Group Blog
 
All blogs
 

เสาหลัก ที่พึ่ง และความจริง



บล็อกที่แล้ว ทิ้งท้ายไว้ว่า ผมมีสองเหตุผลที่มักจะแนะนำให้ใครที่มีทุกข์
แล้วมาปรึกษาผม ให้ปฏิบัติธรรม

เหตุผลแรก เพราะสุขทุกข์ในชีวิตคนเรา ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันเป็นผลกรรม
อันนี้ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ก็แล้วไปนะครับ แต่ผมเชื่อว่าท่านพูดถูก..
ว่าโลกนี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ ไม่มีควันที่โขมงขึ้นโดยไม่มีที่มา

แต่กรรมเก่าเมื่อครั้งก่อนร่อนชะแล เราเคยทำอะไรมาช่างหัวมันเถอะ
ก็เราจำไม่ได้นี่นา อย่าเสียเวลาไปค้นหาไปให้ใครนั่งทางในให้เลย จริงหรือมั่วก็ไม่รู้

ให้ตั้งหน้าสร้างกรรมใหม่ที่ดี ใครไม่มีศีล ก็ถือศีล ไม่เคยทำทาน ก็ทำทาน
ไม่เคยภาวนา ก็ภาวนา ภาวนาปฏิบัติธรรมนี่แหละ โดยเฉพาะวิปัสสนาที่เป็นกุศลสูงสุด

ที่ว่าเป็นกุศลสูงสุด เพราะช่วยพาคนให้พ้นทุกข์ พ้นห้วงกิเลสได้

อีกเหตุผล เพราะการปฏิบัติ แม้จะยังไม่พ้นทุกข์แต่ก็ช่วยให้เรามีชีวิตอย่างมีสติปัญญา

คนมีปัญญา ย่อมค่อยๆเห็นจริงว่า โลกนี้มีแต่ของชั่วคราว ไม่มีอะไรยั่งยืน
แม้แต่น้าแอ๊ด ยืนยง หรือหนุ่ม คงกระพัน ก็คงอยู่ได้อีกไม่เกินห้าหกสิบปี

คนมีปัญญา ย่อมเห็นว่าความสุขก็เป็นสิ่งที่ผ่านมาชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว
และไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งพาได้แม้แต่ตัวเอง

หลายคนที่ผมรู้จักมักจะเอาพ่อแม่ หรือครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง เป็นเสาหลักของชีวิต
แต่ลืมไปว่า บุคคลเหล่านั้นจะประเสริฐอย่างไร ท่านก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า
วันหนึ่งท่านไม่อยู่ แล้วจะทำอย่างไร

บางคนแย่กว่านั้น เอาแฟนเป็นที่พึ่ง บางคู่อยู่กันมาสิบปี แฟนก็ไปมีคนใหม่
เสาหลักที่เคยสวยหรูดูมั่นคง กลายเป็นธงขนาดไม้เสียบลูกชิ้น หักเป๊าะไปซะงั้น

กระทั่งจะเอา "ตัวเอง" เป็นที่พึ่ง มันก็พึ่งไม่ได้จริงนะครับ
เพราะพวกเราเอง ก็ผีเข้าผีออก บางวันก็ดูแข็งแรง บางวันก็ดูง่อยเปลี้ย
บางวันก็ดูฉลาด แต่บางทีก็ฉลาดในเรื่องโง่ๆซะอย่างนั้น

ผมเคยฟังหลวงพ่อฯ เล่าเรื่องเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ใหม่ๆ
ท่านเล็งญานไปทั่วสามโลก ทั้งโลกมนุษย์ สวรรค์ และนรก
ท่านก็เห็นว่า ไม่มีใครจะเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวได้เลย

ท่านเป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านยังต้องเอา "ธรรมะ" เป็นที่พึ่ง
แล้วพวกเราไปหวังพึ่งเทวดา พึ่งสามี พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ จะไหวเหรอครับ

พ่อแม่เรา วันหนึ่งท่านนั่นแหละต้องพึ่งเรา และโดยธรรมชาติท่านก็ต้องไป
ครูบาอาจารย์ ท่านก็เมตตาให้แนวทางปฏิบัติ วันหนึ่งท่านก็ต้องละสังขาร
ไอ้แฟนนานุแฟน ภรรยา สามี ไม่ต้องพูดถึง ไม่เป็นภาระเราก็บุญนักหนา
อย่าว่าแต่จะมาเป็นที่พึ่งของเราเลย จะหายไปวันไหนก็ไม่รู้

ที่ไม่เคยหายไปไหนเลยจากโลกนี้ มีแต่ "ธรรมะ" คือความจริงนะครับ

ปิดท้าย อยากบอกว่า มาภาวนาเพื่อเรียนรู้จักตัวเองนี่ ไม่ได้แก้ปัญหาทางโลกนะ
ปัญหาทางโลก มันก็ต้องเอาสติปัญญาทางโลกไปแก้ คนละส่วนกัน

