|
ก่อนการทดสอบจะเริ่มขึ้น มีการกล่าวต้อนรับพร้อมให้รายละเอียด ฟอร์ด เฟียสต้า อีโคบู๊สต์ โดย มร. แอนดริว คอลลินสัน (Andrew Collinson) ผู้จัดการฝ่ายงานออกแบบตัวถังภายนอก พร้อมทั้งวิศวกร ฟอร์ด เอเชีย แปซิฟิก ผู้รับผิดชอบงานในส่วนต่างๆ ของ ฟอร์ด เฟียสต้า ซึ่งมาร่วมให้ข้อมูลในครั้งนี้ด้วย |
|
|
|
เติมสีสันใหม่รอบคัน งานปรับปรุงการออกแบบภายนอก ยังคงรักษาเส้นสายรอบคันเอาไว้อย่างสวยงาม ด้านหน้ามีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดครบ ไล่กันตั้งแต่ไฟหน้า กันชน ฝากระโปรง กระจกมองข้าง แต่ที่เข้าตามากที่สุดคือ กระจังหน้าสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดใหญ่แบบลายซี่สีโครเมียม ให้อารมณ์ดุดันคล้ายๆ แอสตัน มาร์ติน ด้านท้ายเติมรายละเอียดเล็กน้อยให้กับโคมไฟใหม่ รวมไปถึงสปอร์ยเลอร์แบบใหม่สำหรับรุ่นแฮทช์แบ็ก ส่วนรุ่นซีดานนั้นเปลี่ยนทั้งฝากระโปรงหลังและกันชนหลังทรงใหม่ พร้อมล้ออัลลอยลาย 15 ก้าน ขนาด 16 นิ้ว รัดด้วยยาง Continental ขนาด 195/50 R16 ทั้งหมดที่กล่าวมานอกจากจะได้รูปลักษณ์ที่ทันสมัยขึ้น วิศวกรผู้ออกแบบยังเพิ่มข้อมูลว่า การดีไซน์ทั้งหมดกินเวลากว่า 150 ชั่วโมงในอุโมงค์ลม จนทำให้การออกแบบในครั้งนี้บรรลุเป้าหมายในการทำให้ เฟียสต้า มีแอโรไดนามิคดีขึ้นกว่า รุ่นก่อนหน้า 3 เปอร์เซ็นต์ |
|
|
|
ภายในครบครัน ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ด้วย SYNC เริ่มต้นการทดสอบด้วยการเป็นผู้โดยสารด้านหน้า จึงมีโอกาสเก็บรายละเอียดพร้อมคำวิจารณ์จากเพื่อนสื่อมวลชนในเรื่องขนาดของห้องโดยสาร ซึ่งคนตัวสูงใหญ่มักจะบอกว่ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ทั้งยังส่งผลต่อการเข้าออกที่ยากเหมือนเดิม แต่สำหรับคนตัวเล็กหรือสุภาพสตรี บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ความรู้สึกที่พอดี เนื่องจากภายในนั้นไม่ได้มีการแตะต้องรายละเอียดหลักๆ แต่จะเน้นการเก็บรายละเอียดให้ดูสวยงามขึ้นมากกว่า เริ่มต้นจากการใช้วัสดุสีดำไฮกรอส แทนที่ผิวพลาสติกดำด้านและสีเงินเมทัลลิคจากรุ่นเดิมที่บริเวณแผงคอนโซลหน้า กรอบช่องแอร์ และมือจับประตู เข้ากับชุดภายในโทนสีดำ เบาะหุ้มด้วยหนังสีดำผสมผ้าที่จุดรองนั่ง ตัดขอบด้วยด้ายสีขาว ส่วนภายในรุ่นซีดาน เลือกใช้สีทูโทน ดำ/เบจ ช่วยลดอารมณ์ดุดัน พร้อมเพิ่มความสว่างได้ค่อนข้างดี ชุดมาตรวัดยังคงหน้าตาเดิมเอาไว้ คือเป็นแบบ 2 ช่อง แสดงรอบเครื่องยนต์และความเร็ว ส่วนตรงกลางด้านบนแสดงการใช้งานระบบส่งกำลัง พร้อมข้อมูลระยะทางและอัตราสิ้นเปลือง รวมถึงอุณหภูมิความร้อนระบบหล่อเย็นแบบดิจิตอล ตรงกลางเป็นไฟบอกสถานะการทำงานต่างๆ ของรถยนต์ ส่วนด้านล่างเป็นมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง |
|
|
|
ด้านระบบความบันเทิง แม้จะมีหน้าตาแบบเดิมๆ แต่ได้รับการอัพเกรดระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC โดย ไมโครซอฟท์ เพิ่มความสามารถในการใช้งานด้วยเสียงให้ง่ายขึ้น รับรู้คำสั่งได้ 15 ภาษา (แต่ยังไม่มีภาษาไทย) นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ ซึ่งทั้งหมดนี้ ฟอร์ด พยายามที่จะดึงเทคโนโลยีการเชื่อมต่อในรถยนต์ให้เป็นส่วนหนึ่งของคนสมัยใหม่ ที่เรื่องการสื่อสารกับคนรอบตัวเป็นสิ่งสำคัญ เพียงแค่กดปุ่มที่ด้านซ้ายบนพวงมาลัย ก็สามารถเลือกฟังเพลงที่ชอบ หรือโทรหาเพื่อนๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ถัดมาเป็นแผงควบคุมระบบปรับอากาศ แสดงผลแบบดิจิตอล ปุ่มควบคุมยังคงใช้แบบมือหมุน แต่สามารถเลือกระบบปรับอากาศแบบออโต้ได้ ส่วนคอนโซลกลางใต้เกียร์ยังมีช่อง USB และ AUX มาให้เป็นทางเลือกสำหรับสื่อบันเทิงภายนอก พร้อมช่องไฟ 12V. ด้านอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน ทั้งปุ่มสตาร์ท Smart Keyless Entry รวมถึงระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ห้องโดยสารได้รับการซีลใหม่เพื่อลดเสียงรบกวน แม้จะได้ยินเสียงยางสัมผัสกับพื้นผิวถนนบ้าง แต่ก็ถือว่าเก็บเสียงได้ดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควร |
|
|
|
ขุมพลัง EcoBoost เทอร์โบจิ๋ว 125 แรงม้า ถึงจุดพักบริเวณอำเภอแม่ริม ผู้เขียนรับหน้าที่เป็นไม้ต่อบนเส้นทางคดเคี้ยว มุ่งหน้าสู่อำเภอสะเมิง แน่นอนว่าพละกำลังเป็นหน้าที่ของเครื่องยนต์เบนซิน อีโคบู๊สต์ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 999 ซีซี. ระบบวาล์วแปรผัน Ti-VCT พ่วงระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 125 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 17.32 กก.-ม. ที่ 1,400 - 4,500 รอบต่อนาที รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ E20 สำหรับสภาพเส้นทางในช่วงนี้ เนื่องจากเป็นการขับตามกันเป็นคาราวานบนเส้นทาง 2 เลนขึ้น-ลงเขา และมีโค้งต่อเนื่องตลอดเวลา จังหวะการขับส่วนใหญ่จะเป็นการเร่งแซงรถนอกขบวน จึงจำเป็นต้องเค้นพลังจากเครื่องยนต์มากเป็นพิเศษเพื่อให้ทันกับขบวน ใครที่เคยใช้งานเครื่องยนต์บล็อกเล็ก อาจต้องลบภาพความทรงจำเก่าๆ ออกเสียให้หมด เพราะขุมพลัง อีโคบู๊สต์ มันช่างต่างกับเครื่องยนต์ 1,200 ซีซี และ 1,500 ซีซี ที่ผู้เขียนเคยขับขึ้น-ลงเขาเป็นประจำ ถ้าจะให้เปรียบเทียบต้องว่ากันไปถึงพิกัด 1,800 ซีซี ถึงจะเหมาะสมกว่า |
