Group Blog
 
All blogs
 
แอสตั้นพบประชาชน 2




ตั้งใจว่าจะมาอัพบล็อกไว้สำหรับท่านที่ตั้งใจมาอ่านในวันหยุดสุดสัปดาห์
แต่ก็ลืมไปแล้วว่า อยากเขียนเรื่องอะไร แฮ่..

งั้นขอทำมาหารับประทานกับคำถามจากบล็อกก่อนหน้านี้ ก็แล้วกันนะครับ

ขอบคุณทุกท่านเลยครับ สำหรับทุกความเห็น และคำถาม

คุณ Vera ถามว่า "ทำอย่างไรเวลาที่เราคิดว่าเรารู้ แต่มันรู้เรื่อยๆไม่แจ่ม(หรือว่าจริงๆแล้วฟุ้งอยู่)

ไม่เหมือนเวลาเผลอไป โลภหรือโกรธ(แรงๆ) แล้วรู้นั้นมันชัดกว่าเยอะเลย"


หลวงพ่อฯเคยบอกว่า จิตที่เป็นอกุศลดูง่าย เพราะมันหยาบ
จิตที่เป็นกุศล ดูยากกว่า เพราะมันละเอียด

ฉะนั้น ที่คุณ Vera สังเกตเห็นก็ถูกต้องแล้วครับ

คำแนะนำที่ผมพอมีปัญญาน้อยๆ มาแนะนำได้คือ
ถ้าเมื่อไหร่ "คิดว่ารู้" ให้รู้ลงปัจจุบันตรงกระบวนการที่มัน "คิด" นั่นแหละ

มันรู้เรื่อยๆ ไม่แจ่ม ก็ไม่เป็นไร ส่วนมากเพราะมีโมหะครับ
อาจมีโมหะเพราะจิตซึม เฉื่อย เพราะดินฟ้าอากาศ
หรือเพราะนอนน้อย ร่างกายอ่อนเพลีย
หรือทำงานใช้ความคิดมาก มันหมดแรง
หรือไม่ค่อยได้ทำสมถะ ก็ตามแต่

ที่จริงก็คล้ายๆกับที่ผมเขียนเล่าไปข้างบนแหละครับ
ถ้ารู้ ถ้าเห็นได้ตรงตามความเป็นจริง ว่าจิตมันรู้เรื่อยๆ ไม่แจ่ม
แล้วเห็นว่ามันไม่ชอบ เห็นว่ามันอยากรู้แบบแจ่มๆ อันนั้นใช้ได้แล้วครับ

หรือถ้ารู้ทันว่าอยาก แล้วจะกลับไปพักผ่อนด้วยสมถะ
อยู่กับลมหายใจ อยู่กับเท้า(เดินจงกรม) อยู่กับพุทโธ อยู่กับการขยับมือ
หรือท้องพองยุบ ก็ได้ทั้งนั้นครับ

เจริญสมถะ พอให้จิตสบาย สงบ มีกำลัง แล้วก็ออกมารู้กาย รู้ใจต่อครับ

Tony Koon บ่นมาว่า "ช่วงนี้ฟุ้งมาก ไม่รู้ว่าทุกข์แล้วฟุ้ง หรือฟุ้งแล้วทุกข์กันแน่"

ที่จริงไม่สำคัญหรอกครับ ไม่ต้องไปพยายามรู้ก็ได้ ว่าไก่เกิดก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไก่

เพราะที่จริงทุกข์ กับกิเลส มันเกิดสลับสับเปลี่ยนกันไปเป็นวัฏจักร

เคยได้ฟังทฤษฎี ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า โมหะเป็นกิเลสที่มักจะเกิดก่อน

คือต้องหลงไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ทางใจนี่ก็คือ หลงไปคิดก่อน คิดแล้วให้ค่า
กิเลสถึงจะเกิดได้

เช่นได้กลิ่นอะไรโชยมาเตะจมูก แล้วจิตก็เกิดสัญญา คือการหมายรู้ว่า ไอ้นี่คือกลิ่นขี้หมา แล้วก็ตีค่ามันในทางลบ ไม่ชอบ เป็นโทสะ แล้วถึงจะทุกข์

แต่น่าสังเกตว่า พอทุกข์เกิด จิตมักจะเกิดการทำงาน
คือปรุงความไม่พอใจ ไม่ยินดี แล้วก็ดิ้นรนจะพ้นทุกข์ตัวนั้น

