขาทึกทักเอาว่ามีลูกชายของนิมโรด ชื่อฮอรัส (Horus) ได้เกิดมาหลังจากที่นิมโรดได้ตายไปแล้ว และต่อมาเด็กคนนี้ก็กลายมาเป็น “กามเทพผิวขาว”ของวัฒนธรรมยุโรปไป

Moffatt แปลเป็นคำว่า Tammuz (ทัมมุส) ชื่อนิมโรดในภาษาบาบิโลเนียน เขาทำให้พวกผู้หญิงเกิดความหึงหวงด้วยว่ารูปปั้นของเขามักถูกเรียกว่า “รูปแห่งความหึงหวง(image of jealousy)” (เอเสคียล 8:5)

สำหรับชาวกรีก ทัมมุสเป็นที่รู้จักในนาม Bacchus!! นิยายตามตำนานบรรยายภาพของกามเทพที่มีบุคลิกทั้งความโหดร้ายและความสุข ซึ่งกามเทพมักจะใช้ลูกศรลี้ลับที่มีปลายชุบด้วยทองคำไปปักที่ชายหรือหญิงและทำให้พวกเขาตกอยู่ในห้วงของความรักอย่างบ้าคลั่ง เกมเทพไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์แก่ชายหญิงเหล่านั้น แต่ทำให้พวกเขาบ้าคลั่งในความปรารถนาแห่งรัก เพื่อทำให้พวกเขามีชีวิตในความทุกข์ทรมานและเพื่อที่กามเทพจะได้หัวเราะอย่างชอบใจ


ในปัจจุบัน ธุรกิจการค้าได้รับผลประโยชน์มากมายจากเทศกาลวันวาเลนไทน์ มีการใช้จ่ายเงินออกไปเป็นล้านๆดอลลาห์สำหรับซื้อหา ขนมหวาน ชอคโกแลต ดอกไม้ ค่าเช่าโรงแรม ค่าอาหารมื้อค่ำ เครื่องประดับ และของขวัญอื่นๆอีกมากมายเพื่อใช้ในการฉลองวันวาเลนไทน์ ยังคงมีวันคริสมาสและวันฮาโลวีนที่วิถีธุรกิจในปัจจุบันได้รับเอาและถ่ายทอดวัฒนธรรมนอกรีตโบราณเข้ามาอย่างชัดเจนในทางศาสนา วันวาเลนไทน์นั้นไม่มีในปฏิทินทางศาสนาเพราะได้ถูกตัดออกจากปฏิทินของคาทอลิกตั้งแต่ปี 1969 ผู้คนจำนวนเป็นล้านๆทั่วโลกฉลองวันวาเลนไทน์ตามความนิยมทั่วไป ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนา

อย่างไรก็ตาม ความจริงคือวัฒนธรรมของชาวอเมริกันได้ครอบงำวันวาเลนไทน์ไปแล้ว ไม่มีข้อพระคำภีร์ข้อใดจะไปเปลี่ยนสิ่งนี้ได้
สิ่งนี้ทำเงินได้จำนวนมากให้กับวงการธุรกิจซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้พวกเขาขาดกำไรไป

แล้วพระเยโฮวาห์จะคิดอย่างไร? จะบอกอะไรให้บางอย่าง..ในนิรันดร์กาลนั้น..คุณจะต้องพบกับจอมกษัตริย์!!..

ตลอดทั้งเล่มของพระคัมภีร์ พระเยโฮวาห์ได้อธิบาย“heathens/ พวกป่าเถื่อน”ว่า...คือผู้ที่บูชาสิ่งที่พระองค์ได้สร้างไว้ (สัตว์ต่างๆ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ต้นไม้ ฯลฯ) หรือรูปเคารพที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นหรืออะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงสร้าง! พระองค์เรียกคนพวกนั้นและการบูชาของพวกเขาว่า “ศาสนานอกรีต”


***ผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงจะเข้าใจว่าพระเยโฮวาห์ทรงเกลียด
ธรรมเนียมประเพณีการปฏิบัติที่มีรากมาจากศาสนานอกรีตทุกอย่าง !!!!


เยเรมีย์ 10 / Jeremiah 10

10:2 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า "อย่าเรียนรู้วิถีทางแห่งบรรดาประชาชาติ....
10:3 เพราะธรรมเนียมของชนชาติทั้งหลายก็ไร้สาระ.....

พระเยโฮวาห์เอาจริงแค่ไหน เมื่อพระองค์กอบกู้ 12 เผ่าของอิสราเอลจากการเป็นทาสที่โหดร้ายแล้วนำพวกเขาออกจากอียิปต์ พระองค์สั่งพวกเขาไว้ว่า...


เลวีนิติ 18
18:3 เจ้าทั้งหลายอย่ากระทำดังที่เขากระทำกันในแผ่นดินอียิปต์ซึ่งเจ้าเคยอาศัยอยู่นั้น
และเจ้าอย่ากระทำดังที่เขากระทำกันในแผ่นดินคานาอัน ซึ่งเรากำลังพาเจ้าไปนั้น
เจ้าอย่าดำเนินตามกฎของเขา


พระเจ้าสั่งชาวอิสราเอลไม่ให้กระทำตนให้เป็นมลทินกับการถือปฏิบัติศาสนานอกรีต
และธรรมเนียมของประชาชาติที่อยู่รอบๆพวกเขา (ข้อ 24-29)


18:30 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงรักษากฎของเรา เจ้าอย่าประพฤติตามธรรมเนียมอันน่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้
ซึ่งเขาประพฤติกันมาก่อนเจ้า
และอย่าทำตัวเจ้าให้เป็นมลทินด้วยสิ่งเหล่านี้
เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า
"

วิวรณ์ 18:4 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งประกาศมาจากสวรรค์ว่า
"ชนชาติของเรา จงออกมาจากนครนั้นเถิด
เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่มีส่วนในการบาปของนครนั้น
และเพื่อท่านจะไม่ต้องรับภัยพิบัติที่จะเกิดแก่นครนั้น









Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2555 17:21:09 น.
Counter : 3650 Pageviews.

0 comments

Narno7
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]



โยบ 38 / Job 38


38:4 เมื่อเราวางรากฐานของแผ่นดินโลกนั้น เจ้าอยู่ที่ไหน ถ้าเจ้ามีความเข้าใจก็บอกเรามา

38:4 Where wast thou when I laid the foundations of the earth? declare, if thou hast understanding.

38:7 ในเมื่อดาวรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญ และบรรดาบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าโห่ร้องด้วยความชื่นบาน

38:7 When the morning stars sang together, and all the sons of God shouted for joy


"I am a spirit that live in a body and communicate and perceive the exterior world through my soul."

"This world is not my home. I am here on a mission. Not all of children of God have or will come on this earth but I was chosen. Not all who come fulfill their mission and purpose for being here. Through the Cross of Jesus, I enter into the Kingdom of God. And as a daughter of God, my mission is to bring Heaven to earth."

New Comments
All Blog