โดนเจ้านายด่า สามีบ่น คนข้างบ้านนินทา หรือหมาเห่า อันนี้เป็นปัญหา
แต่ถ้าเจริญสติภาวนา ปัญหาอาจจะไม่หมด แต่เราจะทุกข์สั้นลง ทุกข์น้อยลง

โดนเจ้านายด่า เสียใจ รู้ว่าเสียใจ มีปัญญา ก็เห็นได้ว่าเสียใจก็เรื่องชั่วคราว
เดินออกมานอกห้องเจ้านาย สมมติมีดาราที่เราแอบปลื้มมายืนยิ้มให้ เราก็หายเศร้าแล้ว

สามีบ่น แล้วรำคาญ รู้ว่ารำคาญ ก็เห็นได้ว่าสามีบ่นเป็นปัญหา แต่ไม่ได้ทำให้ทุกข์
มีปัญญา ก็เห็นได้ว่า ที่ทุกข์น่ะ เพราะเราไม่ชอบสิ่งที่เขาพูดต่างหาก

คนข้างบ้านนินทา เราโกรธ รู้ว่าโกรธ วันหนึ่งจะเห็นได้ว่าจิตโกรธ ไม่ใช่เราโกรธ
ถ้าไม่ใช่เราที่โกรธ ก็ไม่ใช่เราทุกข์ และที่สุดแล้ว วันหนึ่งก็จะรู้ว่า
ทุกข์นั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ไม่มีคนทุกข์

วันหนึ่ง ถ้าเรามีอันต้องสูญเสีย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก คนที่รัก
หรือต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รัก หรือไม่ชอบ ไม่ปรารถนา

ปัญญาจากธรรมะ จะสอนเราได้ว่า ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามเหตุและปัจจัยนะ
ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นของชั่วคราวเสมอกันหมด ไม่ว่าดีหรือร้าย สุขหรือทุกข์
จิตที่ฝึกมาดีแล้ว จะตั้งมั่นมีสติ มีสมาธิ มีปัญญาได้ในเวลาวิกฤต

ธรรมะ เป็นที่พึ่ง เป็นเสาหลักของชีวิตได้ ด้วยประการฉะนี้เองครับ




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2552    
Last Update : 22 สิงหาคม 2552 8:52:09 น.
Counter : 7990 Pageviews.  

สติ ในวันโลกแตก



ช่วงนี้ผมได้รับอีเมล์มาปรึกษาปัญหาหลายฉบับในเวลาไล่เลี่ยกันโดยมิได้นัดหมาย

บางท่านกำลังท้อแท้เพราะตกงาน บางท่านเจอมรสุมชีวิต เรื่องงาน เรื่องความรัก
บางท่านเจอปัญหามะรุมมะตุ้มหลายขนาน จนหายใจหายคอแทบไม่ทัน

แต่มีรายหนึ่ง เขียนหัวจดหมายมาสั้นๆว่า "สติ"
ผู้ถามท่านนี้ คงทราบว่าคำตอบที่ผมจะให้ ไม่มีอะไรเกินไปกว่า ให้มีสติ

แต่ที่ถามมาคือ จากที่ได้อ่านบทความของคุณในหนังสือฉบับหนึ่ง มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาพที่จัดการกับปัญหาภายในจิตใจยากมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว รู้สึกสับสนกับชีวิตมาก เหมือนสติแตกเลย อยากได้คำแนะนำ เผื่อว่าจะได้มาปรับใช้กับตัวเองได้บ้าง

เวลาที่สับสนมากๆ ถ้าเป็นคนที่เคยหัดเจริญสติมาสักระยะหนึ่งแล้ว
ผมจะแนะนำให้รู้ความรู้สึก "สับสน" "ฟุ้งซ่าน" "อยากหาย" "ไม่ชอบ" ฯลฯ เข้าไปตรงๆ

แต่ถ้าคุณเป็นมือใหม่ การให้คอยรู้สึกตัวเป็นผู้รู้ผู้ดู ดูกายดูใจทำงาน
ดูด้วยการรู้สึกเอา ดูด้วยความเป็นกลาง ย่อมเป็นเรื่องยาก เพราะไม่เคยฝึก

คำแนะนำจึงอยากให้คุณไปทำอะไรที่สบายใจก่อน แต่ไม่ผิดศีล
เช่นไหว้พระสวดมนต์ ปล่อยปลา ทำบุญเลี้ยงอาหารเด็กพิการ เด็กกำพร้า ฯ

คนเราเวลาหมกหมุ่นกับปัญหาของตัวเองมากเกินไป มักจะเครียดแบบฟุ้งซ่าน
ถ้าได้ไปทำอะไรให้คนที่เขาลำบาก ด้อยโอกาสกว่าเรา ได้เป็นผู้ให้ ก็มักจะสบายใจขึ้น

