Group Blog
 
All blogs
 

บ้านของเรา ปัญหาของเรา ทุกข์ของเรา



(ภาพประกอบฝีมือคุณ SevenDaffodils ครับ)

เรื่องมันเริ่มมาจาก อีตาแอสตั้นมันไปซื้อบ้านใหม่ไว้ครับ
ที่ต้องซื้อไม่ใช่เพราะอยากเป็นหนี้ แต่เพราะสองเหตุหลัก

คือหนึ่ง บ้านที่สีลมนี่ พ่อเขายกให้พี่ชายกะน้องชายผม
ถ้าผมยังหน้าแป้นแล้นอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ เขาก็คงไม่ว่ากระไร แต่ผมน่ะเกรงใจเขา

สอง ที่ทำงานประจำผม เขาย้ายออฟฟิสใหม่ไปอยู่แถวนู้นนนน เมืองทองธานี
ระยะทางจากบ้านสีลมไปที่โน่นก็ตกประมาณสามสิบกิโลเศษๆ ไปกลับเกือบเจ็ดสิบกิโล
ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน เดือนนึงก็เกือบๆผ่อนบ้านหลังเล็กๆได้

คิดสะระตะแล้ว เลยไปถอยบ้านป้ายแดงมาหลังหนึ่ง
อยู่ห่างจากที่ทำงานใหม่สิบกว่าโล และไม่ต้องขึ้นทางด่วน

ตอนนี้บ้านเสร็จแล้ว เข้าอยู่ได้แล้ว ยกเว้นว่าอยากต่อเติมเสริมแต่ง
เช่นทำห้องครัวเพิ่มเพื่อทอดไข่อาทิตย์ละสองฟอง

พอจะย้ายบ้านจริงๆ ถึงรู้สึกว่า เออ.. แต่ละที่ มันก็มีข้อดีข้อเสียของมันนะ

หลังเดิมนี่ ไม่สวยงาม ถึงจะทาสีใหม่แล้ว แต่ข้างในก็เก่ามาก
อากาศไม่ดี ฝุ่นเยอะ หนูเยอะ แมงสาปเยอะ เพราะละแวกนี้มันชุมชนคนขายอาหารเยอะ
ที่จอดรถก็มีปัญหา เพราะมันจอดรวมกัน มีคนดูแลบ้าง แต่ไม่ 24 ชม.

แต่เรื่องทำเล ไม่ต้องพูดถึง หาดีกว่านี้ ไม่ได้แล้ว
ย้ำว่า ไม่ใช่ไม่มี แต่หาไม่ได้ เพราะคงไม่มีปัญญาซื้อแล้ว

ผมเจอคำถามบ่อยๆว่า ทำไมไม่หางานแถวสีลม เพราะมีออฟฟิสเยอะแยะ
ตอบได้ว่า เคยแล้วสี่ที่ แต่เขาไม่รับ แล้วจะให้ทำไง

ดวงผมเปลี่ยนงานทีนี่ ต้องประเภทมีคนมาชวนนะ เดินดุ่ยๆไปสมัครเองไม่เคยได้ แปลกแต่จริงแฮะ

ส่วนบ้านใหม่ มันสงบ สบาย สวยงาม มีต้นไม้อย่างที่ชอบ แต่ไกลบ้านเมือง
และปัญหาใหม่อีกก็คือ โทรศัพท์ไปไม่ถึง ผมจะไม่มีเนทใช้ ไหนจะเรื่องขนย้ายอีก

คิดๆอยู่แล้วก็นึกขำขึ้นมาว่า คนเรานี่มันก็แปลกดีนะครับ

คนไม่มีบ้านจะอยู่ ก็ทุกข์แบบนึง คนเช่าบ้านอยู่ ก็ทุกข์อีกแบบ
คนมีบ้านแล้วก็ทุกข์อีกแบบ พอมีสองบ้าน ก็ทุกข์อีกแบบ

อย่างของผมมันทุกข์เพราะมีปัญหาว่า แล้วจะอยู่ที่ไหนดี
มีบ้านแล้ว กลายเป็นมีภาระต้องซื้อข้าวของ ต้องผ่อน มีหนี้ แถมมีภาระให้คิด

ไอ้ตอนเคยมีปัญหาว่าจอดรถหน้าบ้าน แล้วมีคนถอยมาชนรถเรา แบบจับมือใครดมไม่ได้
เราเคยนึกว่าซื้อบ้านใหม่แล้วก็หมดปัญหา เอาเข้าจริงก็ไม่หรอก
ปัญหานี้หมด มันก็มีปัญหาใหม่โผล่มาให้เห็น ก็ปัญหานี่มันของคู่มนุษย์นะครับ

พระท่านว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงเกิด ทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุ

เพราะมีบ้าน จึงมีปัญหา บ้านเป็นเหตุของปัญหา แต่ไม่ใช่เหตุแห่งทุกข์นะ
ถ้าบ้านเป็นแค่ "บ้านหลังหนึ่ง" ของใครไม่รู้ จะมีปัญหายังไง ก็ไม่ทำให้เราทุกข์

ที่เราทุกข์ เพราะมันกลายเป็น "บ้านของเรา" จริงไหมครับ
อนุมานได้ว่า เหตุของทุกข์คือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

อย่างเวลาได้ยินหมอพูดว่ามีคนเป็นมะเร็ง ฟังดูก็น่ากลัว
แต่ถ้าหมอบอกว่า หมายถึงเรานี่แหละ ผมว่าทุกข์มันคงท่วมขึ้นมาฉับพลันทันใด

