Group Blog
 
All blogs
 

งอมอย่างมีคุณค่า



เคยได้ยินสโลแกนของเวทีประกวดนางงามเวทีหนึ่งที่ว่า "งามอย่างมีคุณค่า" ไหมครับ

กูรูเรื่องประกวดนางงามรายหนึ่งเล่าว่า สโลแกนนี้ แปลมาจากสโลแกนว่า
"Beauty With A Purpose" ของการประกวด miss World อีกที

แต่งามแล้วจะมีคุณค่าจริงไหม อันนั้นก็ให้เป็นเรื่องของคนสวยคนงามเขาว่ากันไปนะ
เพราะในมุมมองของผม คนจะมีคุณค่าหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นกับว่าสวยหรือไม่สวย

ว่าแต่.. หัวข้อผมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนางงามเลยครับ มันเกี่ยวกับคำถามที่มาจากหลังไมค์อันหนึ่งดังนี้

คุณแอสตั๊น ช่วยด้วยคะ
เนื่องจาก ตอนนี้มีปัญหาชีวิต คือทะเลาะกับแฟน และแฟนก็จะเก็บของกลับบ้าน อยู่คนเดียวรู้สึกกลัว และปํญหางานก็ตามมา

คือที่ทำงานมีปัญหาว่า การเงินกับบัญชีไม่ถูกกัน เราเป็นคนกลาง เลยโดน sms มาด่าว่า ชั่ว นกสองหัว อยากรู้เรื่องชาวบ้านไรเงี้ย เลยรู้สึกว่าเหมือนมีเราคนเดียวในโลกคะ

เราอยู่คนเดียว ส่วนคุณแม่พี่สาวก็ต่างคนต่างอยู่ ตอนนี้แฟนกลับมาเป็นเพื่อนชั่วคราว เพราะกลัวว่าจะหลุดโลกเข้า รพ.ไป เพราะนอนไม่หลับติดต่อกันเป็นเวลา 4 วัน มึนไปเลยคะ อย่างงี้คงต้องไปหาจิตเวช แล้วคะ

คุณแอสตั๊น รบกวนด้วยนะคะ มีคำแนะนำอะไรบ้าง อืม กลัวจริงๆๆ คะ



อ่านแล้วก็พอนึกออกว่า เจ้าของปัญหาอยู่ในอาการ "งอม" พอควร
แต่ในเมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว และเราโดนทุกข์มันเล่นงานจนงอม
เรามางอมอย่างมีคุณค่าดีไหม

ดูเผินๆ ปัญหาของคุณจะแยกย่อยได้หลายข้อ คือ

1. ปัญหาเรื่องแฟน
2. ปัญหาเรื่องที่ทำงาน
3. ปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ
4. ปัญหาเรื่องกลัวการอยู่คนเดียว

แต่จัดหมวดแล้ว มีสองส่วน คือส่วนที่เป็นเรื่องภายนอกในสองข้อแรก
กับส่วนที่เป็นปัญหาเรื่องภายใน คือจิตใจคุณเอง ในสองข้อหลัง

ปัญหาแบบนี้ ไปหาจิตแพทย์ก็คงพอช่วยบรรเทาอาการได้ประมาณหนึ่ง
แต่ถึงที่สุดแล้ว คุณก็ต้องช่วยตัวเอง ด้วยสติและปัญญาของคุณเองนั่นแหละนะ

ความกลัว ความกังวล เป็นเหตุให้นอนไม่หลับ
แต่การมีปัญหาเรื่องแฟน หรือที่ทำงาน
ไม่ใช่เหตุแท้จริงที่ทำให้คุณทุกข์หรอกนะครับ

เพราะแฟนจะอยู่กับเราหรือไม่อยู่ ที่ทำงานจะ sms มาด่าหรือมาชม
ถ้าเรามีสติ อยู่กับปัจจุบัน ยอมรับสิ่งที่เกิดได้ว่า มันก็สมควรแก่เหตุ เราก็ไม่ทุกข์

