Group Blog
 
All blogs
 
คำถาม: ทำไมวิปัสสนาจึงเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่




มีคำถามจากคุณ chaamaa ที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับหลายท่าน ถามว่า

มีน้องที่ทำงานมาถามว่า ทำไมการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน จึงถือเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็เคยถูกลูกสาวถามว่า ทำไมต้องคอยบอกให้เค้าสวดมนต์ เพราะเค้าเชื่อว่าการคิดดี ทำดี ช่วยเหลือผู้อื่น ก็เป็นการทำบุญที่มากพอแล้ว เหมือนเป็นการทำบุญที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ เข้าใจได้น่ะค่ะ แต่เค้าไม่เข้าใจว่า การนั่งสวดมนต์ หรือปฏิบัติธรรม จะเป็นกุศลต่อตัวเองและคนอื่นได้ยังไง
คุณแม่ก็รู้แค่ว่า ทำให้จิตใจเราสงบ มีสมาธิ แต่ก็ยังไม่ทราบจริงๆว่า เมื่อเรานั่งสมาธิแล้ว ได้ผลบุญอะไรที่ทำให้เราสามารถแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้น่ะค่ะ


ก่อนอื่นขออธิบายก่อนว่า
คนส่วนมากมักเข้าใจว่า วิปัสสนา คือการนั่งสมาธิ ซึ่งผิดนะครับ
กรรมฐานเพื่อการวิปัสสนา ไม่ได้มาพร้อมกิริยา "นั่ง" อย่างเดียว

ที่จริง อิริยาบถ ของการวิปัสสนา คือทุกอิริยาบถที่กาย หรือใจเราเคลื่อนไหว
จะยืน เดิน นั่ง นอน หายใจเข้าหรือออก ก็ได้

นั่งสมาธิ ไม่ได้แปลว่าจะเป็นวิปัสสนาเสมอไป
และตรงกันข้าม คนส่วนมากนั่งสมาธิแล้วได้ผลเป็นสมถะอย่างเดียว

เพราะคนส่วนมากนั่งสมาธิเพื่อความสงบของจิตใจ ด้วยการเพ่งลม เพ่งท้อง เพ่งกาย
หรือจดจ่อกับการบริกรรมพุทโธ สัมมาอรหัง หรือนับเลข หรืออะไรบางอย่าง

แต่ก็ไม่ได้บอกว่า นั่งสมาธิจะเจริญวิปัสสนาไม่ได้นะครับ
เพราะวิปัสสนา คือการรู้ความจริงอันประเสริฐของกายใจของเราเอง

ถามว่า ..ความจริงอะไรที่ว่าประเสริฐ?
ตอบว่า.. ความจริงที่ว่า กายนี้ ใจนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้
ศัพท์เทคนิคเขาเรียก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เวลาพระเทศน์ท่านเรียก "ไตรลักษณ์" นั่นแหละ

ถูกแล้วครับ ปลายทางของความสำเร็จของการวิปัสสนา
คือการบรรลุถึงความจริงที่ว่า ตัวเราไม่มี มีแต่ความเห็นผิด ว่ากายใจนี้คือเรา

ทีนี้ ถ้าถามว่าเจริญวิปัสสนา ทำไมถึงเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่?

ก็เพราะวิปัสสนาเบื้องต้น ทำให้สติเราเจริญ
เมื่อสติเจริญ จิตก็ไม่ตกไปในที่ชั่ว ไม่ทำบาป มีความละอายต่อบาปกรรม จิตจึงเป็นกุศล

วิปัสสนา เบื้องปลาย ทำให้เราเห็นความจริงอันสำคัญหลายเรื่อง
อย่างเช่นเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
เห็นว่า ทุกอย่างในชีวิต ในโลกนี้ เป็นของชั่วคราว สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว

เห็นว่า ตัวเราไม่มี อย่างที่พูดถึงบ่อยๆ โดยเห็นว่าจิตนี่ ไม่ใช่ตัวเรานะ
ส่วนอันสุดท้ายนี้เด็ดมาก แต่ผมยังไม่เห็นนะ คือ..
เห็นว่า กายใจนี่แหละ คือตัวทุกข์โดยตัวของมันเอง

ไม่ใช่ทุกข์เพราะไม่สมหวัง เพราะความอยาก ความดิ้นรน หรือกิเลสอะไรหรอก
แต่ตัวกายใจมันเองนี่แหละ คือตัวทุกข์

ย้ำอีกทีว่า ผมยังไม่ได้เห็นแบบนั้นหรอกนะครับ
เพราะถ้าเห็นเมื่อไหร่ ผมก็เป็นพระอรหันต์แล้ว

ส่วนเรื่องทำบุญ ฟังธรรม ถือศีล นั่งสมาธิ ก็เป็นบุญ เป็นกุศลทั้งนั้นครับ
แต่ต้องเข้าใจว่า บุญมีหลายเกรด เหมือนแก้ว คริสตัล พลอย เพชร

บางอย่างบังคับกันไม่ได้ แต่ให้โอกาสเขาซึมซับได้

ค่อยๆบอกลูกไปนะครับ



Create Date : 30 มกราคม 2551
Last Update : 30 มกราคม 2551 1:28:17 น. 25 comments
Counter : 2347 Pageviews.