ข้อดีของการเรียนวิปัสสนา จึงอยู่ที่การทำให้เราลดความยึดมั่นถือมั่นลง
ว่าจริงๆแล้ว สิ่งที่เป็น "ของเรา" แท้ๆ มันไม่มีหรอก เพราะ "ตัวเรา" ยังไม่มีเลย
มันมีแต่เปลือก มีแต่ความนึก คิด ปรุงแต่ง ความจำได้หมายรู้ ว่านี่คือ "ตัวเรา"

ถามว่าวิปัสสนาแล้วจะรู้ได้ไง
ตอบว่า รู้ได้สิ เพราะวิปัสสนา เราปฏิบัติด้วยการหมั่นรู้กาย รู้ใจตัวเอง

วิปัสสนา ไม่ได้หมายถึงการไปนั่งหลับตา เพ่งลม เพ่งท้อง แล้วสัปงก งกๆๆ
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า รู้กาย ได้แก่ การรู้สึกตัวว่ามี รูปๆหนึ่งยืน เดิน นั่ง หรือนอน

ใครที่ถนัดรู้กาย คอยรู้สึกตัวดูบ่อยๆ แล้วจะเห็นว่า ไอ้ที่ยืน เดิน นั่ง นอน มันเป็นก้อนๆนึง
มีลมหายใจเข้าออกคอยหล่อเลี้ยง มีทุกข์คอยบีบคั้น ให้ปวด เมื่อย เจ็บ ชา
เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็ปวดหนัก ปวดเบา

ทั้งหมดนั้น เราไม่เคยสั่ง เราห้ามก็ไม่ได้ ว่าอย่าเมื่อย อย่าหิว อย่าปวด อย่าเจ็บ
เห็นได้อย่างนี้บ่อยๆ จะเข้าใจได้จริงๆว่า กายไม่ใช่เรา

ส่วนจิตใจ ก็เหมือนกัน ถ้าหมั่นรู้สึกตัว รู้ทันกริยา สภาวะของจิตใจบ่อยๆ
จะเห็นได้ว่า มันเปลี่ยนไป เปลี่ยนมาทั้งวัน ทั้งคืน สุขๆ ทุกข์ๆ สลับๆกัน

แต่ทั้งหมด มันทำของมันเอง มันจะสุข มันจะทุกข์ ก็เพราะมีเหตุสมควรของมัน
ไม่ใช่เพราะเราวางแผนไว้ก่อน ทำตารางไว้ล่วงหน้า ว่าวันนี้ฉันจะมาอารมณ์ไหน

ไม่อย่างนั้น เราคงไม่ต้องเรียนวิปัสสนาหรอก โปรแกรมไปเลยดีกว่าว่า
ต่อแต่นี้ไปจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ฉันจะมีแต่ความสุข

ทำไม่ได้ ใช่ไหมครับ งั้นก็ต้องเชื่อพระพุทธเจ้านะครับ ว่าจิตมันไม่ใช่ตัวเรา
มันอยู่นอกเหนือการบังคับ กำหนด ควบคุมของเรา

คอยรู้สึกตัว ลงปัจจุบัน อย่างเป็นกลาง ไม่แทรกแซง ไม่บังคับ
มันจะเผลอก็แค่คอยรู้สึกตัว มันจะปรุงแต่ง จะมีกิเลส จะรัก โลภ โกรธ หลง ก็แค่คอยรู้สึกตัว

รู้สึก เพื่อให้จิตมันจำสภาวะได้ ว่าสภาวะแต่ละตัวมันมีลักษณะเป็นยังไง
เห็นบ่อยๆเข้า จิตมันจะจำลักษณะเฉพาะของสภาวะนั้นๆได้เอง
พอสภาวะนั้นโผล่มา มันจะระลึกขึ้นได้โดยอัตโนมัติ

จิตที่ระลึกรู้ได้บ่อยๆ มันจะเริ่มมีการสะสมปัญญา เห็นว่าจิตที่เกิดขึ้นแต่ละดวง มันไม่เที่ยง
มันเกิดดับ เกิดดับ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพราะมันมีบางสิ่งมาบีบคั้น ไม่ให้มันคงที่อยู่ได้
และกระบวนการทั้งหมด มันเกิดขึ้นเอง ตามเหตุและปัจจัย

ไม่ได้เกิดเพราะเราอยาก หรือไม่อยาก เพราะเราชอบ หรือไม่ชอบ

ถึงวันหนึ่ง จิตมันจะขมวดความรู้เข้ามาสรุป ที่เราเรียกว่าบรรลุธรรม
บรรลุหนึ่งครั้ง เรียกว่า พระโสดาบัน สองครั้งเรียกพระสกิทาคามี
สามครั้งเรียก พระอนาคามี สี่ครั้งเรียก พระอรหันต์
(ต้นฉบับเดิม ผมเขียนสลับที่กันระหว่างขั้นที่สอง กับสาม ต้องกราบขออภัยด้วยครับ อันนี้แก้แล้วครับ ขอบพระคุณท่านที่สะกิดเตือนมาครับ)

การบรรลุธรรมในแต่ละขั้น ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า
ก็คือการที่จิตเห็นความจริงและยอมรับ ในที่สุดว่า

จิตไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของดีของวิเศษ จนวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน นั่นแหละ
ไม่ได้พิสดารอะไรมากหรอกครับ แต่มันยากเพราะเปลือกความคิดเรามันหนามาก

ตลอดสายของการวิปัสสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบอกตรงไหนเลยว่า
จงทำอย่างนั้น จงทำอย่างนี้ เกินไปกว่าการ "รู้" หรือที่เรียกว่า "รู้สึกตัว"

