Group Blog
 
All blogs
 

โรงจำนำความทุกข์ วิปัสสนากับความสุข



ช่วงนี้ถ้าผมอัพบล็อกช้าไปไม่ทันใจบ้าง ก็ขออภัยนะครับ

สำนักพิมพ์พรีม่าฯ แจ้งมาว่า "ธนาคารความสุข" กำลังพิมพ์ครั้งที่ 3 แล้ว
ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยอุดหนุนมา ณ ที่นี้

ตอนนี้กำลังดำเนินการเลือกบล็อกที่จะใช้รวมเล่มใหม่ ใครมีบล็อกไหนชอบมากเป็นพิเศษ
อยากให้เอาไปรวมไว้ในเล่มสอง ก็ส่งรายชื่อบล็อกที่ชอบมาบอกกันได้ครับ

วันก่อนมีเจอรุ่นพี่ท่านหนึ่งแซวว่า เล่มหนึ่งชื่อธนาคารความสุข เล่มสองน่าจะชื่อ โรงจำนำความทุกข์ จะได้ครบวงจร

ทำเป็นล้อเล่นไป เดี๋ยวเอาจริงนา

ที่จริงทั้งสองชื่อ ต่างก็ให้ความหมายเดียวกัน เพราะเนื้อใหญ่ใจความ ผมไปพูดที่ไหน พูดกี่ที ก็มีแต่บอกให้ทุกท่านย้อนกลับมาศึกษาตัวเอง ทำความรู้จักกายใจ ด้วยการ "รู้สึกตัว" ณ ภาวะปัจจุบัน อย่างเป็นกลาง

เพราะผมเป็นศิษย์พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนอะไรมากกว่านั้น ผมจะไปเก่งกว่าท่านได้ยังไง

มีหลายท่านอีเมล์มาหาผมบ้าง หลังไมค์มาบ้าง ถามไถ่เรื่องการปฏิบัติ การเจริญสติ
ส่วนมากจะเจอปัญหาคล้ายๆกัน คือหมั่นคอยมีสติ รู้สึกตัว แต่มักจะอึดอัดบ้าง แน่นๆบ้าง
ที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะไม่ได้รู้สึกตัวตามภาวะที่เกิด ณ ปัจจุบัน และไม่เป็นกลาง

ต้องบอกก่อนว่า ที่คอยรู้สึกตัวนั้นดีแล้ว เพียงแต่วิธีรู้สึกตัว มันมีหลักอยู่นิดหน่อยครับ

เคยได้ยินคำว่า "ทางสายกลาง" ไหมครับ มันคือวิธีใช้ชีวิต วิธีปฏิบัติภาวนา ที่พอเหมาะพอดี

ถามว่า "กลาง" นี่คือกลางระหว่างอะไร ตอบว่า.. กลางระหว่างความสุดโต่งสองอย่าง

หนึ่งคือ.. การสุดโต่งไปในการขาดสติ ไหลลอยลิ่วๆไปตามอารมณ์ ตามกิเลส โกรธปุ๊บด่า โกรธปุ๊บลงไม้ลงมือ ยิงกัน ฆ่ากัน

สองคือ.. การสุดโต่งไปในการกด ข่ม บังคับ อยากให้มันไม่โกรธ อยากให้มันดี อยากให้มันวิเศษ

จากประสบการณ์ที่ผมฝึกวิปัสสนามา อยากบอกว่า การรู้สึกตัวผมไม่แนะนำให้ "กำหนด"
เราไม่แนะนำให้เคร่งเครียด ไม่แนะนำให้ทำเพื่อ "ห้าม" "บังคับ" ว่าต้องรู้เพื่ออะไร ให้ได้อะไร

ขอให้เรารู้สึกตัวเล่นๆ รู้สึกตัวแบบสบายๆ อย่าจงใจกำหนดเพื่อแก้ไขสภาวะ

ถามว่า.. อยากให้มันไม่โกรธ อยากให้มันดี ผิดด้วยเหรอ
ตอบว่า.. ไม่เชิงผิดครับ แต่สำหรับทางพุทธ มันมีวิธีแก้ปัญหาดีกว่านั้น ที่ให้เจริญสติ รู้สึกตัวนี่แหละ

ถามว่าต่อว่า.. รู้สึกตัว แล้วมันแก้ปัญหาได้ไง
ตอบว่า.. รู้สึกตัวบ่อยๆแล้ว จิตจะเริ่มจำสภาวะได้ทีละตัวๆ
จิตจำสภาวะได้เมื่อไหร่ จะเริ่มทำงานได้อัตโนมัติ เกิดจิตที่ตั้งมั่นมากขึ้นๆ

จิตที่ตั้งมั่น คือภาวะที่จิตแยกตัวออกมา เห็นความจริง ตั้งแต่พื้นๆอย่างเช่น กาย กับ จิต เป็นคนละส่วนกัน

เช่นเวลาเราโดนยุงกัด เราคัน ถ้าจิตตั้งมั่น จะเห็นว่า กายนี้เป็นส่วนหนึ่ง ความรู้สึกคัน ก็เป็นอีกส่วน จิตที่ไปรู้ความคัน ก็เป็นอีกส่วน มันแยกกัน

ดูไปเรื่อยๆ บ่อยๆ จะเริ่มเห็นว่า ความคันจะมา ก็เพราะมีเหตุ (คือยุงกัด) ไม่ใช่เพราะเราสั่ง มันคันเอง
เวลามันคัน เราสั่งให้หายคัน มันก็ไม่เชื่อ จะหายคันได้ก็เพราะเกา หรือเอายาหม่องมาทา นี่คือเหตุเพราะว่า.. มันไม่ใช่ตัวเรา

