เสาหลัก ที่พึ่ง และความจริง
บล็อกที่แล้ว ทิ้งท้ายไว้ว่า ผมมีสองเหตุผลที่มักจะแนะนำให้ใครที่มีทุกข์ แล้วมาปรึกษาผม ให้ปฏิบัติธรรม เหตุผลแรก เพราะสุขทุกข์ในชีวิตคนเรา ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันเป็นผลกรรมอันนี้ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ก็แล้วไปนะครับ แต่ผมเชื่อว่าท่านพูดถูก..ว่าโลกนี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ ไม่มีควันที่โขมงขึ้นโดยไม่มีที่มาแต่กรรมเก่าเมื่อครั้งก่อนร่อนชะแล เราเคยทำอะไรมาช่างหัวมันเถอะ ก็เราจำไม่ได้นี่นา อย่าเสียเวลาไปค้นหาไปให้ใครนั่งทางในให้เลย จริงหรือมั่วก็ไม่รู้ให้ตั้งหน้าสร้างกรรมใหม่ที่ดี ใครไม่มีศีล ก็ถือศีล ไม่เคยทำทาน ก็ทำทาน ไม่เคยภาวนา ก็ภาวนา ภาวนาปฏิบัติธรรมนี่แหละ โดยเฉพาะวิปัสสนาที่เป็นกุศลสูงสุดที่ว่าเป็นกุศลสูงสุด เพราะช่วยพาคนให้พ้นทุกข์ พ้นห้วงกิเลสได้อีกเหตุผล เพราะการปฏิบัติ แม้จะยังไม่พ้นทุกข์แต่ก็ช่วยให้เรามีชีวิตอย่างมีสติปัญญาคนมีปัญญา ย่อมค่อยๆเห็นจริงว่า โลกนี้มีแต่ของชั่วคราว ไม่มีอะไรยั่งยืนแม้แต่น้าแอ๊ด ยืนยง หรือหนุ่ม คงกระพัน ก็คงอยู่ได้อีกไม่เกินห้าหกสิบปีคนมีปัญญา ย่อมเห็นว่าความสุขก็เป็นสิ่งที่ผ่านมาชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว และไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งพาได้แม้แต่ตัวเอง หลายคนที่ผมรู้จักมักจะเอาพ่อแม่ หรือครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง เป็นเสาหลักของชีวิตแต่ลืมไปว่า บุคคลเหล่านั้นจะประเสริฐอย่างไร ท่านก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าวันหนึ่งท่านไม่อยู่ แล้วจะทำอย่างไร บางคนแย่กว่านั้น เอาแฟนเป็นที่พึ่ง บางคู่อยู่กันมาสิบปี แฟนก็ไปมีคนใหม่เสาหลักที่เคยสวยหรูดูมั่นคง กลายเป็นธงขนาดไม้เสียบลูกชิ้น หักเป๊าะไปซะงั้นกระทั่งจะเอา "ตัวเอง" เป็นที่พึ่ง มันก็พึ่งไม่ได้จริงนะครับ เพราะพวกเราเอง ก็ผีเข้าผีออก บางวันก็ดูแข็งแรง บางวันก็ดูง่อยเปลี้ยบางวันก็ดูฉลาด แต่บางทีก็ฉลาดในเรื่องโง่ๆซะอย่างนั้น ผมเคยฟังหลวงพ่อฯ เล่าเรื่องเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านเล็งญานไปทั่วสามโลก ทั้งโลกมนุษย์ สวรรค์ และนรก ท่านก็เห็นว่า ไม่มีใครจะเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวได้เลยท่านเป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านยังต้องเอา "ธรรมะ" เป็นที่พึ่ง แล้วพวกเราไปหวังพึ่งเทวดา พึ่งสามี พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ จะไหวเหรอครับ พ่อแม่เรา วันหนึ่งท่านนั่นแหละต้องพึ่งเรา และโดยธรรมชาติท่านก็ต้องไปครูบาอาจารย์ ท่านก็เมตตาให้แนวทางปฏิบัติ วันหนึ่งท่านก็ต้องละสังขารไอ้แฟนนานุแฟน ภรรยา สามี ไม่ต้องพูดถึง