แค่ "รู้สึกตัว" อย่างเดียว พาคนพ้นทุกข์ได้ ไม่น่าเชื่อ และไม่ควรเชื่อง่ายๆนะครับ
แต่ให้พิสูจน์ดูเองดีกว่า ว่าเพียงแค่ "รู้สึกตัว" นี่ ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมายจริงเหรอ

ว่าจะมาเล่าเรื่องบ้าน พาลมาคุยเรื่องวิปัสสนาได้ บล็อกนี้มันอนิจจังจริงๆ ตาแอสตั้น

ยาวไปนิด แต่อธิบายเรื่องวิปัสสนา ไว้ครบถ้วน แบบคร่าวๆ
คงเป็นความยาวที่คุ้มค่าการอ่านของท่านนะครับ

สุขสันต์วันแดดออกครับ



เพลงชื่อ ไทม์ อาฟเตอร์ ไทม์ โดย คริส มอนเทซ์ ครับ




 

Create Date : 07 กันยายน 2551    
Last Update : 16 กันยายน 2551 8:01:18 น.
Counter : 916 Pageviews.  

ควันหลงจากวันวาน : ประหยัด






งานเปิดตัวหนังสือผ่านไปเรียบร้อยสมดังความตั้งใจครับ

เมื่อวานนี้นอกจากพี่ๆน้องๆสื่อมวลชนที่ไปกันเยอะแยะแล้ว ก็ยังมีแขกรับเชิญอีกหลายท่าน
มี 4 ท่านที่ขึ้นไปสนทนาบนเวที คือคุณลูกน้ำ บก. มารีแคลร์ คุณเจตต์ โสภิตพงศธร
มีคุณแอม ฉายนันท์ มโนมัยสันติภาพ และพี่ซัน มาโนช พุฒตาล

แต่ละท่าน ก็มีสไตล์แตกต่าง แต่เป็นตัวของตัวเองแล้วก็พูดกันได้ดีทุกคน

ท่านนึงที่อุตส่าห์มาช่วยงาน ทั้งที่เป็นมุสลิม แล้วก็ขึ้นไปพูดอะไรๆได้น่าฟังเหมือนเดิม
ก็คือพี่ชายที่ชื่อ พี่ซัน มาโนช พุฒตาล

พิธีกร ถามพี่ซันว่า มีเคล็ดลับอะไรจะฝากสำหรับการมีชีวิตที่มีความสุขในยุคปัจจุบัน
พี่ซันบอกว่า เราควรจะ "ประหยัด"

ฟังแล้วทีแรก งงรับประทาน ว่าพี่ซันจะมามุขไหน พี่ซันเลยขยายความต่อว่า
ยุคนี้เราเป็นทุกข์กันเยอะ เพราะฟุ่มเฟือยกันมากไป

ฟุ่มเฟือยทั้งการใช้ชีวิต การใช้จ่าย การบริโภค กระทั่งการพูด
ไอ้สามอย่างแรก พอเข้าใจได้ แต่ไอ้การพูด ผมยังสงสัย

ยังไม่ทันจะคิดหาตำตอบ พี่ซันก็อธิบายว่า เดี๋ยวนี้เรามักจะซื้อเกินกว่าที่เราจำเป็นต้องใช้
ส่วนเรื่องการพูด ที่ว่าฟุ่มเฟือย พี่ซันยกตัวอย่างว่า อย่างกรณีที่ม็อบตีกัน
มีคนตายหนึ่งคน แต่ทีวีจะออกข่าวตั้งแต่ตีสี่ไปทุกๆชั่วโมงจนถึงตี่สี่ของอีกวัน

เท่ากับเราจะได้ฟังเรื่องเดิมๆซ้ำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อีกหลายสิบหน
ทั้งจากปากของคนอ่านข่าว จากผู้สันทัดทุกกรณี และบางกรณี
อย่างนักวิชาการ ทหาร ตำรวจ นายตรวจเรือเมล์ น้าเก๋ปากซอย
น้าต๋อยเซมเบ้ พี่เอ๋ท่าซุง ลุงป้อมจอมซ่า ป๋าดอมจอมขู่ ป้าตู่จอมคุย
ขาลุยทั่วแคว้น เด็กแว๊น แอนด์สะก๊อย เด็กดอยหน้าแป้น พี่แว่นหน้าจ๋อย
ยายมด ป้าม้อย จากท้ายซอย ถึงดอยตุง

ไอ้สร้อยท้ายยาวๆนี่ พี่ซันไม่ได้พูด ผมพูดเอง
เขียนเป็นตัวขยายให้เห็นภาพความ "ไม่ประหยัด" ซะเอง

บล็อกนี้เลยสนองนโยบายพี่ซัน ด้วยการประหยัดการใส่รูปภาพ จากเดิมเป็นรูปใหญ่ เหลือแค่นี้เอง
ว่าแล้วก็ควรจะประหยัดไฟ ไม่เขียนยาว

รูปภาพ บรรยากาศในงาน ถ้าได้มาผ่านเซนเซอร์แล้วอย่างไร จะเอามาลงให้ชมนะครับ

ปล.

ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ทุกท่านที่กรุณา(โดดงาน)ไปร่วมงาน
ขอบคุณท่านที่ไม่ได้ไปแต่ฝากกันซื้อหนังสือหน้างาน คนละเล่มสองเล่ม ห้าเล่มสิบเล่ม

ขออภัยที่อาจจะไม่มีจังหวะได้ทักทายพูดคุยได้ทั่วถึงและนานพอ
เพราะเมื่อวานเป็นรอบสื่อมวลชน เลยมีคิวสัมภาษณ์ยาวหน่อย

ใครไปไม่ทัน ลางานไม่ได้ ไม่เป็นไรนะครับ ผมเตรียมไว้อีกหนึ่งวันเพื่ออำนวยความสะดวก
สำหรับชาวมนุษย์เงินเดือน ที่ไม่สะดวกจะลางานไป หรือเมื่อวานไปแล้ว ผมยังไม่ได้เซ็นหนังสือให้

วันที่ 14 กันยายน 2551 นี้ บ่ายโมงเป็นต้นไป ที่ร้าน After You เจ อเวนิว ฝั่งซอยทองหล่อ 13
แผนที่ เบอร์โทร รายละเอียดหน้าตาร้าน รบกวนแวะชมได้ที่นี่นะครับ

//www.fwdder.com/topic/14748





ว่าจะไม่มีรูป แต่อดไม่ได้ เพราะภาพสวยๆของคุณแป๋ว เหมือนเป็นของคู่บล็อกผมไปแล้ว

ปล. 2 แจ้งให้ทราบว่า ผมจะกลับมาจัดรายการ 2 รายการ
อันแรก เป็นรายการสนทนาเรื่อง "ธรรมะคนเมือง" ทาง 99.5 วันจันทร์ ตอนหกโมงครึ่ง ถึงทุ่มตรง

อันนี้ ไปจัดเพื่อทำบุญแทนคุณแผ่นดินครับ

อีกอัน คือรายการ the Rewinder เดิมๆ ได้เวลาใหม่แล้ว ที่ 98.5 Good FM
ที่จริงจะว่าเวลาใหม่ ก็ไม่ถูกนัก เพราะยังเป็นวันเสาร์ บ่ายโมงถึงบ่ายสี่โมง เวลาเดิม

แต่รอบนี้มีเฉพาะวันเสาร์นะครับ แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลยเนาะ

เริ่มเสาร์นี้เลยล่ะครับ




 

Create Date : 04 กันยายน 2551    
Last Update : 9 กันยายน 2551 16:32:24 น.
Counter : 878 Pageviews.  

ไก่กับไข่ และคำถามอจินไตย



(ภาพประกอบจากคุณ SevenDaffodils เจ้าเก่าครับ)

คุณเคยสงสัยและนั่งถกกับเพื่อนในปัญหา "เรื่องไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน" ไหมครับ

ทีแรกผมก็นึกว่าไอ้สำนวนนี้ มันฮิตกันในเฉพาะหมู่คนไทย
แต่เอาเข้าจริงๆ ฝรั่งเขาก็เรียกปัญหาที่มันจับต้นชนปลายไม่ได้ว่า Chicken and Egg ด้วยเหมือนกัน

แปลว่า มนุษย์เรามักมีข้อสงสัยในเรื่องหลายๆเรื่องคล้ายๆกัน
เช่น สงสัยว่าต้นกำเนิดมนุษย์เกิดมาจากไหน โลกเกิดมาอย่างไร จักรวาลเกิดมาอย่างไร

ไปจนถึงคำถามว่า ถ้าเราเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ อย่างที่พระท่านว่า
แล้วไอ้ "ตัวเรา" ตัวแรกเนี่ยมันโผล่มาจากไหน

ในทางพุทธ เรามีศัพท์เรียกคำถาม ข้อสงสัยจำพวกนี้ว่า "อจินไตย"
คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแนะว่า ไม่ควรเปลืองพลังงานไปคิด
ผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์

ถ้าว่ากันตามเนื้อความในตำรา สิ่งที่เป็นอจินไตยมี ๔ เรื่อง คือ

๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า ไม่พึงเสียเวลาไปนึกคิดว่าจิตท่านเป็นอย่างไร ท่านคิดอย่างไร ฯลฯ

๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน ไม่พึงเสียเวลาไปจินตนาการว่าผู้ได้ฌานอภิญญามีฤทธิ์ต่างๆได้อย่างไร

๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม ไม่พึงเสียเวลาไปหาคำตอบว่า วิบากที่เรารับ เราเจออยู่ตอนนี้ เป็นผลมาจากกรรมไหน ณ ปางใด

ขนาดพระพุทธเจ้าที่ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้ไม่จำกัด
ตอนท่านตรัสรู้ ท่านเคยเล็งญานสาวไปหาต้นทางของการเกิด แต่ยิ่งไล่ไปเท่าไหร่ก็ไม่เจอต้นทาง

ท่านถึงเคยบอกว่า สังสารวัฏของสัตว์โลกนี้ "จับต้นไม่ได้ หาปลายไม่เจอ"
ขนาดท่านยังสาวไปไม่ถึง แล้วเราจะไปคิดถึงทำแป๊ะอะไร

๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องกำเนิดโลก กำเนิดจักรวาล กำเนิดท้องฟ้าอากาศต้นไม้
อันนี้คิดไปดีที่สุดก็ได้แค่ทฤษฎี ที่หาข้อสรุปแน่นอนไม่ได้

เล่าเรื่องอจินไตยมาเสียยาวยืด เพราะผมนั่งมองปัญหาการเมืองมานานสองนาน
เวลาได้ฟังต่างฝ่ายนั่งโทษกันว่า ต้นเหตุของปัญหามาจากไข่ เอ๊ย.. มาจากใคร
ผมก็จะนึกถึงเวลาคนเถียงกันเรื่องไก่กับไข่นี่แหละ