สิ่งทั้งหลายเกิดเพราะมีเหตุ ไม่ใช่เกิดด้วยความบังเอิญ ไม่ได้เกิดเพราะเราชอบ เราไม่ชอบ ไม่ได้เกิดเพราะเราสั่ง หรือห้าม

นอกจากจะเห็นว่าอารมณ์ต่างๆเกิดได้เองแล้ว ยังเห็นว่า มันเปลี่ยนแปลงไปมา มาแล้วก็ขึ้นๆลงๆ คันแล้วก็หายคัน แล้วกลับมาคันอีก

อันนี้เป็นปัญญาอีกตัว เรียกว่า เห็น "อนิจจัง" คือความไม่เที่ยง

ที่จริงมี "เห็นทุกข์" อีกตัว แต่ในขั้นของเรา เห็นแค่ตัวใดตัวหนึ่ง ก็เกิดปัญญาได้เหมือนกัน

ทั้งหมดนี้จงใจไปคิด เพื่อแยกเอาเองไม่ได้ ต้องเจริญสติ ให้ถึงจุดที่จิตมันมีคุณภาพพอจะเห็นได้เอง
ถ้าจิตเห็นได้เอง ก็จะได้ปัญญามากขึ้นๆ แต่ต้องไม่จงใจ ต้องไม่บังคับให้เกิด

หลักการเรียนวิปัสสนา เราต้องเรียนจากของจริง ไม่ใช่จากสิ่งที่เราปรุงแต่งให้มันเป็น
เพราะเราต้องการเรียนเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ เพื่อยอมรับในสิ่งที่ธรรมชาติเป็น โดยเรียนจาก กาย ใจ เรานี่แหละ

เพราะกายเรา ใจเรา ก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราจึงไม่ได้เรียนเพื่อเอาชนะธรรมชาติ ไม่ได้เรียนเพื่อปฏิเสธธรรมชาติ

แต่เรียนเพื่อให้วันหนึ่ง จิตเรามันจะยอมรับว่า "ทุกอย่างมันก็เป็นอย่างนั้นเอง"

จิตที่มีปัญญา เข้าใจ และยอมรับธรรมชาติแท้ๆได้ จะเป็นจิตที่อยู่เหนืออำนาจความแปรปรวน ความทุกข์ และความบังคับไม่ได้ของธรรมชาติ

ไม่ใช่ชนะธรรมชาตินะ ไม่ได้กระทั่งอยู่เหนือธรรมชาติ ธรรมชาติก็ยังเป็นไปของมันอย่างนั้น แปรปรวน วุ่นวาย อยู่อย่างเคย เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่ทุกข์มันเข้าไม่ถึงใจเราอย่างนั้นเอง

ถ้าเข้าใจหลักข้อนี้ แล้วปฏิบัติได้เมื่อไหร่ ความทุกข์ถึงจะยังมีอยู่ ก็เหมือนเอาไปจำนำไว้ ไม่หนัก

จำนำไปบ่อยๆเข้า ก็เริ่มเห็นได้ว่า ทุกข์ก็เป็นของมีประโยชน์ เพราะถ้า "รู้ทุกข์" เท่ากับเราทำรายการจำนำหนึ่งรายการ ได้สติ ได้ปัญญา ติดมือกลับมา

ที่ดีกว่าการกดข่ม อย่างที่เคยทำ เคยเป็น ก็ตรงที่เราก็เห็นความจริง ไม่ฝืน ไม่ปฏิเสธว่าทุกข์มี แต่ไม่มีคนทุกข์นะ

ก็เอาไปจำนำไว้แล้ว ใครจะทุกข์ล่ะ

ส่วนจะเข้าธนาคาร หรือโรงจำนำ เลือกได้ตามอัธยาศัยนะครับ




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2551    
Last Update : 11 ธันวาคม 2551 21:59:53 น.
Counter : 1006 Pageviews.  

เส้นบางๆระหว่างสองด้าน



จำชื่อของเพื่อนชาวบล็อกคนที่ชื่อ Q Nuh ได้ไหมครับ ที่ผมพูดถึงว่า
เวลาอ่านบล็อกเธอทีไร ผมจะได้อะไรติดหัวกลับมาเขียนเสมอ

ครั้งนี้ก็เช่นกันครับ ผมไปอ่านเจอบล็อกหนึ่งที่เธอเขียนตอบเด็กคนหนึ่ง
เรื่องว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร แล้วเธอเองก็เขียนว่า เธอรู้สึกว่าอกตัญญู
เพราะเธอไม่ตามใจแม่ ไม่ได้เลือกเป็นในสิ่งที่แม่หวังจะให้เธอเป็น

ความแตกต่างของหลายๆสิ่งในโลกนี้ มักถูกขีดคั่นไว้ด้วยเส้นบางๆเส้นหนึ่ง
ถ้ามองเผินๆ ก็อาจจะไม่เห็นความต่าง ดูห่างๆก็เหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกัน

ไม่ใช่แต่เจ๊ Q Nuh เพื่อนผมหรอก มีคนมากมายมีความทุกข์ เพราะมีความเห็นที่แตกต่างจากพ่อแม่
แล้วมีความเชื่อว่า การไม่ทำตามที่พ่อแม่ต้องการเป็นบาปอกตัญญูอย่างหนึ่ง