แต่เวลาไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านเด็กพิการซ้ำซ้อน ต้องระวังเรื่องหนึ่ง
คือบางท่านสงสารมาก จนจิตตก เศร้าสลด กลายเป็นกิเลสในหมวดโทสะอีก

ดูเผินๆ ก็เหมือนยากนะครับ เพราะหมกหมุ่นกับปัญหาของตัวเองมากไปก็ทุกข์
ไปสนใจแต่เรื่องคนอื่น เรื่องภายนอก ลืมกายลืมใจตัวเอง ก็ทุกข์

แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่ยากเกินความสามารถมนุษย์มนาอย่างเราๆหรอกครับ
ที่สำคัญ ยิ่งเวลาเรามีทุกข์เยอะๆเนี่ย เท่ากับมีวัตถุดิบในการปฏิบัติธรรมชั้นเลิศ

พระพุทธเจ้าท่านบอกเคล็ดลับให้ชาวพุทธไว้ว่า
ถ้าใครอยากพ้นทุกข์ ให้เรียนรู้สัจจะ หรือความจริงว่าด้วยทุกข์

การเรียนรู้จักความจริงของทุกข์ จะเรียนที่ไหน ก็ที่กายกับใจเราไงครับ
เพราะทุกข์ของคนเรา ก็เกิดที่กาย เกิดที่ใจเรานี่แหละ
ก็ทุกข์อ่ะนะ ไม่ใช่กระถิน จะได้เกิดที่ริมรั้ว

จะเรียนเรื่องกาย เรื่องจิต ก็ต้องอาศัยเครื่องมือเรียกว่าสติ และสัมมาสมาธิ
ครูบาอาจารย์หลายองค์ ท่านพูดสั้นๆว่า "สติ"
เพราะสติตัวจริงนั้น มันมีสัมมาสมาธิเกิดร่วมกันเป็นแพ็กเกจ

เหมือนซื้อจานดาวเทียมทรูวิชั่นส์ มันก็ได้กล่องแปลงสัญญานมาด้วย
หรือซื้อไก่ทอด ซื้อลาบ ก็ได้น้ำจิ้มผักแนมใส่จานใส่ถุงมาโดยไม่ต้องถามหา

จะมีสติได้ ก็ต้องหัดคอยรู้สึกตัว ทำความคุ้นเคย รู้จักกับสภาวะต่างๆของกายและจิต
ถึงบอกว่า เวลาโกรธ ให้รู้ว่าจิตโกรธ เวลาเศร้า รู้ว่าจิตกำลังเศร้า
งง ให้รู้ว่าจิตกำลังงง สงสัย ก็ให้รู้ว่าจิตสงสัย

บอกถึงตรงนี้ บางท่านมักจะแย้งว่า ทุกวันนี้ก็รู้อยู่แล้วนี่นา ต่างกันเหรอ
ตอบว่า.. ต่างกันครับ

คนทั่วไป เวลาบอกว่ามีสติ รู้ว่าโกรธ เรามักจะรู้เรื่องที่เราโกรธ รู้ว่าเขาว่าเราว่าอะไร
แต่ไม่รู้ตัวว่า ตอนนั้นจิตมันโกรธ เลยมีตัวเราขึ้นมากลายเป็น "เราโกรธ"

แต่นักเรียนวิปัสสนา จะมองเห็นจิตที่โกรธ เหมือนเรานั่งดูมวยปล้ำบนอัฒจรรย์
เราไม่ได้เป็นคนปล้ำ เราไม่ใช่กรรมการ เราไม่ใช่พี่เลี้ยง เราเป็นแค่ "คนดู"

หรือเวลาเศร้า ก็ไปรู้เรื่องที่เศร้า เวลางง ก็ไปรู้เรื่องที่งง ว่างงอะไร
สงสัย รู้แค่ว่าฉันสงสัยเรื่องอะไร แต่ไม่รู้ตัวว่า จิตกำลังเศร้า งง หรือสงสัยอยู่

อย่างใครที่อ่านถึงบรรทัดนี้ รู้ตัวไหมครับ ว่าอ่านแล้วจิตคิดไปด้วย
เพราะธรรมชาติของการอ่าน จิตจะต้องคิดไปอ่านไป ถึงจะเข้าใจ

จิตที่ไปคิด จึงเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องผิด
เหมือนที่มีอะไรกระทบแล้วมันโกรธ มันเศร้า ยินดี เสียใจ สงสัย ฯลฯ
จิตคิด จิตปรุงแต่ง ไม่ใช่เรื่องผิดนะครับ เพราะเป็นความจริง เป็นธรรมชาติ

สิ่งที่ผิดคือ การที่จิตปรุงแต่ง แล้วเรารู้ไม่ทันว่าจิตมันปรุงแต่งอยู่
อีกอย่างที่ผิดคือ เราไปอยากแล้วพยายามกดข่มบังคับ ไม่ให้มันคิด นึก ปรุงแต่ง หรือรู้สึก

ทางแรกมันผิด เพราะขาดสติ ไม่รู้สึกตัว ผลคือเราจะไหลไปตามกิเลส
ทางที่สองมันผิด เพราะเราจะเรียนธรรมะแต่เราดันปฏิเสธความจริงปฏิเสธธรรมชาติ

ฉะนั้น จะเรียนธรรมะจะปฏิบัติธรรม ก็อย่าปฏิเสธความจริงนะครับ

ที่คุณถามปัญหาชีวิต แต่ผมมักชวนให้ภาวนา ผมมีสองเหตุผล
แล้วบล็อกหน้าจะมาเล่าให้ฟัง

แต่วันนี้ ปิดท้ายด้วยคลิปที่ให้กำลังใจใครหลายคนที่ล้มอยู่ แล้วรู้สึกเหมือนไม่มีแรงจะลุก

นี่เป็นมนุษย์ที่มีตัวตนจริงๆ ชื่อนายนิค วูยชิค เขาเกิดมาโดยไม่มีแขน ไม่มีขา
แต่เขาสามารถเอาสิ่งที่เขา"ขาด"มาเป็นอุปกรณ์สาธิตให้คนครบ 32 อย่างเรา "มี" กำลังใจ

เขาบอกว่าตอนเด็กๆก็เคยท้อแท้สิ้นหวัง รู้สึกเหมือนไม่มีจุดหมายที่จะใช้ชีวิตต่อไป
แต่เขาก็อดทนที่จะเรียนรู้การมีชีวิตรอดอย่างเป็นสุข ในข้อจำกัดที่เขามี

ตอนเขาล้มตัวลงกับพื้น เขาถามนักเรียนที่ฟังว่า บางเวลาในชีวิตเราอาจจะล้มลง
แล้วเหมือนไม่มีแรง สิ้นหวัง ที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้

เขาบอกว่าถ้าเขายอมแพ้ หลังพยายามจะลุกทั้งที่ไม่มีแขนขามาร้อยครั้ง แต่ล้มเหลว
เขาก็จะไม่มีโอกาสจะลุกขึ้นได้ และนอนจมอยู่อย่างนั้นไปจนตาย

แต่เขาบอกว่า การล้มเหลวมาร้อยครั้ง ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีทางทำได้
เพียงแต่เราต้องหาวิธีที่เหมาะกับตัวเองให้เจอ

ลองดูนะครับ แล้วจะรู้สึกว่าปัญหาของเรา เล็กนิดเดียว




สุขสันต์วันถัดจากเมื่อวานนี้ครับ




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2552    
Last Update : 22 สิงหาคม 2552 0:50:09 น.
Counter : 7011 Pageviews.  

เรื่องเล่าเสาร์ อาทิตย์



ก่อนอื่น ขอตอบข้อสงสัยของบางท่านว่า ผมถ่ายภาพประกอบเองหรือเปล่า
เปล่าเลยนะครับ เป็นฝีมือของกัลยาณมิตรจากอเมริกาชื่อว่าคุณแป๋ว
ไปชมผลงานภาพถ่ายของเธอได้ในบล็อก SevenDaffodils ลิงค์มีอยู่ทางขวามือ

ก็ต้องขอขอบคุณคุณแป๋วอีกครั้งมา ณ โอกาสนี้

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมยุ่งมาก มากขนาดอยากเขียนบล็อกตั้งแต่วันแม่ แต่เพิ่งได้เขียนวันนี้
นานมาแล้ว ที่ไม่เคยต้องรู้สึกว่า อยากให้วันหนึ่งมี 29 ชั่วโมง
ครั้งหลังสุดคงต้องย้อนไปสมัยทำงานโฆษณาโน่น สิบกว่าปีมาแล้วล่ะครับ

แต่จากนี้คงจะมีเวลาเยอะขึ้น เพราะรายการวิทยุที่เคยต้องทำในวันเสาร์ ก็งดแล้ว
เมื่อวาน ร้านที่เปิดเพลงให้เขาทุกวันอาทิตย์ ก็โทรมาของดด้วย ตามสภาพเศรษฐกิจ

ถามว่าเสียใจมั้ย ตอบว่า..ไม่เสียใจ ทุกข์มั้ย ไม่ทุกข์
ไม่ใช่เพราะเก่ง แต่เพราะเข้าใจและ.. ยอมรับ

คนเราถ้ายอมรับความจริงอย่างหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าท่านเคยบอกว่า
สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดเพราะมีเหตุ แปลว่าที่มันเป็นแบบนี้ ก็สมควรแก่เหตุ

ฝนจะตก แดดจะออก นกกระจอกจะเข้ารัง
ความรักจะพัง กาละมังจะแตก กล้วยแขกจะไหม้
อะไรๆ มันก็เพราะมีเหตุมาอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะเราอยาก เราไม่อยาก
ไม่ใช่เพราะเราจะชอบ หรือจะไม่ชอบ

เมื่อเข้าใจและยอมรับว่า ทุกอย่างมันสมควรแก่เหตุ
เราก็ไม่ติดใจอะไร ไม่แบกอะไรต่อ อยู่กับปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด

ว่ากันตามจริง ไม่ใช่เพื่อปลอบใจตัวเองนะครับ
ผมก็ได้วันหยุดของผมกลับคืนมาเหมือนชาวบ้านเขาเสียที
เขาถึงบอกว่า.. ต่อให้เป็นเรื่องร้ายแค่ไหน มันก็มีแง่ดีให้เราเห็นอยู่

คนโดนแฟนทิ้ง มองในแง่ดีได้ว่า เราก็ได้อิสระของเราคืนมา
ไม่ต้องไปคอยเอาใจ คอยง้องอนใคร ไม่ต้องคอยห่วงว่ามันจะโดนแท็กซี่ที่ไหนหลอก

คนที่นอนไม่ค่อยหลับ ก็มองในแง่ดีได้ว่า เรามีเวลาภาวนามากขึ้น
คนนอนไม่หลับนี่ผมอิจฉานะ เพราะผมนี่ห้าทุ่มก็หาวแล้ว หาวอีก

คนที่บ้านโดนแบงค์ยึด ก็มองในแง่ดีได้ว่า จะได้หมดหนี้กันไป
ไม่ต้องคอยกังวล ว่าจะโดนขโมยขึ้นเมื่อไหร่ ไฟจะไหม้ บันไดจะผุวันไหน

ผมถึงชอบเพลง Always Look On The Bright Side Of Life ของ Monty Python เป็นนักหนา



อีกอย่าง ไม่ได้เปิดเพลงแล้ว ก็จะมีเวลาเขียนอะไรมากขึ้น
วันหน้าอาจจะมีอาชีพเขียนหนังสือเป็นหลัก อย่างพี่ตุลย์ ดังตฤณ ก็ได้ ใครจะรู้

เรื่องเล่าต่อมา ผมได้เวลาไปทำรายการธรรมะคนเมือง ที่ FM 99.5
ตอนหกโมงครึ่งเพิ่ม จากเดิมวันจันทร์วันเดียว เป็นวันอังคารอีกวันนะครับ

อีกเรื่อง มีคนส่งข้อความบอกว่า ชอบบทความของผมในมารีแคลร์มาก
น่าจะเอาไปรวมเล่มด้วย อันนี้ยินดีรับไว้พิจารณา แล้วจะไปปรึกษาบรรณาธิการดู
ที่จริงมีปรึกษากันไว้แล้ว เล่มหน้าจะเอาข้อเขียนเก่าๆ เรื่องเกี่ยวกับความรัก
ที่ผมเคยเขียนไว้ในพันทิพ และอีกหลายที่ มารวมเล่ม

ปิดท้าย ถือโอกาสเรียนเชิญอย่างเป็นทางการ สำหรับผู้ติดตามงานเขียนของผม
เชิญร่วมงานเปิดตัวหนังสือ "ธนาคารความสุข สาขา 2" วันอังคาร 18 สิงหาคมนี้
14.30-16.30 น. ที่ศาลาปันมี ห้องสมุดบ้านอารีย์ซอยอารีย์สัมพันธ์ 1 ถนนพหลโยธิน
อยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟฟ้าอารีย์ ถ้ามารถไฟฟ้า เดินลงตรงโชว์รูมเบนซ์ราชครู
ผ่านตึก EXIM Bank ก่อนถึงปั้มเอสโซ่ จะมีทางเดินเล็กๆเข้าไป

ใครจะมาพบผมรอบหลังสี่โมงครึ่ง เหมือนกับคุณ Tony koon ช่วยบอกผมไว้ในบล็อกนี้ด้วยนะครับ
จะได้ทราบว่าต้องรอถึงกี่โมง และมีกี่ท่าน ต้องการหนังสือกี่เล่ม ฯลฯ

อีกเรื่อง วันอาทิตย์นี้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช จะมาแสดงธรรมที่ศาลาลุงชิน เวลา 9.00-10.30
ต้องการแผนที่ศาลาลุงชิน ไปดูได้จาก //www.wimutti.net นะครับ

สุขสันต์วันอยู่บ้านครับ




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2552    
Last Update : 15 สิงหาคม 2552 10:42:20 น.
Counter : 6885 Pageviews.  

ช่วงเวลาเดียวของชีวิต ฮิโรชิมา Contact



คงจะมีหลายท่านที่ได้ fwd mail อันเดียวกับที่ผมได้
ที่พูดถึงช่วงเวลา 10 น. 11 นาที 12 วินาที ของวันที่ 7 /08/09 บอกว่าเป็นช่วงเวลาสุดพิเศษ

เขาว่าถ้าเอามาเรียง วันเดือนปีกับเวลา จะได้เป็น 07.08.09.10.11.12
แล้วสำทับมาว่า เนี่ย จะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนะ

ก็ต้องชมว่าเขาช่างสังเกตดีนะครับ

แต่ความจริงแล้ว ฝรั่งเขาเขียน เดือน.วัน. ปี ไม่ใช่ วัน.เดือน.ปี อย่างที่คนไทยนิยม
อีกอย่างคือ ไม่ว่าจะเป็นเวลาวันเดือนปีที่เรียงแบบไหน ก็ล้วนแต่มีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนะครับ

วินาทีที่คุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้ เขียนวันเดือนปี เวลา ออกมาได้เท่าไหร่
ก็จะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตเราทั้งนั้น ไม่ว่าเลขจะเรียงหรือตองหรือไม่

ผมนึกถึงคำพูดที่ว่า ทุกครั้งที่เราข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง ด้วยสะพานอันเดิม
น้ำข้างใต้สะพาน จะไม่เคยเป็นน้ำกลุ่มเดิมเลย เพราะมันไม่เคยหยุดไหล

วันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา เป็นวันครบ 64 ปี
ของการที่ชาวเมืองฮิโรชิม่ากว่า 140,000 คน ต้องตายเพราะระเบิดปรมาณู

เพียงเวลาชั่วอึดใจ มีเหตุให้ชีวิตต้องดับสูญไปเป็นแสนนี่ น่าใจหายนะครับ
ที่น่าใจหายกว่า คือความจริงที่ว่า ความรู้ทางโลกของมนุษย์
สามารถถูกใช้เป็นอาวุธคร่าชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้ทีละเป็นแสนๆ

ว่ากันตามหลักของพุทธ มนุษย์เรามีชีวิตกันได้ทีละขณะจิตเดียว
ข้ามขณะจิตนี้ไป จิตดวงหนึ่งก็ดับไป มีจิตดวงใหม่มาแทนแล้ว

แปลว่าจิตมันเกิดดับ เกิดดับตลอดเวลา คล้ายแสงสว่างของไฟฟ้าในหลอด
แต่สิ่งที่มาบดบังไม่ให้เราเห็นการเกิดดับในแต่ละขณะจิต เรียกว่า สันตติ
เหมือนที่ตาเปล่าของมนุษย์เรา ไม่สามารถเห็นว่าหลอดไฟมันกระพริบตลอดเวลา

หรือไม่เห็นว่า แท้จริงแล้วภาพเคลื่อนไหวบนจอภาพยนตร์มันคือภาพนิ่ง
ที่เลื่อนต่อกันไปด้วยความเร็ว 24 เฟรมต่อวินาที แต่เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวแทน

เวลาชั่วเสี้ยววินาที ทำลายล้างอะไรได้มากหลาย
แต่ก็นำพาความสุขกับความจริงมหาศาลมาสู่จิตได้มากมายเช่นกัน

ยังพอจำหนังเรื่อง Contact ที่โจดี้ ฟอสเตอร์แสดงได้ไหมครับ
เธอรับบทนักบินอวกาศหญิง ที่ขึ้นไปกับยานรูปร่างประหลาดคล้ายอะตอม
ซึ่งสร้างจากแบบพิมพ์เขียวที่ถูกส่งมาจากอวกาศไกลโพ้น ในรูปของเสียง

ในขณะที่โลกผิดหวังกับยานลำนี้ เพราะเป็นแค่การปล่อยกระสวยที่นักบินอยู่
ให้หล่นแหมะลงมา แล้วไม่มีอะไรให้ดู ไม่ได้ไปไหนไกลอย่างที่คิดไว้

แต่คนที่อยู่ในยาน ล้วนได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่จากการเดินทางไปด้วย "จิต" ของตนเอง

การเดินทางที่เป็นเพียงแค่ "ชั่วแว้บเดียว" สำหรับใครๆ
แต่เป็น"แว๊บ" เดียวที่ให้คุณมหาศาลกับคนที่ได้รู้ ได้สัมผัส

พระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เราคอยรู้สึกตัว ทีละแว้บ เพื่อเรียนรู้จักตัวเอง
รู้สึกกาย รู้สึกใจ อย่างที่มันเป็น ด้วยการยอมรับและไม่แทรกแซง

แบบเดียวกับที่อับราฮัม มาสโลว์ บอกว่า ความสุขสูงสุดของมนุษย์
คือการได้ค้นพบตัวเองที่เขาเรียกว่า "Self-Actualization" ตรงส่วนยอดปิระมิด
และยังบอกนิยามของการ "รู้จักตัวตนที่แท้จริง" ว่าต้องมี