ไม่เป็นภาระเราก็บุญนักหนาอย่าว่าแต่จะมาเป็นที่พึ่งของเราเลย จะหายไปวันไหนก็ไม่รู้ที่ไม่เคยหายไปไหนเลยจากโลกนี้ มีแต่ "ธรรมะ" คือความจริงนะครับ ปิดท้าย อยากบอกว่า มาภาวนาเพื่อเรียนรู้จักตัวเองนี่ ไม่ได้แก้ปัญหาทางโลกนะปัญหาทางโลก มันก็ต้องเอาสติปัญญาทางโลกไปแก้ คนละส่วนกัน โดนเจ้านายด่า สามีบ่น คนข้างบ้านนินทา หรือหมาเห่า อันนี้เป็นปัญหา แต่ถ้าเจริญสติภาวนา ปัญหาอาจจะไม่หมด แต่เราจะทุกข์สั้นลง ทุกข์น้อยลงโดนเจ้านายด่า เสียใจ รู้ว่าเสียใจ มีปัญญา ก็เห็นได้ว่าเสียใจก็เรื่องชั่วคราว เดินออกมานอกห้องเจ้านาย สมมติมีดาราที่เราแอบปลื้มมายืนยิ้มให้ เราก็หายเศร้าแล้วสามีบ่น แล้วรำคาญ รู้ว่ารำคาญ ก็เห็นได้ว่าสามีบ่นเป็นปัญหา แต่ไม่ได้ทำให้ทุกข์มีปัญญา ก็เห็นได้ว่า ที่ทุกข์น่ะ เพราะเราไม่ชอบสิ่งที่เขาพูดต่างหาก คนข้างบ้านนินทา เราโกรธ รู้ว่าโกรธ วันหนึ่งจะเห็นได้ว่าจิตโกรธ ไม่ใช่เราโกรธถ้าไม่ใช่เราที่โกรธ ก็ไม่ใช่เราทุกข์ และที่สุดแล้ว วันหนึ่งก็จะรู้ว่า ทุกข์นั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ไม่มีคนทุกข์ วันหนึ่ง ถ้าเรามีอันต้องสูญเสีย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก คนที่รัก หรือต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รัก หรือไม่ชอบ ไม่ปรารถนาปัญญาจากธรรมะ จะสอนเราได้ว่า ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามเหตุและปัจจัยนะทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นของชั่วคราวเสมอกันหมด ไม่ว่าดีหรือร้าย สุขหรือทุกข์จิตที่ฝึกมาดีแล้ว จะตั้งมั่นมีสติ มีสมาธิ มีปัญญาได้ในเวลาวิกฤตธรรมะ เป็นที่พึ่ง เป็นเสาหลักของชีวิตได้ ด้วยประการฉะนี้เองครับ
สติ ในวันโลกแตก
ช่วงนี้ผมได้รับอีเมล์มาปรึกษาปัญหาหลายฉบับในเวลาไล่เลี่ยกันโดยมิได้นัดหมายบางท่านกำลังท้อแท้เพราะตกงาน บางท่านเจอมรสุมชีวิต เรื่องงาน เรื่องความรัก บางท่านเจอปัญหามะรุมมะตุ้มหลายขนาน จนหายใจหายคอแทบไม่ทัน แต่มีรายหนึ่ง เขียนหัวจดหมายมาสั้นๆว่า "สติ" ผู้ถามท่านนี้ คงทราบว่าคำตอบที่ผมจะให้ ไม่มีอะไรเกินไปกว่า ให้มีสติแต่ที่ถามมาคือ จากที่ได้อ่านบทความของคุณในหนังสือฉบับหนึ่ง มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาพที่จัดการกับปัญหาภายในจิตใจยากมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว รู้สึกสับสนกับชีวิตมาก เหมือนสติแตกเลย อยากได้คำแนะนำ เผื่อว่าจะได้มาปรับใช้กับตัวเองได้บ้าง เวลาที่สับสนมากๆ ถ้าเป็นคนที่เคยหัดเจริญสติมาสักระยะหนึ่งแล้วผมจะแนะนำให้รู้ความรู้สึก "สับสน" "ฟุ้งซ่าน" "อยากหาย" "ไม่ชอบ" ฯลฯ เข้าไปตรงๆ แต่ถ้าคุณเป็นมือใหม่ การให้คอยรู้สึกตัวเป็นผู้รู้ผู้ดู ดูกายดูใจทำงาน ดูด้วยการรู้สึกเอา ดูด้วยความเป็นกลาง ย่อมเป็นเรื่องยาก เพราะไม่เคยฝึกคำแนะนำจึงอยากให้คุณไปทำอะไรที่สบายใจก่อน