ผมอยากบอกว่า มันมีเส้นบางๆที่คั่นกลางชี้ความแตกต่าง
ระหว่างการมีความคิด มีจุดยืนของตัวเอง
กับการเป็นคนก้าวร้าว ดื้อด้าน และดันทุรังทำให้พ่อแม่เสียใจโดยเจตนา

เคยมีคุณแม่ท่านหนึ่ง มีลูกชายเป็นคนเรียนดีมีอนาคตไกล
แต่หัวใจใฝ่เรื่องธรรมะ แล้วชวนภรรยาออกบวชด้วยกัน

คุณแม่ไม่ได้ห้ามแต่ทำใจไม่ได้ วันหนึ่งไปทำบุญที่วัดซึ่งลูกชายบวชอยู่
เลยไปเปรยกับครูบาอาจารย์ที่วัดว่ายังทำใจได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
เพราะมีลูกชายคนเดียว อยากให้เขาใช้ชีวิตทางโลก มีลูกมีหลานสืบสกุล

หลวงพ่อองค์นั้น ท่านเลยให้ข้อคิดว่า..พ่อแม่ทุกคนมีจุดหมายเดียวกัน
คืออยากให้ลูกได้ดี อยากให้มีความสุข อยากให้มีชีวิตที่เจริญ

แต่พ่อแม่จำนวนมาก ก็มักจะพลาดตรงที่ชอบคิดแทนลูกว่า ถ้าลูกทำแบบนี้
เรียนแบบนี้ ทำงานแบบนี้ แต่งงานกับคนนี้ แล้วถึงจะดี ถึงจะมีความสุข

เอาไม้บรรทัดของตัวเอง ไปขีดเส้นให้ชีวิตลูก แล้วก็ทุกข์
เพราะลูกก็มีไม้บรรทัดของตัวเอง ซึ่งมาตราส่วนสั้นยาวไม่เท่าของเรา

ฉะนั้น โดยส่วนตัวผม ผมไม่รู้สึกว่าคุณ Q Nuh อกตัญญู
เพราะสิ่งที่เธอเลือก ก็ให้ผลเดียวกับที่แม่เธอต้องการ คือชีวิตที่มีสุข

บางที มนุษย์เรามักจะสนใจเรื่องภาชนะ หรือรูปแบบมากกว่าเนื้อหา
เหมือนเรื่องเล่าที่ผมเคยอ่านเจอ แล้วชอบมาก เอามาเล่าให้ใครๆฟังบ่อยๆ

ว่าตอนที่สหรัฐเริ่มส่งนักบินนักบินอวกาศขึ้นไปสู่วงโคจรของโลกได้สำเร็จใหม่ๆ
พวกเขาเจอปัญหาว่า นักบินอวกาศไม่สามารถใช้ปากกาจดบันทึกอะไร ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วงของโลกได้

นาซ่าต้องแต่งตั้งคณะนักประดิษฐ์ระดับหัวกะทิ และใช้งบประมาณหลายล้านดอลลาร์
เพื่อวิจัยพัฒนาคิดค้นปากกาที่สามารถเขียนออกได้ดีในสภาพไร้แรงโน้มถ่วงของโลก
ใช้เวลาหลายเดือน ปากกาที่ว่า ก็เสร็จด้วยความภาคภูมิใจของนาซ่า

วันหนึ่ง นักบินอวกาศของนาซ่ามีโอกาสเจอนักบินอวกาศรัสเซีย เลยถามว่า
"นายมีปัญหาเดียวกันมั้ย?" นักบินรัสเซียพยักหน้าหงึกๆ

"แล้วพวกท่านแก้ปัญหายังไง" นักบินนาซ่าอมยิ้มถามต่อ หมายจะอวดประดิษฐ์กรรมล้ำยุคอันใหม่ถอดด้าม

นักบินรัสเซียหันมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจในคำถาม แล้วตอบขำๆว่า

"จะไปยากอะไร เราก็ใช้ดินสอเขียนแทนสิ"

สุขสันต์วันก่อนวันพรุ่งนี้ครับ







 

Create Date : 01 ธันวาคม 2551    
Last Update : 19 ธันวาคม 2551 21:33:37 น.
Counter : 1020 Pageviews.  

เรียนรู้เรื่องจิต จากแผลในใจ



มีคำถามจากคุณรัชนี ถามไว้ในกล่องคำถาม ผมตอบไปตอบมา ได้เนื้อความยาวประมาณหนึ่ง และคิดว่ามีประโยชน์ดี เลยขอเอามาใส่ในหมวดหลักนี้นะครับ

สวัสดีค่ะคุณพิทยากร
เป็นแฟนรายการเพลงคุณพิทยากรมานานนนน...มาก...... เพราะเป็นคนยุค 70 ก็เลยชอบเพลงที่คุณเปิดมากๆ