ถ้าเป็นเรื่องขี้หมา ก็พอทำเนา เพราะแค่เดินหนีก็จบเรื่อง
แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆ เดินหนีไม่ได้ อันนี้อาจจะลำบาก

ก็ถึงต้องเน้นให้ทุกท่านหัดวิปัสสนา รู้กาย รู้ใจตัวเองไว้
ทำให้เนืองๆ บ่อยๆ เสมอๆ จนเป็นความคุ้นเคยนะครับ
สติ จะช่วยเหลือท่านได้ในเวลาคับขัน

Getter Tu บอกว่า "วันเปิดตัวหนังสือ ทำเป็น meeting เล็กๆก็ดีนะครับพี่"

ดีน่ะมันดีครับ แต่จะมีคนมาหรือเปล่าน่ะซี่ ตู่เอ๊ย

คุณ myouzhny บอกว่า "ยินดีที่จะมีหนังสือออกมา เพราะการเป็นตัวหนังสือบนกระดาษ ก็รู้สึกดีว่าเราได้อ่านหนังสือดีๆ อีกเล่ม (หรือมากกว่า) .... อันนี้ถือเป็นจิตยินดีมั้ยคะ"

แหม.. เวลารู้ เวลาดูจิตใจตัวเอง ดูมันซื่อๆได้เลยครับ
ยินดี ก็รู้ว่ายินดี ไม่ต้องไปส่งกฤษฎีกาตีความ

ถ้าถามว่า ต้องรู้มั้ย ก็ต้องรู้ทันไว้นะครับ

คุณ Begin ถามว่า "เวลามีความฟุ้งเกิดขึ้น เมื่อก่อนก็ปล่อยมันไป ให้มันเกิดของมันไป เอาไว้ดู
แต่พอดูไปสักพัก มันเกิดความรำคาญใจ ว่า ยัยนี่ฟุ้งซ่านอยู่ได้
เลยพยายามจะเอามันออกไป กลัวว่าจะเป็นอกุศล (ตอนนั้นรู้ไม่ทัน)
หนีไปทำสมถะอยู่แป๊ปนึง รู้สึกว่ามันอึดอัดค่ะ

ตอนนี้เลยกลับไปปล่อยให้เกิด ของมันไป เราก็ดูมันไปเรื่อย ๆ
ดับเมื่อไร ก็เมื่อนั้นแหละ อย่างนี้จะใช้ได้ไม๊คะ


ตอนที่พยายามจะเอามันออกไป กลัวจะเป็นอกุศล แล้วรู้ไม่ทัน ใช้ไม่ได้ครับ
แต่หนีไปทำสมถะที่จริงถ้าทำด้วยความสบาย ก็ไม่ผิด คือถูกแบบสมถะ
ที่ทำแล้วอึดอัด เดาว่าคุณน่าจะทำสมถะด้วยความจงใจ
อยากให้จิตมันเป็นกุศล จะดูลมก็เพ่งลม จะดูท้องก็เพ่งท้อง ดูจิตก็เพ่งจิต

ที่เพ่ง เพราะกลัวมันหลง กลัวว่าหลงแล้วอกุศลจะเกิด กลัวว่าอกุศลจะไม่หาย

แต่ที่ปล่อยให้มันเกิด แล้วคอยตามรู้ ตามดูไปเรื่อยๆ
อันนี้ถูกแล้วครับ

คุณ Arin "แสงเดินทางเร็วกว่าเสียง
แต่จิตเดินทางเร็วกว่าแสงหลายเท่านัก
ก็เป็นธรรมดาแหล่ะนะคะ
ที่จิตมันจะกระโดดไปมาอยู่ตลอดเวลา
ยากที่จะควบคุม"


แฮ่... ใช่ครับ มันเป็นธรรมดา
แต่เราไม่ได้เรียนวิปัสสนา เพื่อควบคุมไม่ให้มันกระโดด
ไม่ได้ตามรู้จิต เพื่อไม่ให้มันเคลื่อนไหวนะครับ

แต่เพื่อว่า วันนึงเราจะมีสติว่องไว
แม้จิตมันเคลื่อนไหว เพียงบางเบาเราก็รู้ทัน

หมดแล้วครับ ส่วนเพลงตามคำขอ เพลงสุดท้ายในหนัง Darjeeling Limtied
เป็นเพลงภาษาฝรั่งเศส ชื่อ ชอม เซลีเซ่ เป็นชื่อถนนที่สวยมากของปารีส
และเป็นถนนที่ รัชกาลที่ 5 ทรงใช้เป็นต้นแบบในการสร้าง ถนนราชดำเนินครับ

สุขสันต์วันเสาร์ ใครจะประท้วง ใครจะประเทือง ก็ขอให้มีสติไว้นะครับ





Create Date : 31 พฤษภาคม 2551
Last Update : 12 มิถุนายน 2551 8:18:50 น. 21 comments
Counter : 698 Pageviews.

 
โอ๊ะ..โอ..มาเป็นคนแรก
ชอบจังค่ะ"...แม้จิตเคลื่อนไหวเพียงบางเบาเราก็รู้ทัน"
^^


โดย: Arin IP: 116.58.231.242 วันที่: 31 พฤษภาคม 2551 เวลา:17:37:03 น.  

 
..
..
อ่านจบแล้วเห็นด้วยว่าเรื่องยากๆ
พี่เขียนให้อ่านง่ายๆหากแต่ว่า
เรื่องยากๆที่ถูกแปรให้เข้าใจได้ง่ายๆ
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการง่าย
ที่จะเข้าใจได้เสมอไปค่ะ



โดย: azamiya วันที่: 31 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:51:47 น.  

 
วันเปิดตัวหนังสือมีหน้าม้ามาแน่ครับพี่
แต่จะมากจะน้อยนี่อีกเรื่อง ฮี่ฮี่ ฮี้ฮี้


โดย: getterTu วันที่: 31 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:38:02 น.  

 
ท่านแอสตั้นออกมาพบประชาชน
ชวนประเทืองมากกว่าอยากประท้วงเย๊อะเลย อิอิอิอิ

วันเปิดตัวหนังสือของพี่ ถ้าไม่ติดอะไรจะวิ่งไปเป็นหน้าม้าด้วยค่ะ ฮี่ฮี่ ฮี้ฮี้ กุบกุบ :P

ราตรีสวัสดิ์นะคะ (:


โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 202.91.18.206 วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:0:08:12 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่เอ๊ด

เพลงเพราะมากมายเลยค่ะ

แวะมาแค่นี้แหละค่ะ

แล้วจาใหม่

อิอิ


โดย: LOLLIPOP IP: 202.149.25.241 วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:1:48:21 น.  

 
azamiya ถ้าเราพยายามเข้าใจธรรมะ ด้วยการ"คิด" มันจะไม่ใช่เรื่องยากหรอกครับ

มันเป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก

ถ้า azamiya จำบล็อกก่อนๆโน้นได้
พี่เคยเทียบการเข้าใจธรรมะ ด้วยการอ่าน ฟัง แล้วคิดเอา ว่าเหมือนกับคนที่ไม่เคยทานทุเรียน แล้วคิดว่าเข้าใจ รสและเนื้อทุเรียน ด้วยการอ่านและคิดเอานั่นแหละ

พี่เขียนให้เข้าใจง่าย เพื่อให้เป็นแนวทางในการภาวนา
เพื่อให้เข้าใจแค่ว่า มันไม่ได้ยาก ไม่ได้สูงส่ง ซับซ้อน
วิปัสสนา มันดูยากเพราะเราไม่คุ้นเคยเท่านั้นแหละ

เพราะการเรียนรู้ทางโลกปกติ เราต้องเรียนด้วยการคิดมากๆ

แต่วิปัสสนา เราเริ่มเรียนเมื่อมีสติและกระบวนการคิดมันหยุดลง

มันหยุดเอง เพราะเราได้สติ รู้ทันว่าจิตมันหลงไปคิดนะ ไม่ใช่เราไปหยุดมัน

ต้นอ้อ อย่าเรียกท่านเลย ฟังแล้วคัน

ขอบคุณท่านอื่นๆด้วยนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:9:41:39 น.  

 

ไม่ประท้วง ไม่ประเทือง
ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่เขียนให้อ่านค่ะ


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:10:17:53 น.  

 
โห..นี่ยังไม่ทันโรยหมามุ่ยเลย คันซะแล้ว

แต่ถ้าอ้อส่งการบ้าน สงสัยพี่จะคันยิ่งกว่า ประมาณว่า คันมือ อยากเขกหัวคน 5555



โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 202.91.19.206 วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:12:57:02 น.  