|
|
|
ถึงจะใช้ความเร็วไม่สูงมาก แต่การไต่ระดับของรอบเครื่องยนต์นั้นจัดจ้านและกระปรี้กระเปร่าในช่วงจังหวะเร่งแซง แม้จะค่อยๆ กดคันเร่ง หรือเหยียบจนมิด ก็จะรู้สึกได้ถึงพลังอันมันใจที่สะสมอยู่ใต้ฝ่าเท้า พร้อมการทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังพาวเวอร์ชิฟท์ 6 จังหวะที่ยกมาจาก Ford Focus 1.6 ในโหมดสปอร์ต ซึ่งสามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ผ่านปุ่ม +/- ที่บริเวณหัวเกียร์ โดยจะตัดไปสู่เกียร์ที่สูงกว่าเมื่อเครื่องยนต์ใช้รอบเกิน 6,500 รอบต่อนาที เว้นแต่ในช่วงที่เปลี่ยนเกียร์บางจังหวะเพื่อเรียกแรงเค้น ที่อาจจะออกอาการหน่วงให้ขัดใจไปบ้าง ทว่านั่นคือคาแรกเตอร์ที่คนใช้พาวเวอร์ชิฟท์ คลัชท์คู่ เจอกันอยู่ประจำ เข้าสู่ไฮเวย์ซึ่งเป็นเส้นทาง 4 เลน มุ่งหน้าไปยัง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง ระยะทางกว่า 80 กิโลเมตร ช่วงแรกเป็นทางตรง จึงได้มีโอกาสจับจ้องความเร็วที่สัมพันธ์กับรอบเครื่องยนต์ดูบ้าง พบว่ามีรอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสมกับกับความเร็วในการเดินทางปกติ ซึ่งน่าจะช่วยเซฟค่าน้ำมันได้ค่อนข้างดี โดย ฟอร์ด เคลมตัวเลขความประหยัดไว้ที่ 18.9 กิโลเมตรต่อลิตร |
|
ความเร็ว/กิโลเมตรต่อชั่วโมง | รอบเครื่องยนต์/นาที | 140 | 3,100 | 130 | 2,900 | 120 | 2,500 | 110 | 2,400 | 100 | 2,100 | 90 | 2,000 | 80 | 1,800 | |
|
ส่วนอัตราเร่งทางตรง ลองกดคันเร่งยาวออกตัวจากไฟแดงไปจนถึงระดับความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้การตอบสนองได้ค่อนข้างยอดเยี่ยม บวกกับการต่อเกียร์ที่ลื่นไหลของพาวเวอร์ชิฟท์ ยิ่งช่วยให้ความเร็วมีความต่อเนื่องดีขึ้น หลังจากนั้นจึงลองทำโอเวอร์ไดรฟ์ไปจนถึงย่านความเร็ว 160 กิโลเมตร บู๊สต์ที่ได้จากเทอร์โบจิ๋วลูกนี้ ยังคงทำหน้าที่ได้ดีจนความเร็วไหลไปแตะระดับ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เป็นอันต้องยกคันเร่ง ทั้งนี้มีเพื่อนสื่อมวลชนบางคน สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง |
|
|
|