...เพิ่งผ่านพ้นวิกฤตชีวิตมา ตอนนี้สุขภาพแข็งแรงเป็นปรกติแล้ว แต่แผลในใจไม่จางหายไปเลย เมื่อเห็นอะไรที่เกี่ยวกับการรักษาตัวโดยเคมีบำบัด หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการเจ็บป่วย โรงพยาบาล ข่าวการไม่สบายของใครก็ตาม ใจจะฝ่อ กลัว บางครั้งน้ำตาไหล พยายามคิดว่าเราผ่านมาได้แล้ว ลืมอดีต ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แต่ก็ยังทำไม่ได้ ทุกวันนี้สวดมนต์ นั่งสมาธิ จากที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย เรียกว่าพบธรรมะเมื่อพบวิกฤตชีวิตใจเย็นลงเยอะมากๆ
ขอถามคำถามคร่าวๆ ก่อนค่ะ
1. แผลในใจมีวิธีรักษาให้จางได้บ้างหรือไม่คะ หรือไม่ต้องรักษา
2. เวลานั่งสมาธิจิตใจชอบวอกแวกคิดไปเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องงานถ้าตอนนั้นงานเยอะจะคิดว่าจะทำอะไรก่อน เรื่องทำความสะอาดบ้าน แต่ไม่ได้คิดไปเรื่องในอดีต แต่บางครั้งสวดมนต์แล้วน้ำตาไหลออกมา เพราะคิดไปถึงน้อง พ่อ แม่ที่ทุกคนช่วยให้ผ่านพ้นวิฤกตชีวิตมาได้ (เขียนคำถามนี้ก็น้ำตาไหลออกมาแล้วเช่นกัน แต่กลั้นไว้) มีวิธีใหนที่จิตใจจะไม่วอกแวกเวลานั่งสมาธิได้บ้างหรือไม่คะ

ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบนะคะ จะรออ่านค่ะ แล้วจะเขียนมาใหม่ค่ะ

Ratchanee


สวัสดีครับ คุณรัชนี

ที่จริงสองคำถามของคุณรัชนี สามารถอธิบายรวมกันได้เป็นข้อเดียวเลยครับ เพราะเป็นเรื่องของจิตเหมือนกัน

ปกติ จิตเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็น "ตัวเรา" ถูกไหมครับ แต่จิตเองกลับมีความจริงที่แสดงให้เราดูบ่อยๆ แต่เราไม่ค่อยเห็น หรือสังเกต หรือเห็นแล้วแต่ไม่ยอมรับ ว่า "จิตไม่ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันปรวนแปร มีทุกข์บีบคั้นตามธรรมชาติ และบังคับไม่ได้"

พระพุทธเจ้าทรงแจกแจงว่า จิตที่เราเข้าใจกันว่ามันเป็นตัวเรานั้น ที่จริงประกอบขึ้นจากการทำงานของจิต 4 ส่วน บวกกับร่างกายอีก 1 ส่วน รวมเป็น 5 ส่วน เรียกตามภาษาแขกว่า ขันธ์ 5

จิต 4 ส่วนนั้น ได้แก่
1. เวทนา ความรู้สึกสุขทุกข์ ดีใจเสียใจ
2. สัญญา ความจำได้ หมายรู้ ว่าถ้ารูปร่างหน้าตา ภาษาแบบนี้ น่าจะอย่างนี้ น่าจะเป็นอย่างนั้น
3. สังขาร ความคิดนึก ปรุงแต่ง
4. วิญญาน ไม่ได้หมายถึงไอ้ดวงไฟ ลอยไปลอยมา เหมือนในหนังผีสมัยเด็กที่เราดูนะครับ วิญญาน คือจิตตัวที่ไปทำหน้าที่รับรู้ทุกสิ่งอย่าง ทุกตัวที่พูดมาข้างต้น

แผลในใจที่คุณเจอ ที่จริงก็คือการทำงานของจิตในส่วนที่เป็นความจำได้ หมายรู้ บวกกับความคิดนึก ปรุงแต่ง

อาจจะฟังดูโหดร้าย ถ้าต้องบอกว่า จิตมันจะฝังใจกับอะไร เราก็บังคับมันไม่ได้นะครับ ผมสมมติเอาว่าจิตเหมือนต้นมะม่วง ที่ทำงานเป็นปกติสามัญตามธรรมชาติของมันเอง

การที่เรา "คิดเอา" โดยการสมมติตามกฏหมาย ตามเอกสารโฉนด ว่าเราเป็นเจ้าของต้นมะม่วงทั้งสวน ไม่ได้ให้อำนาจเราตรงไหนเลยที่จะ "สั่ง" ให้มันออกลูกได้

มะม่วงมันก็ออกลูกตามธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาอันควร เมื่อมีเหตุอันควร เมื่อมีปัจจัยอันควร เช่นได้ดินดี น้ำพอเหมาะ แดดพอเพียง แร่ธาตุสารอาหารครบถ้วน อุณหภูมิเหมาะสม มะม่วงจึงออกดอก ออกผลเอง

คนเราทำได้เพียงแค่สร้างเหตุและปัจจัยให้พอเหมาะ พอดี สมควรแก่การเติบโตของมะม่วง

จิตใจก็เหมือนกัน เราบังคับ เราสั่งเขาไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่ตัวเรา หรือในระดับคนที่ยังไม่เห็นได้อย่างนั้น ก็พอเห็นได้ว่า เขาไม่ได้อยู่ใต้อาณัติบัญชาคำสั่งของเรา

วิธีการจะเห็นจริงได้ว่า จิตไม่ใช่เรา เราใช้วิธีการเจริญสติ หรือเรียกศัพท์ เทคนิคตามอิทธิพลอินเดียว่า วิปัสสนา

วิปัสสนา จึงไม่ใช่การไปนั่งสมาธิหลับตาปี๋ เหมือนกลัวผีมาหลอก แต่เป็นการคอยมีสติคอยรู้สึกตัว รู้กาย รู้ใจตัวเองลงปัจจุบัน ตามความเป็นจริง

ในหมวดกาย พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้รูปกายที่ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ได้บอกว่าให้นั่งสมาธิอย่างเดียว

พูดแบบง่ายๆ กายมันเป็นอย่างไร ให้รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น เช่นมันนั่งรถเมล์อยู่ก็รู้การมีรูปหรือก้อนๆหนึ่งนั่งอยู่ ไม่สำคัญว่านั่งเบาะหน้า หรือเบาะหลัง นั่งสายอะไร รถครีมแดง หรือเมโทรบัส ไม่สน

เห็นว่ารูปที่นั่งเอนไปไหวมาตามแรงซิ่งของคนขับนี้เป็นส่วนหนึ่ง ใจที่ไปรู้กายก็เป็นอีกส่วน อยู่ด้วยกันแต่เป็นคนละส่วนกัน

พูดแบบซื่อๆ เห็นว่ากายเป็นส่วนหนึ่ง จิตเป็นอีกส่วน อันนี้เรียกว่าจิตมันมีปัญญาเบื้องต้น แยกรูป แยกนามได้

นั่งๆไป รถเมล์เบรกกระทันหัน หน้าเราทิ่มเกือบกระแทกเบาะหน้า จิตตกใจ รู้ทันว่าตกใจ หลังจากนั้น จิตปรุงความโกรธ ก็รู้ทันว่าโกรธ

ถ้ามีสติเห็นทันความเปลี่ยนแปลง จากจิตที่เคลิ้มๆ พลิกเป็นจิตที่มีความตกใจ แล้วก็เปลี่ยนเป็นจิตที่โกรธ พอมีสติความโกรธดับไป ทำได้บ่อยๆก็จะเริ่มเห็นได้ว่า ความตกใจ ความโกรธไม่ใช่จิต แต่ความตกใจ ความโกรธล้วนเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในจิต เหมือนน้ำเน่าที่ถูกรินลงในแก้ว

แก้วก็ไม่ใช่น้ำเน่า น้ำเน่าก็ไม่ใช่แก้ว แต่มันเป็นสิ่งที่มาอาศัยในแก้ว ทำให้แก้วเหม็นได้

วิปัสสนาเราปฏิบัติ ด้วยการรู้ การดู เพื่อให้เห็นความจริงเหล่านี้ ดังนั้นเราจะดูแบบยอมรับความจริง คอยดู คอยรู้ตามที่มันเป็นจริง ไม่ดัดแปลง ไม่ปรุงแต่ง ไม่เสแสร้ง

กลัว รู้ว่ากลัว ไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ โกรธ รู้ว่าโกรธ ไม่ห้าม ไม่บังคับ ไม่กด ไม่ข่ม แต่ยกเว้นว่าต้องไม่ผิดศีล 5 นะครับ

ศีล 5 คือรั้วที่กั้นเราไม่ให้ละเมิดผู้อื่นด้วยกาย ด้วยวาจา แต่ใจนี่เอาไว้ดู เอาไว้เรียนรู้ครับ

ถ้าเห็นความจริงของกาย ของจิตใจบ่อยๆ จิตเองนั่นแหละ จะค่อยๆฉลาดขึ้น จะมีสติสัมปชัญญะมากขึ้นตามลำดับ เพราะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นสภาวะแบบไหน จะดีหรือร้าย ล้วนแต่เป็นของชั่วคราว ผ่านมาแล้วผ่านไป

ความกลัว ก็ไม่ได้กลัวตลอดเวลา กลัวชั่วครู่ ชั่วคราว ใจฝ่อ ก็ไม่ได้ฝ่อ 24 ชั่วโมง ฝ่อได้ ก็ฟูได้ เหมือนที่มันเปลี่ยนจากเคลิ้ม เป็นตกใจ เป็นโกรธ แล้วก็หายโกรธนั่นแหละ

จิตใจที่ว่อกแว่ก ก็เหมือนกันนะครับ มันเป็นธรรมชาติของจิต ที่จะปรวนแปร เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ถ้าจะทำให้มันนิ่ง มันสงบ ก็ทำได้ เรียกว่าปฏิบัติสมถะกรรมฐาน เช่นดูลม ดูท้องพองยุบ เดินจงกรมเล่นๆ บริกรรมพุทโธ สวดมนต์ หรือกระทั่งไปนั่งถักนิตติ้ง จิตก็จะนิ่งได้ สงบได้ ชั่วคราว

แต่ถ้าจะเอาปัญญา สู้กับทุกข์แบบจริงๆจังๆ เห็นจะต้อง ขยับไปทำวิปัสสนา

ฉะนั้น ที่นั่งสมาธิแล้วเห็นว่ามันเคลื่อนไหว ว่อกแว่ก นั่นแหละดีแล้วนะครับ เห็นอนิจจัง เห็นทุกข์ เห็นอนัตตา นี่แหละวิปัสสนาแท้ๆเลย

ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ วางใจให้ถูก เชื่อในการเรียนรู้จักตัวเอง แล้วจะเห็นว่า จิตที่ว่อกแว่ก ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ

ปัญหาอยู่ที่จิตอีกดวง ที่ไม่ชอบความว่อกแว่กนั้นอีกทีครับ

สุขสันต์วันที่โลกข้างนอกวุ่นวาย แต่ภายในสงบได้นะครับ





 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 1 ธันวาคม 2551 18:41:28 น.
Counter : 1053 Pageviews.  

ตอบคำถาม คนเหนื่อยหน่าย



ช่วงนี้เดินสายตอบปัญหาไว้หลายเรื่อง
เลยถือโอกาสคัดเรื่องที่น่าจะเป็นประโยชน์กับใครบางคนมาไว้ในบล็อก

อันนี้ก็มาจากเว็บแสงดาวส่องทางฯอีกเช่นกันครับ

มีเรื่องจะขอคำปรึกษาค่ะ
เราโดนทิ้งมา เพิ่งรู้ว่ามีเขาอยู่บนหัว เสียใจจนแทบบ้า ไม่เป็นผู้เป็นคน
กว่าจะรอดมาได้ แสนสาหัส ตอนนี้ ยังครึ่งบกครึ่งน้ำอยู่ค่ะ ยังไม่หายสนิท

เพราะหนี้ที่เรายืมให้เค้าค่ะ ตอนที่คบกัน เค้าลำบาก เราก็ทนเห็นเค้าเดือดร้อนไม่ได้ ต้องดิ้นรนหยิบยืมให้เค้า จนเงินเก็บตัวเองหมด ความรักเนี้ยะมันทำได้จิง ๆ

ก็ไปกู้เงินสินเชื่อ หลายแห่ง รวมกันเป็นหลักแสน มาถึงตอนนี้ ก็ก้มหน้าก้มตา จ่ายหนี้มันไปทุกเดือน
และแต่ละเดือนก็ไม่เคยพอใช้ ชักหน้าไม่ถึงหลัง เดือดร้อนทุกเดือน ทุกปี ใช้หนี้มันคนเดียว

และจนวันนี้ เราเลิกกันแล้ว พอถามถึงเรื่องหนี้ที่เกิดขึ้น
เค้าก็บอกว่าไม่มี และเบื่อ รำคาญเวลาพูดถึงเรื่องเงิน

หรือเราต้องรับกรรมที่เราได้ทำขึ้นคะ ต้องเดือดร้อนไปไม่รู้กี่ปี จนกว่ามันจะหมด
ติดต่อเค้าไม่ได้แล้วค่ะ ตอนที่อยู่กับเราเค้าก้อชักดาบ วันนี้โดนซะเอง เฮ้อ ไม่ไหวจะหายใจ

แต่ก็ต้องหายใจต่อเพื่อใช้หนี้ใช่มั้ยคะ


เอากำลังใจมาฝากหอบใหญ่ๆครับ

ก่อนจะอ่านต่อ.. หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนออกยาวๆ ทำสักสามเที่ยว

สบายขึ้นแล้วใช่ไหมครับ
แต่สบายใจขึ้นก็จะดีขึ้นแป๊บเดียว เดี๋ยวจิตก็จะกลับไปคิดเรื่องเดิมอีก

นี่แหละครับ ที่พระพุทธเจ้าท่านว่า สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว

เคยสังเกตไหมครับ ว่าชีวิตเรานี่ ไม่มีอะไรเป็นของเราถาวรจริงๆเลยสักอย่าง
แม้แต่สิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตอย่างลมหายใจ เราหายใจเข้า ก็เก็บไว้ได้แป๊บเดียว เดี๋ยวก็ต้องหายใจออก
หายใจออกแล้วจะไม่หายใจเข้าก็ทุรนทุราย เป็นทุกข์ ต้องหายใจเข้าเพื่อแก้ทุกข์

แค่หายใจเข้าออกนี่ ถ้าพิจารณาด้วยสติ ก็สอนอะไรเราเยอะแล้วนะครับ

ร่างกายเรา ที่เราคิดว่าเป็นของเรา ถึงเวลามันจะเจ็บไข้ เราจะห้าม จะสั่งมันก็ไม่ได้
เวลามันจะโทรม จะแก่ จะเมื่อย จะปวด จะล้า เราก็ห้ามมันไม่ได้
ถึงเวลาตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง ปากสวยๆ ตากลมโต อกที่ตึงก็เหี่ยวแห้งเน่าเหม็น

จิตใจที่เป็นสุข จะให้สุข 24 ชม. สักเดือนละ 24 วัน ก็สั่งมันไม่ได้
จิตใจที่เป็นทุกข์ จะให้มันวางทุกข์ลง พลิกไปสุขเดี๋ยวนั้นทันใจ ก็สั่งมันไม่ได้

พูดแบบนี้ไม่ได้บอกให้ทิ้งชีวิตหนีหนี้นะครับ
เพราะความตายทำให้คนเราพ้นหนี้ทางโลกได้ แต่พ้นทุกข์เพราะหนี้กรรมไม่ได้
กลับจะเพิ่มหนี้กรรมทำให้ต้องทนทุกข์มากกว่าเดิม นานกว่าเดิมอีก

หลวงพ่อที่เป็นอาจารย์ผม ท่านเคยสอนว่า เรามีทุกข์เพราะเป็นหนี้
ถ้าตั้งสติ วางแผนดีๆ สามปี ห้าปี สิบปี ก็ยังปลดหนี้ได้

แต่ถ้าไปฆ่าตัวตายนี่ บาปกรรมจะซ้ำซ้อน เพราะจะกลายเป็นผีที่มีโทสะ
ไม่ต่างจากภาวะจิตก่อนตาย แล้วจะต้องจมอยู่ในภาวะจิตแบบนั้นไปอีกนานแสนนาน

เรื่องของคุณ มันต้องแยกเป็นสองส่วน
ส่วนของปัญหา คือเรื่องการจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
กับเรื่องของทุกข์ คือการจัดการกับความรู้สึกในจิตใจตัวเอง

ถ้าคนอย่างคุณสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ที่มีหนี้เป็นหมื่นล้าน เขายังมีชีวิต มีความสุข หัวเราะออกทีวีได้
ทำไมคนที่มีหนี้ไม่กี่แสนแบบคุณจะมีความสุขไม่ได้

ตอนนี้ผมมีหนี้ธนาคารค่าบ้านอยู่สี่ล้านกว่า ท่ามกลางกระแสวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
ผมคำนวณดูแล้ว ถ้าวิกฤติมาถึงตัว แย่ที่สุดผมก็กลายเป็นบุคคลล้มละลายทางโลก
แต่มั่นใจว่า คงไม่ล้มละลายทางใจ และทางธรรม

อย่าไปใส่ใจเรื่องที่มาของหนี้ เพราะอันนั้นมันเรื่องอดีตไปแล้ว
ให้อยู่กับปัจจุบัน ยอมรับปัจจุบันให้ได้ ว่ามันก็เป็นไปแล้ว
ทำใจได้อย่างนี้ แล้วใจจะสบาย ด้วยผลของทานที่ชื่อ "อภัยทาน"

อีกอย่าง .. ปัญหากับทุกข์ มันมักจะมาด้วยกัน แต่มันเป็นคนละส่วนกันนะครับ
ปัญหาเหมือนชามที่บิ่น หรือเป็นรอยร้าว ซึ่งไม่ได้เกี่ยวว่าก๋วยเตี๋ยวในชาม จะรสชาติดีหรือแย่

เรื่องปัญหาหนี้ ก็เช่นกัน ถ้าคุณลองหาข้อมูลซึ่งผมจำได้ว่ามีเว็บไซต์ของบรรดาลูกหนี้บัตรเครดิตเขาทำไว้
เขามีคำแนะนำชนิดละเอียดยิบ ว่าคุณควรจะรับมือ จัดการปัญหาหนี้ของคุณอย่างไร

//www.consumerthai.org/debt_club/index.php (อันนี้มีเพื่อนหามาให้)

สติเป็นเรื่องสำคัญ ขอให้สวดมนต์ ไหว้พระ ถือศีล แล้วหัดภาวนา
บล็อกผมมีลิงค์ที่นำไปสู่เว็บชื่อ วิมุตติ คุณไปโหลดไฟล์เสียงมาฟังได้ อยู่ทางขวามือ

วิปัสสนา ไม่ได้ทำให้ทุกข์หมดไปจากชีวิตเรา แต่ทำให้เรามีสติ มีปัญญา
พอเห็นได้ว่า ทุกข์มีอยู่ แต่ไม่มี "คนทุกข์" นะครับ

ทำมันทั้งสองอย่าง คือแก้ปัญหาด้วย จัดการทุกข์ด้วย
ขอให้ค่อยๆมีทางออกที่ดีให้ชีวิตนะครับ

สุขสันต์วันที่ฝนตกและวันฝนไม่ตกครับ




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2551 17:10:18 น.
Counter : 1165 Pageviews.  

โรคหวังเรื้อรัง



มีกระทู้นึงในเว็บแสงดาวส่องทางฯ เขาถามมาเรื่อง "ควรจะดีใจแต่ทำไมกลับต้องทุกข์แทนด้วย"

"ตอนนี้รู้สึกสบายใจมาก ๆ หลังจากที่ต้องทุกข์อยู่มานานหลายเดือนกว่าจะทำใจยอมรับความจริงได้ เราเคยต้องรอคนรักที่จากไปกว่า9เดือน จนหลังสุดได้พูดคุยกันแล้วรู้ว่าเค้าได้มีใครคนใหม่ ที่เค้าคิดว่าดีสำหรับเค้า จากที่รอและไม่สนใจใครนอนร้องไห้ แต่ตอนนี้ทำใจยอมรับมันได้ ได้แต่เป็นห่วงเค้า เพราะเท่าที่ฟังดูที่เค้าเล่าให้ฟังเราคิดว่าเค้ากำลังโดนหลอก บวกกับเราได้ลองไปดูดวงให้เค้า มันก็ขึ้นมาจริงๆ ว่าเค้าโดนหลอกและเป็นจริงอย่างที่เราได้รู้จากเค้า ตอนนี้ทำให้เราเป็นห่วงเค้ามาก แทนที่เราจะดีใจที่เค้าทำให้เราเจ็บ และก็จะได้เจ็บแต่ไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อเรารู้ว่าเค้าจะเจ็บเรากลับเจ็บด้วย เราไม่อยากให้เค้าต้องเจ็บปวด

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเราตั้งใจไปปฏิบัติธรรมและแผ่เมตตาให้เค้าทั้งหมด เพื่อให้เค้าได้หลุดพ้นและไม่ทุกขืกับความรักกับคนใหม่นี้ รวมถึงขอพรให้ผู้หญิงคนนั้นอย่าได้หลอกลวงเค้าและบอกความจริงให้ได้รู้ เค้าจะได้ไม่ลุ่มหลง และหลงผิด แผ่เมตตาให้เค้าหมดกรรมต่อกัน ทำแบบนี้แผ่เมตตาให้ทุกวันและทุกครั้งที่สวดมนต์และนั้งสมาธิ แม้แต่ทำความดีเพียงน้อยนิดก็แผ่ให้เค้าทั้งหมด บางครั้งเราเองก็แอบขอพรขอบุญบารมีที่เราทั้งสองได้ทำร่วมกันดลบรรดาลให้เราทั้งสองได้กลับมาเป็นคู่บุญบารมีต่อกันอีก อยากทราบว่าการที่เราทำแบบนี้จะผิดใหม และเราแผ่เมตตาให้เค้ากับคนใหม่จะมีผลอย่างไรบ้าง"