 


โดย: นายแจม วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:6:35:33 น.  

 
ดีใจที่วันนี้เข้ามาอ่าน กำลังจิตตกอย่างรุนแรงมากๆ เลยค่ะ ก็พยายามนึกถึงที่คุณพร่ำบอกอยู่ แต่ช่วงนี้ทำไม่ได้จริงๆ

ก็ว่าจะปล่อยมันไปสักพักค่ะ ..


โดย: myouzhny วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:8:27:11 น.  

 
นั่งอ่าน blog ของพี่เอ๊ดท่ามกลางสายฝนที่ตกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตกเม็ดหญ่ายๆแผล็บเดียวแล้วก็ซา เหลือแต่เมฆที่ครึ้มทั่วฟ้า คงกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนฤดูกาลจริงๆแล้ว

ไตรลักษณ์...ไตรลักษณ์...ไตรลักษณ์

"ปลายทางของความสำเร็จของการวิปัสสนา คือการบรรลุถึงความจริงที่ว่า ตัวเราไม่มี มีแต่ความเห็นผิด ว่ากายใจนี้คือเรา"
มันยากเหมือนกันนะคะพี่เอ๊ด เหมือนรูปสะพานที่พี่แปะไว้ แค่ข้ามไปก็ถึงอีกฝั่ง แต่ข้ามไปไม่ถึงสักที สติเกิดไม่ค่อยทัน กลิ้งตกช่วงโค้งขึ้นสะพานอยู่เรื่อยเลยค่ะ

ขอให้พี่เอ๊ดข้ามสะพานไปถึงอีกฝั่งได้นะคะ

ตอนนี้...ฝนเริ่มตกอีกแล้ว!!!



โดย: ต้นอ้อล้อลม IP: 202.5.83.150 วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:9:11:04 น.  

 
ขอบคุณอย่างมากเลยค่ะคุณพิทยากร ที่กรุณามาช่วยตอบให้

"...ตัวกายใจมันเองนี่แหละ คือตัวทุกข์ ..."

อ่านตรงนี้แล้ว รู้สึกว่าเนื้อตัวหนักๆยังไงไม่รู้ค่ะ เรานี่เองหรือคือ ตัวทุกข์...แย่แล้ว ก้อนใหญ่ซะด้วยสิ

ฟากฝั่งสะพานก็ดูไม่ไกลเท่าไหร่นะคะ เอาน่า ถ้าค่อยๆเกาะ ค่อยๆคลานไป ... อย่างระมัดระวัง ... ก็คงไม่แหกโค้งตกลงไปหรอกค่ะน้องต้นอ้อ ไปช้าๆก็ได้เนอะ





โดย: chaamaa IP: 58.137.0.66 วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:10:50:33 น.  

 
โดน...


โดย: พี่แหม๋ว (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:12:58:55 น.  

 


โดย: นักรักโลกมายา วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:14:57:19 น.  

 
ใช่ค่ะ ตัวกาย ใจ ของเรานี่และเป็นทุกข์ จริงๆ
คนที่กำลังจิตตก ฟุ้งซ่าน ลองพิจารณาตัวตน
ตัวเอง หรือหาหนังสือธรรมมะมาอ่านนะค่ะ
ช่วยได้มากๆๆ ค่ะ


โดย: ชมพู่มะเหมี่ยว IP: 58.9.94.254 วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:16:09:19 น.  

 
ให้สติแต่เช้า
ก่อนที่จะออกไปทำงาน
ขอบคุณค่ะ


โดย: มิน (มินทิวา ) วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:5:28:50 น.  

 



โดย: ปลาดุกน้อย IP: 125.24.212.39 วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:22:25:34 น.  

 
แวะมาหาความรู้ดีๆอ่านหลังจากไม่ได้แวะมาหลายสัปดาห์ ..


โดย: pp IP: 124.122.202.232 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:08:50 น.  

 



โดย: ว่างเปล่า IP: 58.8.186.57 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:15:51 น.  

 
เคยสงสัยเหมือนกันครับ แต่ก็ยังได้คำตอบไม่ค่อยกระจ่าง

มาวันนี้ได้รับคำตอบแบบชัดเจน ขอบคุณมากครับพี่เอ๊ด

ปล.แถมรูปให้ 2 ใบรูปครับ อิอิอิ





โดย: Tony Koon (tk_station ) วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:15:05 น.  

 
ยังไม่มีเสียงเพลงมาเลย อิอิ

สงสัยยุ่งอีกแย้วว


โดย: ต้นอ้อล้อลม IP: 202.57.182.70 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:31:15 น.  

 
พยายามน่งสมาธิมานานแล้ว
ทำได้มั่ง ไม่ได้มั่ง แต่ก็ไม่ละความพยายามหรอกค่ะ
ถ้ามีปัญหา จะขออนุญาตเข้ามาถามหน่อยนะคะ


โดย: ป้ามด วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:09:49 น.  

 
บล็อคนี้ ตั้งใจจะไม่ใส่เพลงครับ คุณต้นอ้อ

คืนนี้ถ้ากลับไปแล้วไม่เหนื่อยมาก จะอัพบล็อคใหม่ เตรียมพล็อตไว้หลายวันแล้ว

ป้ามด.. นั่งสมาธิต้องทำด้วยความสบายใจนะครับ

เพราะความสุข เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ

สังเกตว่า คนเราจะทำอะไรได้นาน ต่อเมื่อเราชอบ และมีความสุข

เช่นคนชอบเล่นเกมส์ เล่นได้นาน เพราะเล่นแล้วมีความสุข
คนชอบอ่านหนังสือ อ่านได้นาน เพราะอ่านแล้วมีความสุข

ไม่ใช่เพราะเล่นเกมส์นาน อ่านหนังสือนาน แล้วมีความสุข

แต่ความสุขนั้นต่างหาก ที่ทำให้เกิดสมาธิ

ฉะนั้น ใครที่มีปัญหาอย่างป้ามด อย่าฝืนนะครับ นั่งสมาธิไม่ได้ ก็เดินสมาธิเอา เดินไม่ได้ ก็นั่งดูจิตเอา

นั่งดูจิต คือนั่งลืมตา มองโน่นมองนี่ มองอะไร แล้วแอบสังเกต ถ้าจิตแว้บไปทำงาน ก็รู้

เห็นแล้ว จิตตก ก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้

แค่รู้นะครับ ไม่ต้องพยายามไปดับ ไม่ต้องแก้ ไม่ต้องทำอะไร นอกจากรู้

รู้เหมือนเห็นรถขยะวิ่งมาจอดหน้าบ้าน แล้วเหม็นนั่นแหละ

เราก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะทำอะไรไม่ได้ นอกจากดูใช่ไหม ดูไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นว่า เดี๋ยวมันก็ไป รถขยะมันไม่จอดตลอดไปหรอก

รถขยะไปเมื่อไหร่ เราก็หายเหม็นเอง ไม่ใช่เพราะพยายามทำอะไร

อันนี้ ดูเป็นวิปัสสนา เห็นว่าทุกอย่างชั่วคราว
ดูได้จนกว่าจะเหนื่อย แล้วค่อยไปทำสมถะ นั่งสมาธิอะไรกันไป

ไม่ต้องไปตะบี้ ตะบัน ฝืนนั่งสมาธิอย่างเดียวหรอกนะครับ

หรือไม่รู้จะทำอะไร ไหว้พระ สวดมนต์ ทุกเช้า 5 นาที ทุกเย็น อีก 5 นาที ก็ดีถม

ขอให้ทำบ่อยๆ ทำให้ต่อเนื่อง ก็จะได้บุญ ได้กุศลดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:01:14 น.  

 
ขอบคุณค่ะ...
ช่วงนี้ขยันนั่งสมาธิอยู่เหมือนกัน บางทีก็สบายจนเกือบหลับ
บางทีก็แอบแว๊บไปคิดถึงเรื่องงาน

แต่หลายๆครั้ง..ขอให้ได้นั่งเงียบๆ ไม่คิดนู่นนี่ ก็สงบใจดีคะ

DexClub.com


โดย: chuwab วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:23:53 น.  

 
แล้วทำไมจิตมันไม่ยอมเลิกคิดเรื่องบางเรื่องมาปีกว่าแล้วหละคะ ไหนว่ารถขยะมาจอดเดี๋ยวก็ไปงัยคะ..หรือว่าคันนี้มันจอดตาย ต้องหาเครนมาลากมันออกไปนะนี่..