แต่ไม่ผิดศีลเช่นไหว้พระสวดมนต์ ปล่อยปลา ทำบุญเลี้ยงอาหารเด็กพิการ เด็กกำพร้า ฯคนเราเวลาหมกหมุ่นกับปัญหาของตัวเองมากเกินไป มักจะเครียดแบบฟุ้งซ่านถ้าได้ไปทำอะไรให้คนที่เขาลำบาก ด้อยโอกาสกว่าเรา ได้เป็นผู้ให้ ก็มักจะสบายใจขึ้นแต่เวลาไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านเด็กพิการซ้ำซ้อน ต้องระวังเรื่องหนึ่งคือบางท่านสงสารมาก จนจิตตก เศร้าสลด กลายเป็นกิเลสในหมวดโทสะอีกดูเผินๆ ก็เหมือนยากนะครับ เพราะหมกหมุ่นกับปัญหาของตัวเองมากไปก็ทุกข์ไปสนใจแต่เรื่องคนอื่น เรื่องภายนอก ลืมกายลืมใจตัวเอง ก็ทุกข์แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่ยากเกินความสามารถมนุษย์มนาอย่างเราๆหรอกครับที่สำคัญ ยิ่งเวลาเรามีทุกข์เยอะๆเนี่ย เท่ากับมีวัตถุดิบในการปฏิบัติธรรมชั้นเลิศพระพุทธเจ้าท่านบอกเคล็ดลับให้ชาวพุทธไว้ว่า ถ้าใครอยากพ้นทุกข์ ให้เรียนรู้สัจจะ หรือความจริงว่าด้วยทุกข์การเรียนรู้จักความจริงของทุกข์ จะเรียนที่ไหน ก็ที่กายกับใจเราไงครับเพราะทุกข์ของคนเรา ก็เกิดที่กาย เกิดที่ใจเรานี่แหละ ก็ทุกข์อ่ะนะ ไม่ใช่กระถิน จะได้เกิดที่ริมรั้ว จะเรียนเรื่องกาย เรื่องจิต ก็ต้องอาศัยเครื่องมือเรียกว่าสติ และสัมมาสมาธิครูบาอาจารย์หลายองค์ ท่านพูดสั้นๆว่า "สติ" เพราะสติตัวจริงนั้น มันมีสัมมาสมาธิเกิดร่วมกันเป็นแพ็กเกจเหมือนซื้อจานดาวเทียมทรูวิชั่นส์ มันก็ได้กล่องแปลงสัญญานมาด้วย หรือซื้อไก่ทอด ซื้อลาบ ก็ได้น้ำจิ้มผักแนมใส่จานใส่ถุงมาโดยไม่ต้องถามหาจะมีสติได้ ก็ต้องหัดคอยรู้สึกตัว ทำความคุ้นเคย รู้จักกับสภาวะต่างๆของกายและจิตถึงบอกว่า เวลาโกรธ ให้รู้ว่าจิตโกรธ เวลาเศร้า รู้ว่าจิตกำลังเศร้า งง ให้รู้ว่าจิตกำลังงง สงสัย ก็ให้รู้ว่าจิตสงสัย บอกถึงตรงนี้ บางท่านมักจะแย้งว่า ทุกวันนี้ก็รู้อยู่แล้วนี่นา ต่างกันเหรอตอบว่า.. ต่างกันครับ คนทั่วไป เวลาบอกว่ามีสติ รู้ว่าโกรธ เรามักจะรู้เรื่องที่เราโกรธ รู้ว่าเขาว่าเราว่าอะไรแต่ไม่รู้ตัวว่า ตอนนั้นจิตมันโกรธ เลยมีตัวเราขึ้นมากลายเป็น "เราโกรธ" แต่นักเรียนวิปัสสนา จะมองเห็นจิตที่โกรธ เหมือนเรานั่งดูมวยปล้ำบนอัฒจรรย์ เราไม่ได้เป็นคนปล้ำ เราไม่ใช่กรรมการ เราไม่ใช่พี่เลี้ยง เราเป็นแค่ "คนดู"หรือเวลาเศร้า ก็ไปรู้เรื่องที่เศร้า เวลางง ก็ไปรู้เรื่องที่งง ว่างงอะไร สงสัย รู้แค่ว่าฉันสงสัยเรื่องอะไร แต่ไม่รู้ตัวว่า จิตกำลังเศร้า งง หรือสงสัยอยู่ อย่างใครที่อ่านถึงบรรทัดนี้ รู้ตัวไหมครับ ว่าอ่านแล้วจิตคิดไปด้วยเพราะธรรมชาติของการอ่าน จิตจะต้องคิดไปอ่านไป ถึงจะเข้าใจ จิตที่ไปคิด จึงเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องผิด เหมือนที่มีอะไรกระทบแล้วมันโกรธ มันเศร้า ยินดี เสียใจ สงสัย ฯลฯจิตคิด จิตปรุงแต่ง ไม่ใช่เรื่องผิดนะครับ เพราะเป็นความจริง เป็นธรรมชาติ สิ่งที่ผิดคือ การที่จิตปรุงแต่ง แล้วเรารู้ไม่ทันว่าจิตมันปรุงแต่งอยู่ อีกอย่างที่ผิดคือ เราไปอยากแล้วพยายามกดข่มบังคับ ไม่ให้มันคิด นึก ปรุงแต่ง หรือรู้สึกทางแรกมันผิด เพราะขาดสติ ไม่รู้สึกตัว ผลคือเราจะไหลไปตามกิเลสทางที่สองมันผิด เพราะเราจะเรียนธรรมะแต่เราดันปฏิเสธความจริงปฏิเสธธรรมชาติฉะนั้น จะเรียนธรรมะจะปฏิบัติธรรม ก็อย่าปฏิเสธความจริงนะครับ ที่คุณถามปัญหาชีวิต แต่ผมมักชวนให้ภาวนา ผมมีสองเหตุผล แล้วบล็อกหน้าจะมาเล่าให้ฟัง แต่วันนี้ ปิดท้ายด้วยคลิปที่ให้กำลังใจใครหลายคนที่ล้มอยู่ แล้วรู้สึกเหมือนไม่มีแรงจะลุกนี่เป็นมนุษย์ที่มีตัวตนจริงๆ ชื่อนายนิค วูยชิค เขาเกิดมาโดยไม่มีแขน ไม่มีขาแต่เขาสามารถเอาสิ่งที่เขา"ขาด"มาเป็นอุปกรณ์สาธิตให้คนครบ 32 อย่างเรา "มี" กำลังใจเขาบอกว่าตอนเด็กๆก็เคยท้อแท้สิ้นหวัง รู้สึกเหมือนไม่มีจุดหมายที่จะใช้ชีวิตต่อไปแต่เขาก็อดทนที่จะเรียนรู้การมีชีวิตรอดอย่างเป็นสุข ในข้อจำกัดที่เขามีตอนเขาล้มตัวลงกับพื้น เขาถามนักเรียนที่ฟังว่า บางเวลาในชีวิตเราอาจจะล้มลงแล้วเหมือนไม่มีแรง สิ้นหวัง ที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ เขาบอกว่าถ้าเขายอมแพ้ หลังพยายามจะลุกทั้งที่ไม่มีแขนขามาร้อยครั้ง แต่ล้มเหลวเขาก็จะไม่มีโอกาสจะลุกขึ้นได้ และนอนจมอยู่อย่างนั้นไปจนตาย แต่เขาบอกว่า การล้มเหลวมาร้อยครั้ง ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีทางทำได้ เพียงแต่เราต้องหาวิธีที่เหมาะกับตัวเองให้เจอ ลองดูนะครับ แล้วจะรู้สึกว่าปัญหาของเรา เล็กนิดเดียวสุขสันต์วันถัดจากเมื่อวานนี้ครับ
เรื่องเล่าเสาร์ อาทิตย์
ก่อนอื่น ขอตอบข้อสงสัยของบางท่านว่า ผมถ่ายภาพประกอบเองหรือเปล่าเปล่าเลยนะครับ เป็นฝีมือของกัลยาณมิตรจากอเมริกาชื่อว่าคุณแป๋ว ไปชมผลงานภาพถ่ายของเธอได้ในบล็อก SevenDaffodils ลิงค์มีอยู่ทางขวามือก็ต้องขอขอบคุณคุณแป๋วอีกครั้งมา ณ โอกาสนี้ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมยุ่งมาก มากขนาดอยากเขียนบล็อกตั้งแต่วันแม่ แต่เพิ่งได้เขียนวันนี้นานมาแล้ว ที่ไม่เคยต้องรู้สึกว่า อยากให้วันหนึ่งมี 29 ชั่วโมง ครั้งหลังสุดคงต้องย้อนไปสมัยทำงานโฆษณาโน่น สิบกว่าปีมาแล้วล่ะครับแต่จากนี้คงจะมีเวลาเยอะขึ้น เพราะรายการวิทยุที่เคยต้องทำในวันเสาร์ ก็งดแล้วเมื่อวาน ร้านที่เปิดเพลงให้เขาทุกวันอาทิตย์ ก็โทรมาของดด้วย ตามสภาพเศรษฐกิจถามว่าเสียใจมั้ย ตอบว่า..ไม่เสียใจ ทุกข์มั้ย ไม่ทุกข์ ไม่ใช่เพราะเก่ง แต่เพราะเข้าใจและ.. ยอมรับ คนเราถ้ายอมรับความจริงอย่างหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าท่านเคยบอกว่าสิ่งทั้งหลายย่อมเกิดเพราะมีเหตุ แปลว่าที่มันเป็นแบบนี้ ก็สมควรแก่เหตุฝนจะตก แดดจะออก นกกระจอกจะเข้ารัง ความรักจะพัง กาละมังจะแตก กล้วยแขกจะไหม้อะไรๆ มันก็เพราะมีเหตุมาอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะเราอยาก เราไม่อยากไม่ใช่เพราะเราจะชอบ หรือจะไม่ชอบ เมื่อเข้าใจและยอมรับว่า ทุกอย่างมันสมควรแก่เหตุ เราก็ไม่ติดใจอะไร ไม่แบกอะไรต่อ อยู่กับปัจจุบันของเราให้ดีที่สุดว่ากันตามจริง ไม่ใช่เพื่อปลอบใจตัวเองนะครับ ผมก็ได้วันหยุดของผมกลับคืนมาเหมือนชาวบ้านเขาเสียที เขาถึงบอกว่า.. ต่อให้เป็นเรื่องร้ายแค่ไหน มันก็มีแง่ดีให้เราเห็นอยู่คนโดนแฟนทิ้ง มองในแง่ดีได้ว่า เราก็ได้อิสระของเราคืนมาไม่ต้องไปคอยเอาใจ คอยง้องอนใคร ไม่ต้องคอยห่วงว่ามันจะโดนแท็กซี่ที่ไหนหลอกคนที่นอนไม่ค่อยหลับ ก็มองในแง่ดีได้ว่า เรามีเวลาภาวนามากขึ้น คนนอนไม่หลับนี่ผมอิจฉานะ เพราะผมนี่ห้าทุ่มก็หาวแล้ว หาวอีก คนที่บ้านโดนแบงค์ยึด ก็มองในแง่ดีได้ว่า จะได้หมดหนี้กันไป ไม่ต้องคอยกังวล ว่าจะโดนขโมยขึ้นเมื่อไหร่ ไฟจะไหม้ บันไดจะผุวันไหนผมถึงชอบเพลง Always Look On The Bright Side Of Life ของ Monty Python เป็นนักหนาอีกอย่าง ไม่ได้เปิดเพลงแล้ว ก็จะมีเวลาเขียนอะไรมากขึ้น วันหน้าอาจจะมีอาชีพเขียนหนังสือเป็นหลัก อย่างพี่ตุลย์ ดังตฤณ ก็ได้ ใครจะรู้เรื่องเล่าต่อมา ผมได้เวลาไปทำรายการธรรมะคนเมือง ที่ FM 99.5 ตอนหกโมงครึ่งเพิ่ม จากเดิมวันจันทร์วันเดียว เป็นวันอังคารอีกวันนะครับอีกเรื่อง มีคนส่งข้อความบอกว่า ชอบบทความของผมในมารีแคลร์มากน่าจะเอาไปรวมเล่มด้วย อันนี้ยินดีรับไว้พิจารณา แล้วจะไปปรึกษาบรรณาธิการดูที่จริงมีปรึกษากันไว้แล้ว เล่มหน้าจะเอาข้อเขียนเก่าๆ เรื่องเกี่ยวกับความรักที่ผมเคยเขียนไว้ในพันทิพ และอีกหลายที่ มารวมเล่มปิดท้าย ถือโอกาสเรียนเชิญอย่างเป็นทางการ สำหรับผู้ติดตามงานเขียนของผมเชิญร่วมงานเปิดตัวหนังสือ "ธนาคารความสุข สาขา 2" วันอังคาร 18 สิงหาคมนี้ 14.30-16.30 น. ที่ศาลาปันมี ห้องสมุดบ้านอารีย์ซอยอารีย์สัมพันธ์ 1 ถนนพหลโยธิน อยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟฟ้าอารีย์ ถ้ามารถไฟฟ้า เดินลงตรงโชว์รูมเบนซ์ราชครูผ่านตึก EXIM Bank ก่อนถึงปั้มเอสโซ่ จะมีทางเดินเล็กๆเข้าไป ใครจะมาพบผมรอบหลังสี่โมงครึ่ง เหมือนกับคุณ Tony koon ช่วยบอกผมไว้ในบล็อกนี้ด้วยนะครับจะได้ทราบว่าต้องรอถึงกี่โมง และมีกี่ท่าน ต้องการหนังสือกี่เล่ม ฯลฯอีกเรื่อง วันอาทิตย์นี้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช จะมาแสดงธรรมที่ศาลาลุงชิน เวลา 9.00-10.30 ต้องการแผนที่ศาลาลุงชิน ไปดูได้จาก //www.wimutti.net นะครับ สุขสันต์วันอยู่บ้านครับ
ช่วงเวลาเดียวของชีวิต ฮิโรชิมา Contact
คงจะมีหลายท่านที่ได้ fwd mail อันเดียวกับที่ผมได้ ที่พูดถึงช่วงเวลา 10 น. 11 นาที 12 วินาที ของวันที่ 7 /08/09 บอกว่าเป็นช่วงเวลาสุดพิเศษเขาว่าถ้าเอามาเรียง วันเดือนปีกับเวลา จะได้เป็น 07.08.09.10.11.12แล้วสำทับมาว่า เนี่ย จะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนะ ก็ต้องชมว่าเขาช่างสังเกตดีนะครับแต่ความจริงแล้ว ฝรั่งเขาเขียน เดือน.วัน. ปี ไม่ใช่ วัน.เดือน.ปี อย่างที่คนไทยนิยมอีกอย่างคือ ไม่ว่าจะเป็นเวลาวันเดือนปีที่เรียงแบบไหน ก็ล้วนแต่มีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนะครับ วินาทีที่คุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้ เขียนวันเดือนปี เวลา ออกมาได้เท่าไหร่ก็จะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตเราทั้งนั้น ไม่ว่าเลขจะเรียงหรือตองหรือไม่ผมนึกถึงคำพูดที่ว่า ทุกครั้งที่เราข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง ด้วยสะพานอันเดิม น้ำข้างใต้สะพาน จะไม่เคยเป็นน้ำกลุ่มเดิมเลย เพราะมันไม่เคยหยุดไหล วันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา เป็นวันครบ 64 ปี ของการที่ชาวเมืองฮิโรชิม่ากว่า 140,000 คน ต้องตายเพราะระเบิดปรมาณูเพียงเวลาชั่วอึดใจ มีเหตุให้ชีวิตต้องดับสูญไปเป็นแสนนี่ น่าใจหายนะครับที่น่าใจหายกว่า คือความจริงที่ว่า ความรู้ทางโลกของมนุษย์สามารถถูกใช้เป็นอาวุธคร่าชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้ทีละเป็นแสนๆว่ากันตามหลักของพุทธ มนุษย์เรามีชีวิตกันได้ทีละขณะจิตเดียว ข้ามขณะจิตนี้ไป จิตดวงหนึ่งก็ดับไป มีจิตดวงใหม่มาแทนแล้ว แปลว่าจิตมันเกิดดับ เกิดดับตลอดเวลา คล้ายแสงสว่างของไฟฟ้าในหลอดแต่สิ่งที่มาบดบังไม่ให้เราเห็นการเกิดดับในแต่ละขณะจิต เรียกว่า สันตติเหมือนที่ตาเปล่าของมนุษย์เรา ไม่สามารถเห็นว่าหลอดไฟมันกระพริบตลอดเวลาหรือไม่เห็นว่า แท้จริงแล้วภาพเคลื่อนไหวบนจอภาพยนตร์มันคือภาพนิ่งที่เลื่อนต่อกันไปด้วยความเร็ว 24 เฟรมต่อวินาที แต่เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวแทนเวลาชั่วเสี้ยววินาที ทำลายล้างอะไรได้มากหลายแต่ก็นำพาความสุขกับความจริงมหาศาลมาสู่จิตได้มากมายเช่นกัน ยังพอจำหนังเรื่อง Contact ที่โจดี้ ฟอสเตอร์แสดงได้ไหมครับเธอรับบทนักบินอวกาศหญิง ที่ขึ้นไปกับยานรูปร่างประหลาดคล้ายอะตอมซึ่งสร้างจากแบบพิมพ์เขียวที่ถูกส่งมาจากอวกาศไกลโพ้น ในรูปของเสียงในขณะที่โลกผิดหวังกับยานลำนี้ เพราะเป็นแค่การปล่อยกระสวยที่นักบินอยู่ให้หล่นแหมะลงมา แล้วไม่มีอะไรให้ดู ไม่ได้ไปไหนไกลอย่างที่คิดไว้แต่คนที่อยู่ในยาน ล้วนได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่จากการเดินทางไปด้วย "จิต" ของตนเองการเดินทางที่เป็นเพียงแค่ "ชั่วแว้บเดียว" สำหรับใครๆ แต่เป็น"แว๊บ" เดียวที่ให้คุณมหาศาลกับคนที่ได้รู้ ได้สัมผัสพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เราคอยรู้สึกตัว ทีละแว้บ เพื่อเรียนรู้จักตัวเองรู้สึกกาย รู้สึกใจ อย่างที่มันเป็น ด้วยการยอมรับและไม่แทรกแซง แบบเดียวกับที่อับราฮัม มาสโลว์ บอกว่า ความสุขสูงสุดของมนุษย์คือการได้ค้นพบตัวเองที่เขาเรียกว่า "Self-Actualization" ตรงส่วนยอดปิระมิดและยังบอกนิยามของการ "รู้จักตัวตนที่แท้จริง" ว่าต้องมี - Acceptance of Truth การยอมรับความจริง- Without prejudice ปราศจากอคตินะ (อย่าแทรกแซง)- Creativity อันนี้มีคนช่วยผมแปลว่าต้องมี "ปัญญา" - Spontaneity คือรู้เฉพาะหน้่าตามที่มันเป็นไป เหมือนกันอย่างน่าขนลุกนะครับ เพียงแต่ท่านหนึ่งพูดมาสองพันกว่าปี อีกคนเพิ่งพูดเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา และมาสโลว์ไม่ใช่คนเดียวด้วยสิ่งที่ถูกพูดมาสองพันกว่าปี มีคนจำนวนมากบอกว่า..เป็นของเชยแต่สิ่งที่พูดกันมาไม่กี่สิบปี ถูกสอนกันแพร่หลายในมหาวิทยาลัย บอกว่า เป็นของทันสมัย ผมไม่โทษมาสโลว์นะครับ กลับจะขอบคุณเขาและนักเขียนฝรั่งอีกหลายคนที่ช่วยพิสูจน์ให้ชาวพุทธรู้ตัวว่า เราละเลยของดีที่อยู่ใกล้ตัวเรามานานขนาดไหนประเด็นคือ เราจะปล่อยตัวให้หลงโลกไปอีกนานแค่ไหน ก่อนจะรู้คุณค่าของวิปัสสนาก่อนจะเริ่มหัดรู้สึกตัว รู้กาย รู้ใจ ตามที่มันเป็นจริง จนเห็นความจริงเพราะทุกวินาทีที่กำลังไหลผ่านเราไปตอนนี้ ล้วนแต่เป็นเวลาพิเศษเพราะมันจะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนี้ครับ สุขสันต์วันที่ยังมีเวลาเหลือให้เรา "เรียนรู้จักตัวเอง" อยู่นะครับปล. 1. ท่านสามารถรับข้อความสั้นๆที่น่าสนใจจากผม และการแจ้งอัพเดทบล็อกนี้ได้จาก Twitter โดยค้นหา aston27 แล้วไปคลิก "Follow" นะครับ 2. ท่านที่อยากเห็นหน้าค่าตาหนังสือ "ธนาคารความสุข สาขา 2" ผมเอาใส่ไว้ในอัลบั้มรูปใน facebook อันนี้ต้องค้นหาชื่อ "Pithyakorn Eddy" นะครับ
แสร้งว่า.. ภาพเสมือนจริง กับการปฏิบัติ
หลายท่านคงพอทราบจาก facebook หรือ twitter แล้วว่า ตอนนี้ผมอยู่สิงคโปร์มาประชุมสัมมนาตั้งแต่วันจันทร์ จะกลับถึงกรุงเทพฯค่ำนี้แหละครับ เนื้อหาส่วนหนึ่งของการสัมมนารอบนี้ คือเรื่องเทคโนโลยีด้านภาพ มีผู้รู้ในอุตสาหกรรมนี้มาเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องบลูเรย์ ที่กำลังเป็นของใหม่ในวงการวิดีโอสิ่งหนึ่งที่บลูเรย์เด่นมาก คือความคมชัดเหมือนจริง ทั้งเรื่องภาพและเสียงมีคนถามว่า แล้วต่อจากบลูเรย์ จะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่กว่านี้อีกไหม เขาตอบว่ามีตอนนี้กำลังมีคนคิดค้นทีวีแบบที่ดูได้เป็น 3 มิติ โดยไม่ต้องใช้แว่นตา อันนี้บางท่านเคยเห็นในห้างสรรพสินค้า แต่อันนั้นมันยังระดับสิวๆ ชิวเด้น ชิวเด้นแต่คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าจะได้เทคโนโลยีจอภาพ 3 มิติ ที่อยู่ในระดับสมบูรณ์ ออกมาเป็นรูปเป็นร่างจริงๆ ผมฟังแล้วก็อดนึกไม่ได้ว่า...