 
รอชมรายการนี้มากกว่าทางทีวีอีกค่ะ
555+
^__^

แหะๆ หนูมีคำถามมาถามพี่แอสตั้นอีกแล้ว
ช่วยอธิบายคำว่า
"กายเราไม่ใช่เรา แต่เป็นของเรา"
หน่อยได้ไหมคะ
เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจน่ะค่ะ
(ตรงคำว่า "แต่เป็นของเรา" อ่ะค่ะ)


ได้ยินมาจากอาจารย์หมอท่านนึงตอนฝึกงาน
ติดใจสงสัยมาจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ -__-


โดย: a r i t s u m e m o o n IP: 124.120.196.77 วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:13:37:54 น.  

 
ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับคำแนะนำที่ว่า

ถ้าเมื่อไหร่ "คิดว่ารู้" ให้รู้ลงปัจจุบันตรงกระบวนการที่มัน "คิด" นั่นแหละ
นั่นซินะที่ผ่านมามัวแต่ เอ....คิด..หรือ...รู้..หว่า

ดูกระบวนการที่มัน "คิด" ซ้อนไปอีกทีซะเลย

เข้าใจแล้วกับพุทธพจน์ที่ว่า
" กัลยาณมิตรคือทั้งหมดของพรหมจรรย์"


โดย: Vera IP: 125.25.184.134 วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:13:41:03 น.  

 
ขอบคุณมากเลยค่ะที่เปิดให้...เพลงน่ารักจริง ๆ....ชอบก้อรู้ว่าชอบ...สดชื่นก้อรู้ว่าสดชื่น ^0^


โดย: ตั้งต้น IP: 68.123.152.129 วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:21:54:01 น.  

 
เพลงน่ารักดีค่ะพี่
เช้านี้เลยสดชื่นขึ้นมาหน่อย
ง่วงอ่ะค่ะ
^^


โดย: am^^ IP: 58.8.127.243 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:9:33:34 น.  

 
อ่านแล้วสบายใจก็รู้ว่าสบายใจ^O^


โดย: ม่วนน้อย IP: 125.24.230.124 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:9:53:50 น.  

 
อยากได้เพลงนี้.. :~(


โดย: someone already forgot someone.. IP: 58.8.191.140 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:11:33:12 น.  

 
แวะมาทักทายค่ะ สบายดีนะคะ


โดย: daisyntulip IP: 75.47.186.181 วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:7:13:25 น.  

 
ไม่ได้ผ่านมาพักเดียว หนังสือได้ฤกษ์คลอดแล้ว
ดีใจด้วยนะคะ


โดย: CoffeeAholic วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:8:56:56 น.  

 
รู้ว่า..รู้สึกทุกข์เพราะคิดถึง
รู้ว่า..เดี๋ยวทุกข์ก้อจะจางไป แล้วก้อจะเป็นอีก ไม่เที่ยง
แต่ก้อ..ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์
พยายามตัดใจแล้ว...
รู้ว่าไม่มีทาง..อีกแล้ว
ไม่ง่ายแลย

แม้จะทำสมถะ..คิดว่าเค้ามีความสุขดีแล้วแม้จะสุขกับคนอื่น
หรือวิปัสสนา..มีสติ รู้ไปที่ความรู้สึก
แต่..ไม่รู้สึกว่านิ่งสงบ ทุกข์ยังคงมาเยือนได้สม่ำเสมอจริงๆ


โดย: งมงาย IP: 58.8.184.34 วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:10:09:43 น.  

 
แวะมาบอกว่าชอบประโยค "คนคิดไม่รู้ คนรู้ไม่คิด"

เพิ่งจะรู้ว่าจะแก้ปัญหาของตัวเองยังไงก็ตอนที่เลิกคิดนี่ล่ะ นั่งเฉยๆก็รู้คำตอบขึ้นมาเสียอย่างนั้น

แต่ตอนคิดว่าจะทำยังไง คิดยังไงก็คิดไม่ออก...

แป๋วแวะมาอ่านเรื่องที่เขียนให้อ่านง่ายๆของคุณเอ๊ดทีไร รู้สึกว่าเวลาไปทำมันยากทุกทีค่ะ







โดย: SevenDaffodils วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:10:45:20 น.  

 
a r i t s u m e m o o n ที่จริงต้องกลับไปเรียนถามอาจารย์ท่านนั้นจะดีกว่านะ

เพราะคำพูดแบบนี้ มันเป็นสำนวนเฉพาะตัว

อย่างถ้าพี่พูด พี่ก็จะไม่พูดแบบนี้ พี่จะพูดว่า กายไม่ใช่ของเรา แต่เรามักจะคิดว่ากายเป็นตัวเรา