ช่วงล่างแน่นหนึบสไตล์ฟอร์ด ใกล้ถึงจุดหมายปลายทางในช่วงขึ้นเขา ขุนตาล ซึ่งเป็นทางคดเคี้ยวขึ้น-ลงเขาบนถนนคอนกรีต 4 เลน ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังคานบิด Twisted Beam พร้อมเหล็กกันโคลง โดยภาพรวมมีการปรับปรุงช๊อคฯ ใหม่ ช่วยซับแรงสั่นสะเทือนได้ค่อนข้างดี ช่วงรอยต่อถนนหรือทางคอนกรีต แม้ตัวรถจะแบกน้ำหนักน้อยก็ไม่รู้สึกกระด้างแต่อย่างใด ใช้ความเร็วเข้าโค้งแบบต่อเนื่องจนยาง Continental ขนาด 195/50 R16 ออกอาการกรีดร้องบ้าง ก็ยังทำได้อย่างมั่นใจบวกกับพวงมาลัยพาวเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPAS น้ำหนักดีและแม่นยำ ทำให้การลัดเลาะไปตามโค้งนั้นลื่นไหลและต่อเนื่อง ระบบเบรกด้านหน้าเป็นแบบดิสก์ หลังดรัมเบรก มั่นใจได้แต่ก็ไม่ถึงกับรู้สึกดีจนปลื้ม เพราะบางครั้งในการขับเป็นขบวนต่อๆ กันในจังหวะเบรกกะทันหัน จะรู้สึกได้ทันทีเลยว่า เกิดอาการกดเบรกจนมิดเพื่อให้เอาอยู่ แต่ก็ยังไม่เคยพลาดสักครั้ง แทนที่ด้วยระบบป้องกันครบครัน ทั้ง ABS, EBD และESP รวมถึงระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA: Hill Start Assist ที่จะช่วยหน่วงแรงดันน้ำมันเบรกเอาไว้ 2.5 วินาที เพื่อให้มีเวลาปล่อยเท้าจากแป้นเบรกไปเหยียบคันเร่ง ทำงานได้ทั้งขึ้นหรือลงเนินลาดชัน |
|
|
|
หลังเสร็จสิ้นการทดสอบ ผู้เขียนกลับมาเช็คที่หน้าจออีกครั้ง ได้ตัวเลขระยะทางรวม 233 กิโลเมตร ระดับน้ำมันที่เหลือเกือบ ¾ ของถัง สามารถขับได้อีก 357 กิโลเมตร พร้อมอัตราสิ้นเปลืองที่ 13.69 กิโลเมตรต่อลิตร นอกจากนี้เท่าที่สังเกตได้อย่างชัดเจนอีกอย่างหนึ่งคือ เครื่องยนต์ อีโคบู๊สต์ 3 สูบ เดินรอบเครื่องได้อย่างราบเรียบ โดยไม่มีอาการสั่นสะท้านให้เห็นหรือรู้สึกแต่อย่างใด โดย ฟอร์ด เผยว่าวิศวกรได้ทำการถ่วงฟลายวีล ซึ่งจะช่วยลดเสียงและการสั่นจากความไม่สมดุลของเครื่องยนต์แบบ 3 สูบลงได้ เฟียสต้า อีโคบู๊สต์ หนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงจาก ฟอร์ด นำเสนอเครื่องยนต์ความจุต่ำบนตัวถังบี-เซกเมนต์ ให้สมรรถนะเกินตัว หากคุณคิดว่านี่คือ 'อีโคคาร์ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กราคาประหยัด' นั่นคงไม่ใช่คำตอบที่ถูกนัก เพราะ ฟอร์ด เตรียมวางตลาด เฟียสต้า อีโคบู๊สต์ ในฐานะรุ่นสูงสุดของ เฟียสต้า ทุกรุ่นเครื่องยนต์ ส่วนราคานั้น ฟอร์ด ยังไม่มีการเปิดเผย เพียงแต่กล่าวว่าราคาไม่ถูกกว่า เฟียสต้า รุ่นสูงสุดโฉมปัจจุบัน แต่ไม่สูงไปกว่า โฟกัส รุ่นล่างสุด หรืออยู่ในช่วง 690,000 - 759,000 บาทแน่นอน ที่เหลือคงต้องรอลุ้นในวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จะมีขึ้นในงาน Motor Expo 2013 ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ขอบคุณ: บริษัท ฟอร์ด เซลส์ & เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง |