Group Blog
 
All blogs
 

เข้าใจ ด้วยการ "เข้า-ใจ"







ปกติผมเป็นทีมงานช่วยตอบปัญหาให้เว็บชื่อ Star4life อย่างที่มีลิงค์อยู่ทางขวามือ

วันนี้เป็นวันก่อนหยุดสงกรานต์ งานไม่เยอะเลยแวะไปตอบ
ปรากฏว่าตอบเสร็จ Server มีปัญหา เลยโพสต์คำตอบไม่ได้
เลยจำเป็นต้องเอามาแปะไว้ที่นี่ก่อน

ยาวหน่อย แต่ถ้าใครอกหักอยู่ น่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

มีปัญหาความรักค่ะ ขอปรึกษาหน่อยนะคะ

ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ มีปัญหากับคนรักแล้วเค้าบอกเลิกค่ะ
โดยให้เหตุผลว่าเราไม่เข้าใจกัน เราไม่ค่อยเข้าใจเค้า ตอนนี้เค้าเบื่อมากๆ
อยากอยู่คนเดียว อยากทำอะไรก็ได้ อย่าคิดว่าเค้ามีคนใหม่ เค้าอาจจะไม่มีใครแล้วก็ได้
เพราะเบื่อความวุ่นวายของผู้หญิง

ตอนแรกเข้าใจว่าเค้าพูดเพราะโมโห
แต่มันเป็นเรื่องจริงค่ะ อยู่ดีๆ เค้าคิดจะตัดก็ตัดกันง่ายๆ จบแล้วก็จบเลย ไม่คิดจะกลับมาอีก
เสียใจมากๆ รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น มีแต่คำถามว่าทำไม เพราะอะไร ทั้งๆ ที่หลายอย่างกำลังดีขึ้น
เราไม่รู้ตัวมาก่อน ว่าความรู้สึกเค้ามันเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เค้าบอกว่ามันสะสมมานาน
จนทนไม่ไหว ไม่อธิบายอะไรมาก ไม่อยากจะพูดถึงมันอีก

เราถามเค้า ว่าทำไมเค้าไม่เคยบอกเรา
ทำไมไม่คุยกัน ปรึกษากัน ทำไมปล่อยให้ปัญหาสะสมมาจนถึงตอนนี้
เราพยายามขอโอกาสเค้าให้เราได้ลองแก้ตัว แต่ก็ไร้ประโยชน์ คนจะไปอะไรก็ห้ามไม่อยู่
เค้าก็รู้ดีว่าเรารู้สึกยังไง เรารักเค้ามากแค่ไหน แต่เค้าบอกว่าแค่รักอย่างเดียวมันไม่พอ ต้องเข้าใจกันด้วย
อย่าพูดเรื่องนี้ หรือร้องขอโอกาสอะไรอีกเลย อย่าคิดกับเค้าเกินคำว่าเพื่อน ไม่อย่างนั้นเค้าก็จะถอยห่างออกไปเรื่อยๆ

แต่เราทำธุรกิจด้วยกัน ยังต้องคุยกัน เจอกันอยู่ เราเคยบอกเค้าว่าถ้ามีคนใหม่ก็บอกละกัน
จะได้แยกย้ายกันไป แต่เค้าขอว่าอย่าเอามารวมกัน อย่าทำลายความฝันของเราด้วยวิธีแบบนี้
ได้ยินคำว่าเรา แล้วก็ช้ำใจ ส่วนตัวแล้วใจนึงก็เสียดายเหมือนกันค่ะ ถ้าจะต้องเลิกทำงานนี้ไป
หลายคนแนะนำ ว่าให้เลิกทำซะ ตัดขาดไปเลย บางคนก็บอกว่าจะบ้าเหรอ เลิกทำงานเพราะผู้ชายคนเดียว

ตอนนี้เค้าก็มีคนใหม่ไปแล้วค่ะ เห็นเค้าคุยโทรศัพท์ยิ้มแย้มแจ่มใส เราก็เสียใจ
ก็นั่งคุยอยู่ตรงหน้า ทั้งเห็นทั้งได้ยิน พอเรานิ่งๆ เงียบๆ ไปเค้าก็ถามว่าเป็นอะไร จะให้บอกว่ายังไงดีล่ะคะ
ก็รู้ตัวว่าไม่มีสิทธิอะไรแล้ว ก็เลยบอกว่าไม่มีอะไร เค้าก็บ่นว่าเบื่อชอบทำตัวแบบนี้ เบื่อมากๆ
เราทำให้เค้าอึดอัด ทำตัวไม่ถูกไปลองคิดดูแล้วกันว่าควรทำยังไง

หลังจากนั้นเราก็เลยโทรไปอธิบายให้เค้ารู้ ว่าที่นิ่งเงียบไปเพราะอะไร จะได้เข้าใจ ไม่ต้องถามกันซ้ำๆ
พอโทรไปก็พูดไปร้องไห้ไปจนได้ เหมือนระบายความอัดอั้นใจ เค้าก็ได้แต่รับฟังแล้วก็บอกว่า
เค้าเข้าใจแล้ว แต่ก็อยากให้เราเข้าใจด้วย ว่าเค้าต้องการอะไร

เราจะเจอกันเฉพาะเรื่องงาน หรือเวลาไปพบลูกค้า ตอนนี้เวลาเจอกันเค้าก็ทำตัวปกติค่ะ จนบางทีเหมือนให้ความหวังเราด้วยซ้ำ เช่น บ่นว่าเมื่อยให้นวดให้หน่อย หรือนั่งอยู่ก็มาจับมือเรา ฯลฯ แต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เค้ามีคนใหม่ไปแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางเหมือนเดิม ได้แต่เศร้าค่ะ ล่าสุดมีแหวนวงใหญ่ประดับนิ้วนางข้างซ้าย ประมาณแหวนคู่สลักชื่อ เห็นแล้วช้ำใจและเสียใจมากๆ

นอกจากนี้งานที่ทำก็ค่อนข้างปัญหาเยอะ ทำงานหนักแต่ไม่ได้เงินบ้าง ได้น้อยบ้าง
การเงินก็ติดขัด มีการนำเงินส่วนนึงไปลงทุนเปิดร้านกับเพื่อน ก็ล้มเหลว ขาดทุนกันไปตามระเบียบ

คือตอนนี้มีปัญหาไปหมดค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความรัก (อันนี้หนักที่สุด), การเงิน, คนรอบข้าง คุณพ่อ คุณแม่ มีปัญหาสุขภาพ, การงาน ตอนนี้กำลังลังเล ว่าจะเลิกทำงานร่วมกับเค้าดีมั้ย ต้องออกไปเริ่มต้นใหม่ หางานทำ จบทุกสิ่งที่อย่างรวมกัน
รบกวนขอคำปรึกษาจากทุกท่าน ด้วยนะคะ...


ขออนุญาตตอบเฉพาะเรื่องทุกข์นะครับ

ต้องถามก่อนว่า คุณเชื่อพระพุทธเจ้าไหม ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่มีประโยชน์จะคุยกัน
เพราะสิ่งที่ผมจะบอก มันคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าให้แนวทางไว้

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่การพ้นทุกข์
ไม่ใช่แค่ทุกข์เพราะความรักอันเดียว แต่ทุกข์ทุกตัว พ้นได้หมดนะ

ถ้าเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน จะเห็นว่าทุกข์ทั้งหลาย เกิดเพราะความคิด
เวลาคนเราคิด มันคิดถูกก็ได้ คิดผิดก็ได้ พระท่านจึงสอนให้เรา "รู้ทุกข์" แทนการคิด

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงใช้วิธีหย่อนความคิดดีๆให้คุณสองสามก้อน ให้คุณไปคิดต่อ
แต่จากประสบการณ์ทำให้ผมเรียนรู้ว่า คนที่อยู่ในสภาพเดียวกับคุณ Oh-O
มักจะมีแนวโน้มจะเริ่มต้นคิดด้วยคำว่า "ทำไม" และจบลงด้วยการพายเรือวนในอ่างแห่งทุกข์

แต่ถ้าประยุกต์วิธีที่พระพุทธเจ้าสอนให้ "รู้ทุกข์" แทนการคิด
คุณ Oh-O ไม่จำเป็นต้องมีคำถามอะไร เพียงแต่ให้มีสติ รู้สึกถึงความเป็นไปของใจตัวเอง

ที่แนะนำให้คอยรู้สึกถึงความเป็นไปของใจตัวเอง
เพราะเรากำลังเดินไปสู่ทางออกของปัญหา ด้วยวิถีแห่งธรรม ด้วยความ "เข้าใจ"

ในวิถีแบบธรรม คำว่า "เข้าใจ" แปลตรงตัวว่า ขอให้ "เข้า" ถึง "ใจ" แล้วจะเข้าใจ
อย่าพยายามเข้าใจ ด้วยการคิดนะ อันนั้นมันวิถีแบบโลกๆ

ความรู้ทางโลก อาศัยการฟังอ่าน แล้วจบที่การ "คิด"
แต่ความรู้ทางธรรม อาศัยการคิดเมื่อไหร่ สอบตกเมื่อนั้น
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ เรียนและเข้าใจธรรม ด้วยการ "รู้" ครับ

และอย่างที่เกริ่นไว้ "คิด" น่ะ อาจะคิดถูกคิดผิดก็ได้
แต่ถ้า "รู้" ถึงความเป็นไปของใจ อย่างที่มันเป็นจริงๆ
ไม่เสแสร้งแกล้งทำ ไม่ปรุงแต่ง ไม่บิดเบือน รู้อย่างเป็นกลางต่อสภาวะที่เป็น

มันไม่มีทางผิดหรอกใช่ไหมครับ? :smile:

อย่างคุณบอกเราว่า คุณทุกข์มาก
ถ้าคุณรู้เข้าไปซื่อๆ คุณก็ย่อมเห็นว่าจิตมันเป็นทุกข์
ไม่มีทางที่คุณจะเห็นว่ามันเป็นสุขขึ้นมาได้

แต่ถ้าดูบ่อยๆ คุณก็จะเห็นว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่จิตมันสร้างขึ้นเองจากความคิด
คิดมาก ก็ทุกข์มาก คิดน้อย ก็ทุกข์น้อย

แต่ความคิดก็เป็นสิ่งที่จิตมันปรุงขึ้นเอง ตามธรรมชาติ
ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่ได้สอนให้เราไม่มีความคิดนะครับ
แต่ท่านให้คอยรู้ทัน มันแว่บไปคิดก็รู้ คิดแล้วรู้ไม่ทัน มันทุกข์ขึ้นมาก็รู้

รู้สึกถึงความเป็นไปของใจเราไปเรื่อยๆ จะพบว่า
จิตมันจะทุกข์ ไปสั่งให้มันสุขก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้มันทุกข์ก็ไม่ได้

สมัยผมเริ่มเรียนป.หนึ่งในสายวิปัสสนา ผมแทบตกเก้าอี้ ตอนที่เห็นว่า
จิตที่เราเคยคิดว่ามันเป็นตัวเรา เป็นของเรา
แท้ที่จริงแล้ว มันทำอะไรได้ด้วยตัวมันเองทั้งนั้น เราไม่เคยสั่งมันได้เลย

ดูเก่งๆ จะเห็นว่า จิตดวงที่แบกทุกข์เอาไว้ กับจิตที่ไปรู้ มันเป็นจิตคนละดวงกัน
คราวนี้ก็รู้ว่า สุข หรือทุกข์ในชีวิตคนเรา มันล้วนแต่ของชั่วคราว

จิตที่สุข ก็ชั่วคราว จิตที่ทุกข์ก็ชั่วคราว
จิตที่ยินดี ก็ชั่วคราว จิตที่ยินร้าย ก็ชั่วคราว

คุณเคยดูตลกที่ขำที่สุดไหม จะคณะอะไร มุขเด็ดขนาดไหน
มันก็ฮาได้ชั่วครั้ง ขำได้ชั่วคราว แล้วก็ผ่านไป

คุณเคยดูหนังที่เศร้าที่สุดไหม จะโศกาอาดูร น้ำตาท่วมจอขนาดไหน
มันก็น้ำตาร่วง น้ำมูกเล็ด กันได้ชั่วคราว แล้วก็ผ่านไป
แล้วคุณจะเอาอะไรนักหนา

คนเราเดินบนเส้นทางชีวิต เริ่มต้นมีพ่อแม่คอยประคอง
ลองผิดลองถูก แล้วก็ต้องออกเดินเอง

จะมีคนเดินจูงมือด้วยหรือไม่มี
จะเลือกไปจูงหมาแล้วคิดว่าเป็นคน
หรือเลือกจูงคนแล้วเข้าใจว่าเป็นหมา ก็ไม่สำคัญ

ที่แน่ๆบางวัน มันก็มีสะดุด มีหกล้มกันได้เป็นธรรมดา
จะหกล้ม เพราะซุ่มซ่ามสะดุดเอง เพราะมีคนขุดหลุม เพราะมีคนปล่อยมือเรา
หรือเพราะคนข้างหน้าเราผายลมแรงไป ก็ไม่สำคัญ

สำคัญที่ว่า ล้มแล้ว ก็ต้องลุกด้วยตัวเองนี่แหละ
เพราะเราไม่ใช่เด็กอนุบาลหรือนักฟุตบอล
ที่ล้มทีต้องล้มนาน ต้องซมซานให้กรรมการเห็นใจ

ยิ่งถ้าล้มแล้วตกปลักโคลนอย่างคุณ ยิ่งต้องมีสติรีบลุกซะ
ไปอาบน้ำล้างหน้า ล้างตัวล้างหัวใจ แล้วมีชีวิตต่อไปอย่างมีสติ

จะเฉลยให้ว่า ปัญหาของคุณไม่ใช่เพราะมีทุกข์หรอก เชื่อไหม

แต่ปัญหาของคุณตอนนี้ คือคุณไม่เข้าใจทุกข์ และไปแบกทุกข์เข้า
เคยเห็นคนบ้า ที่แบกอะไรสักอย่างแล้วร้องโวยวายไปตามถนนไหม

คนที่มีสติมีปัญญา ก็จะเข้าใจได้ว่า ไอ้สิ่งที่แบกอยู่ไม่ใช่ปัญหา
เพราะชีวิตของแต่ละคน มันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละ
ชีวิตกับปัญหาและทุกข์ มันของคู่กันธรรมดา

ปัญหาคือคนที่บ้า แล้วไปเข้าใจว่า
ทุกข์มันเป็นของของเราที่เสียแล้วต้องหาทางแก้

ทั้งๆที่ก็แค่.... วางลงตรงนี้ แล้วก็เดินไปข้างหน้า

ทุกอย่างก็จะเป็นอดีต ไม่มีอะไรหนัก ไม่มีอะไรเป็นภาระ

ทุกข์ อยู่ที่ใจคุณเองนี่แหละ
มันเกิดที่ใจ ดับลงได้ ก็ที่ใจ ด้วยความเข้าใจ ด้วยสติ

โลกนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เป็นของเราจริงๆ และถาวร ทุกอย่างเป็นแค่ของชั่วคราว
พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้อย่างนั้น

คุณเชื่อไหมล่ะ :smile:

สุขสันต์วันก่อนสงกรานต์นะครับ ช่วงสงกรานต์ ผมไม่มีอะไรทำ อยู่บ้าน
เช้าวันอาทิตย์สิบโมงผมจะออนไลน์ ให้ถามตอบปัญหา

เจอกันในรายการ แอสตั้นพบประชาชน 2 นะครับ




 

Create Date : 11 เมษายน 2551    
Last Update : 29 เมษายน 2551 1:01:50 น.
Counter : 735 Pageviews.  

เรื่องสอบ เรื่องสุข เรื่องส้วม








สำหรับคนรุ่นผม เรื่อง เอเนท โอเนท ถือเป็นของไม่คุ้นเคยเพราะเลยวัยมาแล้ว
แต่สำหรับเด็กรุ่นนี้ มันคือดัชนีชี้เป็นชี้ตาย สำหรับการก้าวผ่าน จากวัยมัธยมไปอุดมศึกษา

เมื่อคืนผมเพิ่งรำพึงกับคนใกล้ตัวว่า
อินเตอเนท ช่างสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์ ที่น่าตื่นใจสำหรับผมอะไรเช่นนี้

เด็กรุ่นนี้โตมาพร้อมกับอินเตอเนท เอเนท และโอเนท
เด็กรุ่นผม โตมากับ อินเตอคอม เอราวัณ และโอน้อยออก

เมื่อเช้า ผมขับรถมาทำงานผ่านถนนสาทร
ผมคุ้นเคยกับสาทร ตั้งแต่ยังชื่อ สาธร
ตั้งแต่เขาเพิ่งจะเริ่มถมคลองสาธรทำถนนแปดเลน
ตั้งแต่วันที่ยังไม่มีสะพานสาทร วันที่ไม่มีรถไฟฟ้า
ตั้งแต่วันที่ไม่มีตึกสูงเกิน 8 ชั้น บนถนนสายนี้ แล้วดูวันนี้สิ

โลกใบนี้ ดูภายนอกมันเปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ
เหมือนจะง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ดีขึ้น แต่ไม่รู้คุณรู้สึกไหม
เราทุกข์กันง่ายขึ้น มากขึ้น กว่าสมัยพ่อแม่เรานะ

ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินเราน้อยลง
ความมั่นคงทางอารมณ์เราก็ลดลง ภูมิต้านทานความทุกข์เราก็ลดลง

ถ้าเอเนท โอเนท คือกุญแจข้ามอุปสรรคการศึกษาของนักเรียน
ผมว่าวิปัสสนา ก็น่าจะเป็นกุญแจข้ามทุกข์ของทุกคน

แต่ต้องมีโยนิโสมนสิการ แยบคายสังเกตแนวทางที่เราปฏิบัติหน่อยนะครับ
ไม่งั้น อาจจะพบว่าเพียรศึกษาลงมือปฏิบัติ แต่ถึงเวลาสอบก็สอบตก
ดูอย่างความเห็นจากกระทู้ที่แล้วของผมก็ได้ครับ

"เชื่อในกฎแห่งกรรมค่ะ
แต่เวลานี้คงอยู่ในช่วงกรรมชั่วส่งผล
มีแต่ปัญหาเข้ามาไม่หยุดหย่อน
เป็นทุกข์มาก รู้สึกว่าสอบตก
ที่เพียรปฏิบัติมาไม่อาจรักษาใจไม่ให้เศร้าหมอง
ช่วยชี้แนะให้สติด้วยเถอะคะ


สงสัยว่าที่สอบตก เพราะเพียรผิดหลักกระมังครับ
คือปกติถ้าเพียรถูกวิธี ถูกหลัก การปฏิบัติจะเป็นไปเพื่อปล่อยวาง
ปล่อยวางนี่คือ.. ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในกาย ในจิต นะ

คนที่ปล่อยวางมากขึ้น ตัวจะเท่าเดิม แต่ใจจะเบาขึ้น
ทุกข์ก็จะถูกปล่อยวางไปโดยอัตโนมัติ

เพราะเราจะรัก "ตัวเอง" น้อยลง เห็นแก่ตัวน้อยลง โทษคนอื่นน้อยลง
มีทุกข์อะไรเกิดขึ้น ก็ไม่ดิ้นรนทุรนทุราย เพราะเห็นว่ามันสมควรแก่เหตุดีแล้ว

ที่สำคัญ เราจะเห็นว่า ทุกๆอย่างในโลกนี้ มันก็แค่ "ของชั่วคราว" นะ

ผมเองไม่ทราบว่าคุณจิ้งจกฯ ปฏิบัติอย่างไรมา ทำกรรมฐานอะไร
แต่คนส่วนมากที่ปฏิบัติผิดทาง ผิดหลัก เพราะเรามักจะตั้งต้น ตั้งเป้าหมายผิด

เป้าหมายของชาวพุทธในภาคปฏิบัติคือการหลุดพ้นจากทุกข์นะครับ
แต่ คำว่า "พ้นทุกข์" ในทางพุทธ ไม่ใช่แปลว่าให้หนีทุกข์ หรือแก้ทุกข์

ท่านว่า ทุกข์มีไว้รู้ครับ ไม่ใช่มีไว้ละ

ทีนี้มาถึงวิธีการรู้ทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนไว้ในพระสูตรชื่อมหาสติปัฏฐานสูตร
ว่าเป็นทางสายเอก ทางสายเดียว ที่จะเป็นหนทางพ้นจากทุกข์

พระพุทธเจ้าบอกว่า คนเราเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วย "ปัญญา"
จะมีปัญญาพ้นทุกข์ได้ ก็ต้องเข้าใจทุกข์ก่อน

เครื่องมือในการพ้นทุกข์ เราเรียกว่า สัมมาสติ
สติ แปลว่า การระลึกรู้ ภาษาป.สี่ เรียกว่า "รู้สึกตัว"

จะมีสัมมาสติได้ ก็ต้องหัดรู้สึกตัว เพื่อป้อนข้อมูลให้จิตรู้จักสภาวะ จดจำสภาวะได้ก่อน

ในกระบวนการทั้งหลาย ที่พระพุทธองค์ท่านแจกแจงไว้ในพระสูตรนั้น
ตั้งแต่ต้นจนจบ ท่านให้ใช้กิริยาอย่างเดียว คือ "รู้" ครับ

รู้ ย่อมไม่ได้แปลว่า หนี
รู้ ย่อมไม่ได้แปลว่า แก้ไข
รู้ ย่อมไม่ได้แปลว่า บังคับ กด ข่ม
รู้ ย่อมไม่ได้แปลว่า คิด
รู้ ย่อมไม่ได้แปลว่า ดึงไว้
รู้ ย่อมไม่ได้แปลว่า ไหลไป

ถามว่ารู้แล้ว จะรู้ได้ไงว่ารู้อยู่ ไม่ได้คิด?

ผมล่ะชอบการออกเสียง คำว่า "กิริยา" ในภาษาฝรั่งเศสมากเลย
คือเขาอ่านคำว่า "VERB" เป็น "แว้บ" นะครับ

สติ การรู้สึกตัว มันมีลักษณะแบบนั้นเป๊ะเลย
คือมันรู้สึกตัวกันทีละแว้บๆๆๆ

ทุกข์ ก็รู้ได้ทีละแว้บ จะแว้บเดียว สอง สามหรือสี่แว้บ ก็แล้วแต่
โมโห ก็รู้ได้ทีละแว้บ โกรธ ก็รู้ทีละแว้บ

อึดอัด ขัดใจ ไม่ชอบ ห่อเหี่ยว เปลี่ยวจิต คิดฟุ้ง
ใจสงบ ใจทึบ ใจหนัก ใจเบา เหงาหงอย น้อยใจ
มีสุข เกลียดทุกข์ ไม่อยากทุกข์ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง รู้ได้ทีละแว๊บครับ

ครูบาอาจารย์ที่สอนถูกหลัก ท่านถึงสอนว่า ให้รู้สึกตัวบ่อยๆ เนืองๆ
กายเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น จิตเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น

ท่านจะไม่สอนให้บังคับใจ ต้องรู้สึกตัวตลอดเวลา ห้ามเผลอ
แต่จะสอนว่าเผลอแล้วคอยตามรู้

ไม่สอนให้เราบังคับท่าเดิน บังคับท่ายืน บังคับท่านั่ง กระทั่งการหายใจ
แต่สอนว่ายืนอยู่ก็รู้ เดินก็รู้ นั่งก็รู้ นอนก็รู้ คู้กาย เหยียดตรง ก็รู้

ไม่สอนว่าต้องหายใจสั้น หรือยาว เบาหรือค่อย
แต่ยืนแล้วหายใจสั้นก้รู้ หายใจยาวก็รู้ เบาก็รู้ แรงก็รู้

ไม่ได้สอนว่า ไม่ให้คิด แต่หายใจเข้าแล้วคิดอะไร ก็รู้ว่าจิตมันหลงไปคิด
หายใจออกแล้วมันคิด ก็รู้

สังเกตตัวเองนะครับ ถ้าเริ่มบังคับเมื่อไหร่ อันนั้นคุณไม่ได้ทำวิปัสสนาแล้ว

คำถามที่เจอบ่อยคือ ทำไมเวลาโกรธใคร เรารู้สึกตัวเห็นความโกรธ แต่ทำไมความโกรธไม่หาย?

คำถามนี้ตอบง่าย แต่เข้าใจยาก
ตอบแบบกำปั้นทุบดินคือ เราไม่ได้รู้ความโกรธ เพื่อให้มันดับนะครับ

เรารู้ความโกรธ เพื่อให้เห็นความจริง ว่ามันเป็นแค่สิ่งแปลกปลอม
ความโกรธ ก็ไม่ใช่จิต และไม่ใช่ตัวเรา เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้าเท่านั้น

เรารู้มัน เพื่อให้เห็นว่า มันไม่เที่ยง มันคงที่ไม่ได้ มันเป็นของมันอย่างนั้นแหละ

ตอบอีกแบบได้ว่า
เพราะคนปกติเวลาโกรธ มักจะทำผิดสองข้อ

ข้อแรกคือ รู้ความโกรธ ไปพร้อมๆกับความเกลียดกลัวตัวความโกรธนั้น
สองคือ พยายามไปกำจัด ดิ้น ให้ความโกรธนั้นหมดไป

แปลไทยเป็นไทย ได้ว่า มีกิเลสซ้อนกิเลสขึ้นมา
มีกิเลสตัวนึง พอเกลียดมัน ก็คือกิเลสตัวใหม่
มีกิเลสแล้วทุกข์ แต่ไม่เป็นกลาง เลยอยากกำจัดมัน ก็เป็นกิเลสอีกตัว

กิเลส เกิดเพราะกิเลส ซ้อนกันขึ้นเป็นชั้นๆๆๆๆ
ได้คำตอบไหมครับ ว่าทำไมที่โกรธ ที่ทุกข์อยู่ มันถึงไม่หาย

คนที่ทุกข์ใจ ด้วยเหตุทางโลกอะไรก็แล้วแต่
ถ้าไม่รักสุขเกลียดทุกข์มากนัก พักเดียวมันก็ผ่านไปแล้ว

บ้านผมอยู่หลังศูนย์การค้าแห่งนึง
วันดีคืนร้าย เขาจะมาสูบส้วมตอนกลางคืนหลังห้างปิด ซึ่งลมโชยเข้าหลังบ้านผมพอดี
แล้วคุณลองจินตนาการก็ได้ ว่ากลิ่นมันจะหฤโหดขนาดไหน

แต่ผมก็ไม่ทุกข์มากไปกว่าที่เหม็น เพราะผมรู้ว่า เขาไม่ได้สูบกันทั้งคืน
เหม็นก็รู้ว่าเหม็น ทุกข์เพราะเหม็นก็รู้ แต่ไม่ดิ้น

ไม่ดิ้น ก็ไม่โมโห ไม่โมโห ก็ไม่ทุกข์ซ้ำซ้อน
ที่สำคัญเช้ามาก็หายเหม็น ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

ส้วมที่ไหนก็เหม็นเหมือนกัน คนไม่มีสติก็รู้ได้ หมาแมว ก็รู้ได้
แต่คนที่เหม็นเท่ากัน อาจจะทุกข์ต่างกัน เพราะสตินี่แหละ

สอบได้หรือสอบตก ไม่ได้วัดกันตอนมีสุขหรอกครับ
มันวัดกันที่มีทุกข์แล้วจะตกส้วมหรือเปล่านี่แหละ

วันนี้เหม็นหน่อยนะครับ




 

Create Date : 09 เมษายน 2551    
Last Update : 11 เมษายน 2551 15:33:21 น.
Counter : 823 Pageviews.  

เรื่องดวง เรื่องกรรม กับการฆ่าตัวตาย




ระหว่างดวง กับกรรม คุณเชื่ออะไรมากกว่ากันครับ ?

น้องสาวคนหนึ่งบอกผมว่า อาทิตย์นี้จะไปดูดวง
เธอไปตกหลุมรักหนุ่มคนนึง เลยอยากรู้ว่าจะใช่คู่ของเธอไหม

ผมบอกเธอว่า ผมดูให้ก็ได้ว่าจะได้ลงเอยกันหรือไม่
ก็ขึ้นกับการเปิดใจ ตัดสินใจของคนสองคน
ถ้าสองคนเลือกจะคบกัน ก็จะได้ลงเอย

และถ้าได้คบหากันแล้ว ความสัมพันธ์ของสองคนก็จะไม่แน่นอน
ขึ้นกับความคาดหวัง และการกระทำของคนสองฝ่าย

เอาเข้าจริงๆ เรื่องอนาคตกับหมอดู เป็นเรื่องพูดยากนะครับ
เพราะชีวิตเป็นเรื่องไม่แน่นอน

เท่าที่เคยคุยกับน้องที่เป็นหมอดู ทุกคนบอกเหมือนกันว่า
ดวงมันเป็นแค่แผนที่ชีวิต แต่ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะต้องเดินตามแผนที่นั้น

แผนที่ชีวิตมนุษย์ มันซับซ้อนพิสดารกว่าแผนที่ผืนไหนในโลก
อีกทั้งยังเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยจุดเปลี่ยนเล็กๆ
ของการเลือกกระทำ หรือไม่กระทำอะไรสักอย่าง

หลายปีก่อน เคยมีหนังชื่อเรื่อง Sliding Doors แสดงโดยกวินเนท พัลโทรว์
หนังใช้กลวิธีเล่าเรื่องของหนึ่งชีวิต เป็นสองสถานการณ์ ขนานกัน
ที่แตกต่างเพียงเพราะขึ้นรถไฟใต้ดินขบวนหนึ่งทัน กับไม่ทัน

ความแตกต่างของสองสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นจากสองด้าน
ของบานประตูรถไฟฟ้าที่ปิดสนิทลง หนังเลยชื่อ Sliding Doors ไงครับ

ในทางพุทธ เรามองชะตาชีวิตว่าเป็น ชะตากรรม
คือสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะ "กรรม" นะครับ ไม่ใช่พรหมลิขิต

กระนั้น เราก็ยังจำแนกแยกประเภท "กรรม" ไว้เป็นหลายชนิด
แต่ผมเรียกรวมๆเป็นสองส่วน คือ "กรรมเก่า" และ "กรรมใหม่"

กรรมเก่า คือกรรมที่เป็นผลจากสิ่งที่เคยทำไว้ในอดีต
กรรมใหม่ คือกรรมที่เป็นผลของสิ่งที่กำลังทำในปัจจุบัน

ฉะนั้น เวลากรรมเก่าให้ผล เราทำอะไรมากไม่ได้ครับ
ถ้าเป็นกรรมดีให้ผล เราเรียกบุญ เราก็โชคดี มีสุข ฮิฮะกันไป
ถ้าเป็นกรรมชั่วให้ผล เราเรียกบาป เราก็โชคร้าย มีทุกข์ ฮือๆกันไป

ที่แน่ๆ ทั้งหมด ทั้งหลายทั้งปวง ชีวิตเราไม่มีอะไร "ฟลุค" นะครับ
ถ้าไม่ใช่สิ่งที่เราทำในปัจจุบัน ก็เป็นผลจากของเก่าในอดีตทั้งนั้น

เช่นเราทำบุญ ทำกุศลมาดี มีศีลบริสุทธิ์
เกิดมาพื้นฐานหน้าตารูปร่างผิวพรรณชาติตระกูลดี
อันนี้เป็นผลจากของเก่า

แต่ถ้าไม่ดูแล เจ็ดวันอาบน้ำที สี่วันแปรงฟันหน
ก้นไม่ล้าง สีข้างไม่เคยถู หูไม่เคยเช็ด
อันนี้กรรมเก่าอะไรก็ช่วยให้ผิวพรรณดีไม่ไหวหรอก

มีคนอยากให้พูดเรื่องอาจารย์สาวที่โดดตึกตาย
เทียบกับ คุณน้ำ เดอะสตาร์ ในมุมของธรรมะ
ผมขอพูดแบบไม่เจาะจง ก็แล้วกันนะ

ที่จริง คนที่ขอมาก็เปรียบเทียบไว้ดีมากแล้วนะ
คนหนึ่งมีพร้อมทุกอย่าง แต่พยายามทำลายชีวิตของตัวเอง
อีกคนไม่มีอะไรเลย แต่พยายามดิ้นรนจะมีชีวิตรอด

ที่จริง ไม่ใช่เรื่องพิสดารหรอกนะ มันก็วนกลับมาที่กรรมนี่แหละ
เพราะ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

ถ้าจะบอกว่ามันน่าขำแบบขมขื่น ก็คงจะได้
คล้ายๆกับที่เรามีทั้งคลินิคทำแท้ง และทำกิฟท์

คนอยากมีลูก บางทีดิ้นรนแทบตาย ก็ไม่มี
คนไม่อยากมี ก็ท้องกันจัง ต้องดิ้นรนไปทำบาปทำแท้ง

ชั่วชีวิตหนึ่งๆของคนเรา เราทำบุญผสมบาปกันตลอด
ทั้งโดยเจตนา ไม่เจตนา ทั้งโดยตั้งใจ ไม่ตั้งใจ

ถึงจะเป็นคนทำบุญมามาก แต่ถ้าพลาดไปทำบาปใหญ่
เวลาบาปให้ผล ก็ทำให้เราลำบาก อับจนได้เหมือนกัน

ถามว่า เวลาคนเราอยู่ในสถานการณ์คับขัน ตีบตัน
อะไรสักอย่าง แบบที่คนที่ฆ่าตัวตายทั้งหลายเผชิญ

วินาทีที่จะตัดสินความเป็นความตาย ในเวลาวิกฤต
อะไรคือกรรม ที่จะเป็นปัจจัยช่วยให้เรารอดได้
สติ หนึ่ง ปัญญา หนึ่ง กรรมเก่า อีกหนึ่งนะครับ

บางคนกำลังจะฆ่าตัวตาย ได้สติ เกิดปัญญาขึ้นมาก็มี
บางคนพยายามจะตาย แต่ก็ไม่ตายก็มี

เคยอ่าน Time Magazine เขาบอกว่า
ปีๆนึงมีคนพยายามโดดสะพานโกลเด้นเกท เป็นร้อยๆ
เท่งทึงสมใจก็มี รอดตายมาก็มาก

สมัยเด็ก เคยได้ยินมุขเป็นกลอนจากพวกตลก บอกว่า

แม้นไม่ถึงคราววายชีวาวาต ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ
แม้นเมื่อถึงคราววายชีวาวัญ ไม้จิ้มฟันแทงเหงือกยังเสือกตาย

พูดถึงสติ ผมอยากบอกว่า สติก็เป็นผลจากบุญเก่านะครับ
คือต้องฝึก ต้องหัด ต้องทำ ต้องสร้างสมมา ไม่ได้จู่ๆก็มาเอง

แม้แต่การเลือกที่จะ "ทำ" หรือ "ไม่ทำ" อะไรสักอย่าง
ก็คือการทำกรรมปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลต่ออนาคตต่อไป นั่นแหละ

ผมเชื่อว่า น้องน้ำ เป็นตัวอย่างของการเลือกทำกรรมปัจจุบันอย่างดีที่สุด
แม้ว่าน้ำหนักของมันจะไม่พอ ที่จะช่วยต่อชีวิตเธอได้

แม้ทั้งสองชีวิต จะดับไปในเวลาไล่เรี่ยกัน
แต่คุณไม่ต้องห่วงน้องน้ำหรอกครับ ผมว่าเธอไปดีแล้วนะ
รายของอาจารย์น่าสงสารมากกว่า

เคยได้ยินใช่ไหมครับ คนที่ฆ่าตัวตายนี่บาปแรง
เพราะมนุษย์นี่เป็นภพภูมิที่ดีที่สุด สำหรับการบรรลุธรรม
พระพุทธเจ้า ก็ยังบรรลุธรรมในภพภูมิเดียวกับเรา เห็นไหม

คนเราฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่า จะหนีทุกข์ หนีปัญหา
แต่เอาเข้าจริงๆ กลับทุกข์มากกว่าเก่า เพราะต้องฉายหนังซ้ำ
คือต้องเป็นวิญญานฆ่าตัวตายอยู่ที่เดิม ซ้ำๆกันไปเรื่อยๆ ชั่วนาตาปี

ใครเคยดูหนังเรื่อง "เด็กหอ" คงพอนึกออก

ฉะนั้น ถ้าใครคิดว่า ฆ่าตัวตายแล้วหมดปัญหา
อันนั้นคิดผิดไม่น้อยนิด แต่มหาศาล

สร้างบุญกุศล เจริญสติ หมั่นเรียนรู้กายรู้ใจไว้ตั้งแต่วันนี้ดีกว่า
เวลาสุข จะได้ไม่หลงระเริง
ไม่ต้องไปวิ่งหาสุขภายนอกจากผับ จากเหล้ายาหรือหน้าไหน

เวลาทุกข์จะได้มีภูมิคุ้มกัน ให้ปลอดภัย
ไม่เห็นหนูเป็นแม่มด ไม่เห็นตดเป็นไซยาไนด์

ว่าแล้ว ผมก็ขอเวลาไปซ้อมรู้กาย รู้ใจตัวเองล่ะครับ

สุขสันต์วันพฤหัสครับ

ปล. ช่วงนี้ ไม่มีเวลาใส่เพลงนะครับ ขออภัย




 

Create Date : 03 เมษายน 2551    
Last Update : 3 เมษายน 2551 22:01:27 น.
Counter : 1166 Pageviews.  

ความพร้อม ความประมาท




มีคุณผู้อ่านท่านนึงเข้าไปคุยกับผมในบล็อกถามปัญหา แล้วสะกิดใจอะไรผมบางอย่าง

เธอเขียนว่า "จริงๆ แล้วคนรักดิฉันเขาก็เป็นคนอ่านและฟังธรรมะอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เคยปฏิบัติจริงจังค่ะ เคยชวนเหมือนกัน แต่เขายังไม่พร้อมค่ะ"

หลายปีก่อนโน้น ผมเคยข้องเกี่ยวกับงานตัวแทนประกันชีวิตอยู่สองปี
ผมมีข้อสังเกตว่า การชวนให้คนศึกษาธรรมะกับชวนคนทำประกันชีวิตมันมีบางอย่างคล้ายกัน

คือถ้าคนจะตอบปฏิเสธ ก็จะปฏิเสธคล้ายๆกันว่า
อยากทำนะ รู้ว่าดี แต่ยังรู้สึกว่าไม่พร้อม ยังไม่จำเป็น ภาระเยอะแล้ว

คนไม่มีประกัน จะอยากมีประกันเยอะๆ เวลาป่วยหนัก ใกล้จะเสียชีวิต
คนไม่เคยภาวนา ก็มักจะอยากภาวนาอยากศึกษาธรรมะ เวลาทุกข์หนัก
หรือป่วยหนักใกล้จะตาย แล้วต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางใจ

เลยมีคำพูดแซวๆจากพระบางรูปว่า
บางคนจะยอมเข้าวัดด้วยดี ก็ตอนไม่มีลมหายใจแล้วนั่นแหละ

ศัพท์ทางธรรม เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า "ประมาท"
ความประมาทของคนเรา เกิดขึ้นเพราะการไม่เชื่อเรื่องอนิจจัง
ไม่เชื่อว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอน แต่มั่นใจในความเก่งในความโชคดีของตัวเอง
เชื่อว่าความตายเป็นเรื่องของคนแก่ เชื่อว่าคนที่มีทุกข์ คือคนโชคร้ายเท่านั้น

หรือบางคนมีชีวิตที่ดี เหมือนอยู่บนเรือที่มั่นคงมาตลอดชีวิต
แต่ลืมนึกไปว่า เรือจะทำจากไม้ ไฟเบอร์กลาส หรือเหล็ก
ก็ล้วนผุพัง รั่วได้ แตกได้ ชนหินโสโครกได้ เจอพายุจมลงได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

จะไม่เรียนรู้การพยุงตัวในน้ำ ไม่หัดว่ายน้ำ ไม่เตรียมหาอุปกรณ์ชูชีพ
แล้วจะรอให้คนมาช่วยในยามวิกฤติสถานเดียว ไม่เรียกประมาท แล้วจะเรียกอะไร

ได้อ่าน ได้ยินข่าวที่มีอาจารย์สาวเอแบค อดีตนิสิตระดับดาวคณะ ฆ่าตัวตายไหมครับ

อ่านแล้วก็นึกเสียดายชีวิต เสียดายโอกาสที่น่าจะทำคุณประโยชน์ให้ตัวเอง ให้ประเทศชาติ
เสียดายเวลาความรักที่พ่อแม่อุ้มชูมา เสียดายบุญกุศล ที่นำพาให้เป็นมนุษย์
เป็นคนสวย มีสติปัญญาสูงในทางโลก แต่รับมือกับทุกข์ไม่ได้

แล้วก็อดนึกไม่ได้ว่านี่แหละ คือตัวอย่างอีกตัวอย่างว่า
ทำไมผมถึงอยากให้พวกเราเรียน "ใบไม้หนึ่งกำมือ" ของพระพุทธเจ้าเอาไว้

หลายคนโดนคำว่า "ปฏิบัติธรรม" มันหลอกให้เข้าใจผิด
คิดว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างที่พิสดารกว่ามนุษย์ทั่วไป
หรือต้องบุกน้ำ ลุยไฟ ลาออกจากงาน เลิกนอนกับภรรยาสามี
ละทิ้งหน้าที่ทางโลก เลิกดูหนังฟังเพลง ช้อปปิ้ง นอนกลิ้งบนชายหาด

ผมอยากบอกว่า เข้าใจใหม่ตั้งแต่วันนี้นะครับ ว่า..
ปฏิบัติธรรม ไม่ได้จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตอะไรของคุณมากมาย

เว้นแต่คุณจะมีปกติธรรมดา ที่ผิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง ใน 5 ข้อ
ผมขอแค่ว่า อย่าผิดศีล 5 (อย่าเพิ่งร้องโอ๊ยยยยสิ) ที่เหลือทำได้หมดนะ

บางท่านไปเข้าใจผิด คิดว่าจะต้องละกามฉันทะ
คือไม่มีความรู้สึกยินดียินร้าย ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
อันนั้นยังไม่ใช่ระดับของเราครับ โน่นนนน.. ต้องถึงพระอนาคามีโน่น

ของเราแค่หลงไปยินดีชอบใจ หรือยินร้ายไม่ชอบใจในกามเหล่านั้น
ก็แค่รู้ว่าจิตมันเป็นอย่างนั้น พอแล้วครับ เพราะเรามีศีล 5 เป็นรั้ว
ตราบใดที่ไม่เกินรั้วนี้ ยังถือว่ารับได้

แล้วไหว้พระสวดมนต์ให้เป็นกิจวัตร วันละห้านาที สิบนาที
เสร็จแล้วระหว่างวัน ขณะที่ทำกิจวัตรปกติ ก็คอยรู้สึกถึงจิตใจตัวเอง

เหมือนเราแอบสะกดรอย คอยสังเกตตัวเอง
ว่าวันๆนึงมันเปลี่ยนแปลงขึ้นลง ซ้ายขวา หน้าหลังยังไงบ้าง

เคยมีคนไปส่งการบ้านกับครูบาอาจารย์ที่ผมนับถือว่า
ตอนแต่งหน้าแล้วรู้สึกตัวไปด้วย ก็เห็นไตรลักษณ์นะ

คือจิตมันมีสติ แล้วเกิดสัมมาสมาธิ คือความตั้งมั่นขึ้น
มันเลยถอนออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดู แยกจากตัวตนเดิมๆ
รู้สึกเลยว่า ตัวที่แต่งหน้าอยู่นี้ ไม่ใช่ตัวเรา

เห็นไหมครับ ว่าปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องของการอยู่วัด
เป็นเรื่องของการอยู่กับตัวเอง รู้กาย รู้ใจ จึงไม่เกี่ยวกับความพร้อม ไม่พร้อม

ที่สำคัญ เวลาทุกข์จะมา เวลาความตายจะมา
มันไม่เคยถามเรานะ ว่าเราพร้อมหรือยัง

ผมบอกทางได้เท่านี้นะครับ ที่เหลือแล้วแต่ท่านเอง

สุขสันต์วันนี้ครับ




 

Create Date : 29 มีนาคม 2551    
Last Update : 29 มีนาคม 2551 14:27:09 น.
Counter : 937 Pageviews.  

ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น กับน้องอ้อย และ The Kite Runner



(บล็อกนี้สปอลย์บางส่วนของหนัง สัก 25% นะครับ)

ปืดเทอมนี้ มีหนังดีๆเกี่ยวกับเด็กหลายเรื่องทีเดียวนะครับ
แต่ที่อยากแนะนำให้ไปดูมีสองเรื่อง

เรื่องแรกเป็นหนังไทยที่เชื่อว่าหลายคนดูแล้ว และหลายคนอยากจะดู
ก็เรื่องที่เอารูปมาโปรโมทให้เขานี่แหละ

คุณย้ง นี่เป็นผู้กำกับที่ทำหนังดีขึ้นเรื่อยๆ จากแฟนฉัน เด็กหอ
มาถึงปิดเทอมใหญ่ฯ ที่ผมให้คะแนนส่วนตัวว่า
นี่เป็นหนังไทยเพื่อวัยรุ่น ที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดในรอบปี

หนังไทยส่วนมากจะขาดๆเกินๆ ชนิดดูไปต้องเอาใจช่วยไป
แต่เรื่องนี้ไม่ต้องครับ เขาพิถีพิถัน ตั้งแต่องค์ประกอบงานสร้าง
โดยเฉพาะบท การคัดเลือกนักแสดง การแสดง การถ่ายภาพ ตัดต่อ

ขนาดเรื่องรักแห่งสยาม ใครๆเขาชอบกันตั้งเยอะ ผมยังให้คะแนนแค่พอใช้
ไม่ได้บอกว่ามาตรฐานผมเชื่อถือได้มากกว่าคนที่ชอบรักแห่งสยามนะ

ความชอบไม่ชอบ มันเป็นเรื่องอัตถวิสัย เป็นความพอใจส่วนบุคคล
อย่างใครไปดูปิดเทอมใหญ่ฯ มา แล้วบอกว่าห่วย
ก็ไม่ได้แปลว่าคุณรสนิยมแย่กว่าผม เพราะคนเราชอบต่างกันได้

แต่แปลว่าคุณไม่ควรชวนผมไปดูหนังน่ะ

ผมชอบเรื่องของโจ้กับซี มากเป็นพิเศษ
เพราะมันเป็นคำตอบที่ดีให้น้องๆหลายคนที่ไปแอบรักใครบางคน
แล้วมักจะถามว่า ถ้าเขาไม่รักเรา แล้วเราควรทำอย่างไร

โจ้เป็นตัวอย่างที่ดีที่สอนเราได้ว่า อย่าเชื่อทุกอย่างที่หนังบอก
อย่างที่โจ้ไปอ่านคำคมจากในหนัง My Best Friend's Wedding
หรือดูหนังเรื่อง Love Actually แล้วเลียนแบบวิธีบอกรักเพื่อน

อันนั้นเสี่ยงมาก เพราะชีวิตจริงกับในหนัง ผลที่ได้มันอาจจะต่างกันโข

โชคดีที่โจ้เรียนรู้ได้เร็ว และมีสติได้ว่า
บางทีการทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก แต่ไม่พร้อมจะรับความรักจากเรา
มันก็ต้องมีวิธีที่จะ "เก็บความรู้สึกดีๆไว้ในใจ" บ้างสิน่า

อีกคู่ที่น่าสนใจคือ เหิร กับนวล
เหิร ทำให้ผมนึกถึง Beowulf ที่ผมเคยเขียนถึงจุดอ่อนของผู้ชาย

เพราะเหิร เจอบททดสอบครั้งใหญ่ในชีวิต กับน้องอ้อย อาโออิ
ดาราหนัง AV ขาวสวยหมวยเอกซ์สเปคหนุ่ม ที่เขาเจอบนรถไฟ
แล้วเขาก็ต้านทานความเย้ายวนของกิเลสแทบไม่ไหว
จนเกือบจะทำทุกอย่างพังลง เพราะการนอกใจ

ผมมีคาถาเด็ด สำหรับหนุ่มๆ
ที่ต้องการเอาชนะกิเลสเวลาเจอสาวสวยในเวลาที่ไม่ควรข้องแวะ
เช่นมีแฟนแล้ว มีคู่ครองแล้ว ไปจนถึงท่านที่กำลังจะบวชวันหนึ่งในอนาคต

วันใดวันหนึ่ง ที่เห็นว่าใจของท่านมันไหว เพราะสตรี
บางทีมัวแต่ดูจิต หรือทำสมถะพิจารณาอสุภะแล้วไม่ไหว ก็อย่าเสียเวลา
ให้ใช้คาถาหลวงพ่อ "โกย" ครับ หนีโลด

อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง เดี๋ยวจะเสียค่าโง่เหมือน Beowulf หรือตาเหิร
ถอยให้ไวไว ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม จนยอมตาย
เพราะผู้ชายกล้าแบบโง่ๆ ตายมาเยอะแล้วครับ

ถ้าอยากจะเป็นคนกล้าจริงๆ ต้องกล้าตายให้ถูกเรื่องและมีประโยชน์
อย่างพ่อและลูกชายใน the Kite Runner

เรื่องหลังนี่หนังดีสี่ดาวครึ่ง ฉายที่สยาม
ถ้ายังไม่ถึงขั้นเลิกดูหนังเด็ดขาด อย่าพลาดเลยนะครับ



เป็นเรื่องของเด็กสองคนที่เติบโตมาด้วยกัน
ทั้งในฐานะเพื่อนและเจ้านายกับบ่าวรับใช้

หนังพูดถึงความทรงจำในวัยเยาว์ของผู้ชายคนนึง
พูดเรื่องความผิดพลาด เรื่องความเสียสละของเพื่อน
และความกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ถูก และดีงาม

ดูแล้วทำให้เราน้ำตาซึมได้ทีเดียวครับ

แต่ไม่เล่าเรื่องล่ะ เดี๋ยวคุณปาหมอน

ไปสวดมนต์เข้านอนดีกว่า ราตรีสวัสดิ์ครับ




 

Create Date : 27 มีนาคม 2551    
Last Update : 27 มีนาคม 2551 2:04:29 น.
Counter : 1439 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.