- Acceptance of Truth การยอมรับความจริง
- Without prejudice ปราศจากอคตินะ (อย่าแทรกแซง)
- Creativity อันนี้มีคนช่วยผมแปลว่าต้องมี "ปัญญา"
- Spontaneity คือรู้เฉพาะหน้่าตามที่มันเป็นไป

เหมือนกันอย่างน่าขนลุกนะครับ เพียงแต่ท่านหนึ่งพูดมาสองพันกว่าปี
อีกคนเพิ่งพูดเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา และมาสโลว์ไม่ใช่คนเดียวด้วย

สิ่งที่ถูกพูดมาสองพันกว่าปี มีคนจำนวนมากบอกว่า..เป็นของเชย
แต่สิ่งที่พูดกันมาไม่กี่สิบปี ถูกสอนกันแพร่หลายในมหาวิทยาลัย บอกว่า เป็นของทันสมัย

ผมไม่โทษมาสโลว์นะครับ กลับจะขอบคุณเขาและนักเขียนฝรั่งอีกหลายคน
ที่ช่วยพิสูจน์ให้ชาวพุทธรู้ตัวว่า เราละเลยของดีที่อยู่ใกล้ตัวเรามานานขนาดไหน

ประเด็นคือ เราจะปล่อยตัวให้หลงโลกไปอีกนานแค่ไหน ก่อนจะรู้คุณค่าของวิปัสสนา
ก่อนจะเริ่มหัดรู้สึกตัว รู้กาย รู้ใจ ตามที่มันเป็นจริง จนเห็นความจริง

เพราะทุกวินาทีที่กำลังไหลผ่านเราไปตอนนี้ ล้วนแต่เป็นเวลาพิเศษ
เพราะมันจะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนี้ครับ

สุขสันต์วันที่ยังมีเวลาเหลือให้เรา "เรียนรู้จักตัวเอง" อยู่นะครับ

ปล. 1. ท่านสามารถรับข้อความสั้นๆที่น่าสนใจจากผม และการแจ้งอัพเดทบล็อกนี้ได้จาก Twitter โดยค้นหา aston27 แล้วไปคลิก "Follow" นะครับ

2. ท่านที่อยากเห็นหน้าค่าตาหนังสือ "ธนาคารความสุข สาขา 2" ผมเอาใส่ไว้ในอัลบั้มรูปใน facebook อันนี้ต้องค้นหาชื่อ "Pithyakorn Eddy" นะครับ




 

Create Date : 08 สิงหาคม 2552    
Last Update : 8 สิงหาคม 2552 21:47:50 น.
Counter : 6922 Pageviews.  

แสร้งว่า.. ภาพเสมือนจริง กับการปฏิบัติ



หลายท่านคงพอทราบจาก facebook หรือ twitter แล้วว่า ตอนนี้ผมอยู่สิงคโปร์
มาประชุมสัมมนาตั้งแต่วันจันทร์ จะกลับถึงกรุงเทพฯค่ำนี้แหละครับ

เนื้อหาส่วนหนึ่งของการสัมมนารอบนี้ คือเรื่องเทคโนโลยีด้านภาพ
มีผู้รู้ในอุตสาหกรรมนี้มาเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องบลูเรย์ ที่กำลังเป็นของใหม่ในวงการวิดีโอ
สิ่งหนึ่งที่บลูเรย์เด่นมาก คือความคมชัดเหมือนจริง ทั้งเรื่องภาพและเสียง

มีคนถามว่า แล้วต่อจากบลูเรย์ จะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่กว่านี้อีกไหม เขาตอบว่ามี
ตอนนี้กำลังมีคนคิดค้นทีวีแบบที่ดูได้เป็น 3 มิติ โดยไม่ต้องใช้แว่นตา
อันนี้บางท่านเคยเห็นในห้างสรรพสินค้า แต่อันนั้นมันยังระดับสิวๆ ชิวเด้น ชิวเด้น

แต่คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าจะได้เทคโนโลยีจอภาพ 3 มิติ
ที่อยู่ในระดับสมบูรณ์ ออกมาเป็นรูปเป็นร่างจริงๆ

ผมฟังแล้วก็อดนึกไม่ได้ว่า...
จะว่าไป มนุษย์เรานี่ดิ้นรนใช้สติปัญญาทางโลกกันแปลกๆนะ

คือเราวุ่นวายกับการคิดวิธีการถ่ายภาพของจริง แล้วบันทึกไว้เป็นสำเนา
แล้วก็ต้องวุ่นวายต่อ กับการคิดหาวิธีแสดงสำเนาภาพเหล่านั้น ให้เหมือนของจริงอีกที