จะว่าไป มนุษย์เรานี่ดิ้นรนใช้สติปัญญาทางโลกกันแปลกๆนะคือเราวุ่นวายกับการคิดวิธีการถ่ายภาพของจริง แล้วบันทึกไว้เป็นสำเนา แล้วก็ต้องวุ่นวายต่อ กับการคิดหาวิธีแสดงสำเนาภาพเหล่านั้น ให้เหมือนของจริงอีกที แต่โลกก็เป็นไปอย่างนั้นแหละครับ เล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้ชักชวนให้ไปขวางโลกแต่อย่างใดเพียงแต่ไพล่ไปนึกถึงเรื่องอาหารที่ผมอ่านในสารคดี "น้ำพริก" ที่ฉายทางทรูวิชั่นส์มันมีอาหารจำพวกหนึ่งในตระกูลน้ำพริก เรียกว่า "แสร้งว่า..." ที่เรียกอย่างนั้น ก็เพราะมีเจ้านายในวัง เคยไปทานน้ำพริกที่ทำจากไข่ปูพอกลับมาเมืองหลวงก็หาไข่ปูไม่ได้ เลยต้องใช้ของใกล้ตัวแทน คือไข่เค็มจึงเป็นที่มาของอาหารจำพวก "แสร้งว่า..." ซึ่งก็แตกหน่อไปเป็นแสร้งว่าอีกหลายสำรับความพยายามของมนุษย์ที่จะทำของ "เสมือน" ให้เป็นของจริง มีแม้กระทั่งในการปฏิบัติธรรมถามว่าทำไมต้องพยายาม ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า เพราะ "อยาก" หลวงพ่อฯ เคยเทศน์ว่า บางคนอยากบรรลุด้วยทางลัดเลยไปจินตนาการถึงความว่าง แล้วก็เอาจิตไปอยู่กับความว่างนั้นแต่ลืมไปหรือไม่รู้เลยก็มี ว่าความว่างอันนั้น ไม่ใช่ของจริง แต่เป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้นวิปัสสนานี่ เราต้องเรียนให้เห็นความจริง จากของจริง คือกายและจิต จะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ก็ไม่บังคับว่าต้องทำท่าไหน ใครถนัดยังไงทำอย่างนั้นอย่างจิตมันฟุ้งซ่าน เราก็ไปพยายามบังคับให้สงบ แล้วคิดว่าอันนี้คือเจริญวิปัสสนา ไม่ใช่นะครับ ถ้าบังคับจิตให้สงบ ดีที่สุดก็เป็นสมถะ ได้แค่ "แสร้งว่า" จิตดีถามว่าดีจริงไหม ไม่จริงหรอก พอหมดกำลังสมาธิ จิตก็ออกมาฟุ้งซ่านอย่างเดิมถามว่า ทำสมถะผิดเหรอ ไม่ผิดนะครับ เหมือนคนทาน "แสร้งว่า" ก็ไม่ผิด แต่ทานแล้ว ต้องรู้ตัวว่าทานอะไรเหมือนดูหนังที่ภาพคมชัดเสมือนจริง ก็ไม่ผิด แต่ต้องรู้ว่าไอ้นี่มันไม่ใช่ของจริงทำสมถะ ก็ต้องรู้สึกตัวว่าทำอะไรอยู่ แต่สมถะก็ควรเจริญไว้คู่กับวิปัสสนาและต้องไม่ลืมว่าวิปัสสนาคืองานหลัก เป็นหนทางเดียวที่จะพาตนให้พ้นทุกข์ได้จริงๆ ไม่ใช่พ้นแบบ "แสร้งว่า" หรือ "เสมือนจริง" แบบคนติดสมถะเป็นกันพระพุทธเจ้าสอนว่า "บุคคลจะล่วงถึงความบริสุทธิ์(หลุดพ้น)ได้ด้วยปัญญา"ท่านไม่ได้บอกว่า หลุดพ้นด้วยสมาธิ หรือความว่างนะครับ ฉะนั้น ถ้าเอาแต่สมาธิ ไม่เคยพิจารณากาย จิต ไม่เคยเห็นความจริง ของจริงทำไปทั้งชาติ ปัญญาก็ไม่เกิด เพราะวันๆก็มีแต่นิ่งๆ ว่างๆ ไม่เคยเห็นว่าจิตไม่เที่ยง จิตเป็นทุกข์ จิตบังคับไม่ได้ เพราะบังคับให้มันว่าง(ชั่วคราว)ได้แล้วฉะนั้น แทนที่จะต้องวุ่นวาย สาละวน กับการหาว่า ทำอย่างไรจิตจะดี จิตจะสงบเรารู้จิตไปซื่อๆ อย่างที่มันเป็น คอยรู้ คอยดูแบบคนนอก ที่ไม่มีส่วนได้เสียขอแค่มีศีล 5 ไว้เป็นรั้ว เป็นหลักเขตที่จะไม่ไปล่วงละเมิดคนอื่น ก็พอแล้วความจริงจะสอนธรรมะให้เราเอง สุขสันต์วันที่โลกนี้มีทั้งความจริงและสิ่งลวงครับ