ส่วนตัวแล้วผมไม่เห็นประโยชน์จะนั่งโยนบาปไปมา ว่าต้นตอของปัญหาเกิดมาจากใคร
น่าจะใจเย็นๆ ค่อยๆนั่งคุยกัน ว่าในเมื่อมันมาถึงขนาดนี้แล้ว จะช่วยกันยังไง

ไก่จะเกิดก่อนไข่ หรือไข่จะเกิดก่อนไก่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า
เราจะดูแลไก่ที่เกิดมายังไง และจะฟูมฟักไข่ที่ออกมายังไง ให้มันเกิดประสิทธิผล

ถ้าจะมองว่าฝ่ายหนึ่งตัดสินใจผิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ให้ศาลดำเนินการไป
แทนที่จะปลุกปั่นผู้คนตกอยู่ในอำนาจของโทสะ ความเกลียดชัง
ซึ่งน่าจะเป็นผลเสียหายกับส่วนรวมไม่แพ้กัน

เจตนาดีของคนเรานี่ ถ้าทำโดยขาดสติ มันก็กลายเป็นผลเสียได้แบบมหัศจรรย์เลยนะ

เพิ่งมี DVD หนังเรื่องหนึ่งออกขาย ชื่อเรื่อง Death Sentence
นำแสดงโดย เควิน เบคอน พระเอกจากหนังสมัยผมวัยรุ่นเรื่อง Foot loose

เขาเล่นเป็นพ่อ ที่ลูกชายโดนแกงค์อันธพาลข้างถนนฆ่าตาย แต่ผู้ร้ายหลุดคดี
เควิน เลยตั้งตนเป็นศาลเตี้ย ออกตามล่าพวกชาวแกงค์เอง

ตอนท้ายเรื่อง ไล่ฆ่ากันไปมา จนหัวหน้าแกงค์มาเผชิญหน้ากับเควิน แล้วบอกว่า
"ดูแกสิ ตอนนี้ แกก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเราหรอก"

ทุกคนแพ้หมด ไอ้ที่ชนะ ก็มีแต่กิเลสและโทสะ

จริงๆปัญหานี้แก้ง่ายมาก ง่ายจริงๆ แต่เป็นไปได้ยาก

ที่ว่าง่ายคือ ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ ขอให้ทุกคนเลิกสนใจเรื่องนี้ กลับบ้านให้หมด
ไปสงบสติอารมณ์ที่บ้าน เลิกด่ากัน เลิกโทษกัน สื่อมวลชนก็เลิกสนใจม็อบ

ปัญหาจะจบได้ภายในวันเดียวเท่านั้นแหละครับ ไม่ต้องลำบากตำรวจ ไม่ต้องพึ่งใครที่ไหน
หลายคนรวมถึงผมด้วย สงสารตำรวจครับ โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

แต่เป็นไปได้ยาก เพราะต่างคนต่างถือว่าตัวเองไม่ผิด แล้วก็ชี้ว่าอีกฝ่ายนั่นแหละผิด
ฝ่ายที่ควรจะเป็นกลาง ก็ไม่กลาง ไปให้ท้ายฝ่ายหนึ่งกับเขาไปด้วย

ประเด็นตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องทำเพื่อบ้านเมืองหรอกครับ มันเป็นเรื่องสนองอัตตาตัวเอง
จะยึด จะปิด จะอะไรก็ได้ ขอให้ชนะ ชาติบ้านเมืองเป็นไงเป็นเรื่องรอง

ถ้าคนไทยที่เป็นชาวพุทธแท้ๆ รู้จักหลักวิปัสสนา จะเข้าใจสิ่งที่ผมพูด
เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้เรามองตัวเอง ให้เห็นจุดอ่อน เห็นข้อเสีย
เห็นกิเลสของตัวเองก่อนเพ่งโทษคนอื่น

ก่อนจะบอก จะคาดหวังว่าใครต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้แล้วประเทศนี้จะดีขึ้น
ให้ย้อนมาตั้งคำถาม ถามตัวเองว่า แล้วเราล่ะ จะทำอะไรให้ประเทศนี้ดีขึ้นได้บ้าง

ผมตั้งคำถามนี้ให้ตัวเองแล้ว ได้คำตอบว่า ผมควรจะเลิกสนใจปัญหานี้ด้วยเหมือนกัน
แล้วควรจะไปสวดมนต์ เข้านอน เพราะมันดึกแล้ว

อย่าลืมว่า คนอื่นนำปัญหามาให้เราได้ แต่เราไม่จำเป็นต้องทุกข์มากมาย
ถ้าเราไม่ยกทุกข์นั้นขึ้นมาแบกไว้ ด้วยการมีสติ รู้กายใจตัวเองอย่างเป็นปัจจุบัน ตามความเป็นจริง

หิวก็กิน อิ่มก็พอ เหนื่อยก็พัก ง่วงนักก็ไปนอน

รัฐบาล พันธมิตร นปก. คมช. สส. สว. ก็ล้วนแต่ของชั่วคราวนะครับ



ปล. งานเปิดตัวหนังสือพรุ่งนี้ (3 ก.ย.) บ่ายสองโมงครึ่ง ที่ห้องสมุดมารวย สาขาเอสพลานาด ยังมีเหมือนเดิมนะครับ

ถึงผมจะจบธรรมศาสตร์ ถึงหนังสือผมจะสีเหลือง แต่กรุณางดเสื้อเหลืองกับแดงนะครับ

ปล. 2 คนใกล้ตัวผมเตือนไว้เมื่อคืนว่า อย่าไปพูดเรื่องการเมือง
ดีที่สุดก็จะเจอคนที่ "ไม่เห็นด้วยกับเรา แต่เกรงใจเรา" อย่างความเห็นที่ 7

รองลงมา ก็จะเจอความเห็นแนวประชดประชัน รับประทานกันแบบความเห็นที่ 8

ไม่รู้ว่า คคห. 8 จะกล้บมาอ่านอีกไหม แต่เอาเป็นว่า ผมมาเขียนให้ท่านทราบว่า ผมอ่านแล้วนะ

ถึงแม้จะถือว่าอันนี้ เป็นบล็อกส่วนตัว แต่ผมก็ไม่เคยเรียกร้องว่าทุกคนต้องเห็นชอบกับสิ่งที่ผมคิดทุกตัวอักษร

ผมไม่ตอบโต้ คุณ คคห. 8 หรอกนะครับ
เพราะผมเข้าใจได้ในวิธีคิดของคุณ ว่าผมพูดอะไร คุณก็คงไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วยอยู่ดี

ส่วนน้อง คคห. ที่ 7 ต้องขอบคุณที่พยายามเขียนแย้งอย่างสุภาพ

ที่จริงผมเป็นคนที่มีแนวทางการเมืองแบบ moderate ครับ

ผมไม่ได้ยึดติดกับฝ่ายไหน ไม่ได้เชื่อว่าระบอบอะไรดีที่สุด
เพราะผมชอบ ผมสนใจเรื่องการบ้านการเมืองมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย

ในบล็อกนึง ถ้าใครจำได้ ผมยังเคยเล่าว่า ความฝันสมัยผมเป็นเด็กคือ โตขึ้นผมอยากเป็น นายกฯ
สมัยเรียน ผมเป็นเลขาธิการชุมนุมสังคม สมัยสอบเอนทรานซ์ ผมเลือกคณะอยู่แค่สองสาขาวิชา
คือสายนิเทศ และอีกอันคือ รัฐศาสตร์ครับ

เรื่องความสนใจ ความเข้าใจการบ้านการเมือง ผมพอมีครับ
อันนี้รับรองให้สบายใจได้ว่า ผมไม่ได้เดาสุ่มเวลาแสดงความเห็นเรื่องการเมือง
นักการเมืองทั้งภาคสภา ภาคประชาชน ผมเห็น ผมติดตาม ผมศึกษามาพอควร

ฉะนั้น ถ้าผมจะทักๆ เตือนๆใคร ก็เพราะผมไม่อยากให้ใครเป็นเหยื่อ จุดมุ่งหมายทางการเมืองของใคร
แต่ถ้ามันทำให้น้อง หรือท่านใดไม่สบายใจ ผมก็ต้องกราบขออภัยนะครับ

น้องจะทำในสิ่งที่น้องเชื่อต่อไปก็ได้ครับ
แล้ววันนึง น้องจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามบอกเอง

แต่แก้ความเข้าใจผิดให้นิดนึง
ที่ผมบอกว่า.. ให้ทุกคนกลับบ้านนอน ไม่ใช่อะไรหรอก
ผมเห็นว่า ตอนนี้สถานการณ์มันตึงเครียดเกินไป

เหมือนผัวเมียทะเลาะกัน จะเอาเป็นเอาตายให้แตกหักไปทำไม
ถ้าเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง ในหลวง และประชาชนจริงๆอ่ะนะ

จะดีกว่าไหม ถ้าพักเหนื่อยแยกไปสงบสติอารมณ์กันสักสามวัน แล้วค่อยหาทางคุยกันใหม่

ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็บอกแล้วว่า ทางแก้มันง่าย แต่เป็นไปได้ยาก

เพราะปกติคนที่โดนโทสะ มานะอัตตาครอบงำ มักจะอยากเอาชนะ มากกว่าอยากแก้ปัญหา

เรื่องหน้าหมองๆ อันนี้พูดเป็นแค่นัยๆครับ แต่ถ้าไปให้คนที่มีจิตไวๆ เขาดู เขาจะเห็นอย่างนั้นจริงๆ




 

Create Date : 02 กันยายน 2551    
Last Update : 4 กันยายน 2551 18:14:02 น.
Counter : 1870 Pageviews.  

หนังสือร้อนๆจ้า





เขียนบล็อกมาราวๆสามร้อยบล็อก ถ้าจะขอคั่นโฆษณาสักวัน คงไม่ถือสากันนะครับ
คือเฉพาะบล็อกนี้ ผมได้ทำเครื่องหมายไว้แล้วว่าเข้าข่ายบล็อกขายของ
จะไม่แสดงในหน้าอื่นๆ นอกจากในบล็อกของผมเอง

ทำตามกติกาเป๊ะ

ไม่น่าเชื่อว่า ทำหนังสือเล่มนึงนี่ ใช้เวลานานเอาเรื่องเหมือนกันนะ
คือผมเริ่มตกปากรับคำทำหนังสือเล่มนี้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2550
นับนิ้วไปมา ก็ขาดไปสามเดือน จะครบปีพอดี

แต่เอาเป็นว่า เสร็จช้า ก็ยังดีกว่าไม่เสร็จเลย
เลยถือโอกาสเอาหน้าปกมาแนะนำไปก่อน เผื่อใครจะไปเดินดูสุดสัปดาห์นี้
จะได้ไม่หยิบผิดเล่ม ไปหยิบ FHM มาซะก่อน

แต่ก็อย่างที่บอกไว้ในบล็อกก่อนโน้น ว่าถ้าท่านใดลำบากเรื่องสะตุ้งสตางค์
อย่าลำบาก อย่าลังเล ว่าควรจะซื้อดีไหม

ฟันธงให้เลยว่ายังไม่ต้องซื้อหรอกนะครับ อ่านในบล็อกนี่ก็ครือกัน

คือถ้าจะมีแรงบันดาลใจอยากให้ได้พิมพ์สักสองสามครั้ง
ก็คงเพราะกลัวสำนักพิมพ์จะเข้าเนื้อหนึ่ง แล้วก็อยากให้ธรรมะเป็นของที่เข้าถึงง่ายสำหรับคนรุ่นใหม่ๆ

รูปปกที่เอามาให้ดู คงรู้สึกได้ว่า เขาตั้งใจทำกันสุดฝีมือ
มีบางคนผมเอาหนังสือไปให้ เขาถามถึงคุณแป๋ว SevenDaffodils กันยกใหญ่

เลยฝากผมมาชมว่า ถ่ายรูปสวยจังเลย คุณแป๋ว มารับไปด้วย

คุณชมพู เจ้าของสำนักพิมพ์ฝากมาบอกว่า ใครตั้งใจไปงานเปิดตัวไปซื้อหน้างานก็ได้
เขาลดให้ 20% จากราคาปกที่ 169 บาท

งานเปิดตัวหนังสือ กำหนดไว้วันพุธที่ 3 กันยานี้ เวลา 14.30 น.
ที่ห้องสมุดมารวยฯ ชั้นสอง ดิ เอสพลานาด รัชดา (ไม่ใช่ที่ตลาดหลักทรัพย์นะ)

ว่าแต่ ลด 20% นี่มันเหลือเท่าไหร่นะ แหะแหะ ผมตกเลข

เรื่องขายของนี่ไม่ค่อยถนัด สงสัยงานหน้าต้องใช้บริการจอร์จ กับซาราห์
แฮ่... มันยอดมากเลยนะคุณแอสตั้น << ไม่เข้ากันเลยเห็นมั้ย

วันนี้เพลงชื่อว่า คอลมี Call Me เป็นเพลงเก่าของป้าเพทูล่า คลาร์ก
แต่ฟังเสียงคุณคริส มอนเท เขาสิครับ เสียงน่ารัก ดูใจดี

เขาร้องว่า If you feeling sad and lonely,
there's a service I can render

ยามใดคุณโศกเศร้าเหงาหงิก
ก็พลิกหน้าหนังสือ "ธนาคารความสุข" ได้นะครับ


(ฮ่วย.. เขาไม่ได้ร้องอย่างนั้นซะหน่อย คุณแอสตั้น)




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2551    
Last Update : 2 กันยายน 2551 1:40:30 น.
Counter : 3184 Pageviews.  

จากสมจิตร ถึง Paul Potts ถึงทุกคนที่พึงมีกำลังใจ


(ขอบคุณภาพประกอบจากคุณแป๋ว SevenDaffodils นะครับ)


ช่วงนี้เป็นช่วงโอลิมปิคฟีเวอร์ โดยเฉพาะกีฬาที่ไทยมีความหวังอย่างยกน้ำหนัก หรือมวยสมัครเล่น

ในบรรดาสี่เหรียญที่ได้ครังนี้ เหรียญหนึ่งที่ผมปีติมาก ก็คือเหรียญทองของสมจิตร จงจอหอ

ผมเคยเขียนถึงนักมวยไปครั้งหนึ่ง ในบล็อคที่พูดถึงเรียลลิตี้โชว์ชื่อ The Contender
บอกว่า.. โลกนี้เรามักจะจ้องมองไปที่คนชนะ แล้วมองข้ามคนแพ้

ที่ดีใจกับสมจิตร ไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นคนไทย ไม่ใช่เพราะเขาได้เหรียญทอง
ไม่ใช่แค่เพราะทุกนัดที่ขึ้นชก เขาต่อยได้ดีมาก ชนะขาดแบบสวยงามทุกนัด

แต่เพราะเขาเป็นผู้ชนะ ที่เดินผ่านอุปสรรค ผ่านความผิดหวังพ่ายแพ้มาหลาย
ครั้ง

สมจิตเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่อายุมากที่สุดของโอลิมปิคเที่ยวนี้
เพราะเขามาโอลิมปิคเที่ยวนี้เป็นครั้งที่สาม ซึ่งมีไม่มากนักสำหรับกีฬามวย

(จากข้อมูลที่คุณผู้อ่านชื่อบุญยงได้กรุณาเพิ่มเติมให้ในคอมเมนท์ข้างล่าง)
"สมจิตรเริ่มชกมวยสมัครเล่นเมื่อเห็นสมรักษ์ไปต่อยในปี 1996

ต่อมาปี 2000 ที่ซิดนี่ย์ รุ่น 51 กิโลกรัม สมจิตรแพ้วิจารณ์ พลฤทธิ์ในการคัดตัว
สมจิตรเสียใจมาก ถึงกับไปขอร้องเสธ.วีป เพื่อจะขอตามไปด้วย จะให้ไปเป็นคู่ชก พี่เลี้ยง คนยกของ เสิร์ฟน้ำยังไงก็ได้
เสธ.แกก็เมตตาให้ไปด้วย และวิจารณ์ก็เป็นฮีโร่เหรียญทองในครั้งนั้นเอง