พี่เอ๊ดคะ..วันที่ 24 นี้นี่จะฉลองวันเกิดให้อาม่ากันนะคะ ในฐานะที่ครบรอบ 101 ปี..อิอิ


โดย: จิ๊บ IP: 58.147.49.142 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:43:23 น.  

 
คุณจิ๊บ ลองดูดีๆ

ที่ว่าจิตไม่ยอมเลิกคิดบางเรื่องมาปีกว่าน่ะ
มันคิดมาทุกนาทีไม่มีเว้น หรือมันคิดเรื่องนี้แว้บๆ แล้วก็ไปคิดเรื่องอื่น

รถขยะมาจอด เดี๋ยวก็ไป แต่ถึงเวลา มันก็จะมาใหม่นะ

บางที่ขยะเยอะหน่อย มันอาจจะมาวันละสามเวลา
บางทีอาจจะมาวันละหน แล้วแต่นะ

ว่าแต่ ทำไมอาม่าอายุยืนจัง - -"



โดย: aston27 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:0:31:43 น.  

 
ขออนุญาติแซวเล่น...

ถ้ารถขยะไปแล้วก็อย่าวิ่งตามไปดมค่ะ

อิ อิ



โดย: chuwab วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:45:09 น.  

 
กระจ่างดีจัง


โดย: ใจดี (jaidee.jaidee ) วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:53:02 น.  

 
แต่ก่อนก็เคยเป็นอย่างป้ามดค่ะ
เหมือนว่าเรามักทำอะไรตามความเชื่อ ความคิดของตัวเอง

เคยคือว่า นั่งสมาธิเพื่อความสงบนั่นคือเป้าหมาย
นั่งไปให้มันสงบ กด ข่ม สงบบ้างไม่สงบบ้าง
และไม่เข้าใจเลยว่าการทำแบบนี้จะพ้นได้อย่างไร
การทำเองโดยไม่มีอาจารย์ไม่มีผู้ชี้ทางจะเดินหลงทางได้ง่ายและทำให้เป้าหมายในการดับทุกข์ยาวนานออกไป
ความจริงนั่น การนั่งสมาธินั้นเป็นแก่วิธีการ ไม่ใช่เป้าหมาย การพ้นทุกข์นั้นใจเราจะต้องเห็นของจริงเอง ซึ่งเราต้องปฏิบัติไปตามจริตของเรา จนใจยอมรับไตรลักษณ์

รถขยะมาจอด เราเห็นมันจอดอยู่ แต่เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกลือกกลั้วในขยะนั้นนิ

ขอให้เจริญในทางธรรมค่ะ


โดย: w2w วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:43:00 น.  

 
อ้างอิง
"เห็นว่า ตัวเราไม่มี อย่างที่พูดถึงบ่อยๆ โดยเห็นว่าจิตนี่ ไม่ใช่ตัวเรานะ
ส่วนอันสุดท้ายนี้เด็ดมาก แต่ผมยังไม่เห็นนะ คือ..
เห็นว่า กายใจนี่แหละ คือตัวทุกข์โดยตัวของมันเอง"

คุณ aston ยังไม่เห็นว่ากายใจเป็นตัวทุกข์ล้วนๆแล้วปล่อยวาง แต่ไม่ได้บอกว่า ไม่เห็นว่า จิตไม่ใช่ตัวเรา ใช่เปล่าครับ


โดย: keng IP: 203.147.39.161 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:00:10 น.  

 
อ่า.. คุณ keng..

เห็นว่าจิตไม่ใช่ตัวเรา เห็นแล้วครับ
แต่เห็นเป็นบางเวลา ที่มีสติ

เวลาที่เผลอไปหลงไป จิตก็ยังเป็นตัวแอสตั้นอยู่นี่แหละ



โดย: aston27 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:48:33 น.  

 
"เห็นว่าจิตไม่ใช่ตัวเรา เห็นแล้วครับ
แต่เห็นเป็นบางเวลา ที่มีสติ"

อนุโมทนาด้วยครับ

แล้วไว้จารอวันที่คุณ aston เห็นว่าจิตไม่ใช่ตัวเราทั้งในเวลาที่เผลอไปและมีสติอยู่นะครับ แล้วจาเข้ามาอนุโมทนาอีกรอบครับ


โดย: keng IP: 203.147.39.161 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:45:12 น.  

 
รีบมา.. สาธุ..

แล้วก็เห็นตัวอยากมันไหว ริกๆๆๆๆ

ฮ่า......

ท่าทางจะอีกนาน ... << อันนี้ก็มานะอัตตา

งั้น... เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:29:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.