ความขาดสติต่างหากที่เป็นต้นเหตุ
จิตเลยถลำไปจมกับความกลัว กลัวแล้วก็ไม่ชอบความรู้สึกกลัวนั่นแหละ
ยิ่งกลัว ก็ยิ่งกังวล ยิ่งกังวลก็ยิ่งทุกข์

ตอนนี้แค่มีสติรู้ว่าทุกข์ รู้ว่ากลัว รู้ว่ากังวล อาจจะยังไม่พอ
ต้องรู้ว่า จิตมันคร่ำครวญอยู่ด้วยนะครับ

อย่างที่ผมเขียนบ่อยๆว่า ความทุกข์เป็นเรื่องธรรมชาติ คู่กับทุกชีวิต
ใครๆก็ทุกข์นะครับ ทุกข์มาก ทุกข์น้อย อันนี้ขึ้นกับสติปัญญาในการอยู่กับทุกข์

คนที่ฝึกเจริญสติ วิปัสสนา มาระยะหนึ่ง จะเข้าใจสิ่งที่ครูบาอาจารย์บอกว่า
คนมีสติ มีปัญญา ย่อมเห็นได้ว่า ความทุกข์นั้นมีอยู่ แต่ไม่มีคนทุกข์

ปัญหา อาจจะเป็นเหตุให้เราทุกข์ แต่ถ้าเราฝึกจิตให้เจริญอยู่ในสติในปัญญา
เห็นความจริงว่า สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนแปลง บังคับไม่ได้
เห็นความจริงว่า สิ่งทั้งหลาย เกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัย ดับลงตามเหตุและปัจจัย

เห็นได้อย่างนั้น ก็จะเข้าใจคำที่ว่า สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว
ถ้าเห็นว่าสุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราวได้บ่อยๆ เราก็จะไม่แบกทุกข์ ไม่ติดสุข

คนงามหรือไม่งาม ไม่เกี่ยวกับมีคุณค่ามากหรือน้อย ฉันใด
คนมีปัญหามากหรือน้อย ก็ไม่เกี่ยวกับมีทุกข์มากทุกข์น้อย ฉันนั้น

ความกลัวก็ดี ความกังวลก็ดี เป็นแค่ความคิดการทำงานของจิตใจเท่านั้นนะครับ
ถ้าจะแก้ที่เหตุ ก็ต้องมีสติ คอยรู้สึกตัวว่าจิตมัน "หลงไปคิดอยู่" เท่านั้นก็พอแล้ว

ถ้ามันฟุ้งมาก ก็นึกถึง "พุทโธ" คือนึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ก็ได้
คือจิตมันอยากคิด ก็ให้มันคิดถึงสิ่งที่ทรงคุณอันประเสริฐไว้

กลับบ้านวันนี้ อาบน้ำทานข้าว แล้วเข้านอน
แต่ก่อนนอนก็สวดมนต์ ผมมีคำแนะนำที่ผมจำมาจากอาจารย์ผมว่า

ตอนกราบให้นึกไว้ว่าพระพุทธเจ้าท่านยืนอยู่เบื้องหน้าเรา
แล้วกราบลงแทบเท้าท่าน จิตจะเกิดปีติขึ้นในจิตใจ จิตใจจะสงบลง

จากนั้นเริ่มสวดมนต์ แล้วให้คอยแอบสังเกตเวลาจิตเคลื่อนไปคิดไปทำงาน
คนที่สวดมนต์บ่อยๆ จะทราบดีครับ ว่าสวดๆไป จิตจะแอบไปคิดโน่นคิดนี่เรื่อยๆ
เรามีสติคอยรู้ทันว่าจิตแว้บไปคิดนะครับ แว้บไป รู้ แว้บไป รู้

ไม่ได้รู้เพื่อจะห้ามไม่ให้แว้บ แต่รู้ เพื่อจะให้จิตเองนั่นแหละ เห็นความจริง
ว่าจิตมันไม่เที่ยง ไม่คงที่ แปรปรวน หยุดนิ่งไม่ได้ และสั่งไม่ได้

ทำเท่านี้ ไม่มากไม่น้อยกว่านี้ ทุกข์ที่มีจะหล่นหายไปทีละเล็กละน้อย
เพราะทุกข์ของคุณ เป็นผลจากความคิด รู้ทันจิตคิด ก็เท่ากับลดเหตุของทุกข์

ผมบอกได้แค่วิธีจัดการกับทุกข์ แต่ปัญหาคุณต้องแก้เองนะ
เพียงแต่ถ้าคุณมีสติมากขึ้น สงบลง ปัญหามันจะแก้ไม่ยากหรอกครับ

ต่อให้ยากจนขนาดแก้ไม่ได้ คุณก็จะไม่กลุ้มใจอะไรมากมาย
เพราะเห็นแล้วว่า ทุกอย่างมันก็แค่ "ของชั่วคราว" และเป็นแค่ความคิด

หลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยให้คาถาสำหรับคนที่ทุกข์มากๆว่า ให้ท่องไว้ว่า

"แล้วมันจะผ่านไป"

ผมว่าท่านพูดถูกนะครับ




 

Create Date : 22 เมษายน 2552    
Last Update : 25 เมษายน 2552 9:25:25 น.
Counter : 842 Pageviews.  

สีเสื้อ เรื่องถูกผิด และความทุกข์



(ภาพประกอบจากฝีมิอคุณ SevenDaffodils ครับ)

สงกรานต์ปีนี้ร้อนจังครับ

ร้อนเพราะอากาศยังไม่กระไรหรอกครับ เล่นน้ำสงกรานต์กันก็พอประทัง
ถ้ายังไม่พอก็อาบน้ำ ประแป้งตรางู แค่นี้ก็ซู่ซ่า

แต่ร้อนเพราะอุณหภูมิการเมืองเรื่องโทสะ ที่แผ่กระจายไปปกคลุมทั่วฟ้าไทยนี่สิ
แป้งตราพญานาค ก็ยากจะเอาอยู่

ช่วงนี้ใครจะออกจากบ้านก็ลำบากเรื่องสีเสื้อหน่อยนะครับ
ผมไม่ได้เป็นหมอดู แต่ก็ขอฟันธงลงยันต์คอนเฟิร์มว่า
ควรหลีกเลี่ยงเสื้อสีเหลืองและแดง เป็นดีที่สุด

นี่ก็มีข่าวเรื่องกลุ่มเสื้อสีน้ำเงินขึ้นมาอีกกลุ่มที่พัทยา
ผมนั่งนึกเล่นๆว่า นี่ถ้ามีคนอุตตริตั้งกลุ่มเสื้อสีโน่นสีนี่ไปเรื่อยๆ
อีกหน่อยเราคงต้องเป็นชีเปลือย เพราะนุ่งผ้าอะไรออกจากบ้านไม่ได้เลย

มองในแง่ดี อาเจ่กอาแปะตั่วกู๋อาเน้ย อาเหล่ากง คงต้องนึกขอบใจ
ที่เหล่าเสื้อแดงไม่ออกแผลงฤทธิ์ช่วงตรุษจีน
ไม่งั้นคนไทยเชื้อสายจีนที่ชอบใส่เสื้อแดงวันชิวอิก คงปวดหมองน่าดู

ผมนึกขำๆต่อไปอีกว่า แล้วถ้าช่วงนี้ดันไปตรงกับงานฟุตบอลประเพณีนี่ก็ยุ่งอีก
เพราะเด็กธรรมศาสตร์จะใส่เสื้อเชียร์ยังไง เมื่อมีทั้งสีเหลืองกับแดง แปร๋นอยู่ในตัวเดียวกัน

ฉะนั้นใครที่บอกว่าพวกสีเหลืองกับสีแดง อยู่ด้วยกันไม่ได้
ผมยืนยันว่าสองสีนี้อยู่กันอย่างกลมเกลียวมานานแล้วที่ธรรมศาสตร์

มีคนหลังไมค์มาถามผมว่า เราควรทำตัวอย่างไรในภาวะแบบนี้
ตอบว่า.. มีสติ รู้สึกตัว แล้วไม่ต้องไปโกรธใคร ทำใจให้สบายครับ

เราผ่านมรสุมสีเหลืองมาได้ สีแดงก็คงไม่กระไรนักหนา
เรามีหน้าที่อะไร ก็ทำไปอย่างเดิม ให้นายกฯท่านจัดการของท่านไป

ถามว่า แล้วฝ่ายไหนถูก ฝ่ายไหนผิด.. อันนี้ตอบยากนะ
เพราะเวลาพูดเรื่องความถูกต้อง บางทีถูกของเรา อาจจะไม่ถูกของเขา
ดูอย่างยิวกับปาเลสไตน์ก็ได้ครับ

ยิวฆ่าปาเลสไตน์ เขาก็บอกว่าเขามีเหตุผล มีความชอบธรรม
เพราะปาเลสไตน์ ชอบทำตัวเป็นผู้ก่อการร้าย ทำคาร์บอมบ์ระเบิดพลีชีพ

ปาเลสไตน์ก็ฆ่ายิว แล้วบอกว่าสมควรแล้ว เพราะยิวฆ่าเขาก่อน
ยิวมารุกราน แย่งดินแดนเขา ข่มเหงเขา ฯลฯ

โทษกันไปโทษกันมา เอาคืนกันไป เอาคืนกันมา
แล้วที่สุดก็ฆ่ากันไปฆ่ากันมา เป็นงูกินหาง หาต้นไม่ได้หาปลายไม่เจอ

ถามต่อว่า.. แล้วจะจบยังไงคุณแอสตัน เมื่อไหร่จะสงบ
ตอบว่า.. อย่าไปฝากความหวังไว้ที่คนอื่นเขา เราสงบของเราเองดีกว่าไหม

เรานั่นแหละฝึกตัวเองให้มีสติ รู้จักตัวเอง เลิกโทษคนอื่น
เกลียดใครขึ้นมา ก็ย้อนมาดูใจตัวเองที่ปรุงความเกลียด

เกลียดคนอื่น แล้วสุขหรือทุกข์ ก็ดูของตัวเองไปนะครับ
บ้านนี้เมืองนี้ก็คงจะมีปัญหากันไปอีกนาน ตราบที่ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองถูก

คนอื่น เสื้อสีอะไรก็แล้วแต่ อาจจะสร้างปัญหาให้เราได้ แต่ทุกข์นี่เราสร้างเองนะ
เช่นเขาปิดถนน ปิดสนามบินกินอาหารดีดนตรีเพราะ เราเดินทางไม่ได้ นี่เป็นปัญหา
แต่ถ้าทำใจได้ว่า มันเป็นกรรมของเรา ช่างมันวะ มันก็ไม่ทุกข์หรอก

ถามสุดท้ายว่า.. แล้วคุณแอสตันอยู่ฝ่ายไหน

ตอบแบบจริงๆ ไม่มีกั๊ก ไม่ผิดศีลว่า....
ผมอยู่ฝ่าย.... การตลาดครับ ฮี่ๆๆๆ

สุขสันต์วันร้อนกาย แต่สบายจิตครับ

ปล. 1. วันนี้ผมพูดเรื่องเฉียดๆการเมือง ขออนุญาตให้เฉพาะท่านที่มี login ออกความเห็นนะครับ

2. ขอความกรุณาท่านที่ชอบส่ง FWD mail เรื่องการเมืองถึงผม
อันนี้ขอความเมตตาช่วยงดเว้นด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณ





 

Create Date : 20 เมษายน 2552    
Last Update : 21 เมษายน 2552 11:30:17 น.
Counter : 885 Pageviews.  

เรื่องเล่าจากสิงคโปร์


(ภาพประกอบฝีมือคุณแป๋ว SevenDaffodils เช่นเคยครับ)

ผมนั่งเขียนบล็อกนี้อยู่ที่โรงแรมคอนราดในสิงคโปร์ครับ
นี่เป็นวันที่สามที่ผมต้องมาประชุมที่นี่ และเป็นครั้งที่สามที่ผมมาประเทศนี้

จากครั้งหลังสุดที่เคยมาเมื่อหลายปีก่อน มีอะไรเปลี่ยนไปพอควรในเรื่องสิ่งก่อสร้าง
แต่ที่ยังเหมือนเดิม ก็คือเรื่องความสะอาดเรียบร้อยสวยงามของบ้านเมือง และผู้คน

คืนแรกที่ผมมาถึง มีเพื่อนมารับไปทานข้าว เขาก็ถามผมเรื่องเมืองไทย
ถามเรื่องม็อบเหลือง แดง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องโน่นนี่นั่น
ปิดท้าย เขาวกมาเรื่องที่ผมจะต้องกลับมาประชุมที่สิงคโปร์อีกครั้ง ในอีกสองสามเดือนข้างหน้า
เขาพูดขำๆว่า "poor you" แปลเป็นไทยว่า "สงสารนายว่ะ"

มีหลายๆคนจากหลายชาติที่ผมรู้จัก พูดอย่างเดียวกับที่เพื่อนคนนี้พูดว่า
สิงคโปร์ เป็นประเทศที่เหมือนจะน่าอยู่ แต่ "boring" คือน่าเบื่อ

คนไทยหลายคนที่ผมรู้จัก เขาเบื่อเมืองไทย อยากไปอยู่เมืองนอก
หลายคนที่เกิดที่เมืองนอก เขาอยากมาอยู่เมืองไทย

ประเด็นมันอยู่ที่ว่า มนุษย์เรามักจะไม่พอใจในสิ่งที่มีอยู่ และอยากมีในสิ่งที่เราไม่มี

จำเรื่องที่ผมเคยเขียนเรื่อง you always want what you haven't got ได้ไหมครับ
ที่เล่าว่า คนอังกฤษมีสำนวนว่า สนามหญ้าหน้าบ้านอื่น มักจะเขียวกว่าบ้านเราเสมอ

อย่างผมเองเดินทางเที่ยวนี้ ยังเปรยกับลูกน้องที่มาด้วยว่า
รถเข็นกระเป๋าที่สนามบินสิงคโปร์ มันดีกว่าของบ้านเราจริงๆนะ

ผมรู้สึกเสมอว่า ความสุข ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะเรา "มี" อะไร
แต่ความสุข เกิดขึ้นเพราะเรา "พอใจ" ในสิ่งที่มี

ความทุกข์ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรา "ไม่มี" อะไร
แต่ความทุกข์ เกิดขึ้นเพราะเรา "ไม่พอใจ" ที่เราไม่มี หรือสิ่งที่เรามีนั่นแหละ

พูดแบบนี้ อย่าคิดสุดโต่งไปว่า กำลังบอกให้ทุกคนนอนขี้เกียจอยู่บ้านเลิกทำงานนะครับ
ต้องทักไว้ก่อน เพราะมีพวกหัวหมอหลายคนบอกว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ขี้เกียจ

ตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าท่านขยันมาก ท่านทำงานทุกวัน วันละหลายรอบ
สอนทั้งมนุษย์ ทั้งเทวดา สอนทั้งพระ ท่านให้ธรรมหลายข้อเรื่องการทำงาน

เช่นบอกว่าชาวพุทธต้องหมั่นขยันทำงาน ทำงานที่ดีที่ชอบที่ควร
มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา คือต้องรักงานที่ทำ ขยัน เอาใจใส่ มีสมาธิจดจ่อในงาน

แต่ทำแล้ว ผลเป็นอย่างไร อันนั้นต้องสันโดษ คือพอใจยินดีในผล
ต้องมีอุเบกขาธรรม คือเป็นกลาง ยอมรับได้ไม่ว่าผลจะดีจะแย่

ผมเองมาเที่ยวนี้ ก็มีมุฑิตาจิต ยินดีที่เห็นประเทศอื่นเขาเจริญ
เห็นเขาเติบโตมั่นคง สวยงาม ถึงจะห้ามเคี้ยวหมากฝรั่งก็เถอะ

แต่เรื่องน่าเบื่อไม่น่าเบื่อ ผมไม่ออกความเห็นนะ
แค่นึกถึงสมัยที่จอมพล ป. ท่านสั่งห้ามคนแก่กินหมากเท่านั้นแหละ

ประเทศเรากำลังร้อน วันนี้เลยเขียนเรื่องเบาๆให้อ่าน
สุขสันต์วันที่ยังมีประเทศให้อยู่ก็แล้วกันครับ




 

Create Date : 08 เมษายน 2552    
Last Update : 8 เมษายน 2552 7:50:35 น.
Counter : 1594 Pageviews.  

ผ่านไปด้วยร้าย ผ่านไปด้วยดี



เคยได้(อี)นางเมล์ลูกโซ่จำพวกรูปภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วบอกให้ส่งต่อไปอีกเท่านี้ๆคนแล้วจะเฮงไหมครับ

ตอนได้อันแรกๆ ผมก็เคยนึกสนุกส่งต่อให้ชาวบ้านด้วยเหมือนกัน
ทีส่ง.. ไม่ได้หวังว่าจะเฮงจากการนี้ แต่เพราะเห็นว่ารูปสวยดี :)

แต่ระยะหลังมา รู้สึกว่าชักจะเริ่มเยอะ เลยไม่ค่อยอยากส่ง
เพราะเหมือนไปส่งเสริมวัฒนธรรมหวังรวยด้วยการ forward email

วันนี้ ก็เพิ่งได้รับนางเมล์ทำนองนี้อีกฉบับ แต่คราวนี้ที่สะดุดคือหัวเรื่องที่เขียนว่า
"ขอให้เรื่องร้ายๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ผ่านไปด้วยดีเทอญ"

ปกติเรื่องร้ายๆ ในชีวิต มันจะผ่านไปด้วยดีทั้งนั้นแหละครับ
มีแต่พวกเรานี่แหละ ที่ไม่ค่อยยอมปล่อยให้มัน "ผ่านไปด้วยดี"

เพราะเวลาเรื่องร้ายๆมันเกิด แทนที่จะมีสติ เรามักจะไปเสียเวลาคร่ำครวญ ฟูมฟาย
ว่าทำไมเรื่องร้ายๆต้องเกิดกับเรา ทำไมเราถึงโชคร้าย และอีกห้าสิบกว่าทำไม ฯลฯ

เรื่องร้ายในชีวิต ไม่ได้หายไปเพราะเราส่งรูปเทพองค์ไหน นะครับ
แต่หายไป เพราะเหตุปัจจัยมันหมดไป

เหมือนฝนตก ก็เพราะมีเหตุตามสมควรของมัน สึนามิเกิด ก็เพราะมีเหตุของมัน
แต่ฝนตกแล้วที่สุดก็หยุด หยุดเองนะ ไม่มีใครมาสั่ง สึนามิที่เกิด ก็เหมือนกัน

ชาวพุทธเราต้องคิดแบบพุทธ คือเชื่อเรื่องกรรมที่เราเองเป็นคนสร้างสม
เชื่อว่าอนาคต คือสิ่งที่เราเป็นคนออกแบบ และลงมือสร้างเอง

ชาวพุทธไม่ควรเชื่อเรื่องกรรมในแบบที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติที่ไหน
หรือเทพองค์ใดมาขีดเส้นให้เราเดิน ตามความพอใจของท่าน

คนไหนเทพเจ้าเมตตาก็ได้เดินสบายหน่อย คนไหนเทพเจ้าหมั่นใส้ ก็เดินลำบาก
พอเชื่อแบบนี้ เลยต้องวิ่งรอกกันไปบนบานศาลกล่าว ติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพื่อจะได้เฮง ได้รวย สมหวัง มีคู่ สอบได้ ฯลฯ

แต่ลืมไปว่า พระพุทธเจ้าบอกว่า อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนเองแลเป็นที่พึ่งของตนนะ
อันนี้ใครจะยังเชื่อ ก็ไม่ว่ากันนะครับ ตัวใครตัวมันล่ะ

ที่สำคัญ พูดหลายรอบ แล้วก็ยังขอย้ำเหมือนเดิมว่า
เรื่องร้ายๆทั้งหลาย ก็สอนธรรมะเรา เท่าๆกับเรื่องดีๆนะครับ

มันสอนเราว่า สิ่งทั้งหลายเกิดเพราะเหตุ ดับไปก็เพราะเหตุ
ไม่ได้เกิด ไม่ได้ดับ เพราะเราอยากหรือไม่อยาก ชอบหรือไม่ชอบ

และไม่มีอะไรเลยที่เกิดขึ้น แล้วไม่เคยดับไป จะดีแค่ไหน ร้ายเพียงใด
กระทั่งดวงอาทิตย์ที่เราเห็นกัน สักวันก็ต้องหมดสิ้นอายุขัยแตกดับไปในที่สุด

ถ้าหัดมีสติ อยู่กับปัจจุบัน รู้ว่ากายใจ ณ ปัจจุบันเป็นอย่างไร
อีกหน่อยก็จะเห็นได้เอง ว่าสิ่งทั้งหลายเกิด และดับไปเป็นธรรมดา
ไม่มีอะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วไม่ผ่านไป จะดี จะร้าย ก็เสมอกัน

ที่มันไม่เสมอ ที่มันแตกต่าง เพราะเราเองที่ชอบแต่เรื่องดี ไม่ยินดีกับเรื่องร้าย
ฉะนั้น เรื่องทั้งหลายมันจะผ่านไปด้วยร้าย หรือผ่านไปด้วยดี

ก็อยู่ที่ใจเราเองนี่แหละครับ :)

สุขสันต์วันที่ได้อ่านนะครับ




 

Create Date : 02 เมษายน 2552    
Last Update : 2 เมษายน 2552 15:30:56 น.
Counter : 779 Pageviews.  

เรื่องอ่านฆ่าเวลา



(ขอบคุณภาพประกอบแสนสวยจากคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

เมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสเขียนบทความลงนิตยสารเล่มบางๆ ชื่อ Happening ในฐานะนักเขียนรับเชิญ
คุณวิภว์ บก. หนังสือ เขาขอให้เขียนเรื่องหนังสือธรรมะที่มีมากมายในปัจจุบัน

ผมเขียนขมวดตอนท้ายว่า.. หนังสือธรรมะที่ดี ที่ควรอ่านที่สุด คือกายใจของเราเองนี่แหละ
เพราะธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติ คือความเป็นปกติธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย

ถ้าจะหาอะไรที่แสดงธรรมชาติแล้วเห็นชัดๆ ง่ายๆ ใกล้ๆตัว ก็กายใจเรานี่แหละ
เพราะกายใจเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่แล้ว จะไปเรียนจากภายนอกให้ลำบากทำไม

ที่สำคัญเวลาทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นกับเรา มันไม่เคยเกิดที่อื่น นอกจากที่กายกับใจนะครับ
พระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เราเรียนรู้ทุกข์ เพื่อจะมีสติ มีปัญญาสามารถพาตนให้พ้นทุกข์ได้
ฉะนั้น การเรียนธรรมะที่ดีที่สุด ก็ควรเรียนด้วยการอ่านจิตใจตัวเอง ไปทุกวันๆ

แต่สำหรับมือใหม่หัดขับ เพิ่งเริ่มจับพวงมาลัย
การศึกษาหาข้อมูลเบื้องต้นก่อนลงมือภาวนา นับเป็นสิ่งสำคัญครับ
จะฟังเทศน์ อ่านหนังสือ ฟังจากกัลยาณมิตรที่ไม่หลงทาง ก็มีประโยชน์ทั้งนั้น

สมัยผมเด็กๆ ผมก็ได้อาศัยหนังสือธรรมะจากวัดอุโมงค์ที่เชียงใหม่เป็นใบเบิกทาง
ตอนนั้น ไม่รู้หรอกครับ ว่าเขาเรียกหนังสือจำพวกนี้ว่าอะไร

จำได้แต่ว่าน้าๆที่โรงพิมพ์ในวัดเขาให้เรามา เพราะเราไปยืนเป๋อเหลออยู่แถวหน้าชั้นหนังสือ
เพราะตามอาม่าไปวัด แล้วไม่รู้จะทำอะไร เลยต้องหาอะไรฆ่าเวลาทำระหว่างรออาม่าสนทนากับพระ

วัดนั้นเป็นวัดสายสวนโมกข์ เลยมีนิทานเซ็นให้อ่าน ซึ่งเหมาะกับเด็กอย่างผมมาก

อ่านฆ่าเวลาไปอย่างนั้นเองครับ ไม่ได้เข้าใจอะไรลึกซึ้งหรอก
รู้แต่ว่าหนังสือพูดแต่เรื่อง "ใจ" เรื่อง "สมาธิ" เรื่อง "ปล่อยวาง" ฯลฯ แต่เขาเล่าเป็นนิทาน

ถึงจะเป็นนิทาน อ่านง่าย แต่เด็กประถมอย่างผม เจอบทที่เขาบอกว่า...
.. ก่อนปฏิบัติเห็นภูเขาเป็นภูเขา
พอปฏิบัติแล้ว เห็นภูเขาไม่ใช่ภูเขา
แต่พอปฏิบัติเสร็จแล้ว ก็เห็นภูเขาเป็นภูเขานั่นแหละ
..เจอแบบนี้ก็มีอาการรับประทานงูไปสองตัว งง กลับบ้านไปเลย

แต่หลายสิบปีผ่านไป สิ่งที่เคยอ่านสมัยเด็กๆ ก็เริ่มชัดขึ้น

ผมพบว่า สิ่งที่เราเคยอ่านเพื่อ "ฆ่าเวลา"
กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตมีความหมายมากขึ้น

ผมสังเกตว่าคนเราวุ่นวายกับการหากิจกรรมทำเพื่อ 3 วัตถุประสงค์
หนึ่งคือ เพื่อหาความสุข สองคือ เพื่อ "ฆ่าเวลา" และสาม เพื่อทำนุบำรุงความเป็นตัวตน

เราวิ่งวุ่นวาย ลำบากกับการหาความสุขแบบโลกๆจากนอกกาย ที่บางทีก็นำทุกข์มาให้
เพียงเพื่อจะฆ่าเวลา ไม่ให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปโดยไม่มีค่า และรักษาความเป็นตัวตนอยู่

ที่ต้องฆ่าเวลา เพราะมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์แห่งความขาดๆเกินๆ
ถ้ามีอะไรทำจนยุ่ง เราก็มักบ่นว่ายุ่ง+เหนื่อย แต่พอว่างจริงๆ ก็จะรู้สึกเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำ

ผมเอง เริ่มเขียนบล็อกนี้ ก็เพื่อ "ฆ่าเวลา" เหมือนกัน แถมยังอยากมีตัวตนบนโลกไซเบอร์
อันนี้เผาตัวเองชนิดไม่ต้องรอใครมาช่วยเผา เพราะเราก็ปุถุชนครือกัน

ผมเคยคิดว่าจะหยุดเขียนบล็อก เพราะมีอะไรทำเยอะแยะจนไม่มีเวลาจะให้ฆ่าแล้ว
มีแต่ว่าจะรักษาเวลาไปทำกิจกรรมทั้งหลายให้หมดได้ยังไง

แต่ครั้นจะเลิกจริงๆ ก็เริ่มมีผู้อ่านเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์มากขึ้นๆ
จากเรื่องที่เคยทำเพียงเพื่อจะฆ่าเวลา เลยกลายเป็นงานที่ทำต่อ
เพื่อให้ทุกท่านเห็นค่าของเวลาในชีวิต และแทนคุณพระพุทธเจ้า

ผมขอบคุณทุกข้อความที่ลงไว้ในทุกบล็อก และในสมุดเยี่ยมนะครับ
อย่างที่บอกไว้ว่า ถ้ายังมีเวลา มีคนอ่าน และมีแรง ก็ยังจะเขียนต่อไป
หรือไม่ก็จนกว่าจะไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วนั่นแหละ

สุขสันต์วันที่ยังมีเวลาให้เราฆ่าครับ

ปล.: ขออภัยท่านที่คาดหวังไว้ว่าจะได้ฟังเพลงจากบล็อกใหม่ๆนะครับ
ตอนนี้ผมไม่สะดวกในการใส่เพลง ด้วยเหตุผลบางประการ

เอาแค่มีเวลามานั่งเขียน นั่งตอบคำถามคุณผู้อ่าน ก็ดีแล้วนา




 

Create Date : 26 มีนาคม 2552    
Last Update : 26 มีนาคม 2552 16:54:42 น.
Counter : 1075 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.