มาที่เอเธนส์ปี 2004 สมจิตรก็ได้เข้าร่วมการแข่งสมใจ แต่พอถึงรอบสอง
สมจิตรเจอนักชกคิวบา จบสามยกสมจิตรนำอยู่ 3 แต้ม แต่โชคร้าย ยกสี่สมจิตรกดดันตัวเอง ดันไปยืนต่อยจนเค้าทำคะแนนแซงได้ ทั้งๆที่ออกไปเต้นฟุตเวิร์คก็ชนะแล้ว สุดท้ายก็ต้องตกรอบไปอย่างเจ็บปวดที่สุด"
(ขอบคุณคุณบุญยงมากๆนะครับ)

ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ขี้แยหน่อย ก็คงเอาแต่นั่งร้องไห้ ถอดใจเลิกชกไปแล้ว
แต่สมจิตร ไม่ยอมแพ้เขาอาศัยความพ่ายแพ้เป็นบทเรียน แล้วก้มหน้าก้มตาซ้อมๆๆๆๆ จนมีวันนี้

เหรียญทองเหรียญนี้ จึงยิ่งใหญ่มากเป็นพิเศษในความรู้สึกของผม

เหรียญเงินของมนัสเอง ก็น่าชื่นชม ในฐานะแชมป์เก่าที่ใช้ชีวิตประมาทพลาดพลั้ง
จวนเจียนจะต้องแขวนนวม หมดอนาคต แต่ได้สติฟื้นกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ใหม่

เคยมีคำคมอันหนึ่งที่ผมชอบมาก เขาบอกว่า "จุดหมายที่ยิ่งใหญ่ดีงามนั้น ไม่มีทางลัดเพื่อไปถึง"

สองสามวันก่อนเขียนบล็อคนี้ ผมเพิ่งได้ FWD mail ฉบับหนึ่งที่ดีมากๆ
เป็นเมล์ที่อ้างอิงมาจากบทความของ คุณซิคเว่ เบรคเก้ อดีต CEO ของ DTAC ที่พิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ

เป็นเรื่องของหนุ่มจากเวลส์ตอนใต้คนหนึ่ง ชื่อ Paul Potts
หนึ่งในผู้สมัครประกวดแสดงความสามารถของรายการทีวีชื่อ Britain's Got Talents เมื่อปีกลาย
ดูแล้วคล้ายๆพวกดันดารา หรือ The Star AF ในบ้านเรา

พอล พ็อตตส์ เป็นลูกคนขับรถเมล์ แม่เป็นแคชเชียร์ในซุปเปอร์มาร์เก็ต
ประกอบอาชีพเซลส์แมนขายโทรศัพท์มือถือ
เป็นหนุ่มหน้าตาเชยๆ ตุ้ยนุ้ย ที่ดูเผินๆ ก็ไม่มีวี่แววจะเป็นดาราอะไรกับใครได้

ก่อนขึ้นเวทีพอลบอกว่า ปัญหาสำคัญตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขาคือ
เขาเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเองอย่างแรง สมัยเรียนเพื่อนก็ชอบรุมแกล้ง
และเขาเชื่อ คิด และรู้สึกมาตลอดว่าตัวเองเป็นคน "ไม่สำคัญ"

ถ้าคุณดูจากคลิปใน you tube ที่ผมลิงค์มาให้ คุณจะเห็นภาพชัดขึ้น
โปรดสังเกตสีหน้าของกรรมการ ตอนเห็นพอลเดินขึ้นเวที มาหยุดยืนตรงไมค์โครโฟนแล้วบอกว่า

"ผมมาเพื่อร้องโอเปรา" กรรมการคนหนึ่งทำหน้าเหมือน "จะไหวมั้ยเนี่ย"

แล้วคอยดูสีหน้าของกรรมการ หลังจากพอลเริ่ม ร้องเพลง "Nessun Dorma" ของ Puccini
เพลงนี้ใครเป็นแฟนของพวก Andrea Bocelli หรือ Luciano Pavarotti คงทราบว่ามันร้องยากมาก

พอลร้องไปได้ไม่กีวินาที คนดูก็ปรบมือให้ กรรมการถึงกับอึ้ง
ยังไม่ถึงครึ่งเพลง คนดูก็ลุกขึ้น standing ovation ปรบมือโห่ร้องอื้ออึงด้วยความชื่นชม
ตอนใกล้จบเพลง บางคน รวมถึงกรรมการ และผมด้วย น้ำตาซึมเลยครับ




เฉลยตอนจบให้ว่า พอล พ็อตตส์ ได้เข้ารอบ
และกลายเป็นผู้ชนะจากการโหวตของคนอังกฤษกว่าสองล้าน

รางวัลที่ได้ เป็นอะไรบ้างไม่ทราบ แต่ที่พอล คงยินดีเป็นล้นพ้น
คือการได้ร้องถวายหน้าพระที่นั่ง ให้สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ ที่สอง
นอกเหนือจากได้เซ็นสัญญาออกอัลบั้มของตัวเองในชื่อชุดว่า "One Chance"

ขอยืนยันว่าคุณควรจะดูให้ได้
ชนิดที่ถ้าคอมไม่มีลำโพง ไม่มี sound card ก็ให้ไปดูจากเครื่องที่มี

ดูแล้วจะปีติยินดี กับศักยภาพของคนธรรมดา ที่ดู "ไม่สำคัญ"
และเผื่อว่าคุณที่อ่านบล็อกนี้อยู่แล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้น อาจจะมีกำลังใจให้ตัวเองมากขึ้น

บล็อกวันนี้นี้ไม่มีเพลงประกอบ เพราะยกเวทีให้พอล พ็อตตส์ครับ

สุขสันต์วันที่ยังมีลมหายใจนะครับ




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2551    
Last Update : 2 กันยายน 2551 17:12:57 น.
Counter : 2328 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.