ที่พูดๆกันว่า "ทำใจได้" ไม่ใช่เรื่องแค่พูดแล้วใครๆก็ทำได้ง่ายๆนะครับ

เพราะทำใจได้ด้วยการพยายามพูดโน้มนำใจตัวเอง ก็อย่างหนึ่ง
ทำใจได้ ด้วยการยอมรับด้วยความคิด ก็อีกอย่างหนึ่ง

แต่ถ้าเมื่อไหร่ทำใจได้ เพราะ "จิต" มีปัญญา เห็นทุกข์ เห็นโทษ
ของความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่เมื่อไหร่ อันนั้น ต่อให้ไม่ทำใจ ใจมันก็ทำได้ วางได้เอง

หลายคนจะมีอาการปากพูดว่า "ทำใจได้" แต่ใจจะแบบแอบเกี่ยวๆไว้นิดนึง
พร้อมจะดึงความเป็น "ของเรา" กลับมาถ้าเหตุและปัจจัยมันอำนวย

ช่วงที่ผ่านมาคนเป็นหวัดเรื้อรังกันงอมแงม ที่ออฟฟิศผมก็ทยอยป่วยกันทีละคนสองคน
แต่ทุกข์แบบของคุณ ก็เป็นการป่วยแบบหนึ่ง ผมเรียกว่า เป็นโรค "หวังเรื้อรัง"

อยากหายขาด ใช่จะเดินนวยนาดไปชี้นิ้วสั่งจิตตัวเอง มันไม่มีทางเชื่อคุณหรอก
พระพุทธเจ้าบอกว่า จิตเป็นอนัตตา คือจิตไม่ใช่เรา เราไม่ใช่จิต จิตถึงเลือกจะฟังเราหรือไม่ฟังเราก็ได้
เขาทำงานได้เอง ปรุงสุขปรุงทุกข์เอง จะตัดเยื่อใยหรือเหลือไว้ มันก็เลือกของมันเอง

คุณต้องหัดภาวนา แล้วอย่าดื้อ และกรุณาอย่า "แต่..."

ลองอ่านสิ่งที่คุณเขียนดูแบบคนนอกปกติเขาอ่านก็ได้
แล้วถามตัวเองว่า ไอ้คนเขียนนี่ มีความสุข หรือมีความทุกข์ คนเขียนเบิกบาน หรือหม่นมัว

จิตแบบคุณตอนนี้ ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า พวกจิตนางเอกมิวสิควีดีโอ
คือเป็นนางเอ้ก นางเอก สงสารอยากช่วยพระเอก และต้องเสียสละเพื่อรักแท้

แล้วที่สุดก็ไปคลุกเคล้าอยู่กับอารมณ์เจ็บๆ แสบๆ คันๆ
ว่าฝนที่ตกทางนี้ พระเอกจะหนาวทางโน้นไหม เธอสู้ไหวหรือเปล่า
เวลาใครมาเล่าสู่กันฟัง นางเอกก็พังไปเป็นแถบ

เขาอยากได้ไม่อยากได้บุญของเราก็ไม่รู้ล่ะ แต่เราเป็นนางเอกนี่นา
จิตคุณมันจะคิดแบบนี้ อันนี้ต้องรู้ทันเรื่อยๆนะครับ

น่าสังเกตว่า เวลาไปวัดทำบุญ เขาทำเพื่อ "สละออก" เพื่อลดความมีอัตตาตัวตน
แต่คุณก็ไปทำ เพื่อวัตถุประสงค์จะ "ได้มา" เพราะยังแอบหวังว่าจะได้เขากลับมา

ที่คุณบอกว่าไป "ปฏิบัติธรรม" อันนี้ไม่ทราบว่าไปทำอะไรมานะ
แต่ขอเป็นจิ้งจกทักคุณไว้ว่า ดูท่าการปฏิบัติธรรมของคุณจะยังไม่ได้เนื้อได้น้ำ

แผ่เมตตานี่ ไม่ผิดหรอกครับ แต่แผ่เมตตาแบบมีวัตถุประสงค์แอบแฝง
ตามแรงของโรค "หวังเรื้อรัง" อันนี้มันจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีต่อสุขภาพจิตคุณเอง

ส่วนเรื่องการทำบุญ ทำกุศล จะอุทิศให้ใคร เขาต้องรับรู้ด้วยนะ
พระเอกที่ไม่ใช่ AJ ของคุณ เขายังไม่ใช่สัมภเวสี หรือเทวดา จู่ๆจะส่งให้ทางจิตเห็นจะไม่ได้

ในภพของมนุษย์ คุณต้องบอกเขา และให้เขาอนุโมทนาบุญด้วยวาจาใจเอง เขาถึงจะได้
แต่ที่แผ่ไปแล้วถ้าทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ผลที่ได้จริงๆ ก็ตกกับคุณเองนี่แหละครับ

ผมพูดลอยๆ พูดกว้างๆ ทักเล่นๆ คุณลองตีความและพิจารณาเอาเอง ว่าจะทำยังไงต่อไปนะ

สุขสันต์วันหุ้นขึ้นๆลงๆครับ



วันนี้เนทมีปัญหา ผมเปลี่ยนเพลงยังไม่ได้ ฟังเพลงเก่าไปก่อนนะครับ




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2551 12:18:51 น.
Counter : 811 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.