เดาว่าความหมายเหมือนกัน แค่สำนวนต่างไปนิดหน่อย

เรื่องกายไม่ใช่เรานี่เข้าใจง่าย ศาสนาไหนก็เห็นได้ ว่าไม่ใช่
เพราะตอนเราเด็กๆ กับตอนนี้ เราเปลี่ยนไปตั้งเยอะ แต่ในทุกการเปลี่ยนแปลงมันทำเอง เห็นมั้ย

มันจะเหี่ยว จะเหม็น จะแก่ จะป่วย จะโทรม จะเปล่งปลั่ง จะอ้วนขึ้น จะผอมลง มันก็เป็นของมันเอง

ตายไป ร่างกายก็เป็นสิ่งที่เราต้องคืนให้โลก เพราะมันมาจากดินเป็นองค์ประกอบหลัก แล้วใส่ น้ำ ลม ไฟ เข้าไป จึงประคองให้มันคงสภาพได้ชั่วคราว

ที่ว่ามาจากดิน เพราะมันมาจากแร่ธาตุ ที่เรากินอาหารทุกอย่างก็มาจากดินนะ ผักงอกจากดิน สัตว์ก็กินอาหารที่มาจากดิน

ในไบเบิลของคริสต์ยังใช้คำว่า จากดินสู่ดิน จากธุลีสู่ธุลี
From Earth to Earth, From dust to dust

คือมาจากดิน ตายไปก็กลับไปสู่ดิน

ถ้าคิดว่าร่างกายนี้เป็นเรา แปลว่ายังมีมิจฉาทิฐิ ไม่เห็นความจริง

เหมือนคนเกิดในรถ ไปไหน มาไหนก็ขับรถ อยู่ในรถตลอดเวลา แล้วก็คิดว่า รถคือตัวเรานั่นแหละ

พูดแล้วนึกถึง The Legend Of 1900 ที่พระเอกเกิดในเรือ แล้วก็ไม่เคยลงจากเรือเลยในชีวิต แล้วก็รู้สึกว่า เรือนี่แหละ คือบ้านคือโลกของตัวเอง

น่าเอามาเขียนบล็อกนะนี่

คุณแป๋ว ถ้าเข้าใจได้ว่า เวลาคิดแล้วยิ่งไม่รู้ เมื่อหยุดคิดแล้วจึงรู้ แบบนี้ ก็ไม่ยากแล้วล่ะ

เคล็ดลับ ที่เวลาทำแล้วจะไม่ยากคือ อย่าพยายาม "ทำ" อะไรเลย นอกจาก "รู้"

ฟังแล้วงงๆ เหมือนที่บอกว่า อย่าคิด ให้รู้เฉยๆ พอได้สติ หยุดคิดแล้วจะรู้ นั่นแหละ

วิปัสสนา ยากเพราะเราเคยชินกับการคิด อันนั้นข้อนึง

อีกข้อ เพราะเราเคยชินกับวิธีเรียนแบบปริญญาทางโลกว่า

ถ้าจะเรียนให้สำเร็จ จะต้องพยายามเปลี่ยนตัวเอง ต้องบังคับตัวเอง ต้องทำอะไรที่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา

มีแต่คำว่า "ทำ" ทั้งๆที่เราจะดูกาย ดูใจตัวเอง เพื่อให้ยอมรับว่า เรา "ทำ" อะไรไม่ได้หรอก

มันทำของมันเอง ทั้งกาย ทั้งใจ มันไม่ใช่ตัวเรา แต่เราก็ฟังแล้วก็เผลอไป "ทำ" อยู่นั่นแหละ

"รู้" อยู่ในชีวิตธรรมดา "รู้" อย่างที่มันเป็น อย่า "ทำ" แล้วจะไม่ยากหรอก คุณแป๋ว


โดย: aston27 วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:13:25:47 น.  

 
..
ขอบคุณค่ะ


..
วันนี้เข้าใจความแตกต่าง
ของการเรียนรู้ทางโลก
และทางธรรม
ขึ้นมาอีกนิดนึงแล้วล่ะค่ะ
..


โดย: azamiya วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:21:38:58 น.  

 
ขอบคุณค่ะ ^^
เรื่อง The Legend Of 1900 นี่หนูก็ว่าน่าดูเหมือนกันค่ะ เนื้อเรื่องน่าสนใจดี ~


โดย: a r i t s u m e m o o n IP: 124.121.220.136 วันที่: 15 มิถุนายน 2551 เวลา:18:06:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.