แต่โลกก็เป็นไปอย่างนั้นแหละครับ เล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้ชักชวนให้ไปขวางโลกแต่อย่างใด
เพียงแต่ไพล่ไปนึกถึงเรื่องอาหารที่ผมอ่านในสารคดี "น้ำพริก" ที่ฉายทางทรูวิชั่นส์

มันมีอาหารจำพวกหนึ่งในตระกูลน้ำพริก เรียกว่า "แสร้งว่า..."
ที่เรียกอย่างนั้น ก็เพราะมีเจ้านายในวัง เคยไปทานน้ำพริกที่ทำจากไข่ปู
พอกลับมาเมืองหลวงก็หาไข่ปูไม่ได้ เลยต้องใช้ของใกล้ตัวแทน คือไข่เค็ม

จึงเป็นที่มาของอาหารจำพวก "แสร้งว่า..." ซึ่งก็แตกหน่อไปเป็นแสร้งว่าอีกหลายสำรับ

ความพยายามของมนุษย์ที่จะทำของ "เสมือน" ให้เป็นของจริง มีแม้กระทั่งในการปฏิบัติธรรม
ถามว่าทำไมต้องพยายาม ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า เพราะ "อยาก"

หลวงพ่อฯ เคยเทศน์ว่า บางคนอยากบรรลุด้วยทางลัด
เลยไปจินตนาการถึงความว่าง แล้วก็เอาจิตไปอยู่กับความว่างนั้น
แต่ลืมไปหรือไม่รู้เลยก็มี ว่าความว่างอันนั้น ไม่ใช่ของจริง แต่เป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้น

วิปัสสนานี่ เราต้องเรียนให้เห็นความจริง จากของจริง คือกายและจิต
จะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ก็ไม่บังคับว่าต้องทำท่าไหน ใครถนัดยังไงทำอย่างนั้น

อย่างจิตมันฟุ้งซ่าน เราก็ไปพยายามบังคับให้สงบ
แล้วคิดว่าอันนี้คือเจริญวิปัสสนา ไม่ใช่นะครับ

ถ้าบังคับจิตให้สงบ ดีที่สุดก็เป็นสมถะ ได้แค่ "แสร้งว่า" จิตดี
ถามว่าดีจริงไหม ไม่จริงหรอก พอหมดกำลังสมาธิ จิตก็ออกมาฟุ้งซ่านอย่างเดิม

ถามว่า ทำสมถะผิดเหรอ ไม่ผิดนะครับ
เหมือนคนทาน "แสร้งว่า" ก็ไม่ผิด แต่ทานแล้ว ต้องรู้ตัวว่าทานอะไร
เหมือนดูหนังที่ภาพคมชัดเสมือนจริง ก็ไม่ผิด แต่ต้องรู้ว่าไอ้นี่มันไม่ใช่ของจริง

ทำสมถะ ก็ต้องรู้สึกตัวว่าทำอะไรอยู่ แต่สมถะก็ควรเจริญไว้คู่กับวิปัสสนา
และต้องไม่ลืมว่าวิปัสสนาคืองานหลัก เป็นหนทางเดียวที่จะพาตนให้พ้นทุกข์ได้จริงๆ
ไม่ใช่พ้นแบบ "แสร้งว่า" หรือ "เสมือนจริง" แบบคนติดสมถะเป็นกัน

พระพุทธเจ้าสอนว่า "บุคคลจะล่วงถึงความบริสุทธิ์(หลุดพ้น)ได้ด้วยปัญญา"
ท่านไม่ได้บอกว่า หลุดพ้นด้วยสมาธิ หรือความว่างนะครับ

ฉะนั้น ถ้าเอาแต่สมาธิ ไม่เคยพิจารณากาย จิต ไม่เคยเห็นความจริง ของจริง
ทำไปทั้งชาติ ปัญญาก็ไม่เกิด เพราะวันๆก็มีแต่นิ่งๆ ว่างๆ ไม่เคยเห็นว่า
จิตไม่เที่ยง จิตเป็นทุกข์ จิตบังคับไม่ได้ เพราะบังคับให้มันว่าง(ชั่วคราว)ได้แล้ว

ฉะนั้น แทนที่จะต้องวุ่นวาย สาละวน กับการหาว่า ทำอย่างไรจิตจะดี จิตจะสงบ
เรารู้จิตไปซื่อๆ อย่างที่มันเป็น คอยรู้ คอยดูแบบคนนอก ที่ไม่มีส่วนได้เสีย

ขอแค่มีศีล 5 ไว้เป็นรั้ว เป็นหลักเขตที่จะไม่ไปล่วงละเมิดคนอื่น ก็พอ
แล้วความจริงจะสอนธรรมะให้เราเอง

สุขสันต์วันที่โลกนี้มีทั้งความจริงและสิ่งลวงครับ




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 31 กรกฎาคม 2552 10:50:24 น.
Counter : 7202 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.